เชลยศักดิ์
ประหยัด: 337.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
คืนนั้นฟ้าคะนอง พายใหญ่เพิ่งจะหมดฤทธิ์เอาเมื่อปลายยามต้น
คงเหลือแต่ฝนซึ่งตกพรำอยู่มิขาดสาย หมู่ม้ามิคนขี่บังคับทั้งแปดตัวกำลังควบจาก
ถนนดินแดงอันยาวเหยียด มุ่งตัดลงสู่ทางเกวียนลุ่มที่เต็มไปด้วยหลุมและหล่ม
ทั้งสองฟากมิดทึบด้วยต้นไม้ปกคลุม แม้ว่าผู้ชำนาญทางลัดจะมีในหมู่นั้น อย่างน้อยสามคนก็ตาม ยังมิอาจพาให้เลี่ยงหลีกกิ่งไม้หนามที่ระอยู่ข้างทางหรือ
สะดุดรอยเกวียน'ที่ขัง'น้ำโคลน'ไป'ได้ แต่ความล่าบากทั้งหลายและน้ำฟ้าที่เทลงมามิ หยุดหย่อน หาหยุดชะงักการเดินทางอันเร่งรีบได้ไม่
ชั่วขณะหนึ่งที่ชายหนุ่มผู้แปลกหน้าและแปลกถิ่นคนเดียวในฝูงฉุกคิดว่า
ระยะเดินทางอันบ้าบิ่นนี้จะรุดหน้าเรื่อยไปโดยไม่มีสิ้นสุดนั้น ม้าก็ถูกพาเลี้ยวตาม
กันลงสู่ทางใหม่ซึ่งมิดกว่า รกกว่า และลื่นกว่าทางที่ผ่านมาแล้ว
ฝีเท้าม้าย่างก้าวข้ากว่าเก่า เพราะทางลาดสูงชันขึ้นทุกที แลเห็น'จากสายฟ้า- แลบบางคราวว่า เบื้องหน้าที่กำลังอยู่นี้คือขุนเขาดำทะมึน มิแสงโคมประหลาด ดวงหนึ่งล่องสว่างวอมแวมเป็นสีแดงเรืองด้งจักษุดวงเดียวของปีศาจยักษ์ ชาย
แปลกหน้าพึงตระหนักว่า กำลังถูกให้ตามมาสู่ทิศของดวงไฟแดงเป็นที่หมาย
เสียงม้ายํ่าซํ้ารอยตะลุยดินแฉะและทรายเปียกขึ้นมาจนถึงที่ราบกว้าง
ก็ประจักษ์ว่า โคมแดงดวงนั้นแขวนไว้บนเสาสูง
ทันทีนั้น ม้านั้นได้หยุดกึกลงอย่างกะทันหัน ชายแปลกหน้าโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ปล่อยม้าตนชนม้าหน้า ครั้นเขารั้งเต็มแรงมันกลับชะงัก ถอยไปชนเอาม้าตัวหลังจนเกิดรวนกันชื้น
เงาดำเงาหนึ่งกระโดดลงจากม้าวิ่งไปช้างหน้าโดยเร็ว แล้วมือใหญ่หยาบก็
จับสายยูทองเหลืองอันเก่าครํ่ามหึมากระแทกซํ้าแรงๆแล้วจึงมีเสียงแปร่งประหลาด สำเนียงชาวเหนือร้องทักลงมาจากที่สูงเบื้องหน้า
“นั่นใครเหวย ! หมู่ ใครมาเยือนแต่ดึกดื่น?”
สายฟ้าแลบเบิกทางยาวบาดตาขึ้นแวบหนึ่งเงียบ ๆ ให้เห็นกำแพงกั้นมืดอยู่ ตรงหน้า
“ช้าเอง! ตาเหมย...เวรตัวอยู่เฝ้าประตูหรือ?”
