ดวงใจสัมผัสรัก (ชญาน์พิมพ์)
ประหยัด: 195.00 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 3 รายการราคา 109.00 บาท - 159.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
เสียงเพลงผะแผ่วลอยมาตามลมเรียกให้เด็กชายร่างผอมสูงที่
กำลังซ้อมเดาะลูกฟุตบอลอยู่ที่สวนหย่อมด้านหลังคฤหาสน์ ‘รักษ์ดำรง’ หัน
กลับไปมองเรือนกระจกที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร ดวงหน้าจิ้มลิ้มราว
เด็กผู้หญิงเงยมองท้องฟ้าสีแดงฉานยามอาทิตย์ใกล้อัสดงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อน
เจ้าตัวจะตัดสินใจทิ้งลูกบอลไว้บนสนามหญ้า และสาวเท้าไปตามทางเดิน
โรยด้วยกรวดสีขาวก้อนเล็ก ตรงไปยังทิศอันเป็นที่มาของเสียง
“คุณภีมคะ คุณภีม ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ”
เสียงพี่เลี้ยงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้หนุ่มน้อยเจ้าของชื่อรีบกระโจน
หลบไปหลังพุ่มไม้ใกล้เรือนกระจกทันควันด้วยรู้ดีว่าเรือนเพาะชำแห่งนี้เป็น
สถานที่กึ่งหวงห้าม ไม่มีคนรับใช้คนใดกล้าเฉียดกรายเข้าไปด้านในโดยไม่ได้
รับอนุญาตจากมารดาของเขา อีกประการหนึ่ง ในเรือนกระจกนั้นเต็มไปด้วย
พืชเขตร้อนราคาแพงที่สั่งมาจากต่างประเทศ หากเดินเฉี่ยวชนแล้วแตกไป
สักกระถางคงถูกหักเงินเดือนจนแทบไม่เหลือหลอเป็นแน่
“คุณภีมคะ ออกมาเถอะค่ะ อย่าแกล้งพี่แก้มเลย เดี๋ยวคุณท่านเอ็ด
พี่เอาละแย่เลย” พี่เลี้ยงทำหน้าไม่ถูกขณะเหลียวซ้ายแลขวาอย่างละล้าละลัง
แม้ภีมจะอายุย่างเข้าสิบสามปีแล้ว ทว่ายังชอบเล่นซนเป็นเด็กๆ แถม
ชอบแกล้งคนโน้นคนนี้ให้หัวปั่นเพื่อความบันเทิงส่วนตัวอยู่เสมอ ทั้งยังมี
ภูริศ ประมุขของครอบครัวผู้เป็นปู่คอยให้ท้ายแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าเจ้าชาย
น้อยของบ้านรักษ์ดำรงทำสิ่งใดผิดก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวรุนแรง ในทางกลับ
กัน ถ้าเขาหกล้มหกลุกได้แผลขึ้นมา ภูริศก็จะเอ็ดตะโรเสียงดังใส่พี่เลี้ยง
ที่ไม่คอยดูแลหลานชายหัวแก้วหัวแหวนให้ดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่
อย่างใดที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดาพี่เลี้ยงจะทนความเฮี้ยวของเขา
ไม่ไหวพากันยื่นใบลาออกหลายต่อหลายราย ซึ่งแน่นอนว่าภีมไม่เคยสนว่า
ความดื้อรั้นของตนจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพียงไหน เขาดีใจเสียด้วยซ้ำที่
คนพวกนี้ลาออกกันไปเสียได้ เขาอายเพื่อนรุ่นเดียวกันจะแย่ที่โตจนป่านนี้
แล้วยังต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแลประคบประหงมเหมือนเด็กอมมือ แถมยังตาม
รับตามส่งถึงหน้าโรงเรียนจนเป็นที่ล้อเลียนไปทั่ว
“ไม่อยากโดนเอ็ดก็ลาออกไปสิ”
ภีมพึมพำพลางย่นจมูก แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงคลานไปตามพื้นดินนุ่มๆ
อาศัยพุ่มของต้นสนคริสตินาที่เรียงกันเป็นรั้วธรรมชาติเตี้ยๆ อำพรางตัวไว้
จนกระทั่งไปหยุดที่มุมอับใต้หน้าต่างเรือนกระจก เสียงเรียกของพี่เลี้ยงเริ่ม
ห่างออกไปทุกทีในขณะที่เสียงดนตรีเจือเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบเริ่มดัง
ชัดขึ้นเรื่อยๆ
“คุณแม่?”
