วิหคหลงลม (สุริยาทิศ)
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 80.50 บาท ( 35.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 5 รายการราคา 92.00 บาท - 139.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
ผู้หญิง...หน้าเหมือน
‘ตายๆ กูตายแน่!’
หญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบอัดไปทุกส่วนสัดเดินหอบสังขารกระย่อง
กระแย่งมาตามบาทวิถีรอบนอกขององค์พระ
‘องค์พระ’ เป็นคำเรียกสั้นๆ ที่คนในท้องถิ่นเรียกจนติดปาก นามเต็ม
ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตั้งตระหง่านเป็นศรีแห่งเมืองนครปฐม คือ ‘องค์
พระปฐมเจดีย์ แห่งวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร’ นั่นเอง
หล่อนเดินรำพึงรำพันถึงชะตากรรมในกาลหน้าของตนในใจ...มันยํ่าแย่ เพียงไหนที่หล่อนเผลอปล่อยให้คุณหนู ทายาทตระกูล ‘พรรณภิรมย์’ คลาด หายไปจากสายตา
‘โอ๊ย ทำไมนางเฟือมันถึงได้โง่เง่าถึงเพียงนี้ ทำไม! แค่คุณหนูผึ้งคน
เดียวยังปล่อยให้คลาดสายตาไปได้!
ระหว่างเดินสบถด่าตัวเองในใจ สายตาของนางเฟือก็กวาดมองไปโดย รอบ พลางถามแม่ค้าพ่อค้าที่นั่งแผ่กระจาดผักหญ้าอยู่รีมทางด้วยสีหน้า
ไม่สู้ดีนัก
“แม่อาบ เห็นคุณผึ้งบ้างไหม!” หล่อนถามแม่ค้าขายผัก ด้วยหมด
หนทางหาตัวช่วย
“เอ๊ะ แม่เฟือนี่...เมื่อกี้ฉันยังเห็นแกเดินตามคุณหนูผึ้งต้อยๆ แล้ว
ทำไมถึงได้ปล่อยให้เธอคลาดสายตาไปได้เล่า”
นางเฟือหงุดหงิดกับถ้อยคำตอกยํ้าฃองแม่ค้าขายผัก
“แล้วตกลงว่าแกเห็นคุณหนูเดินผ่านมาตรงนี้อีกไหมเล่า! ตอบมาสั้นๆพอ เห็น...หรือไม่เห็น”
“สาวสวยอย่างคุณหนูผึ้งน่ะรึจะมาเดินเฉิดฉายอยู่ในย่านของสดอย่างนี้ แกลองไปดูทางแผงหินแผงพลอยทางโน้นนู่น” แม่อาบชี้มือไปทางทิศตะวันออก กัดไปจากองค์พระ “พวก'หนุ่ม'ๆ สาวๆ ชอบไปรวมตัวกันอยู่แถวนั้น คุณหนู
ผึ้งเธอใส่ชุดเสียแดงแสบลูกตา หาไม่ยากหรอกแม่เฟือ”
“เออๆ ขอบใจ ฉันไปละ”
“ไม่ซื้อผักอีกสักกำรึ” แม่อาบยกชะอมกำหนึ่งขึ้น บอกให้รู้ว่าแกเหลือ
ผักกำสุดท้ายในกระจาด
“โห! ยัดเยียดจริงเชียว ซื้อมาจนจะทอดไข่ได้สามสี่กระทะแล้ว...
คนยิ่งร้อนใจอยู่ ไปละแม่อาบ!”
ในรถยุโรปยี่ห้อมอริสสีครีมอ่อนคันหนึ่ง หลังจากสองหนุ่มสาว
ได้พูดคุยตามประสาคนรักไม่นาน อาภรณ์ของสตรีวัยกำดัดก็ค่อยๆ ถูกฝ่ามือ อ่อนนุ่มของบุรุษผู้มีอายุมากกว่าห้าปีปลดเปลื้องลงจนเผยให้เห็นหัวไหล่และ
เนินอกอวบอิ่ม ดูสวยสะพรั่งสมวัยสิบเก้าปีของสาวสวยทายาทตระกูลอัน
มั่นคงและมั่งคั่ง หนึ่งในชาติสกุลระดับสังคมชั้นสูง...