ผู้ตอบอยู่บนหลังม้าชนชาว ซึ่งบัดนี้แปลงเป็นสีแดงด้วยสีถนน เสียงนั้น
กังวานมีอำนาจราชศักดิ์ ราวกับหลังจากตรำฝนขนาดใหญ่จนหนาวชืดชามาจนกึง กำแพงกั้นและแสงโคมเช้าแล้ว เขาก็ไม่อาจรอรับเม็ดฝนอีกลักอึดใจเดียว
“เปิดประตูเร็วซิ...ตาเฒ่าเหมย ช้าจะเป็นเหน็บตายอยู่รอมร่อแล้ว !”
เขาสั่งพลางหันเหียนม้า วนอยู่หน้าม้าทั้งหลายที่พากันนึ่งเงียบกริบ
มิช้าภายในกำแพงกั้นก็เกิดเสียงตะโกนโหวกเหวกชื้นหลายเสียง จับความ โต้ตอบคล้ายว่า “ท่านกลับมาแล้ว...”
“มัวชักช้าอยู่...”
“เปิดดาลประตูซิวะ...”
“เอา ! จุดไฟเร็วๆ”
เสียงด้งกร่างใหญ่ที่กลอนมหึมาถูกดึงออก แล้วประตูแผ่นดำสองบานก็เผย ห่างจากกันช้าๆ ให้เห็นภายในถนัด จากคบไฟสองดวงที่คุแลบเปลวอยู่เหมือนมือ
คนที่ถือชูขึ้น แล้วม้าทั้งหลายก็เดินขบวนตามกันเข้าไปในนั้น
หนุ่มต่างถิ่นผู้ตามเช้ามาด้วยด้งคนจักษุมืด จึงพบตัวเองยืนม้าอยู่บนลาน กว้าง เห็นม้าหัวหน้าสีชาว มีคนกุลีกุจอยืดสายบังเหียนอย่างนอบน้อม เสียงเขา
ถาม...และสั่งงาน...แล้วทุกๆ คนก็ลง'จากม้า ตามหัวหน้าชื้นบันไดหินสองขั้นจึงบรรลุถึงห้องใหญ่
ความอึดโรยเมื่อยล้า ชายแปลกหน้าจู่ ๆ ก็โผล่ก้าวเช้ามาในห้อง กระทบ
แสงสว่างจนแทบผงะหงาย แสงสว่างวอมแวม แต่ก็เจิดจ้าพอเห็นว่าในนั้นเป็นห้อง
ทึบสี่เหลี่ยมยาว คบเพลิงปักเป็นแถวอย่างปาเถื่อนทุกมุม อึดใจนั้นเขาใช้หลังมือ
อันสกปรกป้ายหน้าผาก ถอยไปกำบังเงามืดจากคนอื่น ทั้งมึนงงและนัยน์ตาลาย ท่ามกลางคนหมู่มาก แต่ปราศจากลุ้มเสียงอย่างมีวินัยนั่นเอง
เขาแว่วกังวานนํ้าเสียงหนึ่งที่เกิดอย่างแผ่วและอ่อนโยนภายในห้องหินทึบ
“โอ้ ! พี่ชาย พี่ช่างเดินทางมาในเวลาดึกดื่น”
เขาจึงเงยขึ้นสู้แสงไฟอีกครั้ง แล้วกลับงงงวยไปเพราะสิ่งที่ได้เห็นนั่นมิใช่ ภาพเขียน มีใช่ภาพลวงตา'ในฝืน เขากะพริบตาแล้วภาพนั้นก็ยังปรากฏแจ่มแจ้ง
สตรีสาวนางหนึ่งยืนอยู่บนขั้นบันได ซึ่งมีเบื้องหลังคือผนังสีเทาอันหยาบ
หนาและหนักทึบ เธอสวมเสื้อขาวบริสุทธิ์ที่ช่วงไหล่ระหงและทรวงอกอันงาม แต่
ใบหน้านั้นยิ่งงามตระการไปกว่า งามประหลาดลํ้า เมื่อต้องแสงไฟวอมแวมท่าให้
