สุดฟ้าเหนือกาล (ไอศิยา)

สุดฟ้าเหนือกาล (ไอศิยา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165001700
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 220.00 บาท 55.00 บาท
ประหยัด: 165.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บ้านไม้หลังย่อมกลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้

ที่ เขียวชอุ่มร่มรื่น หน้าบ้านเป็นถนนสองเลนของหมู่บ้านชนบทซึ่งไม่ค่อย พลุกพล่าน หลังอาณาเขตชองบ้านเป็นสระบัวขนาดใหญ่ ชาวบ้านล้วนเป็น

คนกันเอง รู้จักกันดีแทบทุกครัวเรือน เป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกันทั้งนั้น

บริเวณระเบียงที่แสนร่มรื่น คนขี้เกียจกำลังนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้พับได้ ใบหน้ารูปไข่สวยคมซุกกับหมอนใบใหญ่อย่างแสนสบาย เรือนผมสีดำขลับ

ยาวสลวยผูกรวบทิ้งเคลียไหล่ข้างหนึ่ง คิ้วเรียวเฉียงขึ้นทำให้ใบหน้าดูดุอยู่ใน

ที แม้จะเป็นยามที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ก็ตาม ริมฝีปากที่เผยอน้อยๆ

ขมุบขมิบเมื่อบริเวณต้นชาสั่นสะเทือนพร้อมกับเสียงเพลงซึ่งเป็นที่มาของ สายโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้น

หญิงสาวล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือพลางสีตาปรือๆ มองเบอร์เรียกเข้า

ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วกดปุ่มรับสาย กรอกเสียงทักทายลงไป

“ว่าไงจ๊ะดาร์ลิง...”

“ลิงกับผีแกสิไอ้ปูน”

 

“อ้าว...” คนถูกให้พรแต่แรกรับสายร้องเสียงหลงพลางตีหน้ายุ่ง แต่

ไม่วายยิ้มใส่โทรศัพท์ให้คนที่ดันให้พรตั้งแต่เอ่ยปากทัก เพราะเดาได้รางๆ

แล้วว่าเหตุใดฝ่ายนั้นถึงจะกินหล่อนตั้งแต่คำแรก

“ไม่ต้องอ้าวเลย วันนี้ฉันไปหาแกที่บ้าน ถึงได้รู้ว่าแกเก็บกระเป่ากลับ ต่างจังหวัดไปแล้ว นี่ใจคอจะไม่บอกเพื่อนฝูงบ้างเลยหรือไงยะ”

“ก็มันลืม...” คนถูกต่อว่าตอบเสียงอ่อย พลางเหลือบมองนาพี,กา นกน้อยที่อยู่บนผนัง แล้วจึงกลับมาจดจ่ออยู่กับการสนทนาต่อ

“ลืม!” เจ้าของนาม...ภา หรือ...ภาวิตา ร้องเสียงหลงก่อนจะว่า “แล้วนี่ ถ้าฉันไม่โทร. หา แกจะบอกฉันเมื่อไหร่ยะว่ากลับมาอยู่บ้านเนี่ย”

“ก็บอกเมื่อแกโทร.หาไง”

คนถูกต่อว่ายังไม่วายอารมณ์ดี ตอบราวกับไม่อนาทรร้อนใจแม้แต่

นิดเดียว แม้หล่อนจะตกงานอยู่ก็ตาม

ปิ่นมนัสเป็นหนึ่งในพนักงานบริษัทแสนธรรมดาที่ถูกภาวะทาง

เศรษฐกิจเล่นงาน จนกระทั่งบริษัทแม่ที่ต่างประเทศมีมติให้ลดจำนวน

พนักงานลงครึ่งหนึ่งเพื่อคงสภาพคล่องทางการเงิน และลดภาระการเงินของ บริษัท เพื่อนร่วมงานของหล่อนหลายคนกระจัดกระจายไปสมัครงานที่บริษัท

อื่นๆ หลายคนเลือกกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่เพื่อรอโอกาส รอเวลาที่จะได้กาง

