ลิขิตหัวใจ
ประหยัด: 77.00 บาท ( 35.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 3 รายการราคา 88.00 บาท - 119.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
“ยายจาแกเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า นี่มันวันแต่งงานของดาเขานะ
ไม่ใช่งานเลี้ยงรุ่นถึงได้มา เอาป่านนี้”
เสียงทักทายจากหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งรวมอยู่ในกลุ่มด้งขึ้นเป็นการ ต้อนรับ เมื่อเจ้าของร่างสูงสวมเดรสสั้นเข้ารูปผ้าไหมสีครีมประดับเลื่อมก้าว
เข้ามาหยุดยืนหน้าโต๊ะรับประทานอาหารตัวยาวซึ่งใช้เป็นที่รวมพลของเพื่อน ร่วมรุ่นสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
“พวกเธอลืมแล้วหรือไงจ๊ะว่าฉันมีอาชีพอะไร” หญิงสาวที่เพื่อนเรียก
ขานว่า ‘จา’ หรือที่แฟนละครรู้จักก้นในนาม ‘จารวี รัตนมณีกาล’ ทบทวน
ความทรงจำของผองเพื่อนเกี่ยวกับอาชีพที่สร้างชื่อเสียงให้เธอด้วยความ ภาคภูมิใจ
“ฉันลืมไปว่าเพื่อนเรามีอาชีพนักแสดงที่ถูกยัดเยียดให้รับบทแม่ตั้งแต่อายุไม่ถึงสามสิบ”
ผู้ถูกตราหน้ายิ้มแยกเขี้ยวพร้อมทั้งส่งค้อนวงใหญ่ให้คนกล่าวหา
ในขณะที่เพื่อนร่วมโต๊ะต่างพร้อมใจก้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ
“นี่พวกแกจะมากัดอะไรฉันตอนนี้ยะ ดูสิ คนอื่นมองมาที่ฉันใหญ่แล้ว”
จารวีบอกพลางหันไปโบกมือทักทายแขกเหรื่อที่เหลืออยู่ในงานซึ่งพุ่งความ
สนใจมายังอดีตนางร้ายผู้กลายมาเป็นแม่นางเอกในปัจจุบัน
จะว่าไปแล้วที่ผ่านมาอาชีพนักแสดงของจารวีก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ บรรดาเพื่อนๆ ในกลุ่มแสดงอาการเป็นห่วงทุกครั้งที่มีโอกาสได้พบหน้านับ
ตั้งแต่เธอเริ่มหันมารับบทแม่ ตรงข้ามเจ้าตัวกลับรู้สึกภาคภูมิใจที่มีส่วนสร้าง ชื่อเสียงให้แก่มหาวิทยาลัยหลังจากก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงในฐานะนางร้าย
ดาวรุ่งที่มีผลงานประทับใจสาวกละครโทรทัศน์ แม้บางครั้งจะออกไปเดิน
ตลาดไม่ได้ด้วยสาเหตุที่แม่ค้าต่างอินกับบทบาทที่เธอก่ายทอดออกมาได้อย่าง แนบเนียนสมจริง การันตีได้จากเปลือกทุเรียนที่ลอยละลิ่วเข้ามากระทบ
ใบหน้าของผู้จัดการดวงซวยที่เธอใช้ร่างอ้วนกลมนั้นเป็นเกราะกำบังในขณะ
ถูกแม่ค้าขายผลไม้ขว้างเปลือกที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมตรงมาหาเธอด้วย
ความเร็วราวกับลูกกระสุน M-79
“พวกแกได้ก่ายรูปกับดาเขาบ้างหรือยัง” จารวีเริ่มต้นคำถามใหม่ก่อน รีบหย่อนกันลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่
“ใครเขาจะรอเธอล่ะจ๊ะแม่ดาราหญ่าย...”
“ดาเขาชะเง้อคอรอแกจนคอจะยาวกลายเป็นยีราฟอยู่แล้ว”
“เสียชื่อว่าเป็นเพื่อนที่ยายดารักมากที่สุด..
