ปีกมงกุฎ

ปีกมงกุฎ

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165000437
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 240.00 บาท 60.00 บาท
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

หญิงสาวร่างระหงในชุดสเวตเตอร์ลายทางสีขาวดำผ้าแคชเมียร์

กับกางเกงขาสั้นผ้าฝ้ายสีขาว เผยให้เห็นช่วงขาเรียวยาวซึ่งสวมถุงน่องหนา

สีแดงสดตัดกับรองเท้าบูตสั้นส้นสูงสีดำสนิท ใบหน้าได้รูปสวยถูกล้อมกรอบ

ด้วยเรือนผมสีนํ้าตาลเข้มดัดอ่อนๆ ปล่อยยาวเลยกลางแผ่นหลัง ดวงตาสีนิล

กลมโตภายใต้แพขนตางอนยาว คิ้วเรียวเข้มพาดโค้งรับกับนัยน์ตางามระยับ

จมูกโด่งเรียวได้รูป รีมฝีปากอิ่มสวยราวกลีบบางของบุษบาแรกแย้ม ด้วย

รูปร่างบุคลิกลักษณะการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ล่งผลให้สายตา

ทุกคู่ของผู้โดยสารบนเที่ยวบินของสายการบินไทยจากมหานครลอนดอนสู่

จุดหมายปลายทางกรุงเทพมหานครพุ่งเป้ามาที่หล่อนด้วยความชื่นชม และ

การที่หล่อนอุ้มตุ๊กตาหมีเทดดี้สีนํ้าตาลไหม้ตัวใหญ่ประมาณเด็กทารกกอดไว้

แนบอกแทบตลอดการเดินทาง ทำให้ผู้โดยสารชาวต่างชาติที่นั่งอยู่ใกล้กัน

เกิดความสนใจระคนแปลกใจมากยิ่งขึ้น จนเจ้าตัวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่

ส่งผ่านสายตาหลายคู่นั้น

แต่คนอย่างตรีอัปสรไม่เคยเก็บเอาความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนมาใส่ใจใส่สมองของหล่อนให้เสียอารมณ์

เมื่อหล่อนตั้งใจทำอะไรแล้วหล่อนก็

พร้อมจะทำทันที และล้าหญิงสาวสวยอย่างหล่อนจะอุ้มตุ๊กตาเหมือนเด็ก

ผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ไม่เห็นจะผิดปกติหรือหนักอวัยวะส่วนใดของใครที่ตรงไหน

ความรักที่มีต่อเจ้าเทดดี้ หมีตัวน้อยที่ตรีอัปสรตั้งชื่อให้มันว่า ‘เป็น

หนึ่ง’ นั้น นับวันจะผูกพันเพิ่มพูนไม่ต่างกับเด็กเล็กๆ ที่ติดหมอน ติดผ้าห่ม

เวลาเข้านอนต้องมีสิ่งของรักแนบกาย ไม่เช่นนั้นแล้วต้องฟูมฟายจนกว่าจะ

หลับสนิทลงได้ แต่สำหรับตรีอัปสร เจ้าเป็นหนึ่งมีความหมายมากกว่าสิ่งของ

คู่กาย หมีตัวน้อยเป็นเหมือนเพื่อนซึ่งมีวันวานในวัยเยาว์ร่วมกัน แบ่งปัน

ความสุข ความทุกข์ คอยรับพังคำพูดของหล่อนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ที่สำคัญ

ทุกครั้งที่หล่อนอุ้มเจ้าเป็นหนึ่งขึ้นมากอดไว้แนบอก หล่อนจะสัมผัสถึงความ

ปรารถนาดีที่ส่งผ่านมาจากผู้ที่เป็นเจ้าของหมีตัวน้อย ความรู้สึกที่เกิดขึ้น

สามารถทดแทนไออุ่นจากอ้อมกอดของผู้ให้กำเนิดที่หล่อนโหยหามาตลอด

ชีวิตได้เป็นอย่างดี

กว่าสิบสองชั่วโมงของการเดินทาง ตรีอัปสรหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในโลก

ของหล่อนกับเจ้าเป็นหนึ่ง กระทั่งได้ยินเสียงสัญญาณให้รัดเข็มขัดก่อนที่

เครื่องจะร่อนลงบนรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ หล่อนถึงได้จูบลาเจ้าเทดดี้

