ปีกมงกุฎ
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 1 รายการราคา 109.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
หญิงสาวร่างระหงในชุดสเวตเตอร์ลายทางสีขาวดำผ้าแคชเมียร์
กับกางเกงขาสั้นผ้าฝ้ายสีขาว เผยให้เห็นช่วงขาเรียวยาวซึ่งสวมถุงน่องหนา
สีแดงสดตัดกับรองเท้าบูตสั้นส้นสูงสีดำสนิท ใบหน้าได้รูปสวยถูกล้อมกรอบ
ด้วยเรือนผมสีนํ้าตาลเข้มดัดอ่อนๆ ปล่อยยาวเลยกลางแผ่นหลัง ดวงตาสีนิล
กลมโตภายใต้แพขนตางอนยาว คิ้วเรียวเข้มพาดโค้งรับกับนัยน์ตางามระยับ
จมูกโด่งเรียวได้รูป รีมฝีปากอิ่มสวยราวกลีบบางของบุษบาแรกแย้ม ด้วย
รูปร่างบุคลิกลักษณะการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ล่งผลให้สายตา
ทุกคู่ของผู้โดยสารบนเที่ยวบินของสายการบินไทยจากมหานครลอนดอนสู่
จุดหมายปลายทางกรุงเทพมหานครพุ่งเป้ามาที่หล่อนด้วยความชื่นชม และ
การที่หล่อนอุ้มตุ๊กตาหมีเทดดี้สีนํ้าตาลไหม้ตัวใหญ่ประมาณเด็กทารกกอดไว้
แนบอกแทบตลอดการเดินทาง ทำให้ผู้โดยสารชาวต่างชาติที่นั่งอยู่ใกล้กัน
เกิดความสนใจระคนแปลกใจมากยิ่งขึ้น จนเจ้าตัวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่
ส่งผ่านสายตาหลายคู่นั้น
แต่คนอย่างตรีอัปสรไม่เคยเก็บเอาความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนมาใส่ใจใส่สมองของหล่อนให้เสียอารมณ์
เมื่อหล่อนตั้งใจทำอะไรแล้วหล่อนก็
พร้อมจะทำทันที และล้าหญิงสาวสวยอย่างหล่อนจะอุ้มตุ๊กตาเหมือนเด็ก
ผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ไม่เห็นจะผิดปกติหรือหนักอวัยวะส่วนใดของใครที่ตรงไหน
ความรักที่มีต่อเจ้าเทดดี้ หมีตัวน้อยที่ตรีอัปสรตั้งชื่อให้มันว่า ‘เป็น
หนึ่ง’ นั้น นับวันจะผูกพันเพิ่มพูนไม่ต่างกับเด็กเล็กๆ ที่ติดหมอน ติดผ้าห่ม
เวลาเข้านอนต้องมีสิ่งของรักแนบกาย ไม่เช่นนั้นแล้วต้องฟูมฟายจนกว่าจะ
หลับสนิทลงได้ แต่สำหรับตรีอัปสร เจ้าเป็นหนึ่งมีความหมายมากกว่าสิ่งของ
คู่กาย หมีตัวน้อยเป็นเหมือนเพื่อนซึ่งมีวันวานในวัยเยาว์ร่วมกัน แบ่งปัน
ความสุข ความทุกข์ คอยรับพังคำพูดของหล่อนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ที่สำคัญ
ทุกครั้งที่หล่อนอุ้มเจ้าเป็นหนึ่งขึ้นมากอดไว้แนบอก หล่อนจะสัมผัสถึงความ
ปรารถนาดีที่ส่งผ่านมาจากผู้ที่เป็นเจ้าของหมีตัวน้อย ความรู้สึกที่เกิดขึ้น
สามารถทดแทนไออุ่นจากอ้อมกอดของผู้ให้กำเนิดที่หล่อนโหยหามาตลอด
ชีวิตได้เป็นอย่างดี
กว่าสิบสองชั่วโมงของการเดินทาง ตรีอัปสรหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในโลก
ของหล่อนกับเจ้าเป็นหนึ่ง กระทั่งได้ยินเสียงสัญญาณให้รัดเข็มขัดก่อนที่
เครื่องจะร่อนลงบนรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ หล่อนถึงได้จูบลาเจ้าเทดดี้
