ใจพิสุทธิ์ ซีรีส์ ดวงใจเทวพรหม (แพรณัฐ)
ประหยัด: 108.50 บาท ( 35.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 1 รายการราคา 149.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
1
ม้าสีขาวที่ยืนอยู่กลางสนามหญ้าเขียวขจี มีนายทหารหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งเด่นสง่าอยู่บนหลัง มือซ้ายกุมบังเหียนไว้แม่นมั่น
เขาแต่งกายด้วยชุดขี่ม้าสีกากีแกมเขียว ใส่หมวกทรงหม้อตาล กางเกงทรงพองบริเวณต้นขา สวมท็อปบูตสูงถึงเข่า เครื่องหมายซึ่งประดับอยู่บนเสื้อบ่งบอกยศของนายทหารระดับผู้บังคับกองร้อยแห่งกองพันทหารม้าที่ ๒๙ รักษาพระองค์
แม้เป็นเวลาเช้าตรู่ ดวงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ทุกคนก็ยังเห็นว่าวงหน้าคล้ามแดดเรียบเฉยจนน่ากลัว ยิ่งผสานเข้ากับดวงตาดุดันซึ่งจ้องมองเหล่าทหารที่จูงม้ามาหยุดรอนอกรั้วสีขาวเตี้ยๆ ริมสนามฝึกขี่ม้าด้วยแล้ว
ใครที่กล้าสบตาตอบก็ต้องพลอยหัวหดไปตามกัน
“ขออนุญาตเข้าสนามครับ!” ทหารคนหนึ่งกล่าวนำพร้อมกับตะเบ๊ะ คนอื่นทำความเคารพตามในแบบเดียวกัน
“เข้ามาได้” รณจักรตะเบ๊ะตอบ
ทหารเหล่านั้นจูงม้าเข้ามาตั้งแถวเรียงหน้ากระดานซ้อนกันเป็นระเบียบ รณจักรยกข้อมือข้างขวาขึ้นมาดูนาฬิกา
๖:๓๐ น.
เขากราดมองแถวของทหารทั้งหมดในขณะนี้ ช่องที่ว่างอยู่แสดงให้เห็นถึงผู้ซึ่งยังมาไม่ถึง หัวคิ้วของผู้บังคับกองร้อยกระตุกเข้าหากัน
“ผู้หมู่สมชัยทำไมยังไม่มา”
“ไม่ทราบครับ” ทหารคนหนึ่งตอบหลังจากพวกเขาหันหน้ามองกันไปมาอยู่ครู่สั้นๆ
“ถ้าอย่างนั้นเราก็เริ่มฝึกกัน ทั้งหมดแถวตรง เตรียมขึ้นม้า ปฏิบัติ!”
รณจักรตะโกนสั่ง ทหารหันไปตรวจม้าและอุปกรณ์ให้แน่ใจว่าพร้อมสำหรับการขี่ ผู้กองหนุ่มจึงสั่งต่อ
“เอาโกลนลง!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาเอาห่วงซึ่งห้อยจากอานม้าทั้งสองข้างสำหรับสอดเท้าเพื่อใช้ยันเวลาขี่ม้าลงมา
“ขึ้นม้าตอนที่หนึ่ง!”
เหล่าทหารทำขวาหันเพื่อหันหน้าเข้าหาม้าคู่ใจ เสียงรองเท้าบูตกระทบกันเมื่อพวกเขาชิดเท้าอย่างพร้อมเพรียง ทหารจับบังเหียนและหัวอานม้าด้วยมือซ้าย มือขวาจับโกลน แล้วบิดเข้าหาตัว พวกเขาหยุดนิ่งเพื่อรอคำสั่ง
ให้ขึ้นไปบนหลังม้าในขั้นตอนที่สอง
ทหารซึ่งเป็นหัวหน้าในกลุ่มนั้นพยักหน้าให้สัญญาณ เขาและทุกคนยกขาซ้ายขึ้นเพื่อสอดเท้าข้างเดียวกันเข้าไปในโกลน มือขวาละไปจับตรงท้ายอานม้าอันเป็นที่นั่ง สปริงตัวขึ้นไปหยุดค้างนิ่งในอากาศ
นายทหารคนเดิมส่งสัญญาณสำหรับการขึ้นไปบนหลังม้าในขั้นตอนที่สาม ทุกคนพร้อมใจกันโน้มตัวไปข้างหน้า เตะขาขวาผ่านบั้นท้ายของม้านั่งลงบนอาน แล้วสอดเท้าข้างขวาเข้าไปในโกลน เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด
รณจักรออกคำสั่งให้ทหารบังคับม้าเดินเข้าเส้น ซึ่งหมายถึงการเดินเป็นแถวเรียงเดี่ยวไปรอบสนาม ดวงตาคมกริบจับจ้องทุกคนอย่างเข้มงวด เขานิ่วหน้า หยิบไม้ง่ามสำหรับยิงหนักสติ๊กกับลูกดินขนาดจิ๋วออกมา ยิงไปที่ทหารคนหนึ่งจนฝ่ายนั้นสะดุ้งเฮือก
“กินกุ้งมากี่โลวะ!”
