เชลยศักดิ์

เชลยศักดิ์

1 รีวิว  1 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789740647096
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 450.00 บาท 112.50 บาท
ประหยัด: 337.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

คืนนั้นฟ้าคะนอง พายใหญ่เพิ่งจะหมดฤทธิ์เอาเมื่อปลายยามต้น

คงเหลือแต่ฝนซึ่งตกพรำอยู่มิขาดสาย หมู่ม้ามิคนขี่บังคับทั้งแปดตัวกำลังควบจาก

ถนนดินแดงอันยาวเหยียด มุ่งตัดลงสู่ทางเกวียนลุ่มที่เต็มไปด้วยหลุมและหล่ม

ทั้งสองฟากมิดทึบด้วยต้นไม้ปกคลุม แม้ว่าผู้ชำนาญทางลัดจะมีในหมู่นั้น อย่างน้อยสามคนก็ตาม ยังมิอาจพาให้เลี่ยงหลีกกิ่งไม้หนามที่ระอยู่ข้างทางหรือ

สะดุดรอยเกวียน'ที่ขัง'น้ำโคลน'ไป'ได้ แต่ความล่าบากทั้งหลายและน้ำฟ้าที่เทลงมามิ หยุดหย่อน หาหยุดชะงักการเดินทางอันเร่งรีบได้ไม่

ชั่วขณะหนึ่งที่ชายหนุ่มผู้แปลกหน้าและแปลกถิ่นคนเดียวในฝูงฉุกคิดว่า

ระยะเดินทางอันบ้าบิ่นนี้จะรุดหน้าเรื่อยไปโดยไม่มีสิ้นสุดนั้น ม้าก็ถูกพาเลี้ยวตาม

กันลงสู่ทางใหม่ซึ่งมิดกว่า รกกว่า และลื่นกว่าทางที่ผ่านมาแล้ว

ฝีเท้าม้าย่างก้าวข้ากว่าเก่า เพราะทางลาดสูงชันขึ้นทุกที แลเห็น'จากสายฟ้า- แลบบางคราวว่า เบื้องหน้าที่กำลังอยู่นี้คือขุนเขาดำทะมึน มิแสงโคมประหลาด ดวงหนึ่งล่องสว่างวอมแวมเป็นสีแดงเรืองด้งจักษุดวงเดียวของปีศาจยักษ์ ชาย

แปลกหน้าพึงตระหนักว่า กำลังถูกให้ตามมาสู่ทิศของดวงไฟแดงเป็นที่หมาย

เสียงม้ายํ่าซํ้ารอยตะลุยดินแฉะและทรายเปียกขึ้นมาจนถึงที่ราบกว้าง

ก็ประจักษ์ว่า โคมแดงดวงนั้นแขวนไว้บนเสาสูง

 

ทันทีนั้น ม้านั้นได้หยุดกึกลงอย่างกะทันหัน ชายแปลกหน้าโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ปล่อยม้าตนชนม้าหน้า ครั้นเขารั้งเต็มแรงมันกลับชะงัก ถอยไปชนเอาม้าตัวหลังจนเกิดรวนกันชื้น

เงาดำเงาหนึ่งกระโดดลงจากม้าวิ่งไปช้างหน้าโดยเร็ว แล้วมือใหญ่หยาบก็

จับสายยูทองเหลืองอันเก่าครํ่ามหึมากระแทกซํ้าแรงๆแล้วจึงมีเสียงแปร่งประหลาด สำเนียงชาวเหนือร้องทักลงมาจากที่สูงเบื้องหน้า

“นั่นใครเหวย ! หมู่ ใครมาเยือนแต่ดึกดื่น?”

สายฟ้าแลบเบิกทางยาวบาดตาขึ้นแวบหนึ่งเงียบ ๆ ให้เห็นกำแพงกั้นมืดอยู่ ตรงหน้า

“ช้าเอง! ตาเหมย...เวรตัวอยู่เฝ้าประตูหรือ?”