เขาหลุบตาลงมองนาฬิกาข้อมือเรือนโปรดที่จำลองหน้ามาจาก
หุ่นยนต์แปลงร่างในโทรทัศน์ แล้วอดประหลาดใจไม่ได้ที่ในเวลานี้ยังมีคน
อยู่ในเรือนกระจกอีก ตามปกติหลังห้าโมงเย็นไปแล้ว สมาชิกของบ้านรักษ์-
ดำรงทุกคนมักรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อรอเวลารับประทานอาหารเย็น
ร่วมกัน ยิ่งมารดาของเขาเป็นคนรักษาเวลาอย่างเคร่งครัดด้วยแล้ว จึง
ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะ...
“...ชอบเพลงนี้...”
ทุกความคิดสะดุดลงเมื่อเสียงกระซิบกระซาบอีกเสียงหนึ่งดังคลอ
กับท่วงทำนองดนตรี แม้เบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่ายังพอจับได้เป็นคำๆ
อยู่บ้าง...ภีมค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นไปเกาะขอบหน้าต่างเพื่อพยุงตัวขึ้น แล้วมอง
ผ่านกระจกเข้าไปด้านใน ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว อีกทั้งไฟภายในเรือนต้นไม้ยัง
ค่อนข้างสลัวจึงทำให้มองเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงเงาตะคุ่มรางๆ เท่านั้น เด็กชาย
หรี่ตา เพ่งมองไปยังเงาร่างที่กำลังโอบประคองกันและกันอย่างอ่อนหวาน
พวกเขาเต้นสโลว์ซบไปตามทำนองเพลงคล้ายตกอยู่ในภวังค์ฝันอันแสนสุข
“ต้องไปแล้วค่ะ ป่านนี้คงตั้งโต๊ะกันเสร็จแล้ว เดี๋ยวลูกภีมจะรอ”
ภีมเห็นดวงหน้างดงามของฝ่ายหญิงชัดถนัดตาเนื่องจากเธอหันหน้า
มาทางหน้าต่าง จึงแน่ใจว่านั่นเป็นมารดาของตนแน่ แต่เจ้าของร่างสูงใหญ่
ที่ยืนหันหลังให้อยู่นั้นเป็นใคร ถ้าคะเนจากรูปร่าง การแต่งตัว ไปจนถึง
ทรงผมแล้วก็น่าจะเป็น...
“คุณพ่อ?”
ไม่หรอกน่า...พ่อชอบอ่านหนังสือมากกว่าเต้นรำ อีกอย่าง...พ่อสูง
ก็จริง แต่ผอมกว่านี้อยู่สักหน่อย...