คนถูกดุเพราะขี่ม้าหลังงอรีบยืดตัวขึ้นจนหลังตรงแหน็ว รณจักรมองปราดไปอีกทิศทางหนึ่ง แล้วยิงลูกดินจิ๋วใส่ทหารอีกคน
“เฮ้ย! เสี่ยงเซียมซีรึไง สั่นเป็นเจ้าเข้าเชียวโว้ย”
ทหารที่ตัวโงนเงนไปมาตลอดการขี่ม้ารีบนั่งหลังตรงและบังคับตัวให้นิ่งขึ้นทันที จังหวะเดียวกันนั้นเองมีทหารคนหนึ่งจูงม้ามาแต่ไกล และหยุดลงตรงนอกรั้วสนามฝึก
“ขออนุญาตเข้าสนามครับ!” เขาตะเบ๊ะด้วยสีหน้ากริ่งเกรงจนเหงื่อแตกพลั่ก
“มาสายขนาดนี้ นาฬิกาตายรึไงวะ!” ผู้กองหนุ่มตะคอก
“ขออนุญาตครับผู้กอง เมื่อเช้าตอนผมคุมพลทหารใหม่วิ่ง ใช้เวลานานไปหน่อย เลยกลับมาทำความสะอาดคอกม้าช้ากว่าปกติครับ” คนตอบแก้ตัว
“คุมทหารวิ่งเป็นภารกิจที่ผู้หมู่ต้องทำทุกวันรึเปล่า” รณจักรซักไซ้
“ทุกวันครับ” นายทหารยศร้อยตรีตอบ
“ทำความสะอาดคอกม้าก็ต้องทำทุกวันด้วยใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“งั้นมันก็เป็นภารกิจประจำวันที่แกต้องทำอยู่แล้ว อย่าเอามาอ้าง” เขาเอ็ด
“ขอโทษครับ”
“ถ้าเราต้องไปออกรบ แล้วแกมาผิดเวลานัด จะไปรบชนะใครเขาได้วะ จำไว้ว่าการตรงเวลาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับทหาร เอ้า! วันนี้แกไม่ต้องขี่ม้าหรอก จูงม้าวิ่งตามเพื่อนไป”
คนโดนทำโทษรับคำ ก่อนจะจูงม้าของตนวิ่งตามท้ายแถวทหารที่ขี่ม้าไปตลอดทั้งชั่วโมง
“เมื่อเช้าเหนื่อยหน่อยนะผู้หมู่”
รณจักรตบบ่านายทหารรุ่นน้องซึ่งถูกเขาทำโทษ อีกมือถือผักบุ้งไว้กำหนึ่ง
“ไม่เป็นไรครับ เป็นความผิดของผมเองที่มาสาย คราวหน้าผมจะไม่สายอีกแล้วครับ” ร้อยตรีหนุ่มยิ้มรับ
รณจักรยิ้มตอบ หลังเวลาเลิกงาน ความเข้มงวดก็คลายลงเหลือแต่ความเป็นพี่น้อง รณจักรเดินต่อไปในคอกม้าซึ่งเป็นโรงไม้ขนาดใหญ่เปิดโล่ง มีหลังคาคลุม จนเจอนายสิบที่คอยดูแลม้าคู่ใจของตน นายสิบตะเบ๊ะทำความเคารพ เขาจึงตะเบ๊ะตอบ
“แม่ออกจากโรงพยาบาลรึยัง”
“ออกแล้วครับ เป็นเพราะผู้กองให้เงินค่าผ่าตัด แม่ผมก็เลยรอด ขอบคุณผู้กองมากนะครับ”
“เรื่องเล็กน่า ดูแลแม่ของแกให้ดีก็แล้วกัน วันหยุดนี้ฉันอนุญาตให้แกกลับไปเยี่ยมท่านที่บ้านได้”
นายสิบขอบคุณเขาอีกยกใหญ่ทีเดียวกว่ารณจักรจะผละจากมาได้ จนมาถึงคอกที่ม้าขาวคู่ใจอาศัยอยู่
“พายุทัต”
เจ้าม้าก้าวเข้ามาหาอย่างยินดีตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเรียกชื่อด้วยซ้ำ มันยื่นศีรษะมาซุกหน้าท้องของชายหนุ่ม เขาจึงตบลำคอของมันเบาๆ พร้อมกับหัวเราะ
“ขี้อ้อนจริงๆ เอ้า! ฉันเอาผักบุ้งมาฝาก”
รณจักรป้อนผักบุ้งให้พายุทัต พูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับการเป็นครูฝึกซึ่งสั่งทหารอย่างเข้มงวดเมื่อเช้าราวกับเป็นคนละคน
เสียงฝีเท้าดังขึ้น รณจักรจึงหันไปมอง เห็นเสมียนกองร้อยซึ่งเป็นเสมือนผู้ช่วยของตนยืนรออยู่ห่างออกไป
“ขออนุญาตครับผู้กอง ท่าน ผบ.ทอ. โทร. มาครับ”