ผู้ตอบอยู่บนหลังม้าชนชาว ซึ่งบัดนี้แปลงเป็นสีแดงด้วยสีถนน เสียงนั้น

กังวานมีอำนาจราชศักดิ์ ราวกับหลังจากตรำฝนขนาดใหญ่จนหนาวชืดชามาจนกึง กำแพงกั้นและแสงโคมเช้าแล้ว เขาก็ไม่อาจรอรับเม็ดฝนอีกลักอึดใจเดียว

“เปิดประตูเร็วซิ...ตาเฒ่าเหมย ช้าจะเป็นเหน็บตายอยู่รอมร่อแล้ว !”

เขาสั่งพลางหันเหียนม้า วนอยู่หน้าม้าทั้งหลายที่พากันนึ่งเงียบกริบ

มิช้าภายในกำแพงกั้นก็เกิดเสียงตะโกนโหวกเหวกชื้นหลายเสียง จับความ โต้ตอบคล้ายว่า “ท่านกลับมาแล้ว...”

“มัวชักช้าอยู่...”

“เปิดดาลประตูซิวะ...”

“เอา ! จุดไฟเร็วๆ”

เสียงด้งกร่างใหญ่ที่กลอนมหึมาถูกดึงออก แล้วประตูแผ่นดำสองบานก็เผย ห่างจากกันช้าๆ ให้เห็นภายในถนัด จากคบไฟสองดวงที่คุแลบเปลวอยู่เหมือนมือ

คนที่ถือชูขึ้น แล้วม้าทั้งหลายก็เดินขบวนตามกันเข้าไปในนั้น

หนุ่มต่างถิ่นผู้ตามเช้ามาด้วยด้งคนจักษุมืด จึงพบตัวเองยืนม้าอยู่บนลาน กว้าง เห็นม้าหัวหน้าสีชาว มีคนกุลีกุจอยืดสายบังเหียนอย่างนอบน้อม เสียงเขา

ถาม...และสั่งงาน...แล้วทุกๆ คนก็ลง'จากม้า ตามหัวหน้าชื้นบันไดหินสองขั้นจึงบรรลุถึงห้องใหญ่

ความอึดโรยเมื่อยล้า ชายแปลกหน้าจู่ ๆ ก็โผล่ก้าวเช้ามาในห้อง กระทบ

แสงสว่างจนแทบผงะหงาย แสงสว่างวอมแวม แต่ก็เจิดจ้าพอเห็นว่าในนั้นเป็นห้อง

ทึบสี่เหลี่ยมยาว คบเพลิงปักเป็นแถวอย่างปาเถื่อนทุกมุม อึดใจนั้นเขาใช้หลังมือ

อันสกปรกป้ายหน้าผาก ถอยไปกำบังเงามืดจากคนอื่น ทั้งมึนงงและนัยน์ตาลาย ท่ามกลางคนหมู่มาก แต่ปราศจากลุ้มเสียงอย่างมีวินัยนั่นเอง

เขาแว่วกังวานนํ้าเสียงหนึ่งที่เกิดอย่างแผ่วและอ่อนโยนภายในห้องหินทึบ

“โอ้ ! พี่ชาย พี่ช่างเดินทางมาในเวลาดึกดื่น”

เขาจึงเงยขึ้นสู้แสงไฟอีกครั้ง แล้วกลับงงงวยไปเพราะสิ่งที่ได้เห็นนั่นมิใช่ ภาพเขียน มีใช่ภาพลวงตา'ในฝืน เขากะพริบตาแล้วภาพนั้นก็ยังปรากฏแจ่มแจ้ง

สตรีสาวนางหนึ่งยืนอยู่บนขั้นบันได ซึ่งมีเบื้องหลังคือผนังสีเทาอันหยาบ

หนาและหนักทึบ เธอสวมเสื้อขาวบริสุทธิ์ที่ช่วงไหล่ระหงและทรวงอกอันงาม แต่

ใบหน้านั้นยิ่งงามตระการไปกว่า งามประหลาดลํ้า เมื่อต้องแสงไฟวอมแวมท่าให้

หน้านั้นเกือบเป็นสีแดง ทั้งสง่า ทั้งดุด้น เส้นผมสีดำยาวเป็นประกายคู่กับดวงตา

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความงามเท่าที่เห็นเกิดขึ้นจากสถานที่มืดและวังเวง