และอีกสารพัดประโยคที่เพื่อนร่วมรุ่นต่างพร้อมใจกันขุดขึ้นมาตอกยํ้า ความผิดอย่างไม่น่าให้อภัยของจารวี โดยที่เจ้าตัวไม่กล้าเอ่ยปากสารภาพ
ความจริงว่า เธอลืมงานแต่งงานของเพื่อนรักเสียสนิท พอนึกขึ้นได้ก็มัวเสีย
เวลาแต่งตัวแต่งหน้ากว่าจะผ่าการจราจรมาถึงสถานที่จัดงานได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมง
“ฉันติดก่ายละคร” เมื่อเข้าตาจนผู้ถูกประณามก็หาข้อแก้ตัวออกมาจนได้
“อย่ามาอ้างหน่อยเลย พวกเรารู้ทันเธอกันหมดแล้วยายจา”
จารวีคลี่ยิ้มหวานอย่างยอมรับความผิดก่อนจะเริ่มกวาดสายตาสำรวจ บรรยากาศภายในงานเลี้ยงฉลองวิวาห์ของญาดา เพื่อนสาวที่เธอรักและสนิท สนมมากกว่าเพื่อนร่วมรุ่นคนไหนๆ
ญาดาสวมชุดแต่งงานทรงเมอร์เมดงดงามราวกับเจ้าหญิงยืนเคียงคู่กับ เจ้าบ่าวรูปร่างเจ้าเนื้อซึ่งสวมชุดทักซิโดคล้ายกับนกเพนกวินที่ดูอย่างไรก็ไม่ เห็นจะสมกับเพื่อนของเธอเลยสักนิด ทั้งสองกำลังยืนส่งแขกตรงบริเวณซุ้ม ดอกกุหลาบขาวด้านหน้าประตูทางออกของเรือนหอซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานในคํ่าคืนนี้
“อิจฉาดาเขาหรือไงถึงได้มองเขาตาโปนเป็นปลาทองแบบนั้น” หนึ่งใน เพื่อนสาวซึ่งมากับสามีเอ่ยถาม
“ฉันจะไปอิจฉาเขาทำไมในเมื่อฉันเองก็มีหนุ่มๆ มาเข้าแถวรอให้ฉัน
เสี่ยงพวงมาลัยตั้งเยอะตั้งแยะ” จารวิเชิดหน้าพร้อมกับยกไหล่ขึ้นนิดๆ คิดว่า
ตัวเองกำลังสวมบทบาทนางในวรรณคดีผู้เลอโฉม
คำตอบของจารวิเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้อีกครั้ง หญิงสาว
สะบัดหน้าอย่างเคืองๆ ก่อนตวัดสายตากลับไปมองยังทิศทางเดิม แล้วเธอก็
ต้องอ้าปากด้าง นัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อดวงตาซึ่งทำหน้าที่ประหนึ่งเรดาร์
สมรรถนะสูงปะทะเข้ากับร่างชายหนุ่มรูปงามซึ่งก้าวเข้ามาในงานเป็นคนล่าสุด รัศมีความสง่างามดุจตัวเอกในเทพนิยายล่องประกายเรืองรองตลอดระยะทางของการก้าวเดิน
หัวใจจารวิเต้นโครมครามแทบจะหลุดออกมากลิ้งกระดอนอยู่นอกอก
แต่หลังจากตั้งสติได้หัวสมองก็สั่งการให้ลุกขึ้นยืน มองไปเบื้องหน้าเหมือน
คนละเมอ ริมผิปากขยับร้องเรียกชื่อเทพบุตรในฝันด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้
นุ่มนวลอ่อนหวานเกินจริงอย่างที่เคยทำเวลาร้องเรียกชื่อพระเอกในละครทีวี
“พี่วินที...”