รณจักรขมวดคิ้ว ผบ.ทอ. ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงคือ พลอากาศเอก หม่อมราชวงศ์รณพีร์ จุฑาเทพ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งเพิ่งได้รับตำแหน่งหมาดๆ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อปีที่ผ่านมาจบสิ้นลง และ ผบ.ทอ. ท่านนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบิดาของเขาเอง
“ท่านว่ายังไงบ้าง”
“ท่านสั่งว่ามีเรื่องด่วน ให้ผู้กองรีบกลับวังจุฑาเทพครับ”
หม่อมหลวงหนุ่มแห่งจุฑาเทพพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ด้วยหน้าที่ของผู้บังคับกองร้อยทหารม้าซึ่งต้องทำงานตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนถึงเย็นค่ำ บางครั้งก็ต้องดูแลม้าที่อาจเจ็บป่วยได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาจึงเลือก
อยู่บ้านพักในกองพัน และกลับไปที่วังจุฑาเทพในช่วงสุดสัปดาห์
บิดาเข้าใจความจำเป็นดี จึงไม่เคยโทรศัพท์มาสั่งการให้เขากลับบ้านก่อน นี่เป็นครั้งแรก
เกิดอะไรขึ้นที่วังจุฑาเทพกันแน่
เมื่อรณจักรกลับไปถึงบ้านสีขาวซึ่งสร้างขึ้นเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ภายในอาณาเขตวังจุฑาเทพ บิดาก็รออยู่แล้ว ทั้งยังมีน้องชายคนที่สองคือ เรืออากาศตรี หม่อมหลวงรณภูมิ นั่งอยู่ด้วย
รณภูมิเป็นนักบินขับไล่เหมือนบิดา โดยขับเครื่องบินรบ F-16 ตามปกติเขาประจำการอยู่ที่โคราช รณจักรจึงแปลกใจที่เห็นรณภูมิในวันนี้
“กลับมาเมื่อไรน่ะภูมิ ฉันไม่เห็นรู้เลย” บุตรชายคนโตของแม่ทัพอากาศถามหลังจากทำความเคารพบิดา
“ผมเพิ่งมาเมื่อเช้า พอดีมีราชการที่นี่ พรุ่งนี้ก็กลับไปแล้วครับ” รณภูมิยิ้มน้อยๆ อย่างคนที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิตย์
รณจักรทรุดกายลงบนโซฟาทางขวามือของบิดา ซึ่งอยู่ตรงข้ามรณภูมิพอดี ตามปกติแล้วโซฟาตัวยาวตรงกลางในห้องดูโทรทัศน์แห่งนี้นอกจากเป็นที่ประจำของบิดาแล้ว มักจะมีมารดานั่งอยู่ด้วยเสมอ แต่ท่านเดินทาง
ไปเยี่ยมน้องสาวคนที่สามของเขา ซึ่งเรียนบัลเลต์ชั้นสูงอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และมีแผนจะบินไปหาน้องชายคนเล็กของเขาซึ่งศึกษาด้านภาพยนตร์อยู่ในสหรัฐอเมริกา
เมื่อหม่อมหลวงหนุ่มแห่งจุฑาเทพนั่งประจันหน้ากัน ความละม้าย
และความแตกต่างระหว่างพี่น้องก็ชัดเจนขึ้น ทั้งคู่ตัวใหญ่บึกบึนสมเป็นชายชาติทหาร ผิวเข้มพอๆ กัน เพราะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กลางแดด แต่รณภูมิร่างบางกว่าพี่ชายเล็กน้อย ใบหน้าเหมือนผู้เป็นพ่อมากกว่า ยิ่งนั่งอยู่ใกล้
บิดา ก็ดูราวกับจะเห็นภาพรณพีร์ในวัยหนุ่มและวัยห้าสิบเก้าปีมานั่งอยู่เคียงกัน