หน้านั้นเกือบเป็นสีแดง ทั้งสง่า ทั้งดุด้น เส้นผมสีดำยาวเป็นประกายคู่กับดวงตา
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความงามเท่าที่เห็นเกิดขึ้นจากสถานที่มืดและวังเวง
แต่ชายหัวหน้าที่เป็นเจ้าของม้าขาวก็ได้เป็นพยานว่านี่คือความจริง เพราะ
เขาก้าวขึ้นบันไดขั้นหนึ่ง เข้าไปสวมกอดร่างนั้นไว้ แล้วเสียงห้าวมีอำนาจที่เคย
ทำให้ชายแปลกหน้าแปลบเสียวด้วยชิงชังทุกคราวที่ได้ยืนก็ด้งมาว่า
“น้องหญิง พี่กลับมาถึงเมืองฝางบ่ายวันนี้ และต้องติดพายุรอจนหมด จึง
ได้รีบขี่ม้าตรำฝนมาถึงบ้าน”
“พี่ควรจะพักผ่อนอยู่บ้านจ้าวแสนไทยเสียสักคืน แล้วเดินทางมาต่อพรุ่งนี้
เช้า” เสียงหญิงนั้นกล่าวอย่างไพเราะ และพี่ชายของเธอได้หัวเราะด้งอย่างเจตนา สำแดงความมีชัย
“เพราะพี่มีสิ่งหนึ่งจะริบมากำนัลน้อง...อา ! เธอคงจะพอใจมากที่รู้ว่า สิ่งนั้น คือแขกผู้ทรงเกียรติ ที่พี่สัญญากับเธออย่างเต็มสติกำลังว่าจะเอาเขามาด้วย และพี่...ก็...ได้ตัวเขามา”
เสียงใสนั้นถึงจะแผ่วเบาและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นดุจยาพิษที่ถูกเทลงให้
ชายแปลกหน้าร้อนวาบในล่าคออย่างขมชื่นและแค้นเคือง
เธอเงยศีรษะขึ้น มองข้ามไหล่พี่ชายเพี่อแลมาในหมู่ชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่ม แต่
มิอาจเห็นดวงหน้าหนึ่งที่แปลกตาให้ถนัด
พี่ชายของเธอจึงคลายแขนที่โอบเธอไว้ หันมายืนคู่กัน
“ถูกแล้วน้อง พี่ได้เขามาอย่างโชคช่วยพี่ แม้ไม่ยากนักก็ตาม แต่รู้สึกว่า
การจะเกลี้ยกล่อมใจเขาให้ชอบบ้านเรานั้นยากยิ่ง พี่ขอมอบเขาเป็น...ง่า...ของ...กำนัลแด่น้อง”
ด้วยดวงหน้าอันยิ้มเยือกเย็นแกมหยาบนั้น เขาเบือนมาทางหมู่ชาย ซึ่ง
เกือบทั้งหมดเป็นบริวารของเขาเอง เขาพูดกับคนหนึ่งในนั้นโดยมิได้ระบุตัว
“เชิญแสดงตัวเป็นเกียรติแก่น้องสาวผมสักหน่อยซิครับ” ครั้นเงียบเสียง
เขา ทั่วห้องก็เงียบกริบ เขาจึงเอ่ยเย้ยหยามอีกครั้ง
“หวังว่าคุณคงไม่พยายามผิดสัญญาที่เราเพิ่งปฏิบัติต่อกันนับชั่วโมงแรกที่ เหยียบบ้านผมนะครับ”
นั่นแหละ ทั้งคู่จึงเห็นร่างใครคนหนึ่งก้าวออกมาจากหมู่ ร่างกายของเขา