ก่อนเปิดกระเปาสะพายหนังสีครีมใบใหญ่เก็บมันลงในกระเปาอย่างเบามือจน

ชายหนุ่มชาวต่างชาติที่นั่งติดกับหล่อนหันมาส่งยิ้มให้ ทำให้หล่อนต้องยิ้ม

ตอบกลับไปตามมารยาทพร้อมกับยักไหล่นิดๆ ด้วยความเคยชิน

 

ทันทีที่ร่างสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรพ้นจากช่องผู้โดยสารขาเข้า

พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สีชมพูแปร๊ดที่ลากมาตามพื้น ก็เรียกความ

สนใจจากผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่ตรงบริเวณนั้นให้หันมามองอย่างพร้อมเพรียง

กันโดยมิได้นัดหมาย แต่เจ้าของร่างระหงกลับมองเห็นเป็นเรื่องปกติเช่น

ทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ล้าหากผู้คนที่มองดูหล่อนสามารถมอง

ทะลุแว่นกันแดดกรอบสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งปิดดวงหน้าไว้เกือบครึ่งนั้นได้ พวก

เขาคงได้พบกับแววตาเฉยชา ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาแม้แต่เพียง

นิดเดียว

  “ตรี...” เสียงคุ้นหูจากชายหนุ่มร่างสูงสง่า ดุจมนต์สะกดให้ตรีอัปสร

ชะงักฝีเท้าแล้วเบนสายตามายังใบหน้าคมคายที่ประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ตรงหน้า

“คุณรุจ คุณรุจจริงๆ ด้วย” ริมฝีปากอิ่มสวยคลี่ยิ้มด้วยความดีใจที่ได้

พบหน้าชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหมีเทดดี้ตัวน้อยซึ่งนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าสะพาย

ทำให้หล่อนมองไม่เห็นสองหนุ่มสาวที่เดินตามหลังอติรุจเข้ามาติดๆ ถ้าเขา

ไม่เอ่ยขึ้นเสียก่อน

“อร นนท์ จำตรีได้ไหม” อติรุจหันกลับไปถามผู้ติดตามด้วยนํ้าเสียงตื่นเต้น

หญิงสาวนามว่าอรสินีน้องสาวคนเดียวของอติรุจส่งยิ้มหวาน พร้อม

เดินตรงเข้าไปจับต้นแขนของตรีอัปสรอย่างคิดถึง ในขณะที่ชญานนท์ ชาย

หนุ่มหน้าตาคมคายที่เคียงคู่มาด้วยกันปรายตามองอีกฝ่ายเหมือนคนแปลกหน้า

ตรีอัปสรถอดแว่นกันแดดออก ตวัดสายตามองหน้าชายหนุ่มข้างกาย

อรสินีชั่วขณะ ก่อนละสายตากลับมาหยุดที่ดวงหน้าสวยหวานของหญิงสาว

รุ่นราวคราวเดียวกัน

“คุณอรสวยจังเลยนะคะ”

“อรสวยสู้ตรีไม่ได้หรอก ดูสิ ไปเรียนเมืองนอกไม่กี่ปี กลับมาอรแทบ

จำไม่ได้” ดวงตาคู่เรียวฉายแววชื่นชมยืนยันคำพูดของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี

“คุณรุจกับคุณอรมารับใครหรือคะ” ตรีอัปสรเอ่ยถามสองพี่น้อง แต่

สายตาของหล่อนจับที่ใบหน้าขรึมของชญานนท์ซึ่งยืนทำหน้าเฉยชาเหมือน

รูปปันขุนศึก

“พวกเรามารับคุณแม่ของนนท์เขาน่ะ แต่ไหนๆ ก็เจอตรีแล้ว ผมขอ

ถือโอกาสรับตรีไปด้วยเลยก็แล้วกัน ให้ผมไปล่งตรีที่บ้านนะ” ประโยคหลัง

ของอติรุจแฝงความเก้อเขิน

“ขอบคุณค่ะ แต่คุณรุจไม่ต้องไปส่งตรีหรอกนะคะ เดี๋ยวแม่ของตรีก็ มาถึงแล้ว”

“ผมก็อดได้คุยกับตรีเลยน่ะสิ”