ก่อนเปิดกระเปาสะพายหนังสีครีมใบใหญ่เก็บมันลงในกระเปาอย่างเบามือจน
ชายหนุ่มชาวต่างชาติที่นั่งติดกับหล่อนหันมาส่งยิ้มให้ ทำให้หล่อนต้องยิ้ม
ตอบกลับไปตามมารยาทพร้อมกับยักไหล่นิดๆ ด้วยความเคยชิน
ทันทีที่ร่างสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรพ้นจากช่องผู้โดยสารขาเข้า
พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สีชมพูแปร๊ดที่ลากมาตามพื้น ก็เรียกความ
สนใจจากผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่ตรงบริเวณนั้นให้หันมามองอย่างพร้อมเพรียง
กันโดยมิได้นัดหมาย แต่เจ้าของร่างระหงกลับมองเห็นเป็นเรื่องปกติเช่น
ทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ล้าหากผู้คนที่มองดูหล่อนสามารถมอง
ทะลุแว่นกันแดดกรอบสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งปิดดวงหน้าไว้เกือบครึ่งนั้นได้ พวก
เขาคงได้พบกับแววตาเฉยชา ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาแม้แต่เพียง
นิดเดียว
“ตรี...” เสียงคุ้นหูจากชายหนุ่มร่างสูงสง่า ดุจมนต์สะกดให้ตรีอัปสร
ชะงักฝีเท้าแล้วเบนสายตามายังใบหน้าคมคายที่ประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ตรงหน้า
“คุณรุจ คุณรุจจริงๆ ด้วย” ริมฝีปากอิ่มสวยคลี่ยิ้มด้วยความดีใจที่ได้
พบหน้าชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหมีเทดดี้ตัวน้อยซึ่งนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าสะพาย
ทำให้หล่อนมองไม่เห็นสองหนุ่มสาวที่เดินตามหลังอติรุจเข้ามาติดๆ ถ้าเขา
ไม่เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“อร นนท์ จำตรีได้ไหม” อติรุจหันกลับไปถามผู้ติดตามด้วยนํ้าเสียงตื่นเต้น
หญิงสาวนามว่าอรสินีน้องสาวคนเดียวของอติรุจส่งยิ้มหวาน พร้อม
เดินตรงเข้าไปจับต้นแขนของตรีอัปสรอย่างคิดถึง ในขณะที่ชญานนท์ ชาย
หนุ่มหน้าตาคมคายที่เคียงคู่มาด้วยกันปรายตามองอีกฝ่ายเหมือนคนแปลกหน้า
ตรีอัปสรถอดแว่นกันแดดออก ตวัดสายตามองหน้าชายหนุ่มข้างกาย
อรสินีชั่วขณะ ก่อนละสายตากลับมาหยุดที่ดวงหน้าสวยหวานของหญิงสาว
รุ่นราวคราวเดียวกัน
“คุณอรสวยจังเลยนะคะ”
“อรสวยสู้ตรีไม่ได้หรอก ดูสิ ไปเรียนเมืองนอกไม่กี่ปี กลับมาอรแทบ
จำไม่ได้” ดวงตาคู่เรียวฉายแววชื่นชมยืนยันคำพูดของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
“คุณรุจกับคุณอรมารับใครหรือคะ” ตรีอัปสรเอ่ยถามสองพี่น้อง แต่
สายตาของหล่อนจับที่ใบหน้าขรึมของชญานนท์ซึ่งยืนทำหน้าเฉยชาเหมือน
รูปปันขุนศึก
“พวกเรามารับคุณแม่ของนนท์เขาน่ะ แต่ไหนๆ ก็เจอตรีแล้ว ผมขอ
ถือโอกาสรับตรีไปด้วยเลยก็แล้วกัน ให้ผมไปล่งตรีที่บ้านนะ” ประโยคหลัง
ของอติรุจแฝงความเก้อเขิน
“ขอบคุณค่ะ แต่คุณรุจไม่ต้องไปส่งตรีหรอกนะคะ เดี๋ยวแม่ของตรีก็ มาถึงแล้ว”