แต่ชายหัวหน้าที่เป็นเจ้าของม้าขาวก็ได้เป็นพยานว่านี่คือความจริง เพราะ

เขาก้าวขึ้นบันไดขั้นหนึ่ง เข้าไปสวมกอดร่างนั้นไว้ แล้วเสียงห้าวมีอำนาจที่เคย

ทำให้ชายแปลกหน้าแปลบเสียวด้วยชิงชังทุกคราวที่ได้ยืนก็ด้งมาว่า

“น้องหญิง พี่กลับมาถึงเมืองฝางบ่ายวันนี้ และต้องติดพายุรอจนหมด จึง

ได้รีบขี่ม้าตรำฝนมาถึงบ้าน”

“พี่ควรจะพักผ่อนอยู่บ้านจ้าวแสนไทยเสียสักคืน แล้วเดินทางมาต่อพรุ่งนี้

เช้า” เสียงหญิงนั้นกล่าวอย่างไพเราะ และพี่ชายของเธอได้หัวเราะด้งอย่างเจตนา สำแดงความมีชัย

“เพราะพี่มีสิ่งหนึ่งจะริบมากำนัลน้อง...อา ! เธอคงจะพอใจมากที่รู้ว่า สิ่งนั้น คือแขกผู้ทรงเกียรติ ที่พี่สัญญากับเธออย่างเต็มสติกำลังว่าจะเอาเขามาด้วย และพี่...ก็...ได้ตัวเขามา”

เสียงใสนั้นถึงจะแผ่วเบาและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นดุจยาพิษที่ถูกเทลงให้

ชายแปลกหน้าร้อนวาบในล่าคออย่างขมชื่นและแค้นเคือง

เธอเงยศีรษะขึ้น มองข้ามไหล่พี่ชายเพี่อแลมาในหมู่ชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่ม แต่

มิอาจเห็นดวงหน้าหนึ่งที่แปลกตาให้ถนัด

พี่ชายของเธอจึงคลายแขนที่โอบเธอไว้ หันมายืนคู่กัน

“ถูกแล้วน้อง พี่ได้เขามาอย่างโชคช่วยพี่ แม้ไม่ยากนักก็ตาม แต่รู้สึกว่า

การจะเกลี้ยกล่อมใจเขาให้ชอบบ้านเรานั้นยากยิ่ง พี่ขอมอบเขาเป็น...ง่า...ของ...กำนัลแด่น้อง”

 

ด้วยดวงหน้าอันยิ้มเยือกเย็นแกมหยาบนั้น เขาเบือนมาทางหมู่ชาย ซึ่ง

เกือบทั้งหมดเป็นบริวารของเขาเอง เขาพูดกับคนหนึ่งในนั้นโดยมิได้ระบุตัว

“เชิญแสดงตัวเป็นเกียรติแก่น้องสาวผมสักหน่อยซิครับ” ครั้นเงียบเสียง

เขา ทั่วห้องก็เงียบกริบ เขาจึงเอ่ยเย้ยหยามอีกครั้ง

“หวังว่าคุณคงไม่พยายามผิดสัญญาที่เราเพิ่งปฏิบัติต่อกันนับชั่วโมงแรกที่ เหยียบบ้านผมนะครับ”

นั่นแหละ ทั้งคู่จึงเห็นร่างใครคนหนึ่งก้าวออกมาจากหมู่ ร่างกายของเขา

ต้องแสงไฟทุกส่วนสัด เป็นชายหนุ่มที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนจริง แปลกทั้งดวงหน้า แปลกทั้งรูปลักษณะของเขา เสื้อผ้าขาวหนาถูกย้อมด้วยสีโคลนแดงและขาดวิ่น แต่

ก็มิอาจปิดกิริยาอันปราดเปรียวที่ยืนนึ่งขรึมอย่างราชสีห์ในที่ล้อม และดวงตาดำวาว

คมกริบที่เหลือบมามองขึ้นมาแวบเดียว บอกความชิงชังเคียดแค้นอย่างเพียงพอ

หญิงสาวเริ่มอึดอัดใจ แต่กิริยาเย่อหยิ่งเก็บไม่มิดเพียงไรของเขา กลับยิ่ง

เป็นที่ชื่นชมสมน้ำหน้าของพี่ชายเธอเพียงนั้น ผู้เป็นเจ้าสำนักยกไหล่หัวเราะก้องพลางว่า

