ม่านมนตรา

ม่านมนตรา

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165002028
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

รถโฟร์วีลสีดำเงาปลาบซึ่งผ่านความสมบุกสมบันของเส้นทาง

มหาโหดจนถูกฉาบทับด้วยสีแดงบางๆ ของฝุ่นลูกรัง แล่นช้าๆ มาบนถนน

สายเล็กขรุขระ คนขับดูเหมือนไม่แน่ใจในเส้นทางที่กำลังจะมุ่งไป เห็นได้จาก

การที่รถจะจอดทุกครั้งเมื่อพบเจอชาวบ้านในระหว่างทางอันแสนทุรกันดารนี้

รถวิ่งต่อไปได้ไม่นานก็ต้องจอดลงอีกครั้งเมื่อเผชิญเช้ากับทางแยก

เบื้องหน้า ทางหนึ่งทอดยาวคดเคี้ยวหายลับไปตามเนินสูง อีกทางนั้นเล็ก

พอกัน แต่กลับวกลงต่ำ

“เอาไงพี่พี” พศุทธิ์ถามอย่างหัวเสีย เหลียวมองเส้นทางทั้งซ้ายและ

ขวา ตามความรู้สึกของเขาแล้วมันไม่น่าไปทั้งสองเส้นทางนั่นแหละ สิ่งที่ ปรารถนาอย่างที่สุดก็คือการหันหลังกลับ แต่ก็รู้ดีว่านั่นคงไม่ใช่ทางซึ่ง

คนอื่นๆ รวมทั้งพงษ์ระพีจะเลือก

“ซ้ายหรือขวาดี!” ถามอีกครั้งพลางหันมองเสี้ยวหน้าคมคายหล่อเหลา โดยเฉพาะจมูกที่โด่งงามอย่างโดดเด่นของญาติผู้พี่

คิ้วเข้มของคนถูกถามขมวดเช้าหากันด้วยอาการลังเล ครุ่นคิด ขณะที่ สองแขนยังเกาะนิ่งอยู่ที่พวงมาลัยรถอย่างตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี

...ซ้ายหรือขวา.. .ขึ้นหรือลง...

พศุทธิ์ทิ้งตัวลงกับเบาะอย่างอ่อนใจเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย

ที่ยังคงลังเลหนัก เขารู้ดีว่าญาติผู้พี่'ไม่อยากตัดสินเจผิด วิ่งไปบนเส้นทางที่

ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะนำไปยังจุดหมายที่ต้องการหรือไม่ ทั้งไม่รู้ด้วยว่าถนน

สายเล็กๆ ที่แสนคดเคี้ยวนั้นจะทอดยาวไปไกลลักเท่าใด

เขาคิดกับตนเองอย่างขำๆ ว่า โชคดีเท่าไรแล้วที่พวกเขาไม่ได้วิ่งรถอยู่

ในเขตชายแดน มิฉะนั้นปานนี้อาจพลัดหลงเช้าไปในเขตประเทศเพื่อนบ้าน

อย่างไม่รู้ตัวเสียตั้งแต่ชั่วโมงที่ผ่านมาก็เป็นได้

คนด้านหลังเริ่มออกเสียงแสดงความคิดเห็นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่

ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะต่างก็ทุ่มเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

โดยยึดสมมุติฐานของตัวเป็นที่ตั้ง

“วัดเขา! ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าวัดเขา ก็ต้องวิ่งขึ้นที่สูงสิ!” พิมพ์ดารา

ดาราสาวคนด้ง ผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในรถ งัดเหตุผลเช้าโต้ซึ่งฟ้งดูเข้าที