“เพลงจะจบแล้ว ขออีกเดี๋ยวเดียว”
เสียงพูดกลั้วหัวเราะนั้นคุ้นหูอย่างประหลาด ภีมจึงพยายามชะโงก
หน้าเข้าไปใกล้กระจกมากขึ้นเพื่อให้เห็นเจ้าของแผ่นหลังกว้างชัดขึ้นอีกนิด
แต่กระจกบริเวณนั้นมีฝุ่นเกาะค่อนข้างหนา ประกอบกับเริ่มมืดแล้ว ไม่ว่า
จะเขม้นมองอย่างไรก็ดูไม่ออกเสียทีว่าเป็นใครจนเริ่มหงุดหงิด
“คุณก็พูดแบบนี้ทุกที”
เป็นครั้งแรกที่ภีมเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขเพียงนี้ของผู้เป็นมารดา ใช่ว่า
ปกติแล้วเธอมีสีหน้าอมทุกข์อมโศกแต่อย่างใด เพียงแต่...เขาจะอธิบาย
สีหน้าในยามนี้ของเธอด้วยคำว่าอะไรดีหนอ...เปล่งประกาย ใช่...เปล่ง
ประกาย คุณแม่ของเขาเป็นคนสวย และสีหน้าแบบนี้ช่วยเพิ่มความงามให้
อีกหลายเท่า
“พูดอย่างกับไม่ชอบอย่างนั้นละ สิตางศุ์”
เด็กชายเบิกตากว้างเมื่อเห็นชายร่างสูงโน้มตัวลงประทับจุมพิตบน
ริมฝีปากของหญิงงามในอ้อมแขน เขาอายุสิบสามแล้ว พอเข้าใจเรื่องความ
สัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอยู่บ้าง เด็กที่เรียนโรงเรียนนานาชาติแถมยังริมี
จูบแรกตั้งแต่อายุสิบปี จะไม่รู้ได้อย่างไรเล่าว่าภาพที่เห็นตรงหน้านี้คืออะไร
เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติอย่างที่สุด
คุณแม่จูบกับชายอื่นที่ไม่ใช่...คุณพ่อ!
ความงุนงงและสับสนในคราแรกถูกแทนที่ด้วยความโกรธเกรี้ยว
ด้วยอารามลืมตัว ภีมรีบผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนหน้าผากกระแทกกับ
บานหน้าต่างกระจกดังโครม ชายหนุ่มลึกลับและมารดาของเขาสะดุ้งโหยง
รีบหันกลับมามองต้นเสียงทันควัน เปิดโอกาสให้เด็กชายได้เห็นใบหน้าของ
คนที่ตนอยากรู้นักหนาว่าเป็นใครกันแน่
ใบหน้า...ที่จะสร้างบาดแผลให้เขาต้องเจ็บปวดเหมือนตกอยู่ในฝัน
ร้ายไปตลอดชีวิต!
“ไม่...ไม่จริง...”
ดวงตาสีน้ำตาลเต้นระริกอย่างตกตะลึง ภีมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่ม
ลงมาต่อหน้าต่อตาและถูกสูบเข้าไปในหลุมดำแห่งห้วงอเวจีอันมืดมิด ความ
ผิดหวังเสียใจที่ไม่อาจบรรยายเป็นถ้อยคำได้เปลี่ยนเป็นคมมีดที่มองไม่เห็น
พุ่งปักเข้าตรงกลางดวงใจและก่อให้เกิดบาดแผลที่เรียกว่าความชิงชัง
“ภะ...ภีม...”
เด็กชายมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง จาก
นั้นจึงบังคับสองขาให้ออกวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ฟังเสียงเรียกของ
คนทั้งสองที่อยู่ในเรือนกระจก สองมือกำหมัดแน่น ดวงตาเอ่อคลอไปด้วย
หยาดน้ำตาร้อนผ่าว
เขาจะไม่มีวันให้อภัยคุณแม่เป็นอันขาด...
ไม่มีวัน!
“อยากได้ก็ไปฟ้องเอาสิ ไม่เห็นยาก จะเถียงกันไปทำไม”
เสียงพูดกลั้วหัวเราะของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่นั่งเอกเขนกอยู่บน
เก้าอี้หนังสีเข้มที่สุดปลายอีกด้านของโต๊ะประชุมไฟเบอร์ลายไม้ขนาดยี่สิบ
ที่นั่งเพิ่มกระแสกดดันให้บรรยากาศอึมครึมภายในห้องมากขึ้นไปอีก มือ
เรียวสวยราวมือสตรีที่แต่งแต้มปลายเล็บสั้นกุดบนนิ้วทั้งสิบด้วยยาทาเล็บ
สีดำเคาะมวนบุหรี่ลงในจานรองคริสตัลเบาๆ ก่อนจะยกมันขึ้นคาบไว้บน
เรียวปากหยักลึกสีสดล้อมกรอบด้วยไรหนวดสีเขียวจางๆ นัยน์ตาสีน้ำตาล
ใสใต้แพขนตางอนหนามองไปยังคนเกือบสิบชีวิตที่นั่งร่วมประชุมรอบด้าน
อย่างเย้ยหยัน
“แกพูดให้ดีๆ นะไอ้ภีม! ไอ้เด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ฉันไม่เชื่อหรอกว่า
คุณพ่อจะยกมรดกเกือบทั้งหมดนั่นให้คนอย่างแก! แกกับไอ้ภรตพ่อแกต้อง
รวมหัวกันแก้พินัยกรรมแน่ๆ!”