“ผมก็อดได้คุยกับตรีเลยน่ะสิ”
“นายก็อยู่คุยกับเธอก่อนสิ ฉันกับน้องอรจะไปรอรับคุณแม่เอง” ใน
ที่สุดชญานนท์ก็เอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก
ตรีอัปสรชำเลืองมองเจ้าของใบหน้าคมคาย คิ้วเข้มซึ่งพาดเหนือดวงตา
เรียวยาวขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากหยักได้รูปเหยียดเป็นเส้นตรง ร่างกำยำ
สมชายชาตรียีนนิ่งราวรูปสลักไร้ชีวิตจิตใจ แต่เมื่อเขาหันไปสบตาหญิงสาวซึ่ง
อยู่ในฐานะคนรัก รีมฝีปากนั้นกลับแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาสีน้ำตาล
เข้มเปล่งประกายระยิบระยับบ่งบอกความรักที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจ
ตรีอัปสรเกลียดชังผู้ชายที่ชอบคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าใคร มองคนที่มี
ฐานะตํ่ากว่าเหมือนอยู่กันคนละโลก แม้การพบกันครั้งแรกระหว่างหล่อนกับ
ชญานนท์ไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก แต่หล่อนก็ไม่เคยลืมเลือนสิ่งที่เขาท่าไว้กับ
หล่อนเมื่อตอนเป็นเด็ก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด หล่อนก็ยังจดจำแวว
ตาดูถูกเหยียดหยามของเขาได้ดี และเวลานี้ความรู้สึกที่ล่งผ่านดวงตาคู่นั้นก็
ไม่ได้แตกต่างจากวันวานเลยแม้แต่นิดเดียว
ทำไมตรีอัปสรจะอ่านความหมายซึ่งซ่อนอยู่ในแววตาของชญานนท์
ไม่ออก ถึงเขาไม่ได้มองหล่อนอย่างเปิดเผย แต่หล่อนก็รู้ว่าเขาแอบมองเวลาที่
หล่อนพูดคุยกับอติรุจ เขามองหล่อนตั้งแต่ศีรษะจดปลายรองเท้าบูตที่หล่อน
สวมอยู่อย่างดูแคลน ต่างจากเวลาที่มองดูคนรักราวกับหล่อนเป็นสัตว์
ประหลาดที่หลุดกระเด็นมาจากนอกโลกอย่างไรอย่างนั้น คงเป็นเพราะหล่อน
ไม่ได้แต่งตัวสวยหวานไปทั้งตัวอย่างอรสินิ...หญิงสาวในอุดมคติของเขา
แล้วหล่อนก็สังเกตได้ถึงความแตกต่างระหว่างหล่อนกับหญิงสาวที่ยืน
ขนาบข้างในเวลานี้ อรสินิสวมชุดเดรสสั้นสีน้ำตาลอ่อน ดวงหน้าสวยหวาน
แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาอย่างเป็นธรรมชาติ ผิวพรรณนวลลออ
ผุดผาดบอกถึงพื้นเพที่มาของชาติกำเนิด กิริยาท่าทางเรียบร้อยสมเป็น
กุลสตรี คำพูดคำจาก็นุ่มนวลชวนฟังต่างกับหล่อนอย่างสุดขั้ว ดูไปแล้วทั้ง
สองคนก็สมกันดี แต่สำหรับตรีอัปสร หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงประเภทหัวอ่อนอย่าง
อรสินีที่ยอมเดินตามรอยเท้าผู้ชาย หล่อนไม่มีรันท่าอย่างนั้นเป็นอันขาด ไม่ว่า
ผู้ชายคนนั้นจะยิ่งใหญ่คับฟ้ามาจากไหนก็ตาม
“เชิญคุณรุจตามสบายเถอะนะคะ แม่ตรีโทร. มาตามแล้ว” ตรีอัปสร
บอกพลางหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่หล่อนเพิ่งเปลี่ยนโหมดกลับมา
ใช้บริการในเมืองไทยขึ้นรับสาย หลังจากพูดจบจึงหันมากล่าวสากับสาม
หนุ่มสาว