ดังนั้นเส้นทางที่น่าจะมุ่งไปย่อมเป็นเส้นทางด้านขวาที่ตัดขึ้นเนิน

“แต่จุดที่เรากำลังอยู่นี่ก็เป็นเขาสูงอยู่แล้วนะ” ราเมษเถียง ทั้งยังมี

เหตุผลน่าเชื่อถือยิ่งกว่า “เราใช้เส้นทางขึ้นเขานับตั้งแต่มุ่งตรงมาตามเส้นทาง

ไปผานางคอย จนเลี้ยวขึ้นเส้นทางเล็กๆ นี่มาเป็น'ชั่วโมง อย่างนี้เธอยังหลงงม

ว่าเราไม่ได้วิ่งอยู่บนภูเขาได้ไง แล้วเธอลองมองสูงขึ้นไปสิ ถ้ามันมี'วัดตั้งอยู่

จริงเราก็ต้องพอมองเห็นบ้างแล้ว ฉันว่าเส้นทางที่วกลงทางซ้ายนี่ต่างหาก

เรามองจากตรงนี้จึงไม่เห็นวัดที่ว่า”

“ก็เขาบอกว่าเป็นวัดเขาถํ้า!” พิมพ์ดารากระแทกเสียงอย่างไม่ยอมแพ้ ตอนนี้หล่อนปักใจแน่วแน่ว่าจะต้องเป็นเส้นทางด้านขวามือ “ฉันเช้าใจว่า

มันต้องอยู่ในถํ้า ด้งนั้นเส้นทางนี้...”

“วัดที่ไหนจะเช้าไปอยู่ในถ้ำ! ราเมษร้อง “ใครกันจะบากบั่นไปสร้างวัด ในถํ้า ถ้าเป็นแค่สำนักสงฆ์ก็ไปอย่าง”

 

“นายเมษ!”

คนเถียงไม่ทันแทบร้องกรี๊ด ขณะที่คนที่เครียดอยู่แล้วยิ่งเครียดหนัก

พงษ์ระพีบอกตัวเองว่าเขาน่าจะเชื่อพศุทธิ์ตั้งแต่แรกว่าไม่ควรตามใจให้

พิมพ์ดาราติดตามมาด้วย ดังนั้นเมื่อเห็นญาติผู้น้องมองมาอย่างขำๆ ด้วย

หางตา จึงจำเป็นต้องรีบตัดบทเสีย

“ฉันเชื่อนายเมษ” พงษ์ระพีพูดเสียงด้ง น้ำเสียงขุ่นจัดพอที่จะทำให้ สถานการณ์การโต้เถียงที่เริ่มวิกฤติยุติลงได้ ก่อนเปลี่ยนเกียร์ เลี้ยวรถไปตาม เส้นทางด้านซ้ายมือในทันที

“พวกชาวบ้านที่นี่ก็เหลือเกิน!” คนแพ้กระแทกเสียงบ่นให้ได้ยินถนัด

กันทั้งคัน “จะบอกทางก็บอกให้มันละเอียดหน่อยไม่ได้ ไอ้พวกโง่นี่มันบอก

อย่างขอไปทีแท้ๆ แล้วก็ปล่อยให้พวกเราต้องมามัวเสียเวลางมหาทางกันอยู่อย่างนี้”

พศุทธิ์กลั้นหัวเราะอย่างยากเย็นพลางเหลือบตามองคนนั่งข้างๆ อีกที แล้วก็อดนึกค่อนขอดด้วยความอิจฉาเล็กๆ ไม่ได้ว่า...คนอะไร แม้กระทั่ง

อารมณ์เสียก็ยังดูหล่อ!

แต่แล้วจู่ๆ พงษ์ระพีก็เหยียบเบรกพรืด พศุทธิ์ซึ่งไม่ทัน'ระวังตัวถลา

เข้าไปอัดกับคอนโซล ดีที่หัวของเขายังไม่โหม่งกระจกหน้า ส่วนสองคนด้าน

หลังพุ่งเข้ากระแทกพนักเบาะหน้าเต็มรัก ล่งเสียงร้องดังคับรถกับการเบรก

แบบไม่ปรานีปราศัยของคนขับ ก่อนที่สายตาทุกคู่จะเพ่งมองไปนอกกระจก ที่ตลบไปด้วยฝุ่นสีแดงของลูกรัง

“โว้ย!”