สตรีวัยกลางคนร่างท้วมในชุดผ้าไหมสีม่วงเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีต
ลุกขึ้นตะโกนใส่หน้าชายหนุ่มเจ้าของชื่ออย่างกราดเกรี้ยว เธอชี้นิ้วกลมป้อม
ที่สวมแหวนเพชรแหวนพลอยเกือบครบทั้งสิบนิ้วไปยังใบหน้าหล่อเหลาค่อน
ไปทางสวยของเขาอย่างชิงชัง
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะมันเป็นไปแล้วละครับคุณป้าภา” ภีมกระตุก
ริมฝีปากเป็นรอยยิ้มหยัน เขาระบายควันสีเทาหม่นออกจากจมูกช้าๆ โดย
ไม่สะทกสะท้านกับท่าทางโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายสักนิด...ที่จริงทุกๆ คนที่
นั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะตัวเขื่องต่างก็มองเขาด้วยสายตาทิ่มแทงแบบเดียวกัน
ทั้งสิ้น “เสียดายที่คุณปู่ตายก่อน ไม่อย่างนั้นผมจะได้บอกให้ท่านแก้
พินัยกรรมใหม่ให้ยกส่วนของคุณป้าให้ผมด้วย”
“ตาภีม! อย่าพูดถึงคุณปู่แบบนั้นนะแม่ขอ”
สตรีร่างบอบบางวัยไม่น่าเกินห้าสิบต้นๆ ในชุดผ้าไหมสีกลีบบัวเอ็ด
เบาๆ นัยน์ตาคมซึ้งพิมพ์เดียวกับชายหนุ่มเหลือบมองใบหน้าขาวใสที่ล้อม
กรอบด้วยเรือนผมซอยไล่ระดับทิ้งปลายให้ยาวระบ่าและย้อมจนเป็น
สีน้ำตาลแดงของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบลงต่ำเมื่อเห็นแววตาว่างเปล่า
ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ มองตอบกลับมา
“ผมต้องฟังคำขอของแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ” ชายหนุ่มแบะปาก
แล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ภีม พอได้แล้ว”
ชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ปรามเสียงนุ่ม คำสั่งแสนสั้นนั้นได้ผล
ชะงัด ใครๆ ก็รู้ว่าชายหนุ่มจอมเฮี้ยวผู้ไม่เคยสนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน
อย่างภีมเคารพและเชื่อฟังภรตผู้เป็นบิดาแทบทุกคำพูด
“ผมเองก็แปลกใจไม่แพ้พี่ภาหรอกครับ ที่เจ้าภีมได้หุ้นของรักษ์ดำรง
และมรดกสามในสี่ไปจนหมดแบบนี้ และผมขอยืนยันว่าผมไม่มีส่วนรู้เห็น
กับพินัยกรรมของคุณพ่อเลยสักนิด”
ภรตพูดช้าๆ อย่างใจเย็น ถ้าเทียบกันแล้วเขากับลูกชายที่นั่งอยู่เคียง
ข้างกันนั้นต่างกันสุดขั้ว ทั้งรูปลักษณ์และอุปนิสัยใจคอ เรียกได้ว่าไม่มีสิ่งใด
เหมือนกันสักนิด...ภรตเป็นชายวัยห้าสิบตอนปลายที่ยังคงเค้าความหล่อเหลา
ในสมัยหนุ่มไว้ไม่เสื่อมคลาย เขามีใบหน้าคมเข้มชวนมองและมักแต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าพะยี่ห้อหรูหรา ดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ในขณะที่ภีมมี
ผิวขาวจัดและเป็นชายหนุ่มหน้าหวานที่ชอบแต่งตัวสไตล์พังก์ร็อก ประเภท
กางเกงหนังเสื้อปักหมุดแขวนโซ่ระโยงระยาง ยังดีที่วันนี้ภีมยอมทำตาม
คำขอของบิดา ลดการแต่งตัวสุดโต่งลงเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว
แบะอกจนเห็นแนวมัดกล้ามสวยงามและกางเกงหนังรัดติ้วโชว์รูปร่างได้
สัดส่วนประหนึ่งประติมากรรมชั้นเลิศของศิลปินเอก ไม่เช่นนั้นพวกญาติๆ
คงได้มองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามมากกว่านี้หลายเท่านัก แต่ถึง
กระนั้นชายหนุ่มก็ยังดื้อดึงที่จะสวมแหวนทรงประหลาดจนครบทั้งสิบนิ้ว
และใส่ตุ้มหูเรียงเป็นตับจากใบหูมาจดปลายติ่งหูอยู่ดี
“ใครจะไปรู้ ทั้งแกทั้งแม่สิตางศุ์เมียแกอาจจะแอบทำอะไรลับหลัง
พวกฉันก็ได้! เงินมากขนาดนั้นอย่าบอกนะว่าพวกแกไม่อยากได้!”