ปีกบินอีกครั้ง...เหมือนกับที่หล่อนกำลังทำอยู่

แม้ครอบครัวของหล่อนจะมีฐานะปานกลาง แต่ก็เป็นครอบครัวที่มี ความสุข อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มีคุณตาคุณยาย พ่อกับแม่ซึ่งลืบเชื้อสาย ช่างทองมาสามชั่วอายุคน จนเกือบจะพูดได้ว่าศิลปะแขนงนี้เปรียบเสมือนชื่อ เสมือนประวัติของตระกูลก็ไม่ปาน ทว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปทำให้อาชีพ ช่างทองลดน้อยลง ความประณีตหมดลง คงเหลือเพียงแรงงานเครื่องจักร

ในการขึ้นรูป ทำทองเท่านั้น

หล่อนไม่ได้ลืบทอดอาชีพช่างทอง และบิดามารดาเองก็ไม่บังคับให้ หล่อนเลือกอาชีพช่างทองต่อจากพวกท่าน ทั้งคู่ให้โอกาสหล่อนเลือกสิ่งที่อยากทำ

“ขอ'โทษทีนะภา,นะ อย่าโกรธกันเลยนะเพื่อนร้าก..

“ไม่ต้องมาออดอ้อนเลยยายบ๊อง คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงนะยะ ยังจะทำระรื่นอยู่ได้”

ภาวิตาว่าเสียงเครียด หล่อนเป็นเพื่อนสนิทกับปิ่นมนัสจนแทบจะรู้ไส้

รู้พุงกันดี มีอะไรก็พูดคุยกันตลอดเวลา แต่ครั้งนี้ป่นมนัสกลับตัดสินใจ

ทำอะไรโดยไม่ปรึกษาหารือหล่อน ซึ่งหล่อนก็เข้าใจดีว่าทำไม แต่ก็อดเคือง

ไม่ได้ที่เพื่อนรักหนีกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดแบบนี้

“ไม่ได้ระรื่นลักหน่อยนะ..คนเป็นเพื่อนพ้อ

“แล้วแกคิดจะทำยังไงต่อไป ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ก็บอกนะ”

“จะรับฉันเข้าทำงานเหรอคะคุณภาวิตา” ป่นมนัสถามทีเล่นทีจริง และ ได้รับพรกลับมาทันใจทีเดียว

“ไอ้บ้า” คนแว้ดใส่ร่ายยาวต่อ “ยังจะมาพูดเล่นอยู่ได้ ฉันเป็นห่วง

แกนะไอ้ปูน ถ้าฉันไม่โทรศัพท์คุยกับยายฝนก็คงไม่รู้หรอกว่าแกหนีกลับไป

อยู่บ้านนอก พอรู้ก็พยายามมองหาที่ทางให้ แต่ดูเหมือนแกจะยังไม่พร้อม

กลับเมืองกรุงนะเนี่ย”

“ก็คงจะอย่างนั้นแหละ”

“แล้วพ่อกับแม่ว่าไงบ้าง”

ภาวิตายังมีแก่ใจถามถึงความรู้สึกของพ่อแม่ของเพื่อนรัก ซึ่งหล่อน

นับถือเหมือนพ่อแม่ของหล่อน เช่นเดียวกับที่พวกท่านก็เห็นหล่อนเป็นลูกสาวคนที่สองเหมือนกัน

“ไม่ว่าอะไรหรอก แค่บอกว่า ‘เหนื่อยก็พักซะบ้าง’ แล้วค่อยกลับไปลุย ใหม่ แต่ถ้าลำบากนักก็อยู่บ้านเราต่อไปได้ แต่ฉันคงไม่อยู่เป็นภาระพวกท่าน

นานนักหรอก มันไม่ใช่สไตล์ฉันด้วยสิ”

“ก็ว่างั้นแหละ”

ป่นมนัสคุยกับภาวิตาเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะวางสาย หญิงสาววาง

โทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะเล็กพลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วจึงเดินไปยืนชิด ราวระเบียง หล่อนมองสระบัวที่อยู่ห่างจากตัวบ้านไปสองร้อยเมตร แล้วหวน คิดถึงอนาคตของตัวเองว่ามันจะยาวเหมือนสายบัวนี่หรือเปล่า

หล่อนมองไปเรื่อยขณะปลดปล่อยความคิด แต่แล้วก็ชะงักเมื่อมองไป

ยังบริเวณท่านํ้าเล็กๆ ในเขตคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งอยู่ฝังตรงข้ามของสระ

หล่อนจำได้ว่าบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่ ทว่ายามนี้กลับมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่

คนหรือผีวะนั่น!