เสียงร้องนั้นไม่ได้มาจากภายในรถ แต่มันก็ด้งพอจะแทรกผ่านเข้ามา

ให้คนในรถได้ยินอย่างถนัดถนี่ และเมื่อฝุ่นจางลงทุกคนจึงได้เห็นว่าทาง

ข้างหน้าเป็นโค้งหักศอก และรถที่จอดนั่งอยู่เบื้องหน้าก็เป็นรถจักรยานซึ่ง

บังเอิญโผล่มาพบกันพอดีแบบที่ต่างฝ่ายต่างไม่ทันได้ระวังตัว นั่นคือเหตุผล

ที่ทำให้พงษ์ระพีเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน ขณะนี้คู่กรณีของเขากำลังปัดฝุ่น ออกจากเนื้อตัวและหัวหูที่ดูยุ่งรุงรัง ใบหน้าที่น่าจะมอมอยู่ก่อนหน้านี้

แล้วบูดบึ้งอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งเพิ่มความไม่น่าดูยิ่งขึ้นไปอีก

“ไอ้โง่!” พิมพ์ดาราปากไวกว่าความคิดเสมอ หล่อนร้องด่าทันทีที่เห็น

ว่าอะไรเป็นอะไร “ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ อย่างนื้น่าชนเสียให้ตายไปเลย”

“หุบปากเถอะ” พงษ์ระพีหันมาปรามเสียงเครียด “แล้วรออยู่ในรถ”

ชายหนุ่มเปิดประตูรถออกไปเพียงลำพัง เขาก้มลงเก็บหมวกเยินๆ

ที่หล่นอยู่กับพื้นถนนขึ้นมาฟาดกับชาตนเองสองสามทีจนแน่ใจว่าฝุ่นที่เกาะ

อยู่หลุดออกไปมากแล้ว จึงล่งให้เจ้าชองที่ยังยืนหน้างํ้าอยู่กับจักรยานคันเก่า

ซึ่งนับว่าโชคดีอย่างเหลือเชื่อที่เบรกยังใช้การได้ มิเช่นนั้นคงกลิ้งฝ่นตลบ

ลงไปช้างทางโน่นแล้ว

“เป็นอะไรหรือเปล่า ขอโทษทีนะ ฉันไม่ทันเห็น”

เพราะคำพูดดีเกินความคาดหมาย ใบหน้าบูดบึ้งของคนที่เตรียมรับมือ

ว่าต้องมีเรื่องกันแน่ๆ จึงค่อยคลายลง มือมอมๆ รับหมวกจากมือชาวสะอาด

ที่มีนิ้วเรียวยาวโดยไม่มีคำขอบใจ

พงษ์ระพีส่ายหน้า แต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ดูจะคลายความเครียดเคร่งลง เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ใส่ใจอะไรมากไปกว่าเตรียมขึ้นจักรยานเพื่อถีบจากไป

พศุทธเปิดประตูรถก้าวตามลงมา เขากวาดสายตามองร่างมอมแมม

เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างขำๆ

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แต่ทีหลังก็ระวังหน่อยล่ะไอ้หนู”

ไอ้หนู’ อ้าปากค้าง จ้องมองผู้ที่ก้าวมาใหม่เขม็ง เป็นลักษณะการมอง

ที่ทำให้คนถูกมองไม่พอใจได้ง่ายๆ เพราะไล่จากปลายเท้าจดศีรษะ

“พูดได้หรือเปล่าเนี่ย...เป็นใบ้หรือเปล่า” พศุทธิ์ร้องออกมาอย่างหงุดหงิด

“จะมัวเสียเวลาอะไรกันอยู่” พิมพ์ดาราเลื่อนกระจกลงแล้วยื่นหน้า ออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้ “ถามไปเลยสิพุศศุทธิ์ ทางไปวัดเขาถํ้าน่ะ ทางนี้หรือเปล่า”