ต้องแสงไฟทุกส่วนสัด เป็นชายหนุ่มที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนจริง แปลกทั้งดวงหน้า แปลกทั้งรูปลักษณะของเขา เสื้อผ้าขาวหนาถูกย้อมด้วยสีโคลนแดงและขาดวิ่น แต่
ก็มิอาจปิดกิริยาอันปราดเปรียวที่ยืนนึ่งขรึมอย่างราชสีห์ในที่ล้อม และดวงตาดำวาว
คมกริบที่เหลือบมามองขึ้นมาแวบเดียว บอกความชิงชังเคียดแค้นอย่างเพียงพอ
หญิงสาวเริ่มอึดอัดใจ แต่กิริยาเย่อหยิ่งเก็บไม่มิดเพียงไรของเขา กลับยิ่ง
เป็นที่ชื่นชมสมน้ำหน้าของพี่ชายเธอเพียงนั้น ผู้เป็นเจ้าสำนักยกไหล่หัวเราะก้องพลางว่า
“ขอแนะน้าสักหน่อย เพี่อเป็นเกียรติยิ่งแด่เธอนะน้องหญิง นี่เลฟเทนเนินต์* โยธิน อัศวรัช แห่งกองทัพอังกฤษผู้กล้าหาญ หน่วยแรกที่โดดร่มลง ณ ประเทศไทย”
เขาหยุดเพี่อระบายลมหายใจอย่างสาสม หรืออีกนัยหนึ่งเพี่อจับผิดจาก
สีหน้าของฝ่ายแพ้และกล่าวต่อ “หวังว่าคุณ...ผู้เป็นแขกสำคัญคงรู้จักใช้เวลาให้
หมดไปในบ้านนี้อย่างสุขสำราญ...และนี่แน่ะครับคุณ นี่หม่อมราชวงค้อลิสา
สันตติวงศ์ น้องสาวในไล้ของผม...เธอเป็นที่รักยิ่งของผม และหวังว่า...ง่า ไม่เคยมี
ใครจะทำตัวเป็นที่ชัดเคืองความน่ารักของเธอเลย”
ว่าแล้วก็โอบไหล่บอบบางของ ม.ร.ว. อสิสาไว้ด้วยความภาคภูมิ ประหนึ่ง
จะหยันหรือเป็นพยานคำที่พูดไปให้อีกฝ่ายหนึ่ง...แต่เขาก็ไม1อาจจับความรู้สึกจาก
ชายแปลกหน้า แน่ละ มิใช่ความตื่นตะลึงหรือหลงนิยมชมชื่นอย่างมาพบนางฟ้าที่
พลัดถิ่น แม้ว่าอสิสาจะงามโฉมยอดเยี่ยมเพียงไรก็ตาม เขากับเธอก็เพียงเห็น
ร้อยโทโยธินเงยหน้าอันขะมุกขะมอมขึ้นหน่อยหนึ่งเสียมิได้
พี่ชายของเธออุทานเยาะๆ “นี่หรือครับคือการยินดีที่รู้จักกับอสิสา? สุภาพ
น้อยไปหน่อยใช่ไหม ? สำหรับบุคคลเช่นนายทหารแห่งกองทัพอังกฤษ และมีหวัง
จะได้ดีต่อไปในเมืองไทย ถ้าไม่บังเอิญเป็นโชคร้ายที่คุณกับผมเกิดมาเป็นผู้สืบสกุลของแต่ละฝ่าย...”
คำเย้ยของเขาแล่นถูกจุดหมายรวดเร็ว ยังผลให้ชายหนุ่มแปลกหน้ายืดอก
ขึ้น ศีรษะตั้งตรงอย่างจองหอง ปากเผยอขึ้นเล็กน้อย และกล่าวเป็นประโยคแรกอย่างแค้น
“เชิญใช้ปากถากถางไปเถอะ ในเมื่อคุณมีชัยผมด้วยอุบาย แต่...คุณคงไม่
ลืมว่า ในทางตัวต่อตัวอย่างยุติธรรมที่เราสู้กัน...”