ป่นมนัสคิดเล่นๆ แล้วตอบตัวเองได้ทันทีว่าฝ่ายนั้นคงเป็นคน เพราะ

คงไม่มีผีที่ไหนปรากฏตัวให้เห็นกลางวันแสกๆ แบบนี้หรอก

หล่อนมองผู้ชายคนนั้นนึ่งนานแล้วอดแปลกใจไม่ได้ แม้ระยะห่าง จะท่าให้เห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดนัก แต่การแต่งกายของเขากลับดึงดูด ความสนใจได้เป็นอย่างดี เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดตายืนอยู่ริมสระบัว และดูเหมือนมีรัศมีสีชมพูเรืองรองออกมาจากตัวเขา แต่ในรัศมีนั้นกลับแฝง ความรู้สึกแปลกประหลาดมาให้ด้วย

มันเป็นรัศมีแห่งความแกร่งกร้าวน่าหวาดหวั่น และขณะที่ป่นมนัส

สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่หาคำตอบไม่ได้นั้นเอง ความรู้สึกหนาวสะท้านก็แผ่ซ่าน ขึ้นมาจับจิตขณะสังเกตผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง แม้จะเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดนัก

แต่แน่ใจว่าเขากำลังมองตอบหล่อนอยู่อย่างแน่นอน

แต่...เอ๊ะ! ถ้าเขามองเราจริง แล้วเขามองทำไมกันล่ะ?

หล่อนยิ้มเฝื่อนๆ กับตัวเองก่อนจะถอยห่างจากระเบียงกลับเข้าไป

ในตัวบ้าน อย่างน้อยมันก็ท่าให้หล่อนรู้สึกปลอดภัยมากกว่ายืนล่งยิ้มกลับไปให้เขาละมั้ง

หญิงสาวเดินลงมาจากชั้นบน ผ่านห้องนึ่งเล่นไปยังห้องครัว แน่ใจว่า มารดาคงอยู่,ที่นั่น เนื่องจากกลิ่นหอมของอาหารลอยมา

“แม่ขา...วันนี้มีอะไรกินคะ หอมเชียว”

หญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนซึ่งกำลังง่วนอยู่หน้าเตาไฟเหลือบมอง คนถามเพียงนิด ก่อนจะค้อนบุตรสาว

“ลุกมาได้ก็ถามหาของกินเสยนะยายปูน”

“แหม ก็กลิ่นอาหารกิเมือแม่มันยั่วใจปูนนี่นา”

“ไม่ต้องมาประจบเลยแม่ตัวดี ไปช่วยแม่ถอนสายบัวเลยไป” คุณ

สารภีบอกแล้ววางมือจากการคั้นกะทิ หันไปปิดเตาไฟข้างๆ ซึ่งกำลังต้มนํ้ายา ขนมจีนเอาไว้

“ถอนสายบัว แบบ,นี้น่ะเหรอคะ”

ปีนมนัสถามพลางก้าวเท้าข้างหนึ่งไปข้างหลังเล็กน้อยพร้อมกับย่อตัวลง แล้วยืดตัวขึ้นรวดเร็วพลางทำหน้าเป็น มารดาถึงกับส่ายหน้า

“นั่นไม่เรียกถอนสายบัวแล้ว เขาเรียกชักกระตุก โรงเรียนไหนสอนมาน่ะยายปูน”

แม่ลูกสาวตัวดีกลับตอบมาทันใจนัก “เทศบาลวัดลิงขบค่ะ”

“ยังจะมาทะเล้นอีก”

คุณสารถีหยิบชามใบหนึ่ง ตักนํ้ายาขนมจีนในหม้อใส่ครึ่งหนึ่งก่อนจะ เอาชามวางลงบนจานรองแล้วส่งให้บุตรสาวที่เลิกทะเล้นได้เพราะความหอม