‘ภุมวารี พรรณภิรมย์’ ...นี่คือนามอันไพเราะต้องจิตบุรุษเพศทุกคน
ที่ได้ยลยิน และจะยิ่งกว่านั้นหากใครได้มีโอกาสพิศความงามของหล่อนด้วย สายตาของตัวเอง
“พอเถอะค่ะ ประเดี๋ยวมีใครผ่านมาเห็นเข้า ผึ้งจะเดือดร้อนนะคะคุณภาส”
เสียงลมหายใจฟิดฟาดแผ่วเบารินรดอยู่บริเวณลำคอระหงชองหญิงสาว ...หล่อนยกมือขึ้นปัดป้องร่างหนาที่ถาโถมเข้ามาอย่างกระหาย แต่เป็นเพียง ท่วงท่ากระมิดกระเมี้ยนเท่านั้น...หาได้ต้องการให้ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า
ผละออกไปจากตัวเสียเมื่อไหร่
“อีกนิดน่า...นะครับคุณผึ้ง” สายตาเล้าโลมวาวรับเป็นประกายของ ชายหนุ่มพาหญิงรัยกำดัดอ่อนระทวยได้ทุกวินาที “คุณสวยถึงเพียงนี้ ใครได้
ไปเชยชม ผมคงตรมจนทนมิได้เป็นแน่”
“ปากหวานอย่างกับพระเอกลิเก” หญิงสาวแกล้งยกฝ่ามือผลักแผงอก กว้างชองชายหนุ่มให้ถอยห่าง “คุณภาสครับ คุณภาส!”
เสียงที่ชัดอารมณ์สิเน่หาท่าให้หม่อมหลวงภาสกรต้องผินหน้ามองผ่าน กระจกรถไปยังผู้ติดตามคนสนิทด้วยความขุ่นเคือง ประหนึ่งถูกใครมาดึงชอง หวานไปจากสำรับชองตัวเอง
มิใช่เพียงชายหนุ่มผู้กระสันในความต้องการลิ้มรสสิเน่หา...หญิงสาว
เจ้าชองริมฝีปากแดงแสบลูกตาก็พลันหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่ง
ความไม่พอใจไปยังนายยศ คนสนิทชองชายใหญ่คนรักในเวลาเดียวกัน
“มึงมีอะไรวะ!” หม่อมหลวงภาสกร อภัยรัตน์ ถามคนสนิทด้วยสีหน้า
ขุ่นเคือง “กูบอกให้มึงยืนดูต้นทางอยู่เงียบๆ มิใช่รึ แหกปากหาสวรรค์วิมาน อะไร!”
“คุณภาสครับ กระผมเห็นน้าเฟือเดินผ่านมาทางต้นซอยนั่นครับ”
คำกล่าวชองคนสนิทล่งผลให้ภุมวารีมีสีหน้าตื่นตระหนก หล่อนรีบ
ผลักร่างชองภาสกรออกห่างจากตัว
“คะ...คุณภาสครับ! กะ...แกท่าท่าเหมือนจะเดินมาทางนี้ด้วยนะครับ” หม่อมหลวงภาสกรผละตัวมานั่งนั่งๆ ตรงข้ามกับภุมวารีที่เอี้ยวตัวไป
มองทางหลังรถ...และเห็นนางเฟือ แม่บ้านอาวุโสในบ้านหล่อนกำลังเดินตรง
มาทางนี้จริงๆ เบื้องหน้านั้นถึงแม้จะมีฝูงชนที่เปรียบได้ดั่งม่านพรางทางเดิน แต่ก็มีเพียงบางตาเท่านั้น!
“ไอ้ยศ! ไอ้หมาตาบอด!” ภุมวารีสบถด่าคนขับรถของคนรัก “ฉันบอก แล้วไงว่าให้ดูต้นทางให้ดี หืม!”