“ครับ แต่โปรดหยุดก่อน” เจ้าบ้านยกมือห้ามแลหันไปโบกมือให้บริวาร
ที่เดินทางมาด้วยกัน ซึ่งบัดนี้พากันยืนฟังคำโต้ตอบอย่างมีรู้ต้นสายปลายเหตุ
“พวกเธอไปพักเสียเถอะไป๊ หาอะไรเลี้ยงกันเสียในโรงครัว เหล้าปาก็ดูเหมือนมี
แล้วไม่ต้องมารับใช้ช้าอิกคืนนี้”
เขารอจนคนเหล่านั้นย่องกริบออกไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่คนใช้ชราอิกคน เดียว เขาหันมาหาโยธิน
“จริงของคุณ ผมยังไม่ลืมว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อนหลังจากเราเป็นปากเสียง กันบ้างแล้ว คุณโยนปืนให้ผม...คนละกระบอก สู้กันคนละนัด แต่...คุณใหม่และ
แม่นกว่าผม คุณให้ผมแผลหนึ่งที่โคนแขนซ้าย ทำให้การเดินทางล่าไปตั้งอาทิตย์
เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่หายดี” เขาคลำที่แขนพลางยิ้ม ๆ
“แต่ในที่สุด ว่าถึงเหตุผลคุณย่อมแพ้ผม มิฉะนั้นเราคงไม่ได้ตัวคุณมา
อย่างแขกผู้มีเกียรติ”
ชายแปลกหน้าก้าวออกมาอย่างลืมตัว...มือกำแน่นและวาจาเผ็ดร้อนก็ กำลังจะหลุดจากริมฝีปาก แต่อย่าง'ไรก็ดี มันกลับชะงักนึ่งอยู่เพียงนั้น พี่ชายของ
อสิสาแสยะยิ้มอีกครั้งเมื่อได้เห็น
“นั่นไง คุณเลือกทางที่ถูกคือนึ่งเสียเป็นดี ขืนพูดไปมีแต่เสียชื่อและอับอาย
ขายหน้า...คุณออกจะหนุ่มมาก เลือดร้อนมาก ผมห้ามให้คุณหยุด เพราะไม่อยาก
ให้ไอ้พวกไพร่มันรู้สถานะระหว่างเรา ให้มันพากันคิดว่าคุณเป็นแขกคนสำคัญของ
ผมดีกว่า...ฮะ ๆ...สำคัญจริง...เวลานี้ ทั้งคุณและผมต่างเหนื่อยมาควรจะพักผ่อน
เสียที เตรียมตัวไว้ใช้ชีวิตต่อไป ณ บ้านม่อนผาหลวงนี่ เฮ้ย ! ตาเฒ่าเหมย...แกพา
คุณโยธินไปอยู่ที่ ‘ทับหน้า’ นะ จัดอาหารร้อนๆ และวิสกี้ของช้าให้ด้วย เขาจะเป็น
แขกของข้าไปอิกนานวัน ต้องดูอย่าให้อนาทรร้อนใจ”
เข็มนาฬิกาบอกเวลา ๒๓.๐๐ น. ตรง พันเอก หม่อมราชวงศ์ อติศักดิ์ สันต-
ติ'วงศ์นั่งอยู่ ณ โต๊ะอาหารอสิสาน้องสาวที่รัก ผู้ยังคงแต่งกายชุดเตรียมนอนและ
สวมเสื้อคลุมยาวหลวม ๆ สิขาวอย่างเมื่อลงไปรับพี่ชายเมื่อชั่วโมงก่อน มีดวงหน้า
งามละมุน นั่งเท้าศอกฟังเขาด้วยความสนใจ
เขาเป็นพี่ชายที่แก่กว่าอสิสาถึง ๑๖ ปี ดวงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันตาม
แบบสกุลสันตติวงศ์ แต่เขางามตามแบบชายชาติทหารสมกับตำแหน่งและวัย ๔๐
มีกิริยาผู้ดีจัดโดยเลือดเนื้อเชื้อไขและการอบรม...ไม1ผิดอะไรกับน้องสาว ทั้ง
เย่อหยิ่งไว้ตัว และประกายดวงตาอันคมวาวไม่แพ้กัน นอกจากของเขาลดลงบ้าง
ตามวัย ทั้งปรากฏเส้นผมสีเทาขึ้นมาไรๆ ที่เหนือขมับทั้งสอง
ขณะนั้น น้ำฝนคงตกเป็นฝอยไม่ขาด ทำให้ภายนอกอากาศชุ่มฉํ่าไปทั่ว แต่
อติศักดิ์กลับอบอุ่นทั้งกายใจ และเลือดที่แล่นร้อนผ่าวด้วยชัยชนะที่เขากำลังเล่าให้
น้องฟัง เบื้องหน้าเล่าก็เพียบพร้อมไปด้วยสรรพอาหารอันโอชะใหม่ๆ ร้อนๆ ซึ่ง
เร่งเตรียมกลางดึกเพี่อรับรองเขา
“เหตุฉะนั้น พี่จึงได้ตัวเขามาอย่างง่ายดาย” พันเอกอติศักดิ์กล่าวขึ้น
หลังจากที่ตักซุปร้อนอันหอมหวนอย่างหิวโหย หยุดชำเลืองดูคนใช้หน้าเซ่อที่คอย
รับงานอย่างมีระเบียบ
“เฮ้ย บุญมี ข้ากินซุปเสร็จเจ้ายกไปได้ กับข้าวทั้งหมดตั้งไว้ที่นี่ เจ้าเว้น
การปฏิบัติออกไปเสียก่อนจนกว่าข้าจะกดกริ่งเรียกของหวาน”
อลิสานิ่งไม่ปริปาก รู้สึกเอร็ดอร่อยแทนเขาที่เร่งตักซุปทีละข้อนอย่างหิว
แต่ไม่เว้นท่าอันงามมารยาทนั่งโต๊ะ...กิริยาเช่นนี้ช่างเหมือนเธอมาก...หรือบางทีอาจ เหมือนกันตลอดถึงนิสัยของราชตระกูลสันตติวงศ์ ซึ่งเหลือสืบมาเพียงสอง
เหมือนกัน แม้แต่ความสำนึกในเลือดตระกูลอันควรจักหยิ่งผยอง
“ต้องรางวัลเจ้ากู๋พรุ่งนี้ ฝีมือต้มซุปแทบว่าพี่ไม่เคยกินซุปหัวหอมที่ไหนอร่อยเท่านี้”
ถึงกระนั้น เขาก็ยังผลักจานซุปนั้นไป หนานบุญมีรีบจัดอาหารทุกจานเรียง
ไว้ให้ความสะดวกแก่นายแล้วก็รีบออกจากห้องไป อติศักดิ์เกินอาหารหนักพลาง
หันมาหาจุดสำคัญที่ซ่านอย่างมีชัยอยู่ในใจเขา
“การแก้แค้นที่คอยมาระยะสองชั่วคน บทเวลาจะมาถึงเข้า มันก็ช่างง่าย แสนง่าย และพี่เองมิใช่หรือที่ควรภูมิใจนักที่เป็นคนรับเกียรติแก้แค้นหนี้ ระหว่าง
ตระกูลอัศวรัชกับสันตติวงศ์”
ว่าแล้วเขาก็ยิ้มอย่างงาม...งามกว่าความมีชัยที่เขาได้รับยศและกระบี่ นายทหารเมื่อครั้งกระโน้น อสิสาถามเขาด้วยเสียงกลมกล่อมยิ่งตามเคยของเธอว่า
“แต่แน่หรือคะ ว่าเราจะกุมเอาบุคคลธรรมดาคนหนึ่งให้อยู่ใต้เรา โดยมีต้อง
คุมขังอย่างทาสสมัยโบราณ มันจะมีประโยชน์อะไร?”