เสียงแหวของหญิงคนเดิมเหมือนเป็นการจุดชนวนอารมณ์ที่พร้อม
ระเบิดของญาติคนอื่นๆ ให้ลุกขึ้นมาโวยวายเรียกร้องส่วนแบ่งของตนเอง
กันเซ็งแซ่
ภีมแสยะยิ้มด้วยความสมเพช นั่นอย่างไรเล่า...สุดท้ายก็โผล่หาง
ออกมากันแล้ว อยู่ที่งานศพทำเป็นร้องไห้คร่ำครวญเสียใจหนักหนาที่ต้อง
สูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่ของตระกูลรักษ์ดำรงอย่างภูริศ แต่เอาเข้าจริงก็
อยากให้ประมุขของบ้านรีบๆ ตายไปเสีย จะได้แปลงร่างเป็นแร้งร่อนลงทึ้ง
มรดกกองโตกันทั่วหน้า...แต่ขอโทษทีเถอะนะ เงินพวกนั้นเป็นของไอ้ภีม
คนนี้ต่างหาก และเขานี่ละจะถลุงมันให้หมดภายในพริบตา
เงินพวกนั้นไม่อาจชดเชยแม้เพียงเศษเสี้ยวของความเจ็บปวดที่เขา
ต้องแบกรับด้วยซ้ำ!
“พอเถอะครับคุณภาวดี ผมว่าเราควรให้เกียรติท่านภูริศบ้างนะครับ”
ทนายร่างป้อมที่ยืนฟังทุกๆ คนถกเถียงด่าทอกันมานานกว่าชั่วโมงพูดขึ้น
อย่างหมดความอดทน ตั้งแต่เขาประกาศรายชื่อทรัพย์สินที่ภีมจะได้รับ
ภาวดีและเหล่าแนวร่วมก็โวยวายทันทีว่าตนเป็นถึงลูกแท้ๆ ทำไมจึงได้รับ
ส่วนแบ่งน้อยกว่าหลานที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างภีมเสียอีก “ผมขอยืนยัน
ด้วยเกียรติของทนายประจำตระกูลว่าท่านภูริศได้ทำพินัยกรรมนี้ขึ้นขณะที่
ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ พยานที่ร่วมลงนามในพินัยกรรม
นี้แต่ละท่านก็เป็นผู้ใหญ่ระดับผู้บริหารของรักษ์ดำรงกรุ๊ปทั้งสิ้น นั่นเป็น
หลักฐานว่าท่านภูริศคิดทบทวนและเตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้วแน่นอน
จะลองตรวจสอบดูก็ได้นะครับ”
ทนายวัยกลางคนเลื่อนเอกสารในแฟ้มหนังสีน้ำเงินเข้มไปตรงหน้า
ภาวดี ที่พอเห็นลายเซ็นของพยานบนแผ่นกระดาษก็นิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียด
...ลายเซ็นเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นลายเซ็นของหุ้นส่วนคนสำคัญของรักษ์-
ดำรงกรุ๊ปจริงดังที่ว่า และคนที่ขึ้นชื่อเรื่องยึดถือคุณธรรมและความถูกต้อง
แบบนั้นคงไม่ลดตัวลงมาทำให้ชื่อเสียงของตนต้องมัวหมองด้วยการรวมหัว
กับไอ้เด็กภีมนั่นแน่ๆ