“นายก็อยู่คุยกับเธอก่อนสิ ฉันกับน้องอรจะไปรอรับคุณแม่เอง” ใน

ที่สุดชญานนท์ก็เอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก

ตรีอัปสรชำเลืองมองเจ้าของใบหน้าคมคาย คิ้วเข้มซึ่งพาดเหนือดวงตา

เรียวยาวขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากหยักได้รูปเหยียดเป็นเส้นตรง ร่างกำยำ

สมชายชาตรียีนนิ่งราวรูปสลักไร้ชีวิตจิตใจ แต่เมื่อเขาหันไปสบตาหญิงสาวซึ่ง

อยู่ในฐานะคนรัก รีมฝีปากนั้นกลับแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาสีน้ำตาล

เข้มเปล่งประกายระยิบระยับบ่งบอกความรักที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจ

ตรีอัปสรเกลียดชังผู้ชายที่ชอบคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าใคร มองคนที่มี

ฐานะตํ่ากว่าเหมือนอยู่กันคนละโลก แม้การพบกันครั้งแรกระหว่างหล่อนกับ

ชญานนท์ไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก แต่หล่อนก็ไม่เคยลืมเลือนสิ่งที่เขาท่าไว้กับ

หล่อนเมื่อตอนเป็นเด็ก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด หล่อนก็ยังจดจำแวว

ตาดูถูกเหยียดหยามของเขาได้ดี และเวลานี้ความรู้สึกที่ล่งผ่านดวงตาคู่นั้นก็

ไม่ได้แตกต่างจากวันวานเลยแม้แต่นิดเดียว

ทำไมตรีอัปสรจะอ่านความหมายซึ่งซ่อนอยู่ในแววตาของชญานนท์

ไม่ออก ถึงเขาไม่ได้มองหล่อนอย่างเปิดเผย แต่หล่อนก็รู้ว่าเขาแอบมองเวลาที่

หล่อนพูดคุยกับอติรุจ เขามองหล่อนตั้งแต่ศีรษะจดปลายรองเท้าบูตที่หล่อน

สวมอยู่อย่างดูแคลน ต่างจากเวลาที่มองดูคนรักราวกับหล่อนเป็นสัตว์

ประหลาดที่หลุดกระเด็นมาจากนอกโลกอย่างไรอย่างนั้น คงเป็นเพราะหล่อน

ไม่ได้แต่งตัวสวยหวานไปทั้งตัวอย่างอรสินิ...หญิงสาวในอุดมคติของเขา

แล้วหล่อนก็สังเกตได้ถึงความแตกต่างระหว่างหล่อนกับหญิงสาวที่ยืน

ขนาบข้างในเวลานี้ อรสินิสวมชุดเดรสสั้นสีน้ำตาลอ่อน ดวงหน้าสวยหวาน

แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาอย่างเป็นธรรมชาติ ผิวพรรณนวลลออ

ผุดผาดบอกถึงพื้นเพที่มาของชาติกำเนิด กิริยาท่าทางเรียบร้อยสมเป็น

กุลสตรี คำพูดคำจาก็นุ่มนวลชวนฟังต่างกับหล่อนอย่างสุดขั้ว ดูไปแล้วทั้ง

สองคนก็สมกันดี แต่สำหรับตรีอัปสร หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงประเภทหัวอ่อนอย่าง

อรสินีที่ยอมเดินตามรอยเท้าผู้ชาย หล่อนไม่มีรันท่าอย่างนั้นเป็นอันขาด ไม่ว่า

ผู้ชายคนนั้นจะยิ่งใหญ่คับฟ้ามาจากไหนก็ตาม

“เชิญคุณรุจตามสบายเถอะนะคะ แม่ตรีโทร. มาตามแล้ว” ตรีอัปสร

บอกพลางหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่หล่อนเพิ่งเปลี่ยนโหมดกลับมา