อือ... ก็ตั้งใจจะลงมาถามนี่แหละ ไอ้หนู พวกเรากำลังจะไปธุระที่วัด เขาถํ้าเสือร้อง ไปทางนี้ถูกหรือเปล่า แกพอจะรู้บ้างไหมว่าวัดตั้งอยู่ทางไหน แล้วต้องไปอีกไกลแค่ไหน”

ดวงตาคมสวยขัดกับรูปลักษณ์กึ่งหญิงกึ่งชายจนแยกไม่ออก เหลือบมองมาอย่างครุ่นคิด

“ว่าไงล่ะ!” พิมพ์ดารายังคงกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด ขณะนี้หล่อน

ยืดตัวคร่อมร่างราเมษที่นี่งอยู่ทางด้านซ้ายเพื่อโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างรถ ร่วมเจรจาด้วย แต่ก็ไม่ถนัดนักเพราะมีราเมษดิ้นขลุกขลักอยู่

“พูดภาษาไทยได้หรือเปล่า ถามทำไมไม่ตอบ พิงไม่รู้เรื่องหรือว่าพูด

ไม่ได้ ผู้คนแถวนี้ทำไมถึงได้พิลึกๆ กันอย่างนี้นะ”

ตาคู่สวยนั้นตวัดมองมาที่พิมพ์ดาราอีกครั้ง แววดุแข็งกร้าวอย่าง ประหลาดทำเอาหล่อนเย็นวาบตลอดทั้งกาย ความรู้สึกหวาดหวั่นแปลกๆ

ทำให้ดาราสาวค่อยๆ หดตัวกลับเข้าไปในรถ ปากช่างเจรจาสงบลงได้โดยพลัน

พศุทธิ้ไม่สนใจ เขาถามซํ้าอีกครั้ง คราวนี้คนถูกถามทำเพียงเมือไป ข้างหน้า แล้วขี่รถสวนทางจากไปโดยไม่ยอมพูดจาอะไรด้วยอีก สองหนุ่ม

ก้าวขึ้นรถอย่างขำๆ สรุปเอาว่า

“สงสัยจะเป็นใบ้จริงๆ ใครพูดด้วยก็ไม่พูดตอบสักคำ”

“เป็นใบ้ทำไมร้องโว้ยได้” พงษ์ระพีสงสัย

“นั่นซีนะ” พศุทธิ์หัวเราะอีก เขามองจากกระจกมองข้างขณะรถเริ่ม เคลื่อนตัว จักรยานเก่าๆ หายลับไปจากสายตาแล้ว ทั้งเพียงฝุ่นพิงตามหลัง

ได้แต่บ่นอย่างไม่จริงจังนักว่า “นี่มันจะถีบรถไปจนถึงไหนกัน อย่าบอกนะว่า

จะเข้าไปในเมือง ถนนหนทางแบบนี้ ตะวันจะตกดินซะก่อนที่จะไปถึงหรือเปล่าล่ะนั่น”

จริงอย่างที่ชายหนุ่มว่า ด้วยถนนลุกรังที่รถแล่นอยฺนูนเป็นถนนแคบๆ

ทั้งยังคดเคี้ยว ขึ้นสูงลงต่ำไปตลอดทางตามลักษณะภูมิประเทศ พงษ์ระพี

บังคับรถด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น เพราะโอกาสที่จะมองเห็นรถขับสวนมา

 

แต่ไกลๆ นั้นแทบไม่มีเลย บางช่วงก็เป็นโค้งหักศอกไม่ต่างจากที่ผ่านมา

โขยกเขยกกันมาจนเกือบบ่ายคล้อย พวกเขาทั้งสี่จึงบรรลุถึงที่หมาย

ซึ่งน่าจะเป็นสุดปลายถนนที่ตัดตรงเข้ามาที่นี่โดยเฉพาะ เพราะมองไม่เห็น เส้นทางที่รถจะวิ่งไค้ต่อไปจากนั้น นอกจากอีกเส้นที่เริ่มตันจากวัดและพุ่งผ่านไปทางขวามือ