อติรุจยื่นนามบัตรส่งให้ตรีอัปสรพร้อมทั้งกำชับให้หล่อนโทร. หาเขา
ให้ได้ ส่วนอรสินีตรงเข้าไปสวมกอดหญิงสาวอีกครั้ง
“ถ้าตรีว่าง ตรีไปหาอรที่บ้านบ้างนะ พวกเราคิดถึงตรีมากรู้ไหม ใช่ไหม
คะพี่นนท์” ประโยคหลังหันไปถามชายหนุ่มข้างกายเหมือนต้องการให้เขามี
ส่วนร่วมในทารสนับสนุนความคิดของหลอน
แต่สิ่งที่ชญานนท์แสดงออกให้เห็นคือการพยักหน้าน้อยๆ ริมฝีปาก
หยักได้รูปนั้นคล้ายจะคลี่ยิ้ม แล้วประสานสายตากับตรีอัปสรอย่างเสียไม่ได้
“แล้วตรีจะไปหาคุณอรนะคะ ลาก่อนค่ะคุณรุจ คุณนนท์” ตรีอัปสร
ระงับอารมณ์ซึ่งเริ่มก่อตัวเป็นพายุทะเลทราย หันไปกล่าวลาชญานนท์เป็น
คนสุดท้ายตามมารยาท เพื่อยืนยันให้เขารู้ว่าหล่อนไม่ได้รู้สึกรู้สากับท่าที
เฉยชาของเขาเลยสักนิด
“สัญญานะว่าจะโทร.หาผม” อติรุจกำชับหล่อนเป็นประโยคสุดท้าย
ตรีอัปสรยื่นสองมือไปเกาะกุมมือช้างหนึ่งของอติรุจแล้วบีบอย่าง
แผ่วเบา สบตาเขานึ่งนาน ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวาน ก่อนจะเอ่ยคำพูดเพื่อให้คน
ที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นได้ยินไปพร้อมๆ กัน
“ตรีไม่มีวันลืมคนสำคัญอย่างคุณรุจได้หรอกค่ะ”
ภาพสตรีสาวสวยรูปร่างเพรียวได้สัดส่วนในชุดกระโปรงผ้าเครป
ตกแต่งด้วยโลหะและมุกที่ไหล่สีเขียวมรกตทั้งชุดนั้นโดดเด่นสะดุดตาราวกับ
ภาพของนางแบบที่หลุดออกมาจากแมกาซีนหัวนอก ถ้าใครไม่รู้จักหล่อน
เป็นการส่วนตัว คงคิดว่าหล่อนเป็นหญิงสาวอายุไม่น่าเกินยี่สิบห้าปี ทั้งที่ใน
ความเป็นจริง อายุของหล่อนขึ้นต้นด้วยเลขสี่มาหลายปีแล้ว
ตรีอัปสรระบายยิ้มให้กับภาพตรงหน้า แม่ของหล่อนยังคงสวยไม่สร่าง
ทุกครั้งที่ผู้ให้กำเนิดปรากฏตัวพร้อมกับหล่อน ก็มักจะขโมยความสนใจจาก
สายตาของผู้คนไปจากหล่อนอย่างง่ายดาย ครั้งนี้ก็เช่นกัน สายตาทุกคู่ต่าง
มองดูคุณแม่ยังสาวด้วยความชื่นชมเหมือนเช่นทุกครั้ง
“เป็นยังไงบ้างตรี ทำไมถึงได้ทำหน้าทำตาแบบนั้น ไม่ดีใจหรือไงที่เจอ
หน้าฉัน” ดารินทร์ทักทายสายเลือดในอกเป็นประโยคแรก ใบหน้าเนียนสวย
เริ่มบึ้งตึงเมื่อเห็นกิริยาท่าทางยกมือไหว้แบบขอไปทีของลูกสาว
“ไปกันได้หรือยัง ตรีเหนื่อยจะแย่” ตรีอัปสรบอกเสียงเรียบไม่สนใจ
ที่จะตอบคำถามนั้น
“แกมันก็เป็นเสียแบบนี้ ทำเป็นไม่เคยเจอความเหนื่อยยากไปได้”
“แม่จะยืนบ่นอีกนานไหม”
ดารินทร์ตวัดสายตามองหน้าลูกสาวอย่างหมั่นไส้ แต่เพียงชั่วครู่ก็
สะบัดหน้าเดินตัวตรงนำไปยังรถตระกูลยุโรปสีบรอนซ์ทองที่จอดรออยู่
บริเวณประตูทางออก
ชายวัยกลางคนในชุดซาฟารีสีเข้มซึ่งทำหน้าที่พลขับยืนอยู่ข้างตัวรถ
เมื่อเขามองเห็นผู้เป็นนายเดินเข้ามาใกล้จึงรีบกุลีกุจอเข้าไปยกกระเป๋าเดินทาง
ของตรีอัปสรเก็บท้ายรถ เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงรีบก้าวเท้ายาวๆ เดินอ้อมไป