รณจักรเป็นส่วนผสมที่ดีระหว่างบิดามารดา จะมองว่าเขาคล้ายบิดาก็ได้ คล้ายมารดาก็ถูก แต่ทุกครั้งที่อยู่กับบิดา รณจักรก็ยังรู้สึกว่าท่านช่างหล่อเหลาและสง่างามชนิดที่เขากับน้องๆ เทียบไม่ติด แม้มารดาจะให้กำลังใจอยู่เสมอว่าเขาหล่อกว่าบิดาก็ตาม
“คุณพ่อมีธุระอะไรหรือครับถึงเรียกผมกลับมา” รณจักรนั่งหลังตรงแหน็วตามความเคยชิน
“เรื่องเดิมๆ นั่นแหละ” รณพีร์ถอนหายใจ วงหน้าคมคายฉายแววเหนื่อยล้าอย่างที่คนนอกไม่ใคร่ได้เห็น
“เรื่องทวดอ่อนใช่ไหมครับ” รณภูมิเดา
“อืม...เรื่องนั้นแหละลูก”
“คุณลุงใหญ่ คุณลุงรุจ คุณลุงภัทรพาทวดอ่อนไปตากอากาศที่หัวหินไม่ใช่หรือครับ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า” รณจักรถามเสียงเครียด
“คุณทวดอาการทรุดลงหรือครับ” รณภูมิหรี่ตามอง ผู้เป็นพ่อจึงพยักหน้า
“คุณลุงใหญ่เพิ่งโทร.มาเล่าให้ฟังว่า ทวดอ่อนฝันร้ายอีกแล้วว่าวิไลรัมภามาตะโกนสาปแช่งอยู่หน้าวังจุฑาเทพ แล้วก็เกิดไฟไหม้ขึ้นในวัง คุณทวดจึงสะดุ้งตื่น จากนั้นอาการความดันสูงก็กำเริบจนคุณลุงภัทรกับป้าแก้วต้องช่วยกันพยาบาลแทบไม่ได้หลับได้นอน พ่อไม่สบายใจเลยจริงๆ”
คำบอกเล่าของบิดาทำให้คนฟังพลอยเครียดไปด้วย วิไลรัมภาที่รณพีร์กล่าวถึงก็คือ หม่อมหลวงวิไลรัมภา เทวพรหม อดีตคู่หมายของรณพีร์
หม่อมเจ้าวิชชากรแห่งราชสกุลจุฑาเทพ ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของรณจักร กับหม่อมราชวงศ์เทวพันธ์แห่งราชสกุลเทวพรหม มีสัญญาต่อกันว่าอยากให้ทั้งสองตระกูลได้เกี่ยวดองกัน โดยหมายมั่นปั้นมือให้บุตรชายทั้งห้าของ
วิชชากรแต่งงานกับทายาทสาวแห่งเทวพรหมอย่างน้อยหนึ่งคน แต่ก็ไม่สมหวังเลยสักคน จนมาถึงคนสุดท้ายคือรณพีร์ ที่ถูกหมายมั่นให้ลงเอยกับวิไลรัมภาก็เป็นอันต้องคลาดแคล้ว เนื่องจากรณพีร์พบรักกับเพียงขวัญ
ดาราภาพยนตร์ชื่อดังในสมัยนั้น ประกอบกับวิไลรัมภาเคยปองร้ายหม่อมเอียดจนเกือบถึงแก่ชีวิต สัญญาระหว่างจุฑาเทพกับเทวพรหมจึงสิ้นสุด
นับจากนั้นเป็นต้นมา เทวพรหมก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ ลูกสาวสองคนในจำนวนสามคนของเทวพันธ์หายสาบสูญ เขาจึงตรอมใจจนป่วยหนัก ทั้งยังมีจดหมายจากวิไลรัมภาส่งมาสาปแช่งราชสกุลจุฑาเทพให้ถึงแก่หายนะ ด้วยเหตุที่ทำให้เทวพรหมต้องตกต่ำ สร้างความไม่สบายใจให้แก่อ่อนในวัยชราจนเจ็บออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่นั้น
อ่อนขอร้องให้ทายาทจุฑาเทพช่วยกันตามหาบุตรสาวทั้งสองของเทวพันธ์ที่หายไป เพื่อพามาพบนางและเทวพันธ์ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง ในช่วงแรกทุกคนช่วยกันตามหา แต่ยังไม่พบ วิไลรัมภาก็ส่งจดหมายขู่อาฆาตมาอย่าง
ต่อเนื่อง คุณชายทั้งหลายจึงปรึกษากันและได้ข้อสรุปว่าจะไม่ตามหาพวกเธออีก โดยเฉพาะวิไลรัมภา ด้วยเกรงว่าการพาวิไลรัมภาซึ่งมีเจตนาร้ายต่อจุฑาเทพมาพบอ่อนจะไม่เป็นผลดี อาจทำให้อ่อนอาการทรุดลงกว่าเดิม
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)