“น้องรักของพี่ ประโยชน์แห่งการโบยตีหัวใจอันเย่อหยิ่งของตระกูล
อัศวรัชให้เจ็บชํ้าทรมาน ไม่น่าดูยิ่งไปกว่าใช้แล้โบยตีต่อร่างกายดอกหรือ และการ
ให้สัตย์สาบานของผู้ดีก็ย่อมมั่นคงกว่าสัตย์ของคนไพร่”
อลิสานึ่งเงียบไปอีก ระหว่างความไม่แน่ใจว่าการชนะเป็นข้อควรยินดี...กับ การจะได้รับความยุ่งยากรำคาญจากเชลยใหม่ ไหนจะมากกว่ากัน เธอก็ถูกกระทุ้ง
ด้วยนํ้าเสียงที่มั่นใจและเบิกบานของพี่ชาย
“อสิสา เธอคงจะจำได้ถึงถ้อยคำประโยคเดียวที่ท่านพ่อตรัสยํ้าซํ้าซากใส่ใจ
เราตั้งแต่จำความได้ มันเป็นถ้อยคำที่ผ่านชีวิตท่านไปแล้วทั้งชีวิต โดยมีได้ลงมือ
แต่อย่างใดเพราะโอกาสยังไม่อำนวย น่องจำถึงประโยคเหล่านั้นได้ไหม?”
“ได้ค่ะ ท่านพ่อมักจะตรัสทุกครั้งที่น่องกลับจากโรงเรียนมาพักอยู่บ้าน
หนูโตแล้ว อย่าลืมว่าหนี้ที่เรายังชำระให้กับตระกูลสันตติวงส์ยังไม่เสร็จสิ้น
ตราบใดถ้าเราได้ท่าความพินาศฉิบหาย หรือแก้แค้นต่อผู้สืบสายอัศวรัชสำเร็จ
ตราบนั้นนั่นแหละเราจึงจะพันคำสาปแช่ง...”
“ครั้นเดี๋ยวนี้...” อติศักดิ์ระบายลมหายใจ จบการรับประทานลง ดวงตา
เป็นประกายสู้แสงไพ่เจ้าพายุที่สว่างอยู่ มองอสิสาด้วยการคาดคั้นจริงจัง ราวกับว่า
เธอเป็นชายคนหนึ่งแทนที่จะเป็นน่องสาวของเขา “วาระนั้นมาถึงแล้ว เราทั้งสองจะ
พันคำสาปแช่ง เราต้องช่วยกันชำระโลหิตมลทินแห่งความอัปยศให้สิ้นสุดไป...
อลิสาเอ๋ย พี่เป็นผู้คิดกลอุบายน่าตัวเชลยมาวางไว้แทบเท้าน้อย ๆ ของเธอ...และ
เธอจะเป็นผู้ใช้เท้านั้นบดขยี้ให้มันประลัยไป”
“พี่ชาย” หญิงสาวผุดลุกขึ้นยิน หน้าซีดไปฉับพลัน แต่ครั้นแล้วกลับได้สติ
สำนึกถึงส่วนหนึ่งแห่งการมีส่วนรับรู้
“เป็นเวลานานลักเท่าไร และอย่างไรบ้างคะ?”
“หนึ่งปีจ้ะ การที่จะกดหัวคนปราดเปรื่องมามิให้โงขึ้นนั้น ถึงหนึ่งปี...๑๒
เดือนเทียวนะน่อง มันไม่นานพอจะชอกชํ้าแทบกระอักเป็นเลือดดอกรึ อสิสา น้อง
มีสิทธิ้จะท่าทุกอย่างต่อไอ้หมาผู้ดีตลอดเวลานี้ทีเดียว”
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
เขียนโดย "ดวงดาว"
878 หน้า
รีวิว (1)
12/07/2014
ผู้แต่ง ดวงดาว สำนักพิมพ์ พิมพ์คำ จำนวนหน้า 880 หน้า ผมไม่ได้ดูละครเรื่องนี้มาก่อน แต่รู้ว่าช่อง 3 สร้าง รู้ว่าพระนางใครเล่น ซึ่งผมเคยเปิดผ่าน ๆ และพบว่ามันไม่น่าสนใจเลยไม่ได้ติดตามครับ จนมาเจอหนังสือและคำวิจารณ์ตามเว็บต่าง ๆ ว่า สมัยก่อนที่ช่อง 7 ทำ ทำได้ประทับใจและเหมือนหนังสือมาก ผมเองก็ได้หนังสือมาอย่างเบลอ ๆ งง ๆ เลยลองอ่านดูครับ แต่จากความยาวของหนังสือ 