เพื่อนร่วมโต๊ะต่างหันไปมองที่ชายหนุ่มหน้าตาคมคายในชุดสูทสีขาว
ที่พกพารอยยิ้มกระชากใจก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแล้วหันกลับมามอง
ยังเพื่อนสาวที่กำลังยืนบิดตัวไปมาอย่างมีจริต
“พี่วินท์จำจาไดไหมคะ” เมื่อเห็นชายหนุ่มมีสีหน้าลังเลเธอจึงรีบฟื้น
ความทรงจำของเขาอีกครั้ง “จารวีคนที่...พื่วินท์เคยตามจีบไงคะ”
คำพูดของจารวีส่งผลให้เพื่อนร่วมรุ่นต่างหันไปมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ส่วน ‘พื่วินท์’ ชองเธอได้แต่ยืนมองสบตาหญิงสาวที่อ้างตัวเป็นอดีตคน คุ้นเคยอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ริมฝึปากหยักได้รูปสวยจะแต้มด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
จารวีถอนหายใจโล่งอกที่มุกมั่วนิ่มนั้นใชได้ผล เพราะความจริงแล้ว
ภวินท์มีเคยจีบเธอตามที่กล่าวอ้าง เธอต่างหากที่แอบหลงรักเทพบุตรสุดหล่อ
รุ่นพี่ร่วมคณะที่มีตำแหน่งเดือนประจำมหาวิทยาลัยรับประกันคุณภาพรูปร่าง หน้าตา ส่วนเขาน่ะเหรอ...แทบไม่เคยรับรู้การมีตัวตนชองเธอเสียด้วยซํ้า
และหลังจากที่ภวินท์เรียนจบจารวีก็ไม่เคยริบรู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหว หรือได้เห็นหน้าชายหนุ่มอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ ในขณะที่เขาคงมีโอกาสได้เห็น หน้าค่าตาเธอทางจอทีวีบ้าง...ถ้าเขาชอบดูละคร
“พี่วินท์นิ่งก่อนสิคะ”
“พี่ขอตัวไปทักทายเพื่อนก่อนนะครับ น้องจาไม่รีบกลับใช่ไหมครับ”
ภวินท์บอกอย่างสุภาพเหมือนเมื่อครั้งที่ได้พบกันในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง
“จาจะรอนะคะ” จารวีบอกเสียงอ่อนหวานเข่นเดียวกับกิริยาท่าทางที่ ตั้งใจแสดงออกมาโดยไม่อายสายตาเพื่อนฝูงที่จับจ้องมาที่เธอจนตาแทบจะ ถลนออกมานอกเบ้า
“พี่วิ,นท์เขาเป็นเพื่อนกับเจ้าบ่าว” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเริ่มต้นอธิบาย เมื่อภวินท์ก้าวพ้นบริเวณนั้น
“พี่เขายังโสดนะแก แต่ฉันสงสัยว่าเขามาจีบยายจาตั้งแต่เมื่อไหร่”
เพื่อนอีกคนหันมาขยายความเพิ่มเติมพร้อมกับตั้งข้อสังเกต
“ถ้าบอกว่าแกแอบชอบพี่เขาข้างเดียวยังน่าเชื่อมากกว่า”
“โอ๊ย. ..ฉันอยากจะกรี๊ด ในที่สุดฉันก็ได้พบเจ้าบ่าวตัวเป็นๆ ของฉัน
เสียที” จารวีประสานมือไว้กลางอก ริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้างบ่งบอกถึงความ
ปลื้มใจที่มีโอกาสได้พบกับชายในฝืนอีกครั้งหนึ่งโดยไม่สนใจว่าเพื่อนจะคิด อย่างไร
“วิญญาณนางเอกเข้าสิงหรือไงแก เพิ่งเจอหน้าเขาครั้งแรกก็อ้างมั่วนิ่ม
ว่าเขาเป็นเจ้าบ่าวของตัวเอง”
“ผู้ชายที่เป็นคู่แท้ของเราไม่ว่าจะได้พบหน้ากันครั้งแรกหรือมีอันต้อง
จากกันไปนานแสนนานแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วไม่วันใดวันหนึ่งเขาก็ต้องวน
กลับเข้ามาในชีวิตของเราจนได้”
“แกนี่เป็นเอามาก คนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสิบปี พอมาเจอกัน
อีกครั้งแกก็อ้างว่าเขาเคยจีบแก ฉันถามจริงๆ เถอะยายจา ไหนว่าแกมีผู้ชาย
เข้าแถวรอยาวเหยียดทำไมถึงได้มัดมือชกพี่วินท์เขาแบบนั้นล่ะ”
“ก็ฉัน...”