นายยศยืนท่าท่าสำนึกผิดพร้อมก้มหน้าก้มตาคล้ายกับจะขอโทษ แต่ เมื่อสายตาปราดไปเบื้องหน้า เห็นนางเฟือกำลังเดินหน้ามุ่ยราวจะตรงมาทางนี้
จริงๆ เขาก็ยิ่งยืนเถ่อ ท่าอะไรไม่ถูก
หม่อมหลวงภาสกรยกฝามือขึ้นลูบหน้า เรื่อยลงมาตามจมูกโด่งเป็น
สันและกลีบปากบาง ก่อนจะผินหน้ามาทางหญิงคนรัก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม
“คุณผึ้งกลับไปก่อนก็ได้ครับ ผมไม่อยากให้คุณเดือดร้อน” เขาพูด
สร้างภาพไปเช่นนั้น หากความจริงแล้ว เขาต่างหากที่ไม่อยากเดือดร้อน
เพราะทุกวันนี้ก็แทบจะต้องเดินเอาปีบคลุมหัวอยู่แล้ว เรื่องที่บิดาหมกมุ่นอยู่
กับการพนัน จนท่าให้บ้านแทบไม่เหลือทรัพย์สินมีค่าเก็บไว้ดูต่างหน้ากันเสีย แล้ว
ภุมวารียังคงถลึงตาคมใส่นายยศไม่เลิก ก่อนที่หล่อนจะถอนฉุนแล้ว ทำกระ,ฟัดกระเฟียด ยังไม่ทันเพียงพอในความสุนทรีย์ นางเฟือก็สะแหล็น
เดินตามมาถึงที่นี่เลียแล้ว
หญิงสาวเปิดประตูพรวด ชนโครมเข้ากับนายยศ จนคนสนิทของ ภาสกรถอยหลีกออกมาจากวิถีของหล่อนแทบไม่ทัน
“คุณผึ้งครับ!” ภาสกรชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่างรถ “คราวหน้าไว้
พบกันอีกนะครับ ผมจะให้ไอ้ยศนำจดหมายไปล่งที่เอื้อยนะครับ คุณต้องมาพบผมให้ได้นะ”
ชายหนุ่มมีความสามารถในการส่งสายตาวิงวอน ให้หญิงสาวอ่อนยวบ ลงในพริบตา อารมณ์ขุ่นข้องของภุมวารีบัดนี้หลงเหลือเพียงรอยยิ้มหวาน
เมื่อรู้ว่าอีกไม่ช้านาน ภาสกรจะต้องร่อนจดหมายฝานบ่าวมาถึงหล่อนอีกเป็นแน่
“ค่ะ คุณภาส...ผึ้งไปก่อนนะคะ”
ภุมวารีรับจุมพิตทางอากาศจากหม่อมหลวงภาสกรมา แล้วหล่อนก็รีบ เดินฉับๆ เข้าสู่ทางเดินคับแคบซึ่งพาไปยังทางออก สู่ถนนรอบองค์พระปฐมเจดีย์ แล้วรีบสาวเท้าเดินไปรอนางเฟือยังตลาดองค์พระ เพื่อลวงให้บ่าวอาวุโส
ประจำบ้านเชื่อว่าหล่อนไมได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนทิศไปไหนเลยนางเฟือต่างหาก
...ที่ประสาทตาเลื่อม มองไม่เห็นหล่อนซึ่งยืนรออยู่นานแล้ว
หญิงสาวเร่งฝีเท้าไปพลาง ริมฝีปากก็สบถด่าบ่าวไปพลาง หล่อนนึก
แค้นที่นางเฟือบังอาจมาขัดขวางความสุขของหล่อนอยู่รํ่าไป รันดีคืนดีก็เสนอ หน้าไปฟ้องคุณเกรียงไกร เจ้าของคฤหาสน์และผู้สืบทอดมรดกจากบรรพ- บุรุษสกุลพรรณภิรมย์ จนถูกเรียกว่า ‘มหาเศรษฐี’ แห่งนครชัยศรี
สิ่งที่สำคัญไปกว่าการที่เขาได้เป็นมหาเศรษฐีเกรียงไกร พรรณภิรมย์
ก็คือการที่เขาได้เป็นบิดาของภุมวารี บุตรสาวเพียงคนเดียวที่เขาทั้งรักทั้งหวงยิ่งกว่าไข่ในหิน
ภุมวารีแลเห็นโรงตลาดตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ภายในใจยังนึกด่า นางเฟือไม่เลิกรา หล่อนเร่งฝีเท้าก้าวเดินฉับๆ จนนับไม่เป็นจังหวะ แต่ยิ่งรีบ
ก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งหงุดหงิด
พลั่ก!
“โอะ...โอ๊ย!”