“ขอแนะน้าสักหน่อย เพี่อเป็นเกียรติยิ่งแด่เธอนะน้องหญิง นี่เลฟเทนเนินต์* โยธิน อัศวรัช แห่งกองทัพอังกฤษผู้กล้าหาญ หน่วยแรกที่โดดร่มลง ณ ประเทศไทย”

เขาหยุดเพี่อระบายลมหายใจอย่างสาสม หรืออีกนัยหนึ่งเพี่อจับผิดจาก

สีหน้าของฝ่ายแพ้และกล่าวต่อ “หวังว่าคุณ...ผู้เป็นแขกสำคัญคงรู้จักใช้เวลาให้

หมดไปในบ้านนี้อย่างสุขสำราญ...และนี่แน่ะครับคุณ นี่หม่อมราชวงค้อลิสา

สันตติวงศ์ น้องสาวในไล้ของผม...เธอเป็นที่รักยิ่งของผม และหวังว่า...ง่า ไม่เคยมี

ใครจะทำตัวเป็นที่ชัดเคืองความน่ารักของเธอเลย”

ว่าแล้วก็โอบไหล่บอบบางของ ม.ร.ว. อสิสาไว้ด้วยความภาคภูมิ ประหนึ่ง

จะหยันหรือเป็นพยานคำที่พูดไปให้อีกฝ่ายหนึ่ง...แต่เขาก็ไม1อาจจับความรู้สึกจาก

ชายแปลกหน้า แน่ละ มิใช่ความตื่นตะลึงหรือหลงนิยมชมชื่นอย่างมาพบนางฟ้าที่

พลัดถิ่น แม้ว่าอสิสาจะงามโฉมยอดเยี่ยมเพียงไรก็ตาม เขากับเธอก็เพียงเห็น

ร้อยโทโยธินเงยหน้าอันขะมุกขะมอมขึ้นหน่อยหนึ่งเสียมิได้

พี่ชายของเธออุทานเยาะๆ “นี่หรือครับคือการยินดีที่รู้จักกับอสิสา? สุภาพ

น้อยไปหน่อยใช่ไหม ? สำหรับบุคคลเช่นนายทหารแห่งกองทัพอังกฤษ และมีหวัง

จะได้ดีต่อไปในเมืองไทย ถ้าไม่บังเอิญเป็นโชคร้ายที่คุณกับผมเกิดมาเป็นผู้สืบสกุลของแต่ละฝ่าย...”

คำเย้ยของเขาแล่นถูกจุดหมายรวดเร็ว ยังผลให้ชายหนุ่มแปลกหน้ายืดอก

ขึ้น ศีรษะตั้งตรงอย่างจองหอง ปากเผยอขึ้นเล็กน้อย และกล่าวเป็นประโยคแรกอย่างแค้น

“เชิญใช้ปากถากถางไปเถอะ ในเมื่อคุณมีชัยผมด้วยอุบาย แต่...คุณคงไม่

ลืมว่า ในทางตัวต่อตัวอย่างยุติธรรมที่เราสู้กัน...”

“ครับ แต่โปรดหยุดก่อน” เจ้าบ้านยกมือห้ามแลหันไปโบกมือให้บริวาร

ที่เดินทางมาด้วยกัน ซึ่งบัดนี้พากันยืนฟังคำโต้ตอบอย่างมีรู้ต้นสายปลายเหตุ

“พวกเธอไปพักเสียเถอะไป๊ หาอะไรเลี้ยงกันเสียในโรงครัว เหล้าปาก็ดูเหมือนมี

แล้วไม่ต้องมารับใช้ช้าอิกคืนนี้”

เขารอจนคนเหล่านั้นย่องกริบออกไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่คนใช้ชราอิกคน เดียว เขาหันมาหาโยธิน

“จริงของคุณ ผมยังไม่ลืมว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อนหลังจากเราเป็นปากเสียง กันบ้างแล้ว คุณโยนปืนให้ผม...คนละกระบอก สู้กันคนละนัด แต่...คุณใหม่และ

แม่นกว่าผม คุณให้ผมแผลหนึ่งที่โคนแขนซ้าย ทำให้การเดินทางล่าไปตั้งอาทิตย์

เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่หายดี” เขาคลำที่แขนพลางยิ้ม ๆ