“ไงครับ หน้าเจื่อนแบบนั้น คงหายสงสัยแล้วสินะ” ภีมหัวเราะกวน
ประสาท เขาขยี้ก้นกรองบุหรี่ลงกับจานรองใสแล้วหยัดกายขึ้นยืน “ผมจะ
ได้กลับไปอัดเสียงต่อเสียที เสียเวลามานานแล้ว ผมไปได้แล้วใช่ไหมคุณ
ทนายธีรเทพ”
ชายหนุ่มกวาดตามองสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเหล่าผู้ร่วม
ตระกูลรักษ์ดำรง แล้วเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยันอย่างจงใจยั่ว
อารมณ์ทุกคน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นทนายยกมือขึ้นเป็นสัญญาณห้าม
“ยังครับ ผมยังไม่ได้แจ้งเงื่อนไขของพินัยกรรมให้คุณภีมทราบ”
“เงื่อนไข? ยังจะต้องมีเงื่อนไขอะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าจะให้ผมไป
บริหารไอ้งานนำเข้าส่งออกบ้าบออะไรนั่น คุณธีรเทพก็น่าจะรู้ว่าผมทำเป็น
แค่ร้องเพลงอย่างเดียวเท่านั้นละ”
ภีมนิ่วหน้าอย่างไม่รักษามารยาทใดๆ ทั้งสิ้นประสาคนเจ้าอารมณ์ สื่อ
ต่างๆ คงได้ลงข่าวกันครึกโครมแน่ว่า ภีม รักษ์ดำรง นักร้องนำวงบลัดดี
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
แสงสว่างจากหนึ่งใจ สาดส่องอีกใจให้อุ่นรัก ภีม รักษ์ดำรง ร็อกเกอร์หนุ่มเลือดร้อนได้รับมรดกจำนวนมหาศาลจากผู้เป็นปู่ โดยพ่วงเงื่อนไขว่าต้องดูแลโซฟี นกมาคอว์เจ้าอารมณ์จนกว่ามันจะหมดอายุขัย โธ่เอ๋ย! คนที่สนใจแค่ตัวเองอย่างเขาจะดูแลสัตว์เลี้ยงได้ยังไงกัน! แต่จะให้เขาสละสิทธิ์รับมรดกงั้นหรือ...ไม่มีทาง! นี่เป็นสิ่งที่ปู่จะต้อง ‘ชดใช้’ ให้เขา! เมื่อเจ้านกคู่อาฆาตเซื่องซึมผิดปกติ ภีมจึงต้องวิ่งโร่ไปหา ‘ตัวช่วย’ ที่ฟาร์มสวนปักษา ที่นั่นเขาได้พบกอหญ้า หญิงสาวผู้มีสัมผัสพิเศษและดึงดูดหัวใจเขาไว้ได้อยู่หมัด แม้ดวงตาของเธอมองไม่เห็น...แต่หัวใจกลับสว่างไสวอบอุ่น เธอสัมผัสหัวใจที่มืดบอดของเขาด้วยความปรารถนาดีและความอ่อนโยน แต่แม้หญิงสาวจะแสนดีและดูน่าสงสารเพียงไร คนอย่างภีมก็ไม่คิดจะละเว้น เขาอยากได้อะไรก็ต้องได้ เพราะโลกหมุนรอบตัวเขาอยู่แล้ว และเวลานี้ก็อยากเขมือบ ‘แม่ลูกกวางน้อย’ จนแทบทนไม่ไหวแล้วด้วยสิ! ทว่าสิ่งที่ภีมยังไม่รู้ก็คือ...ใครบางคนในเงามืดกำลังคิดกำจัดเขาให้พ้นทาง! |