ด้วยความรีบร้อนประหนึ่งไฟลนก้น จึงทำให้ภุมวารีชนเข้ากับรถเข็น
ขนผักของสตรีผู้หนึ่งซึ่งเข็นอย่างทุลักทุเสมาจากอีกฟาก ทั้งสองหงายเงิบ
ล้มลงไปคนละทาง ผักหญ้าในม่านตาข่ายและเข่งสานกระเด็นกระดอนลงมาบนพื้น
ภุมวารีมองเรียวขาขาวผ่องของตน บัดนี้มันเปื้อนนํ้าที่ชังอยู่บนพื้นและ
มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง หญิงสาวแทบจะหวีดร้องออกมา แต่ก็ทำเพียงปราดมือชี้ไป
ที่สตรีในชุดสีน้ำเงินตัวเก่ามอซอ ตะเบ็งเสียงด่าแว้ดๆ พานให้แม่ค้าพ่อค้า
ในโรงตลาดหันมามองเป็นตาเดียว
“อีบ้า เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ! แกดูซิ เสื้อผ้าขาแข้งฉันเลอะเทอะหมดแล้ว!”
สตรีอีกฝ่ายผู้มีผ้าขาวม้าโพกศีรษะบดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่งยังนั่งกอง
อยู่กับพื้น ก่อนจะค่อยๆ ยืดกายขึ้น ยกมือไหว้ปลกๆ ด้วยความตกใจ
“อะ...ฉันขอโทษค่ะ ฉันไหว้ละค่ะคุณผู้หญิง” เสียงของหล่อนบ่งบอก
ให้รู้ว่ากำลังหวาดผวา ชั่วหนึ่งวินาทีที่ภุมวารีสัมผัสได้ว่าหญิงผู้นี้ยังสาว อายุ น่าจะไล่เสี่ยกับตัวเองด้วยซํ้า น้ำเสียงของหล่อนอ่อนหวาน แต่สั่นพร่าไปด้วย ความตระหนก “ยะ...อย่าเอาเรื่องฉันเลยนะคะคุณผู้หญิง ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ค่ะ”
ภุมวารีเม้มริมผีปากแน่น เรียวนิ้วยาวเลื่อนลงมาชี้รองเท้าสีขาวของ ตัวเองซึ่งขัดจนขึ้นเงาวาววับ
“แกดูนี่...ดู!” หล่อนกลึงตาใส่สตรีที่ทำเพียงนึ่งก้มหน้าหลบโทสะร้าย
“ดูผลของความซุ่มซ่ามของแกซะ ดูสิ!”
หล่อนยังคงนึ่งก้มหน้าด้วยความย่าเกรง...ภาพนั้นทำให้ภุมวารีนึกเดือด
“ฉันบอกให้แกดูไง มีตาหรือเปล่านังเซ่อ!”
ภุมวารียื่นมือไปดึงผ้าขาวม้าออกจากศีรษะหล่อน จนกระทั่งใบหน้า
ของหญิงผู้น่าสงสารปราศจากสิ่งปกป้อง จากนั้นฝ่ามือของคุณผู้หญิงแห่ง
สกุลพรรณภิรมย์ก็ปราดไปจับคางของหล่อนเชิดขึ้น หมายจะมองหน้าของผู้หญิงคนนี้ให้ชัดๆ
แต่ในวินาทีที่วงหน้าขาวของหญิงสาวเข็นรถขนผักแหงนขึ้นด้วยเรี่ยวแรงของภุมวารี
“คะ...คุณผู้หญิงขา อย่าเอาเรื่องฉันเลยค่ะ...คะ คุณผู้...!”
ทุกเสียงเงียบลงในฉับพลันทั้งด้วยความตกใจระคนกับความไม่คาดฝัน หญิงทั้งสองที่กำลังประจันหน้ากันต่างตกอยู่ในภวังค์ ราวกับอยู่ในความฝัน ที่ไม่มีวันเป็นจริงไปได้!
“ละ...หล่อน!”
ริมผีปากของภุมวารีอ้ากว้าง...หล่อนดึงมือกลับจากวงหน้าของอีกฝ่าย ด้วยความตกใจ!