“กลัวขึ้นคานว่างั้นเหอะ” บทสรุปนี้เรียกเสียงฮาจากทุกคนในที่นั้น
ขณะที่จารวีย่นจมูกแยกเขี้ยวอยากจะฟาดเพื่อนๆ ปากดีทั้งหลายสักทีสองที
“ตอนมีคนมาจีบก็เล่นตัวเสียเหลือเกิน” เพื่อนสาวร่างอวบนางหนึ่ง
แสดงความเห็นออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“พวกแกไม่รู้หรือไงว่า คนอย่างฉันถ้าคิดจะเลือกผู้ชายสักคนมาอยู่
ด้วยคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดา”
“เจ้าบ่าวของแกต้องกินก๋วยเตี๋ยวทางจมูกได้หรือไง” เสียงเพื่อนคนหนึ่งออกความเห็น
“หรือว่าแฟนแกต้องใส่กางเกงในไว้ข้างนอก” อีกคนก็สำทับตามมาติดๆ
“พวกแกอายุเกินครึ่งคนกันแล้วยังมัวมาพูดเล่นไร้สาระกันอยู่ได้”
จารวีเริ่มเคือง
“ครึ่งคนอะไร พวกเราอายุแค1เกือบสามสิบเท่านั้นเอง...แต่เป็นเกือบ สามสิบที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนกันหมดแล้วทุกคน ยกเว้นก็แต่...” คนพูดเว้น
วรรคตรงท้ายประโยคแต่ส่งสายตามายังจารวีเหมือนจงใจให้ทุกคนเติมคำที่เว้นไว้ด้วยตัวเอง
“รู้อย่างนี้แล้วพวกแกก็ช่วยลุ้นฉันกับพี่วินท์หน่อยสิ ฉันจะได้ไม่ต้อง ขึ้นไปเกาะอยู่บนคานคนเดียวไง...เหงานะจะบอกให้ ถ้าเกิดเผลอหลับขึ้นมา ฉันก็ร่วงจากคานหลังหักกันพอดี”
“ฉันว่าแกต้องขอความช่วยเหลือจากดาเขาแล้วละ เพราะสามีเขาเป็น เพื่อนกับพี่วินท์”
“ให้ดาช่วยฉันเรื่องนี้เนี่ยนะ พวกแกลืมไปแล้วหรือไงว่าดาเขาทำอะไร เชื่องช้าจะตายไป ไม่งั้นจะได้แต่งงานเกือบคนสุดท้ายในรุ่นแบบนี้เหรอ”
“ดูพูดเข้าสิ ไม่ได้ดูตัวเองเล้ยยายจา”
จารวียิ้มแหย เธอต่างหากที่เป็นคนสุดท้ายของรุ่นที่ยังไม่มีคนรัก ไม่ต้องถึงขนาดคนรักหรอก แม้กระทั่งใครสักคนที่เดินผ่านเข้ามาในชีวิตก็ยังหาไม่เจอเลยด้วยซํ้า
“จาได้กินอะไรหรือยัง ดาสั่งให้เด็กเขายกของมาเพิ่มให้แล้วนะ”
ก่อนที่จารวีจะวาดฝันถึงอนาคตของเธอกับภวินท์ไปมากกว่านี้ เสียง ของญาดาดังแทรกเข้ามาทักทายเพื่อนรักที่เพิ่งเดินทางมาถึงในขณะที่ผู้มาร่วม งานส่วนใหญ่เริ่มทยอยเดินทางกลับ
“ยินดีด้วยนะดาในที่สุดเธอก็ขายออก” จารวีลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้าไป โอบกอดร่างของเพื่อนสาวก่อนยิ้มว่า “แต่จาก็อดใจหายไม่ได้ จากนี้ไปจาคง รบกวนดาเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว”
“อย่าพูดแบบนี้สิจา ดารู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้” ญาดาหน้าเสียเมื่อจารวีเล่นบทโศก
“ก็จาพูดความจริงนี่” จารวีโอดครวญ
“ยายจามันกำลังจะบอกกับแกว่า ช่วยเป็นแม่สื่อ'ให้มันกับพี่วินท์
หน่อย” เพื่อนคนหนึ่งโพล่งออกมาอย่างเหลืออดก่อนลากเก้าอี้อีกตัวเข้ามาใกล้ “มานั่งตรงนี้เลยดาจะได้คุยกันถนัดๆ ไม่ต้องไปทำอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ”