เปิดประตูให้สองสาวต่างวัยขึ้นนั่งประจำที่
“คุณอัศรู้ว่าแกจะกลับมาถึงวันนี้ เขาเลยรีบมาที่บ้านแต่เข้า” ดารินทร์
อธิบายเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสนามบินได้เพียงไม่นาน
“มาตั้งแต่เมื่อคืนหรือมาตอนเข้าก็ไม่เห็นจะแปลก” ตรีอัปสรอดไม่ได้
ที่จะขัดคอ เพราะรู้ดีว่าทุกครั้งที่มีโอกาส แม่มักจะพูดให้หล่อนมีความรู้สึกที่ดี
ให้แก่คุณลุง หรือนายพลอัศวิน เพชรภาสกรณ์ ผู้ชายซึ่งอยู่ในฐานะสามีของแม่เสมอ
“ตกลงแกเป็นอะไรกันแน่ ฉันพูดอะไรแกก็หงุดหงิด”
ตรีอัปสรเอนหลังวางศีรษะลงกับพนักพิง หลับตาลงแทนคำตอบ เวลานี้
หล่อนเหนื่อยเกินกว่าจะมีเรี่ยวแรงปะทะคารมกับผู้ให้กำเนิด ในขณะที่
อีกฝ่ายดูเหมือนจะรับรู้กิริยาท่าทางชองหล่อนเป็นอย่างดีจึงได้เงียบเสียงลง
เพียงแค่นั้น
เมื่อรถเลี้ยวเข้าประตูด้านหน้าของหมู่บ้าน ผ่านป้อมยามซึ่งติดตั้ง
กล้องวงจรปิด พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบยกไม้กั้นทางขึ้นพร้อมกับ
แสดงความเคารพ เมื่อมองเห็นสติกเกอร์ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำชองหมู่บ้าน
หรูราคาเริ่มต้นเกือบสิบล้านบาท
ตรีอัปสรขยับตัวลุกขึ้น กวาดตามองหมู่มวลพฤกษายืนต้นร่มรื่นสอง
ฟากถนนที่รถวิ่งผ่าน สองแขนโอบกอดกระเป๋าสะพายที่มีหมีตัวโปรดนอนอยู่
ภายใน หัวใจร่ำร้องบอกเจ้าเป็นหนึ่งว่าเวลานี้ได้เดินทางกลับมาถึงบ้านซึ่งเป็น
ที่พำนักของมันแล้ว
“เช้าไปทักทายคุณอัศเสียหน่อยสิ เขาคงนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นนั่น
แหละ” ดารินทร์ร้องบอกตรีอัปสรเมื่อรถแล่นเช้ามาจอดสนิทภายในบริเวณ
บ้านสไตล์โคโลเนียลสีชาวหลังใหญ่บนเนื้อที่เกือบสองร้อยตารางวา
“ตรีขอขึ้นไปนอนพักก่อนได้ไหมแม่ คุณลุงคงมีเวลาให้ตรีเช้าไป
รายงานตัวกับท่านอีกนานมั้งคะ”
โดยไม่รอรับฟังคำอนุญาตจากมารดา ตรีอัปสรก็ก้าวลงจากรถเดิน
ฉับๆ ตัดสนามหญ้าอ้อมไปทางด้านหลังที่มีบันไดขึ้นไปยังชั้นสอง ซึ่งถือเป็น
อาณาจักรส่วนตัวชองหล่อนอย่างรวดเร็ว
“มัวยืนงงอะไรอยู่ล่ะนังปิ๋ม รีบขนกระเป๋าตามเจ้านายของแกไปสิ”
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
รีวิวจากบรรณาธิการ batorastore.com
ปีกมงกุฎ
ผู้เขียน – ไปรยา
ปีกมงกุฎ เรื่องราวของ "ตรีอัปสร" หญิงสาวที่มีความเป็นรูปสมบัติ เพราะความเจ็บปวดจากการตกเป็นผู้ถูกกระทำเมื่อครั้งวัยเยาว์ ทำให้เธอลุ่มหลงและผูกใจใฝ่จะเป็นที่หนึ่ง มงกุฎอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามจึงเป็นสุดยอดปรารถนาที่เธอจะต้องไขว่คว้ามาประดับชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวหลงลืมไปอย่างไม่น่าให้อภัย คือ "ความดีงาม" ที่เธอไม่เคยคิดจะคว้ามาประดับจิตใจ ต่างกับ "อรสินี" หญิงสาวที่ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้า ไม่เคยคิดชิงดีชิงเด่นกับใคร แต่เพียงเพราะความดีและความงามทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เธอได้รับความรักจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ความรัก" จาก "ชญานนท์" ชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนเป้าหมายอันสูงสุดของตรีอัปสร