“แต่ในที่สุด ว่าถึงเหตุผลคุณย่อมแพ้ผม มิฉะนั้นเราคงไม่ได้ตัวคุณมา

อย่างแขกผู้มีเกียรติ”

ชายแปลกหน้าก้าวออกมาอย่างลืมตัว...มือกำแน่นและวาจาเผ็ดร้อนก็ กำลังจะหลุดจากริมฝีปาก แต่อย่าง'ไรก็ดี มันกลับชะงักนึ่งอยู่เพียงนั้น พี่ชายของ

อสิสาแสยะยิ้มอีกครั้งเมื่อได้เห็น

“นั่นไง คุณเลือกทางที่ถูกคือนึ่งเสียเป็นดี ขืนพูดไปมีแต่เสียชื่อและอับอาย

ขายหน้า...คุณออกจะหนุ่มมาก เลือดร้อนมาก ผมห้ามให้คุณหยุด เพราะไม่อยาก

ให้ไอ้พวกไพร่มันรู้สถานะระหว่างเรา ให้มันพากันคิดว่าคุณเป็นแขกคนสำคัญของ

ผมดีกว่า...ฮะ ๆ...สำคัญจริง...เวลานี้ ทั้งคุณและผมต่างเหนื่อยมาควรจะพักผ่อน

 เสียที เตรียมตัวไว้ใช้ชีวิตต่อไป ณ บ้านม่อนผาหลวงนี่ เฮ้ย ! ตาเฒ่าเหมย...แกพา

คุณโยธินไปอยู่ที่ ‘ทับหน้า’ นะ จัดอาหารร้อนๆ และวิสกี้ของช้าให้ด้วย เขาจะเป็น

แขกของข้าไปอิกนานวัน ต้องดูอย่าให้อนาทรร้อนใจ”

เข็มนาฬิกาบอกเวลา ๒๓.๐๐ น. ตรง พันเอก หม่อมราชวงศ์ อติศักดิ์ สันต-

ติ'วงศ์นั่งอยู่ ณ โต๊ะอาหารอสิสาน้องสาวที่รัก ผู้ยังคงแต่งกายชุดเตรียมนอนและ

สวมเสื้อคลุมยาวหลวม ๆ สิขาวอย่างเมื่อลงไปรับพี่ชายเมื่อชั่วโมงก่อน มีดวงหน้า

งามละมุน นั่งเท้าศอกฟังเขาด้วยความสนใจ

เขาเป็นพี่ชายที่แก่กว่าอสิสาถึง ๑๖ ปี ดวงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันตาม

แบบสกุลสันตติวงศ์ แต่เขางามตามแบบชายชาติทหารสมกับตำแหน่งและวัย ๔๐

มีกิริยาผู้ดีจัดโดยเลือดเนื้อเชื้อไขและการอบรม...ไม1ผิดอะไรกับน้องสาว ทั้ง

เย่อหยิ่งไว้ตัว และประกายดวงตาอันคมวาวไม่แพ้กัน นอกจากของเขาลดลงบ้าง

ตามวัย ทั้งปรากฏเส้นผมสีเทาขึ้นมาไรๆ ที่เหนือขมับทั้งสอง

ขณะนั้น น้ำฝนคงตกเป็นฝอยไม่ขาด ทำให้ภายนอกอากาศชุ่มฉํ่าไปทั่ว แต่

อติศักดิ์กลับอบอุ่นทั้งกายใจ และเลือดที่แล่นร้อนผ่าวด้วยชัยชนะที่เขากำลังเล่าให้

น้องฟัง เบื้องหน้าเล่าก็เพียบพร้อมไปด้วยสรรพอาหารอันโอชะใหม่ๆ ร้อนๆ ซึ่ง

เร่งเตรียมกลางดึกเพี่อรับรองเขา

“เหตุฉะนั้น พี่จึงได้ตัวเขามาอย่างง่ายดาย” พันเอกอติศักดิ์กล่าวขึ้น

หลังจากที่ตักซุปร้อนอันหอมหวนอย่างหิวโหย หยุดชำเลืองดูคนใช้หน้าเซ่อที่คอย

รับงานอย่างมีระเบียบ

“เฮ้ย บุญมี ข้ากินซุปเสร็จเจ้ายกไปได้ กับข้าวทั้งหมดตั้งไว้ที่นี่ เจ้าเว้น

การปฏิบัติออกไปเสียก่อนจนกว่าข้าจะกดกริ่งเรียกของหวาน”