ใช้บริการในเมืองไทยขึ้นรับสาย หลังจากพูดจบจึงหันมากล่าวสากับสาม

หนุ่มสาว

อติรุจยื่นนามบัตรส่งให้ตรีอัปสรพร้อมทั้งกำชับให้หล่อนโทร. หาเขา

ให้ได้ ส่วนอรสินีตรงเข้าไปสวมกอดหญิงสาวอีกครั้ง

“ถ้าตรีว่าง ตรีไปหาอรที่บ้านบ้างนะ พวกเราคิดถึงตรีมากรู้ไหม ใช่ไหม

คะพี่นนท์” ประโยคหลังหันไปถามชายหนุ่มข้างกายเหมือนต้องการให้เขามี

ส่วนร่วมในทารสนับสนุนความคิดของหลอน

แต่สิ่งที่ชญานนท์แสดงออกให้เห็นคือการพยักหน้าน้อยๆ ริมฝีปาก

หยักได้รูปนั้นคล้ายจะคลี่ยิ้ม แล้วประสานสายตากับตรีอัปสรอย่างเสียไม่ได้

“แล้วตรีจะไปหาคุณอรนะคะ ลาก่อนค่ะคุณรุจ คุณนนท์” ตรีอัปสร

ระงับอารมณ์ซึ่งเริ่มก่อตัวเป็นพายุทะเลทราย หันไปกล่าวลาชญานนท์เป็น

คนสุดท้ายตามมารยาท เพื่อยืนยันให้เขารู้ว่าหล่อนไม่ได้รู้สึกรู้สากับท่าที

เฉยชาของเขาเลยสักนิด

“สัญญานะว่าจะโทร.หาผม” อติรุจกำชับหล่อนเป็นประโยคสุดท้าย

ตรีอัปสรยื่นสองมือไปเกาะกุมมือช้างหนึ่งของอติรุจแล้วบีบอย่าง

แผ่วเบา สบตาเขานึ่งนาน ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวาน ก่อนจะเอ่ยคำพูดเพื่อให้คน

ที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นได้ยินไปพร้อมๆ กัน

“ตรีไม่มีวันลืมคนสำคัญอย่างคุณรุจได้หรอกค่ะ”

 

ภาพสตรีสาวสวยรูปร่างเพรียวได้สัดส่วนในชุดกระโปรงผ้าเครป

ตกแต่งด้วยโลหะและมุกที่ไหล่สีเขียวมรกตทั้งชุดนั้นโดดเด่นสะดุดตาราวกับ

ภาพของนางแบบที่หลุดออกมาจากแมกาซีนหัวนอก ถ้าใครไม่รู้จักหล่อน

เป็นการส่วนตัว คงคิดว่าหล่อนเป็นหญิงสาวอายุไม่น่าเกินยี่สิบห้าปี ทั้งที่ใน

ความเป็นจริง อายุของหล่อนขึ้นต้นด้วยเลขสี่มาหลายปีแล้ว

ตรีอัปสรระบายยิ้มให้กับภาพตรงหน้า แม่ของหล่อนยังคงสวยไม่สร่าง

ทุกครั้งที่ผู้ให้กำเนิดปรากฏตัวพร้อมกับหล่อน ก็มักจะขโมยความสนใจจาก

สายตาของผู้คนไปจากหล่อนอย่างง่ายดาย ครั้งนี้ก็เช่นกัน สายตาทุกคู่ต่าง

มองดูคุณแม่ยังสาวด้วยความชื่นชมเหมือนเช่นทุกครั้ง

“เป็นยังไงบ้างตรี ทำไมถึงได้ทำหน้าทำตาแบบนั้น ไม่ดีใจหรือไงที่เจอ

หน้าฉัน” ดารินทร์ทักทายสายเลือดในอกเป็นประโยคแรก ใบหน้าเนียนสวย

เริ่มบึ้งตึงเมื่อเห็นกิริยาท่าทางยกมือไหว้แบบขอไปทีของลูกสาว

“ไปกันได้หรือยัง ตรีเหนื่อยจะแย่” ตรีอัปสรบอกเสียงเรียบไม่สนใจ

ที่จะตอบคำถามนั้น

“แกมันก็เป็นเสียแบบนี้ ทำเป็นไม่เคยเจอความเหนื่อยยากไปได้”

“แม่จะยืนบ่นอีกนานไหม”

ดารินทร์ตวัดสายตามองหน้าลูกสาวอย่างหมั่นไส้ แต่เพียงชั่วครู่ก็

สะบัดหน้าเดินตัวตรงนำไปยังรถตระกูลยุโรปสีบรอนซ์ทองที่จอดรออยู่

บริเวณประตูทางออก

ชายวัยกลางคนในชุดซาฟารีสีเข้มซึ่งทำหน้าที่พลขับยืนอยู่ข้างตัวรถ

เมื่อเขามองเห็นผู้เป็นนายเดินเข้ามาใกล้จึงรีบกุลีกุจอเข้าไปยกกระเป๋าเดินทาง

ของตรีอัปสรเก็บท้ายรถ เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงรีบก้าวเท้ายาวๆ เดินอ้อมไป