ตรงทางเข้ามีป้ายทำจากไม้ทั้งแผ่นซึ่งเก่าจนแตกลายงา ตัวหนังสือ

รางเลือนเขียนบอกชื่อ ‘วัดเขาถํ้าเสือร้อง’ ป้ายเก่าคร่ำโย้เย้หน่อยๆ นั้นบ่งบอก อายุของมันอันอาจรวมถึงอายุของวัดแห่งนี้ด้วย ทั้งยังบอกถึงการปราศจาก

การใส่ใจดูแล พงษ์ระพีขับรถผ่านต้นพิกุลตรงเข้าไปจอดใต้ต้นตะแบกสูง

อายุหลายสิบปีซึ่งขณะนี้กำลังผลัดใบ มองเห็นดอกลืมวงที่เริ่มผลิบานประปราย

พิมพ์ดาราก้าวลงจากรถลงมายืนบิดตัว ขยับแข้งขาที่แสนเมื่อยขบ เพราะนั่งอยู่ในรถมานานหลายชั่วโมง สายตาพุ่งตรงสำรวจวัดเล็กซอมซ่อ ความรู้สึกเชื่อถือศรัทธาแทบจะหายวับไปในทันที

“ยังมีพระอยู่มั่งหรือเปล่าล่ะนี่ เงียบแล้วก็ทรุดโทรมยังกับวัดร้าง”

“ปากรึนั่น” ราเมษส่ายหน้า เขามีความรู้สึกไม่ต่างกับพศุทธิ์ ถึงแม้พิมพ์ดาราจะเป็นคนสวยมาก แต่ก็น่ารำคาญมากเช่นกัน

ดาราสาวไม่สนใจคำค่อนของราเมษ หล่อนหันมาหาพงษ์ระพีแตก

ไม่พบเขาอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว เมื่อกวาดตามองเร็วๆ จึงเห็นชายหนุ่มสองคน

ที่เหลือพากันเดินไปสำรวจรอบบริเวณราวกับว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว

น่าสนใจ พิมพ์ดาราซอยเท้ายิกตามไปทันที จึงได้รู้ว่าสถานที่ตั้งวัดเล็กๆ

แห่งนี้เป็นไหล่ผาสูงชัน มองลงไปยังหุบเบื้องล่างแลเห็นยอดไม้อยู่ลิบๆ ไกล ออกไปเป็นกลุ่มหมู่บ้านเล็กๆ มองเห็นไร่ข้าวโพดและไร่มันสำปะหลังกระจายเป็นหย่อมๆ

“นึกไม่ออกเลย” ดาราสาวเก็บปากเอาไว้ไม่อยู่อีกตามเคย “...ว่า

คนพวกนี้เขาเอาอะไรกินกัน มิน่าวัดถึงได้ทั้งเล็กทั้งโทรม ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง

ใหม่เลย แล้วพระอะไรนะ...ที่เราจะมาหาน่ะ ท่านอยู่ตรงไหน”

“ถ้ามาไม่ผิดวัดก็ต้องพบท่านแน่” พงษ์ระพีเอ่ยอย่างมั่นใจ ชายหนุ่ม

ละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องล่าง หันกลับมา แล้วก็ต้องตกใจจนแทบผงะ

ไม่ห่างจากพวกเขามากนัก พระสงฆ์ชรารูปหนึ่งยืนอย่างสงบสำรวม

ใต้ร่มเงาสลัวชองต้นตีนเป็ด ดวงหน้าท่านตอบซูบที่มีเบ้าตาลึกโหลดูน่ากลัว

“มีธุระอะไรกันรึโยม ถึงได้บากบั่นมาถึงที่นี่”

“พวกเราได้รับการแนะน่าให้มาพบหลวงพ่อจันดีครับ ไม่ทราบว่าท่านใช่...”