ของนํ้ายาขนมจีนนี้เอง

“ให้ปูนเหรอคะแม่” หล่อนถามขณะรับชามใส่น้ำยาขนมจีน

“ของเราน่ะตักเอาในหม้อ ส่วนนี่น่ะเอาไปให้ป้านกข้างบ้านไป๊ เสร็จ

แล้วไปหาแม่ที่ท่าน้ำ จะไดไปถอนสายบัวกัน แม่ฝากป้านกซื้อมะพร้าวขูดมาให้

แต่แกซื้อมาเสียเยอะ ทำน้ำยาขนมจีนแล้วก็ยังเหลืออยู่อีก แม่ก็เลยว่าจะทำ

ต้มกะทิสายบัวเสียหน่อย”

“ร้าว ลาภปาก”

“ไม่ลาภง่ายๆ หรอกยายปูน ไป ไป๊ เอาไปให้ป้านก แล้วไปหาแม่ที่ท่าน้ำ นะ”

คุณสารถีกำชับแล้วรีบไล่ ไม่อยากให้เสียเวลา อีกอย่างแม่ลูกสาวตัวดี

ทำท่าเคลิบเคลิ้มเมื่อได้กลิ่นนํ้ายาขนมจีน จึงกลัวว่าจะไม่ถึงมือเพื่อนบ้าน

“ค่ะแม่...”

ปีนมนัสรับค่าแล้วหมุนกายหมายเดินออกไปจากห้องครัว แต่กลับ

นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

“จริงลิคะแม่ คฤหาสน์หลังใหญ่ฝังตรงข้ามสระบัวมีคนมาอยู่แล้วเหรอคะ”

“คฤหาสน์หลังใหญ่...บ้านฝรั่งนั่นน่ะเหรอ”

คุณสารภีถามยํ้าให้แน่ใจ บ้านหลังนั้นคนแถวนี้รู้ว่าเป็นบ้านที่ชาว ต่างชาติคนหนึ่งซึ่งแต่งงานกับผู้หญิงไทยซื้อไว้หลายปีแล้ว แต่เจ้าของบ้าน กลับไปอยู่อเมริกา นานๆ ถึงจะมาลักครั้ง

“ใช่ค่ะ บ้านนั้นแหละค่ะ ปูนจำได้ว่าไม่มีคนอยู่นี่คะ”

“อ๋อ เมื่ออาทิตย์ก่อนตามั่นที่ดูแลบ้านให้ขับรถวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ เห็น

บอกว่าเพื่อนของเจ้าของบ้านจะมาอยู่ชั่วคราวน่ะ ปูนถามทำไมเหรอลูก”

“เปล่าหรอกค่ะ ปูนเห็นคนยืนอยู่ฝั่งนู้น ก็ไม่แน่ใจว่าเห็นคนหรือผีกันแน่”

“ดูพูดเข้า ผีอะไรจะโผล่มากลางวันแสกๆ” คุณสารภีติง “นั่นลิคะ ปูนก็เลยาถามแม่ไง”

ปีนมนัสเดินไปจัดการตามที่มารดาไหว้วาน หญิงสาวไม่รู้เลยว่าใคร คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ริมสระบัวที่หล่อนเห็นเมื่อครู่นั้น ยามนี้ยังยืนอยู่ที่เดิมและ

มองมายังบ้านของหล่อน ใบหน้าแกร่งกร้าวเปี่ยมด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป ...เป็นความรู้สึกที่มนุษย์อาจไม่เคยเข้าใจเสยก็เป็นได้ สระบัวอาจคั่นกลาง มหานทีอาจขวางกั้น แต่ไม่มีอะไรหยุดการมาของเขาได้ไม่มี!