เปิดประตูให้สองสาวต่างวัยขึ้นนั่งประจำที่

“คุณอัศรู้ว่าแกจะกลับมาถึงวันนี้ เขาเลยรีบมาที่บ้านแต่เข้า” ดารินทร์

อธิบายเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสนามบินได้เพียงไม่นาน

“มาตั้งแต่เมื่อคืนหรือมาตอนเข้าก็ไม่เห็นจะแปลก” ตรีอัปสรอดไม่ได้

ที่จะขัดคอ เพราะรู้ดีว่าทุกครั้งที่มีโอกาส แม่มักจะพูดให้หล่อนมีความรู้สึกที่ดี

ให้แก่คุณลุง หรือนายพลอัศวิน เพชรภาสกรณ์ ผู้ชายซึ่งอยู่ในฐานะสามีของแม่เสมอ

“ตกลงแกเป็นอะไรกันแน่ ฉันพูดอะไรแกก็หงุดหงิด”

ตรีอัปสรเอนหลังวางศีรษะลงกับพนักพิง หลับตาลงแทนคำตอบ เวลานี้

หล่อนเหนื่อยเกินกว่าจะมีเรี่ยวแรงปะทะคารมกับผู้ให้กำเนิด ในขณะที่

อีกฝ่ายดูเหมือนจะรับรู้กิริยาท่าทางชองหล่อนเป็นอย่างดีจึงได้เงียบเสียงลง

เพียงแค่นั้น

 

เมื่อรถเลี้ยวเข้าประตูด้านหน้าของหมู่บ้าน ผ่านป้อมยามซึ่งติดตั้ง

กล้องวงจรปิด พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบยกไม้กั้นทางขึ้นพร้อมกับ

แสดงความเคารพ เมื่อมองเห็นสติกเกอร์ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำชองหมู่บ้าน

หรูราคาเริ่มต้นเกือบสิบล้านบาท

ตรีอัปสรขยับตัวลุกขึ้น กวาดตามองหมู่มวลพฤกษายืนต้นร่มรื่นสอง

ฟากถนนที่รถวิ่งผ่าน สองแขนโอบกอดกระเป๋าสะพายที่มีหมีตัวโปรดนอนอยู่

ภายใน หัวใจร่ำร้องบอกเจ้าเป็นหนึ่งว่าเวลานี้ได้เดินทางกลับมาถึงบ้านซึ่งเป็น

ที่พำนักของมันแล้ว

“เช้าไปทักทายคุณอัศเสียหน่อยสิ เขาคงนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นนั่น

แหละ” ดารินทร์ร้องบอกตรีอัปสรเมื่อรถแล่นเช้ามาจอดสนิทภายในบริเวณ

บ้านสไตล์โคโลเนียลสีชาวหลังใหญ่บนเนื้อที่เกือบสองร้อยตารางวา

“ตรีขอขึ้นไปนอนพักก่อนได้ไหมแม่ คุณลุงคงมีเวลาให้ตรีเช้าไป

รายงานตัวกับท่านอีกนานมั้งคะ”

โดยไม่รอรับฟังคำอนุญาตจากมารดา ตรีอัปสรก็ก้าวลงจากรถเดิน

ฉับๆ ตัดสนามหญ้าอ้อมไปทางด้านหลังที่มีบันไดขึ้นไปยังชั้นสอง ซึ่งถือเป็น

อาณาจักรส่วนตัวชองหล่อนอย่างรวดเร็ว

“มัวยืนงงอะไรอยู่ล่ะนังปิ๋ม รีบขนกระเป๋าตามเจ้านายของแกไปสิ”

                                 (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

รีวิวจากบรรณาธิการ batorastore.com

ปีกมงกุฎ

ผู้เขียน – ไปรยา

ปีกมงกุฎ เรื่องราวของ "ตรีอัปสร" หญิงสาวที่มีความเป็นรูปสมบัติ เพราะความเจ็บปวดจากการตกเป็นผู้ถูกกระทำเมื่อครั้งวัยเยาว์ ทำให้เธอลุ่มหลงและผูกใจใฝ่จะเป็นที่หนึ่ง มงกุฎอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามจึงเป็นสุดยอดปรารถนาที่เธอจะต้องไขว่คว้ามาประดับชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวหลงลืมไปอย่างไม่น่าให้อภัย คือ "ความดีงาม" ที่เธอไม่เคยคิดจะคว้ามาประดับจิตใจ ต่างกับ "อรสินี" หญิงสาวที่ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้า ไม่เคยคิดชิงดีชิงเด่นกับใคร แต่เพียงเพราะความดีและความงามทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เธอได้รับความรักจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ความรัก" จาก "ชญานนท์" ชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนเป้าหมายอันสูงสุดของตรีอัปสร