อลิสานิ่งไม่ปริปาก รู้สึกเอร็ดอร่อยแทนเขาที่เร่งตักซุปทีละข้อนอย่างหิว

แต่ไม่เว้นท่าอันงามมารยาทนั่งโต๊ะ...กิริยาเช่นนี้ช่างเหมือนเธอมาก...หรือบางทีอาจ เหมือนกันตลอดถึงนิสัยของราชตระกูลสันตติวงศ์ ซึ่งเหลือสืบมาเพียงสอง

เหมือนกัน แม้แต่ความสำนึกในเลือดตระกูลอันควรจักหยิ่งผยอง

“ต้องรางวัลเจ้ากู๋พรุ่งนี้ ฝีมือต้มซุปแทบว่าพี่ไม่เคยกินซุปหัวหอมที่ไหนอร่อยเท่านี้”

ถึงกระนั้น เขาก็ยังผลักจานซุปนั้นไป หนานบุญมีรีบจัดอาหารทุกจานเรียง

ไว้ให้ความสะดวกแก่นายแล้วก็รีบออกจากห้องไป อติศักดิ์เกินอาหารหนักพลาง

หันมาหาจุดสำคัญที่ซ่านอย่างมีชัยอยู่ในใจเขา

“การแก้แค้นที่คอยมาระยะสองชั่วคน บทเวลาจะมาถึงเข้า มันก็ช่างง่าย แสนง่าย และพี่เองมิใช่หรือที่ควรภูมิใจนักที่เป็นคนรับเกียรติแก้แค้นหนี้ ระหว่าง

ตระกูลอัศวรัชกับสันตติวงศ์”

 

ว่าแล้วเขาก็ยิ้มอย่างงาม...งามกว่าความมีชัยที่เขาได้รับยศและกระบี่ นายทหารเมื่อครั้งกระโน้น อสิสาถามเขาด้วยเสียงกลมกล่อมยิ่งตามเคยของเธอว่า

“แต่แน่หรือคะ ว่าเราจะกุมเอาบุคคลธรรมดาคนหนึ่งให้อยู่ใต้เรา โดยมีต้อง

คุมขังอย่างทาสสมัยโบราณ มันจะมีประโยชน์อะไร?”

“น้องรักของพี่ ประโยชน์แห่งการโบยตีหัวใจอันเย่อหยิ่งของตระกูล

อัศวรัชให้เจ็บชํ้าทรมาน ไม่น่าดูยิ่งไปกว่าใช้แล้โบยตีต่อร่างกายดอกหรือ และการ

ให้สัตย์สาบานของผู้ดีก็ย่อมมั่นคงกว่าสัตย์ของคนไพร่”

อลิสานึ่งเงียบไปอีก ระหว่างความไม่แน่ใจว่าการชนะเป็นข้อควรยินดี...กับ การจะได้รับความยุ่งยากรำคาญจากเชลยใหม่ ไหนจะมากกว่ากัน เธอก็ถูกกระทุ้ง

ด้วยนํ้าเสียงที่มั่นใจและเบิกบานของพี่ชาย

“อสิสา เธอคงจะจำได้ถึงถ้อยคำประโยคเดียวที่ท่านพ่อตรัสยํ้าซํ้าซากใส่ใจ

เราตั้งแต่จำความได้ มันเป็นถ้อยคำที่ผ่านชีวิตท่านไปแล้วทั้งชีวิต โดยมีได้ลงมือ

แต่อย่างใดเพราะโอกาสยังไม่อำนวย น่องจำถึงประโยคเหล่านั้นได้ไหม?”

“ได้ค่ะ ท่านพ่อมักจะตรัสทุกครั้งที่น่องกลับจากโรงเรียนมาพักอยู่บ้าน

หนูโตแล้ว อย่าลืมว่าหนี้ที่เรายังชำระให้กับตระกูลสันตติวงส์ยังไม่เสร็จสิ้น

ตราบใดถ้าเราได้ท่าความพินาศฉิบหาย หรือแก้แค้นต่อผู้สืบสายอัศวรัชสำเร็จ

ตราบนั้นนั่นแหละเราจึงจะพันคำสาปแช่ง...”