“ทะ...ทำไมหล่อน!” หญิงสาวส่ายหน้า เอามือขยี้ตาแล้วลืมขึ้นอยู่หลาย ครั้ง แต่ถึงกระนั้นหญิงผู้มีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดก็ยังมีใบหน้าละม้าย
คล้ายคลึงกับตัวหล่อน ชนิดที่เรียกได้ว่า...ประหนึ่งแฝดพี่แฝดน้องก็ไม่ปาน
ในความตกใจผสมกับความไม่คาดฝัน หญิงสาวเข็นรถขนผักก็รีบคว้า ผ้าขาวม้ามาโพกศีรษะคลุมหน้าตามเดิม แล้วรีบลงมือเก็บผักหญ้าที่กระจาย อยู่รอบๆ ใส่เข่งสานอย่างร้อนรน จากนั้นก็เข็นรถหนีไป
ครั้นภุมวารีหลุดจากภวังค์แห่งความไม่คาดฝัน หล่อนก็ตะเบ็งเสียง
เรียกผู้หญิงคนนั้นซึ่งกำลังหนีไปให้พ้น แต่ขณะที่คุณหนูแห่งสกุลพรรณ-
ภิรมย์กำลังจะวิ่งตาม...สายตาคมกริบของหล่อนก็เหลือบไปเห็นนางเฟือกำลัง เดินตรงเข้ามาทางท้ายตลาดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หล่อนจึงจำเป็นต้องชะงัก ฝีเท้าไว้ แม้ในใจจะนึกตระหนกถึงผู้หญิงหน้าเหมือน ที่ใบหน้าและสรรพางค์
กายแทบทุกส่วนคล้ายคลึงกับหล่อนดั่งคนในกระจก!
หญิงสาวในชุดม่อฮ่อมตัวเก่าเลี่ยงออกมาจากเหตุการณ์ที่หล่อนไม่เคย
คาดคิดว่าจะได้ประสบ...หล่อนยืนหอบหายใจพักเหนื่อยที่ตึกด้านหลังตลาดสด ครู่เดียวเท่านั้นหล่อนก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งด้งขึ้น หญิงสาวหันไปมองด้วย
ความตกใจอีกครั้ง
“นวล มาทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะ”
เป็นเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของชายหนุ่มวัยยี่สิบสอง ผิวคลํ้าแดด แต่ ใบหน้าหล่อเหลาด้วยจมูกที่โด่งเป็นลันโดดเด่นมาแต่ไกล คิ้วเข้มขมวดเข้าหา กันด้วยความสงสัยว่าคนรักของตนกำลังยืนทำอะไรอยู่ ณ ที่แห่งนี้
“พี่จักร...” หญิงสาวผู้มีชื่อเสียงเรียงนามเพียงหนึ่งพยางค์ แต่มีความ หมายที่งดงามเอ่ยเรียกคนรักที่พากันหอบผ้าหอบผ่อนมาจากอยุธยา น้ำเสียง
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
ภุมวารี พรรณภิรมย์ เป็นลูกสาวมหาเศรษฐีชื่อดังแห่งนครปฐม ทั้งกิตติศัพท์และวีรกรรมของหญิงสาวนั้นเป็นที่โจษขานกันถ้วนทั่ว โดยเฉพาะการหนีบุพการีไปพลอดรักกับหม่อมหลวงตกอับ ภาสกร อภัยรัตน์ ตั้งแต่สมัยเรียนจนเวลาล่วงผ่านถึงปัจจุบัน นวล เนื้อทอง แม้นจะมีรูปกายเป็นทรัพย์ ทว่ากลับอับโชควาสนา เป็นได้แค่หญิงคนจน คู่รักของจักร...หนุ่มคนจรจอมสู้ชีวิตซึ่งพากันย้ายถิ่นฐานมาทำงานเป็นคนเข็นรถขนผัก ณ ตลาดย่านองค์พระ หญิงสาวทั้งสองคือความแตกต่าง คือเส้นทางชีวิตที่ไม่มีวันโคจรมาบรรจบ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนจนน่าตกใจคือ รูปร่างหน้าตาซึ่งดูราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกัน อันเป็นเหตุของเรื่องไม่คาดฝันที่เบี่ยงเบนทางเดินชีวิตให้หักเห เมื่อภุมวารีคิดบินหนีจากรวงรังไปพำนักยังเรือนไม้ชายคาของชายหนุ่มที่ตนรัก และวางแผนพรากนวลจากอ้อมอกของจักรให้มาเข้าพิธีสมรสกับหม่อมราชวงศ์ภักดีนพดล ชายหนุ่มที่บิดาเห็นเหมาะเห็นควรแทนตน โดยหารู้ไม่ว่ากระแสลมลวงที่ทำให้เธอบินหลงทิศจะชักนำไปสู่ชะตาชีวิตอันชวนสังเวช และก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมกับอีกหลายคนที่ถูกกระแสลมร้ายพัดผ่าน