เรื่องนี้เคยได้ยินว่าทำเป็นละครช่อง 7 แต่น่าเสียมาเห็นตอนเขาตลาดวาย ละครใกล้จะจบแล้ว เน็ตที่บ้านก็ไม่ได้เร็วอะไรขนาดนั้น ดังนั้นการอ่านนิยายถือเป็นตัวช่วยที่ดีอย่างหนึ่งค่ะ เรื่องนี้ตีแผ่การประกวดนางงามคล้ายๆกับเรื่อง สงครามนางฟ้า ของช่อง one ที่ตีแผ่เบื้องหลังการประกวดนางงามค่ะ แต่เรื่องนี้จะเน้นไปที่ตรีอัปสรกับอรสินีมากกว่า แอดมินเพิ่งเคยเห็นนางเอกที่เป็นตัวร้าย ไม่สิ ต้องเรียกว่า ตัวเอกที่เป็นตัวร้าย อย่างตรีอัปสรนะคะ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแบบวีนเหวี่ยง กรี๊ดแบบแสบแก้วหู เธอร้ายแบบมีเหตุผลที่มาที่ไป คนเขียนปูพื้นฐานมาให้นางเอกจากเดิมเป็นเด็กที่ถูกแม่ทอดทิ้งไว้ในสลัม ความลำบากในวัยเด็กหล่อหลอมให้เธอมีความทะเยอทะยานและขาดความรักความอบอุ่นอยู่ส่วหนึ่ง นี่ยังได้รู้อีกว่าแม่ของเธอเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นด้วยแล้ว แม่ที่เธอเคยคิดว่ามีเกียรติ์มีศักดิ์ศรี กลับลดคุณค่าของตัวเองแบบนั้น ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดหวังและเข้าหน้ากับแม่ไม่ติดมากขึ้นอีก ไม่เห็นค่าของความรักจนกระทั่งพระเอกเดินเข้ามาในชีวิต ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นคู่หมั้นของลูกสาวที่เป็นภรรยาหลวงของผู้ชายคนเดียวกับที่รับเลี้ยงแม่ของเธอ เธอก็เลยกะแย่งพระเอกมาแบบยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ได้แฟนด้วยได้แก้แค้นด้วย ในเรื่องจะเห็นเธอใช้แผนเล่ห์กลต่างๆนานาเพื่อจะให้ได้พระเอกมา จนนึกสงสารนางเอกตัวจริงอย่างอรสินีเลยค่ะ รายนั้นก็ดีแสนดี๊ แสนดี นิ่งสงบ เป็นแม่พระมากกว่าในละครอีกค่ะ (ได้ข่าวว่าแก้บทละครของอรสินีให้สู้คนมากขึ้น) นอกจากเรื่องราวที่เข้มข้น ทำให้แอดมินต้องลุ้นไปจนจะจบเรื่องนั้น ตอนจบเป็นอะไรที่ประทับใจมาก ฉากที่ตรีอัปสรรู้สึกผิดในการกระทำของตัวเอง การแย่งชิงในสิ่งที่ไม่ใช่ของๆเราไม่ใช่ความสุขที่สุดในชีวิต มีแต่จะทำให้ทั้งตัวเองและคนรอบข้างเจ็บปวดไปกับการรกระทำของเธอ ฉากที่เธอยอมปล่อยวางความแค้นและทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ทำให้แอดมินปรบมือกับความคิดได้ของเธอในตอนนี้จริงๆค่ะ ส่วนตัวแอดมินชอบอ่านที่เป็นนิยายนะ รู้สึกเนื้อหามันสนุกมากกว่า ถ้าใครเป้นแฟนหนังสือของคุณไปรยา แนะนำนิยายเรื่องนี้นะคะ รับรองว่าสนุกไม่แพ้กันเลยค่ะ


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024