ในที่สุดญาดาก็ถูกลากให้เข้ากลุ่ม แต่เธออดไม่ได้ที่จะเหลียวไปทาง
ชายหนุ่มที่กำลังจะเป็นคู่ชีวิตที่เดินเข้าไปนั่งร่วมวงฉลองกับกลุ่มเพื่อนของเขา
เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานเจ้าตัวจึงหันกลับมาทางเพื่อน
ร่วมก๊วนด้วยลีหน้าผ่อนคลายลงกว่าเดิม
“ดาจำพี่วินท์ได้ใช่ไหม” จารวีเริ่มตันประกาศเป้าหมาย
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ตอนนั้นจาเพ้อถึงพี่เขาให้ดาฟังทุกวันจนดาแทบ
จะหลงรักพี่เขาตามไปด้วย เท่าที่รู้มาตอนนี้พี่เขายังโสดอยู่นะแต่ไม่รู้ว่าจะสด
อยู่หรือเปล่า” ญาดาลดเลียงตรงท้ายประโยคพลางปรายตาไปทางชายหนุ่มคนที่ถูกอ้างถึง
“ถึงพี่เขาจะไม่สดแต่เขาก็ยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะดา เห็นแล้วเปรี้ยว
ปากชะมัด” จารวีเม้มริมฝีปากพลางสะบัดหน้าเหมือนนางแมวยั่วสวาทไปทาง ภวินท์ซึ่งกำลังหันหน้ามองดูเธอพร้อมกับยกแก้วเครื่องดื่มในมือยื่นตรงมายังทิศทางที่เธอนั่งอยู่
จารวีหันกลับมายกแก้วเหล้าของตัวเองแล้วยื่นไปทำทำชนกับแก้วของ
ภวินท์กลางอากาศเรียกเลียงฮือฮาจากกลุ่มเพื่อนของชายหนุ่มที่พากันส่งสายตามายังโต๊ะเพื่อนเจ้าสาว
“เก็บอาการไว้หน่อยไม่ได้หรือไง” ญาดาออกปากเตือนเมื่อเริ่มรู้ถึง จุดประสงค์ที่แสนจะชัดเจนของจารวี
“มัวแต่เก็บก็อดน่ะสิ อีกอย่างหนึ่งจาก็แน่ใจว่าพี่เขาสนใจจาเหมือนกัน”
จารวียืนยันหนักแน่นทั้งที่ภายในใจไม่ได้รู้สึกตามคำพูดที่ออกจากปาก เลยลักนิด ก่อนหน้าที่ญาดาจะแต่งงาน เธอก็ไม่ได้รู้สึกกังวลกับการเป็นสาว โสดมากนัก แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเคยใฝ่ฝันและตั้งมั่นที่จะมีครอบครัว
ที่อบอุ่น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนขาดแคลนความรักถึงขนาดต้องโหย
หาจากเพศตรงข้าม เพียงแต่ในความทรงจำของเธอยังคงมีภาพที่พ่อแม่แยก
ทางกันตั้งแต่เริ่มจำความได้แจ่มชัดในความรู้สึก วันที่แม่อุ้มตรีดาวน้องสาว
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
เมื่อวิญญาณสาวถูกชะตาให้ต้องปลดห่วงเรื่องความรัก ก่อนที่จะไปสู่วิถีแห่งดวงวิญญาณ การตามหารักแท้จึงเริ่มต้นขึ้น ทว่ายิ่งหา...ก็ยิ่งพบว่าไม่ใช่ ในขณะที่คนที่สื่อสารกับเธอได้ กลับมีอิทธิพลต่อจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ ความรักจึงก่อเกิด...ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีวันสมหวัง แต่หนึ่งคนกับหนึ่งวิญญาณก็เลือกที่จะทำตามเสียงของหัวใจ เพราะไม่มีใครรู้ว่า วันพรุ่งนี้จะมีโอกาสอีกหรือไม่ ลิขิตหัวใจ อีกหนึ่งบทพิสูจน์...ปาฏิหารย์อาจเกิดขึ้นได้...ในรักแท้