“ครั้นเดี๋ยวนี้...” อติศักดิ์ระบายลมหายใจ จบการรับประทานลง ดวงตา

เป็นประกายสู้แสงไพ่เจ้าพายุที่สว่างอยู่ มองอสิสาด้วยการคาดคั้นจริงจัง ราวกับว่า

เธอเป็นชายคนหนึ่งแทนที่จะเป็นน่องสาวของเขา “วาระนั้นมาถึงแล้ว เราทั้งสองจะ

พันคำสาปแช่ง เราต้องช่วยกันชำระโลหิตมลทินแห่งความอัปยศให้สิ้นสุดไป...

อลิสาเอ๋ย พี่เป็นผู้คิดกลอุบายน่าตัวเชลยมาวางไว้แทบเท้าน้อย ๆ ของเธอ...และ

เธอจะเป็นผู้ใช้เท้านั้นบดขยี้ให้มันประลัยไป”

“พี่ชาย” หญิงสาวผุดลุกขึ้นยิน หน้าซีดไปฉับพลัน แต่ครั้นแล้วกลับได้สติ

สำนึกถึงส่วนหนึ่งแห่งการมีส่วนรับรู้

“เป็นเวลานานลักเท่าไร และอย่างไรบ้างคะ?”

“หนึ่งปีจ้ะ การที่จะกดหัวคนปราดเปรื่องมามิให้โงขึ้นนั้น ถึงหนึ่งปี...๑๒

เดือนเทียวนะน่อง มันไม่นานพอจะชอกชํ้าแทบกระอักเป็นเลือดดอกรึ อสิสา น้อง

มีสิทธิ้จะท่าทุกอย่างต่อไอ้หมาผู้ดีตลอดเวลานี้ทีเดียว”

                 (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เรื่องราวเริ่มขึ้นจากความแค้นที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ นั่นคือสิ่งที่ "พันเอก ม.ร.ว.อติศักดิ์" และ "ม.ร.ว.อลิสา สันตติวงศ์" เฝ้ารอคอยวันที่จะชำระสะสาง แล้วโอกาสนั้นก็มาถึง เมื่อ "ร้อยโทโยธิน อัศวรัช" อดีตเสรีไทย ถูกจับกุมตัวมาเป็นเชลยในม่อนผาหลวง เขาต้องก้มหน้ารับการดูหมิ่นศักดิ์ศรีจากสองพี่น้องราชนิกุล เพื่อปลดเปลื้องหนี้แค้นที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อ โดยปณิธานของ "สันตติวงศ์" คือ การทำลายล้าง "อัศวรัช" แต่ยิ่งนานวัน ความพึงใจต่อร้อยโทหนุ่มที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจก็ทำให้ ม.ร.ว.อลิสา ลังเลว่าเธอควรจะชำระแค้นให้ถึงที่สุดหรือจะวางศักดิ์ศรีและความหยิ่ง ลดความทรนงของตนลงเพื่อทำตามหัวใจตนดี..!? แล้วความเป็น "เชลยศักดิ์" ของ "โยธิน" จะจบลงที่ใด? ในเมื่อเกียรติยศของเขาถูกลบหลู่จนไม่เหลือชิ้นดี และความรักที่รออยู่ข้างหน้าก็มีอุปสรรคหนักหนาขวางกั้น ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจ จะมีวันได้เผยออกมา พร้อมลบเลือนความแค้นไปจากใจได้หรือไม่? ขอเชิญคุณผู้อ่านมาร่วมติดตามพร้อมกันในนิยาย "เชลยศักดิ์" เล่มนี้

เขียนโดย "ดวงดาว"

878 หน้า


รีวิว (1)