เรื่องนี้เคยได้ยินว่าทำเป็นละครช่อง 7 แต่น่าเสียมาเห็นตอนเขาตลาดวาย ละครใกล้จะจบแล้ว เน็ตที่บ้านก็ไม่ได้เร็วอะไรขนาดนั้น ดังนั้นการอ่านนิยายถือเป็นตัวช่วยที่ดีอย่างหนึ่งค่ะ เรื่องนี้ตีแผ่การประกวดนางงามคล้ายๆกับเรื่อง สงครามนางฟ้า ของช่อง one ที่ตีแผ่เบื้องหลังการประกวดนางงามค่ะ แต่เรื่องนี้จะเน้นไปที่ตรีอัปสรกับอรสินีมากกว่า แอดมินเพิ่งเคยเห็นนางเอกที่เป็นตัวร้าย ไม่สิ ต้องเรียกว่า ตัวเอกที่เป็นตัวร้าย อย่างตรีอัปสรนะคะ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแบบวีนเหวี่ยง กรี๊ดแบบแสบแก้วหู เธอร้ายแบบมีเหตุผลที่มาที่ไป คนเขียนปูพื้นฐานมาให้นางเอกจากเดิมเป็นเด็กที่ถูกแม่ทอดทิ้งไว้ในสลัม ความลำบากในวัยเด็กหล่อหลอมให้เธอมีความทะเยอทะยานและขาดความรักความอบอุ่นอยู่ส่วหนึ่ง นี่ยังได้รู้อีกว่าแม่ของเธอเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นด้วยแล้ว แม่ที่เธอเคยคิดว่ามีเกียรติ์มีศักดิ์ศรี กลับลดคุณค่าของตัวเองแบบนั้น ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดหวังและเข้าหน้ากับแม่ไม่ติดมากขึ้นอีก ไม่เห็นค่าของความรักจนกระทั่งพระเอกเดินเข้ามาในชีวิต ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นคู่หมั้นของลูกสาวที่เป็นภรรยาหลวงของผู้ชายคนเดียวกับที่รับเลี้ยงแม่ของเธอ เธอก็เลยกะแย่งพระเอกมาแบบยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ได้แฟนด้วยได้แก้แค้นด้วย ในเรื่องจะเห็นเธอใช้แผนเล่ห์กลต่างๆนานาเพื่อจะให้ได้พระเอกมา จนนึกสงสารนางเอกตัวจริงอย่างอรสินีเลยค่ะ รายนั้นก็ดีแสนดี๊ แสนดี นิ่งสงบ เป็นแม่พระมากกว่าในละครอีกค่ะ (ได้ข่าวว่าแก้บทละครของอรสินีให้สู้คนมากขึ้น) นอกจากเรื่องราวที่เข้มข้น ทำให้แอดมินต้องลุ้นไปจนจะจบเรื่องนั้น ตอนจบเป็นอะไรที่ประทับใจมาก ฉากที่ตรีอัปสรรู้สึกผิดในการกระทำของตัวเอง การแย่งชิงในสิ่งที่ไม่ใช่ของๆเราไม่ใช่ความสุขที่สุดในชีวิต มีแต่จะทำให้ทั้งตัวเองและคนรอบข้างเจ็บปวดไปกับการรกระทำของเธอ ฉากที่เธอยอมปล่อยวางความแค้นและทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ทำให้แอดมินปรบมือกับความคิดได้ของเธอในตอนนี้จริงๆค่ะ ส่วนตัวแอดมินชอบอ่านที่เป็นนิยายนะ รู้สึกเนื้อหามันสนุกมากกว่า ถ้าใครเป้นแฟนหนังสือของคุณไปรยา แนะนำนิยายเรื่องนี้นะคะ รับรองว่าสนุกไม่แพ้กันเลยค่ะ