บุรุษผู้แกร่งกร้าวยังยืนนึ่งอยู่เช่นเดิม ใบหน้าหล่อเหลาแฝงไว้ด้วย

ความงดงามเยี่ยงชายชาตรี เขามองบ้านหลังน้อยกับสระบัวเบื้องหน้าอยู่

ครู่ใหญ่ นัยน์ตาสีเข้มมีแววดุดัน ชั่วแวบหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงตวัดมอง

ด้านข้าง ฉับพลัน...ปรากฏเงารางๆ ของชายหนุ่มรูปงามและแจ่มชัดขึ้น ทุกขณะ

ผู้มาเยือนคุกเข่าลงอย่างนอบน้อมก่อนจะถาม

“ข้าพระองค์มิอาจก้าวก่ายสิ่งที่ทรงปรารถนา แต่พระองค์แน่พระทัย

แล้วหรือที่เดิมพันไว้เช่นนี้ หากมิเป็นไปอย่างที่มีพระประสงค์ ข้าพระองค์

เกรงว่า...”

“เจ้าคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใครหรือ”

บุรุษผู้ยืนนิ่งถาม เสียงทุ้มกังวานด้งเพราะความกรุ่นโกรธ แต่ใบหน้า

ของผู้พูดกลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทว่าแค1นั้นก็มากพอที่จะทำให้คนที่พูด

มากเกินควรจนสะกิดถูก ‘บาดแผล’ ต้องรีบขอโทษ

“ขอประทานอภัยด้วยขอรับ”

สิ้นเสียง ความรู้สึกอึดอัดพลันคลี่คลาย แรงกดดันมหาศาลถูก

ปลดเปลื้องลงด้วยคำพูดคำเดียวของเขา

“ไม่ต้องกังวลแทนเราหรอก เจ้าแค่ทำหน้าที่ไห้ดีที่สุดก็พอ”

บุรุษผู้แกร่งกร้าวตัดบทก่อนจะหันไปมองบ้านหลังน้อยอึกครั้ง การมา

ครั้งนี้ ‘หล่อน’ อาจไม่ชอบ แต่เขาจะไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ถึงเวลา

แล้วที่หล่อนสมควรต้องชดใช้!

 

หลังจากเอานํ้ายาขนมจีนไปให้เพื่อนบ้านแล้ว คนที่ไม่รู้ว่าเงามืดกำลัง

มาเยือนก็ไปหามารดาที่ท่าน้ำตามคำสั่งทันที อันที่จริงบริเวณนั้นเป็นเพียง สะพานไม้ยื่นออกไปในสระบัวเล็กน้อย แต่มีเรือพายลำเล็กผูกไว้กับเสาสะพาน มันจึงเป็นทำน้ำสำหรับหล่อน

หญิงสาวก้าวลงไปนิ่งในเรือ มารดายื่นไม้พายให้พร้อมกับบอกยิ้มๆ “ทำหน้าที่พายไปเลยเรา เดี๋ยวแม่ดึงสายบัวเอง”

“ไม่ให้ปูนดึงให้เหรอคะ”

“ดึงเป็นเหรอเราน่ะ” คนเป็นแม่ถามอย่างรู้ทัน

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

"ครานั้นเจ้าหลีกลี้หนีสัมผัสของเรา แต่ครานี้เจ้ากลับยอมให้เขาแตะต้อง" เทวบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ระลึกถึงเมื่อครั้งครองคู่กับนางอสุรีที่สร้างบาดแผลไว้แก่หัวใจเขา นางมิได้ทำให้เขาเจ็บเพียงฝ่ายเดียว นางเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน เจ็บปวดจากการอยากเอาชนะ จากความดื้อรั้น และจากเส้นทางที่นางเลือกเอง! เขาเฝ้าติดตามค้นหานาง หลากภพ หลายชาติ เฝ้าขัดขวางความรักครั้งใหม่ของนาง ทุกภพ ทุกชาติ เพื่อให้นางซึ่งหลงติดอยู่กับอิสระได้รู้ซึ้งว่า เขาคือผู้ที่กุมหัวใจของนางไว้ ทั้งหมดของนางเป็นของเขา มิใช่ของผู้ใดก้ได้! และเวลานี้ นางกำลังจะมีระกใหม่อีกครั้ง เขาจึงต้องกลับมาเพื่อตอกน้ำให้นางรู้ว่า ยังมีใครอีกครหนึ่งต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความเห็นแก่ตัวของนางและเขาคนนี้ไม่มีวันยอมให้นางสมหวังในความรัก ทุกชาติภพ!


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024