“ไม่ใช่อาตมาหรอกโยม”

พระรูปนั้นตอบทันทีพร้อมรอยยิ้มที่ท่าให้ทั้งสี่หายใจโล่งชื้นเป็นกอง

แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่ห่างจากคำว่าน่ากลัวลักเท่าไรนักก็ตาม แต่อย่าง

น้อยจากการพูดคุยและปฏิกิริยาตอบรับก็ท่าให้รับรูได้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

ยังเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ มีลมหายใจเป็นปกติเหมือนๆ พวกเขา หลวงตา

พยักหน้าเป็นทำนองเชื้อเชิญ “หลวงพ่อท่านอยู่ที่กุฏิโน่น กำลังรอพวกโยมอยู่ ตามอาตมามาสิ”

แม้สังขารดูไม่เอื้ออ่านวย แต่การเดินเหินกลับคล่องแคล่ว ภิกษุชรา

พาทั้งหมดก้าวผ่านลานวัดแคบๆ ที่ได้รับการดูแลปัดกวาดไว้เตียนโล่ง ที่มอง

เห็นเบื้องหน้าและกำลังจะฝานไปคือศาลาการเปรียญที่สร้างด้วยไม้แบบ

หยาบๆ อายุน่าจะหลายสิบปี สภาพเก่าทรุดโทรมแต่ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ พวก

เขาเดินผ่านหอระฆัง ก่อนจะก้าวสู่ทางลาดชันที่อาศัยหินตะปุมตะป่าแทนบันได

ทุกคนเริ่มเหนื่อยหอบ แต่หลวงตาที่ดูแก่ชรากลับก้าวน่าไปด้วยฝีเท้าคงที่ พงษ์ระพีเร่งฝีเท้าตามไปแล้วถามอย่างสะกดความประหลาดใจเอาไว้ไม่อยู่ “

เมื่อครู่หลวงตาบอกว่าหลวงพ่อจันดีกำลังรอพวกเรา?”

“ถูกต้องแล้ว”

ภิกษุชราตอบพลางก้าวเดินต่อไปไม่หยุด ในขณะที่คนฟังนั้น ความ

พิศวงสงสัยแผ่ซ่านจนแทบชนลุกไปทั้งตัว ขณะนี้นอกเหนือจากพงษ์ระพีที่รีบ

ก้าวตามไปติดๆ แล้ว คนที่เหลือต่างก็หันมองหน้าก้นอย่างตะลึงงัน

“รอพวกเรา” ราเมษทวนคำ สีหน้าตื่นๆ “ท่านรู้ได้ไง? ท่านรู้ว่าพวกเรา กำลังมา?”

“ถึงว่าสิ...” พิมพ์ดาราเสียงกระเส่า ตัวหล่อนสั่นน้อยๆ หญิงสาว

พูดพลางลูบแขนที่เส้นขนตั้งชูชัน “ดูสิ ขนฉันลุกไปหมดแล้ว...นี่ท่านศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ สมคำรํ่าลือหรือนี่ ฉันนึกไม่ถึงเลยจริงๆ”

แม้จะพูดก้นด้วยเสียงดังไม่เกินกระซิบ แต่ในความเงียบที่มีเพียงเสียง

ฝีเท้าห้าคู่เหยียบยํ่าลงไปบนดินปนกรวดทรายและหินแข็ง เสียงนั้นก็ลอยเข้า

หูพงษ์ระพีผู้เดินนำหน้าทุกคนได้อย่างถนัดถนี่ เขาเองก็รู้สึกขนลุกไม่แพ้คนอื่นๆ

“เอ้อ...หลวงตาครับ อย่าหาว่าผมเซ้าซี้เลย หลวงพ่อจันดีท่านทราบได้ อย่างไรครับว่าพวกเรากำลังมา”