เขียนรีวิว

ฐาปนัส | 1 รีวิว
12/07/2014

ผู้แต่ง ดวงดาว สำนักพิมพ์ พิมพ์คำ จำนวนหน้า 880 หน้า ผมไม่ได้ดูละครเรื่องนี้มาก่อน แต่รู้ว่าช่อง 3 สร้าง รู้ว่าพระนางใครเล่น ซึ่งผมเคยเปิดผ่าน ๆ และพบว่ามันไม่น่าสนใจเลยไม่ได้ติดตามครับ จนมาเจอหนังสือและคำวิจารณ์ตามเว็บต่าง ๆ ว่า สมัยก่อนที่ช่อง 7 ทำ ทำได้ประทับใจและเหมือนหนังสือมาก ผมเองก็ได้หนังสือมาอย่างเบลอ ๆ งง ๆ เลยลองอ่านดูครับ แต่จากความยาวของหนังสือ 880 หน้าก็ทำให้หนังสือดูน่าเบื่อไปเช่นกัน เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีระหว่าง 2 ตระกูล คือตระกูลอัศวรัช และตระกูลสันตติวงศ์ครับ โดยเริ่มจากหม่อมเจ้าไตรศักดิ์ สันตติวงศ์ ถูกพระยาสวามิภักดิ์ราช (ต้นตระกูลอัศวรัช) ใส่ร้ายว่าเป็นกบฏจนทำให้ต้องหนีมาอยู่ที่ม่อนผาหลวง ซึ่งหม่อมเจ้าไตรศักดิ์มีลูก 2 คน เป็นชายและหญิง ท่านจึงได้ปลูกฝังความแค้นให้ลูกทั้ง 2 คนคือ คุณชายอติศักดิ์ และคุณหญิงอลิสา ให้แก้แค้นตระกูลอัศวรัชให้ท่าน จนกระทั่งร้อยโท โยธิน อัศวรัช วีรบุรุษเสรีไทยผู้มีอนาคตรุ่งเรือง ลูกชายของพระยาสวามิภักดิ์ราชกลับมาจากการรบสงครามโลกครั้งที่ 2 และตัวพระยาเองก็ทำธุรกิจการค้าขาดทุน ทำให้โยธินต้องกลายไปเป็นทาสของสันตติวงศ์อยู่ที่ม่อนผาหลวง 1 ปี ซึ่งโยธินมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ก็จำเป็นจะต้องปกปิดว่าไปทำการค้าที่เมืองเหนือ คือผมมองว่าหนังสือนี้อาจจะเหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่าผม เพราะหนังสือจะเน้นหนักไปที่บรรยายภาพพจน์มากกว่า สำหรับผมมันเลยดูเวิ่นเว้อไม่จำเป็น และหนังสือก็จะเน้นหนักไปที่เรื่องของศักดิ์ศรีของพระเอก ที่อะไรจะค้ำคอมากขนาดนั้น ผมไม่เคยเห็นใครหยิ่งขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย กว่าพระเอกกับนางเอกจะเข้าใจกันได้ก็หน้าที่ 600 กว่าแล้วครับจาก 880 หน้า ส่วนเรื่องคู่หมั้นของพระเอกที่แปรพักตร์จากพระเอกไปหาเจ้าขวัญฟ้า เจ้าหนุ่มเมืองเหนือผู้หล่อเหลา ผมว่าเรื่องนี้มันธรรมชาติ เพราะภิรมยาพบว่าโยธินไม่เหลือศักดิ์ศรีอีกต่อไป (ศักดิ์ศรีอีกแล้ว) จึงได้ไปหาเจ้าหนุ่มผู้อาจจะทำให้อนาคตเธอไปได้สวยกว่า และอาจจะทำให้เธอก้าวขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงกว่า และแน่นอนครับ ตัวร้ายต้องมีจุดจบ ดังนั้นทั้งภิรมยาและเจ้าขวัญฟ้าก็มีจุดจบที่อาจจะทำให้คนอ่านรู้สึกสะใจไม่น้อย สรุปว่า ผมอาจจะเด็กไปที่จะมานั่งจินตนาการภาพพจน์ เลยมองว่าหนังสือเรื่องนี้น่าเบื่อครับ จะหาฉากสวีทของพระเอกนางเอกยังยากเลย แม้หลัง ๆ จะรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างกับการมีฉากให้ตื่นเต้น แต่ผู้แต่งก็ยังอดที่จะยัดเยียดความโศกเศร้ามาให้กับเด็กในอุปการะของคุณหญิงอลิสา ผู้นับถือวีรบุรุษเสรีไทยอย่างโยธินเสียไม่ได้ ผมเลยคิดว่านี่มันคือหนังสือดราม่าแบบผู้ใหญ่โดยแท้จริงครับ แล้วยิ่งตอนจบ จบแบบให้คิดอีก ผมปวดหัวขนาดหนักเลย

สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024