880 หน้าก็ทำให้หนังสือดูน่าเบื่อไปเช่นกัน เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีระหว่าง 2 ตระกูล คือตระกูลอัศวรัช และตระกูลสันตติวงศ์ครับ โดยเริ่มจากหม่อมเจ้าไตรศักดิ์ สันตติวงศ์ ถูกพระยาสวามิภักดิ์ราช (ต้นตระกูลอัศวรัช) ใส่ร้ายว่าเป็นกบฏจนทำให้ต้องหนีมาอยู่ที่ม่อนผาหลวง ซึ่งหม่อมเจ้าไตรศักดิ์มีลูก 2 คน เป็นชายและหญิง ท่านจึงได้ปลูกฝังความแค้นให้ลูกทั้ง 2 คนคือ คุณชายอติศักดิ์ และคุณหญิงอลิสา ให้แก้แค้นตระกูลอัศวรัชให้ท่าน จนกระทั่งร้อยโท โยธิน อัศวรัช วีรบุรุษเสรีไทยผู้มีอนาคตรุ่งเรือง ลูกชายของพระยาสวามิภักดิ์ราชกลับมาจากการรบสงครามโลกครั้งที่ 2 และตัวพระยาเองก็ทำธุรกิจการค้าขาดทุน ทำให้โยธินต้องกลายไปเป็นทาสของสันตติวงศ์อยู่ที่ม่อนผาหลวง 1 ปี ซึ่งโยธินมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ก็จำเป็นจะต้องปกปิดว่าไปทำการค้าที่เมืองเหนือ คือผมมองว่าหนังสือนี้อาจจะเหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่าผม เพราะหนังสือจะเน้นหนักไปที่บรรยายภาพพจน์มากกว่า สำหรับผมมันเลยดูเวิ่นเว้อไม่จำเป็น และหนังสือก็จะเน้นหนักไปที่เรื่องของศักดิ์ศรีของพระเอก ที่อะไรจะค้ำคอมากขนาดนั้น ผมไม่เคยเห็นใครหยิ่งขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย กว่าพระเอกกับนางเอกจะเข้าใจกันได้ก็หน้าที่ 600 กว่าแล้วครับจาก 880 หน้า ส่วนเรื่องคู่หมั้นของพระเอกที่แปรพักตร์จากพระเอกไปหาเจ้าขวัญฟ้า เจ้าหนุ่มเมืองเหนือผู้หล่อเหลา ผมว่าเรื่องนี้มันธรรมชาติ เพราะภิรมยาพบว่าโยธินไม่เหลือศักดิ์ศรีอีกต่อไป (ศักดิ์ศรีอีกแล้ว) จึงได้ไปหาเจ้าหนุ่มผู้อาจจะทำให้อนาคตเธอไปได้สวยกว่า และอาจจะทำให้เธอก้าวขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงกว่า และแน่นอนครับ ตัวร้ายต้องมีจุดจบ ดังนั้นทั้งภิรมยาและเจ้าขวัญฟ้าก็มีจุดจบที่อาจจะทำให้คนอ่านรู้สึกสะใจไม่น้อย สรุปว่า ผมอาจจะเด็กไปที่จะมานั่งจินตนาการภาพพจน์ เลยมองว่าหนังสือเรื่องนี้น่าเบื่อครับ จะหาฉากสวีทของพระเอกนางเอกยังยากเลย แม้หลัง ๆ จะรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างกับการมีฉากให้ตื่นเต้น แต่ผู้แต่งก็ยังอดที่จะยัดเยียดความโศกเศร้ามาให้กับเด็กในอุปการะของคุณหญิงอลิสา ผู้นับถือวีรบุรุษเสรีไทยอย่างโยธินเสียไม่ได้ ผมเลยคิดว่านี่มันคือหนังสือดราม่าแบบผู้ใหญ่โดยแท้จริงครับ แล้วยิ่งตอนจบ จบแบบให้คิดอีก ผมปวดหัวขนาดหนักเลย