“หลวงพ่อจันดีท่านมีญาณวิเศษ สามารถหยั่งรู้เหมือนเกจิอาจารย์

รุ่นเก่าๆ ใช่ไหมครับหลวงตา ไม่น่าเชื่อเลยว่าทุกวันนี้ยังมีพระเก่งๆ อย่างนี้

อยู่อีก” ราเมษเอ่ยอย่างตื่นเต้น ความเมื่อยล้าจากการเดินขึ้นที่สูงแทบหายไป เป็นปลิดทิ้ง เขาแทบจะรีบวิ่งแซงหน้าไปด้วยความกระตือรือร้น

“เอ...” หลวงตาหยุดเดิน หันมามองหน้าทุกคนอย่างงงๆ “ก็พวกโยม

เจอกับเจ้าดวงมันระหว่างทางเข้าวัดมานี่ไม่ใช่หรือ”

“เจ้าดวง?”

“ใช่...มันมาถึงวัดก่อนหน้าพวกโยมได้สักพักนึงแล้ว มันมาบอกกับ

หลวงพ่อจันดีว่ามีคนมาจากกรุงเทพฯ มาจอดรถถามทางมาที่วัดนี้กับมัน คน

มาวัด นอกจากจะมีธุระมาพบหลวงพ่อแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นธุระอื่นไม่ใช่รึ”

“เจ้าเด็กแต่งตัวสกปรกที่พี่พีเกือบจะชนตรงทางแยกนั่นน่ะหรือ”

พศุทธิ์ร้องขึ้นอย่างแปลกใจ “มันจะมาถึงก่อนเราได้!ง ก็เห็นอยู่กับตาว่ามัน

ขี่รถสวนทางเราออกไป แล้วจะมีทางไหนให้วกกลับมาถึงวัดได้ก่อนพวกเรา

อย่าบอกนะว่ามันหาทางลัดตัดป่ามา”

                       (ปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

 

รายละเอียด

"ม่านมนตรา"

เมื่อข่าวการค้นหาเครื่องบินเล็กฝึกบินพร้อมนักบินสองนายที่หายไปจากจอเรดาร์อย่างลึกลับหลังบินผ่านผืนป่าเขาใหญ่อาจเป็นหัวข้อข่าวที่มีคนสนใจเพียงไม่กี่วัน แต่สำหรับเพื่อนฝูง คนชิดใกล้ โดยเฉพาะ "พงษ์ระพี" หนุ่มหล่อชาวกรุง การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของครูฝึกหนุ่มหนึ่งในผู้สูญหายซึ่งเป็นพี่ชายคนเดียวของเขานั้น เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก การออกเดินทางสู่ป่าลึกเพื่อค้นหาความจริงจึงเริ่มต้นขึ้น ไม่มีใคร..แม้แต่ตัวเขาเองที่จะคาดคิดว่า ความดื้อรั้นดันทุรังที่จะปฏิเสธความตายของพี่ชายจะทำให้อีกหลายชีวิตต้องถูกลากเข้าไปร่วมผจญอยู่ในเหตุการณ์ลี้ลับอันน่าพิศวง และหนึ่งในนั้นคือหญิงสาวบ้านป่านาม "ดวงจำปา" เบื้องหลังม่านหมอกแห่งมนตรา ชะตากรรมหรือสิ่งใดที่ชักนำคนสองคนซึ่งแตกต่างอย่างสุดขั้วให้มาพบเจอกัน !!

แล้วเรื่องราวจะดำเนินต่อไป และมีบทสรุปอย่างไร !? ขอเชิญคุณผู้อ่านมาติดตามร่วมกันในนิยาย "ม่านมนตรา" เล่มนี้

เขียนโดย "ศิ' มนตรา"

 

544 หน้า


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024