ดวงใจสัมผัสรัก (ชญาน์พิมพ์)

ดวงใจสัมผัสรัก (ชญาน์พิมพ์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160023592
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 260.00 บาท 65.00 บาท
ประหยัด: 195.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เสียงเพลงผะแผ่วลอยมาตามลมเรียกให้เด็กชายร่างผอมสูงที่

กำลังซ้อมเดาะลูกฟุตบอลอยู่ที่สวนหย่อมด้านหลังคฤหาสน์ ‘รักษ์ดำรง’ หัน

กลับไปมองเรือนกระจกที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร ดวงหน้าจิ้มลิ้มราว

เด็กผู้หญิงเงยมองท้องฟ้าสีแดงฉานยามอาทิตย์ใกล้อัสดงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อน

เจ้าตัวจะตัดสินใจทิ้งลูกบอลไว้บนสนามหญ้า และสาวเท้าไปตามทางเดิน

โรยด้วยกรวดสีขาวก้อนเล็ก ตรงไปยังทิศอันเป็นที่มาของเสียง

“คุณภีมคะ คุณภีม ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ”

เสียงพี่เลี้ยงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้หนุ่มน้อยเจ้าของชื่อรีบกระโจน

หลบไปหลังพุ่มไม้ใกล้เรือนกระจกทันควันด้วยรู้ดีว่าเรือนเพาะชำแห่งนี้เป็น

สถานที่กึ่งหวงห้าม ไม่มีคนรับใช้คนใดกล้าเฉียดกรายเข้าไปด้านในโดยไม่ได้

รับอนุญาตจากมารดาของเขา อีกประการหนึ่ง ในเรือนกระจกนั้นเต็มไปด้วย

พืชเขตร้อนราคาแพงที่สั่งมาจากต่างประเทศ หากเดินเฉี่ยวชนแล้วแตกไป

สักกระถางคงถูกหักเงินเดือนจนแทบไม่เหลือหลอเป็นแน่

“คุณภีมคะ ออกมาเถอะค่ะ อย่าแกล้งพี่แก้มเลย เดี๋ยวคุณท่านเอ็ด

พี่เอาละแย่เลย” พี่เลี้ยงทำหน้าไม่ถูกขณะเหลียวซ้ายแลขวาอย่างละล้าละลัง

แม้ภีมจะอายุย่างเข้าสิบสามปีแล้ว ทว่ายังชอบเล่นซนเป็นเด็กๆ แถม

ชอบแกล้งคนโน้นคนนี้ให้หัวปั่นเพื่อความบันเทิงส่วนตัวอยู่เสมอ ทั้งยังมี

ภูริศ ประมุขของครอบครัวผู้เป็นปู่คอยให้ท้ายแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าเจ้าชาย

น้อยของบ้านรักษ์ดำรงทำสิ่งใดผิดก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวรุนแรง ในทางกลับ

กัน ถ้าเขาหกล้มหกลุกได้แผลขึ้นมา ภูริศก็จะเอ็ดตะโรเสียงดังใส่พี่เลี้ยง

ที่ไม่คอยดูแลหลานชายหัวแก้วหัวแหวนให้ดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่

อย่างใดที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดาพี่เลี้ยงจะทนความเฮี้ยวของเขา

ไม่ไหวพากันยื่นใบลาออกหลายต่อหลายราย ซึ่งแน่นอนว่าภีมไม่เคยสนว่า

ความดื้อรั้นของตนจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพียงไหน เขาดีใจเสียด้วยซ้ำที่

คนพวกนี้ลาออกกันไปเสียได้ เขาอายเพื่อนรุ่นเดียวกันจะแย่ที่โตจนป่านนี้

แล้วยังต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแลประคบประหงมเหมือนเด็กอมมือ แถมยังตาม

รับตามส่งถึงหน้าโรงเรียนจนเป็นที่ล้อเลียนไปทั่ว

“ไม่อยากโดนเอ็ดก็ลาออกไปสิ”

ภีมพึมพำพลางย่นจมูก แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงคลานไปตามพื้นดินนุ่มๆ

อาศัยพุ่มของต้นสนคริสตินาที่เรียงกันเป็นรั้วธรรมชาติเตี้ยๆ อำพรางตัวไว้

จนกระทั่งไปหยุดที่มุมอับใต้หน้าต่างเรือนกระจก เสียงเรียกของพี่เลี้ยงเริ่ม

ห่างออกไปทุกทีในขณะที่เสียงดนตรีเจือเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบเริ่มดัง

ชัดขึ้นเรื่อยๆ

“คุณแม่?”

เขาหลุบตาลงมองนาฬิกาข้อมือเรือนโปรดที่จำลองหน้ามาจาก

หุ่นยนต์แปลงร่างในโทรทัศน์ แล้วอดประหลาดใจไม่ได้ที่ในเวลานี้ยังมีคน

อยู่ในเรือนกระจกอีก ตามปกติหลังห้าโมงเย็นไปแล้ว สมาชิกของบ้านรักษ์-

ดำรงทุกคนมักรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อรอเวลารับประทานอาหารเย็น

ร่วมกัน ยิ่งมารดาของเขาเป็นคนรักษาเวลาอย่างเคร่งครัดด้วยแล้ว จึง

ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะ...

“...ชอบเพลงนี้...”

ทุกความคิดสะดุดลงเมื่อเสียงกระซิบกระซาบอีกเสียงหนึ่งดังคลอ

กับท่วงทำนองดนตรี แม้เบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่ายังพอจับได้เป็นคำๆ

อยู่บ้าง...ภีมค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นไปเกาะขอบหน้าต่างเพื่อพยุงตัวขึ้น แล้วมอง

ผ่านกระจกเข้าไปด้านใน ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว อีกทั้งไฟภายในเรือนต้นไม้ยัง

ค่อนข้างสลัวจึงทำให้มองเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงเงาตะคุ่มรางๆ เท่านั้น เด็กชาย

หรี่ตา เพ่งมองไปยังเงาร่างที่กำลังโอบประคองกันและกันอย่างอ่อนหวาน

พวกเขาเต้นสโลว์ซบไปตามทำนองเพลงคล้ายตกอยู่ในภวังค์ฝันอันแสนสุข

“ต้องไปแล้วค่ะ ป่านนี้คงตั้งโต๊ะกันเสร็จแล้ว เดี๋ยวลูกภีมจะรอ”

ภีมเห็นดวงหน้างดงามของฝ่ายหญิงชัดถนัดตาเนื่องจากเธอหันหน้า

มาทางหน้าต่าง จึงแน่ใจว่านั่นเป็นมารดาของตนแน่ แต่เจ้าของร่างสูงใหญ่

ที่ยืนหันหลังให้อยู่นั้นเป็นใคร ถ้าคะเนจากรูปร่าง การแต่งตัว ไปจนถึง

ทรงผมแล้วก็น่าจะเป็น...

“คุณพ่อ?”

ไม่หรอกน่า...พ่อชอบอ่านหนังสือมากกว่าเต้นรำ อีกอย่าง...พ่อสูง

ก็จริง แต่ผอมกว่านี้อยู่สักหน่อย...

“เพลงจะจบแล้ว ขออีกเดี๋ยวเดียว”

เสียงพูดกลั้วหัวเราะนั้นคุ้นหูอย่างประหลาด ภีมจึงพยายามชะโงก

หน้าเข้าไปใกล้กระจกมากขึ้นเพื่อให้เห็นเจ้าของแผ่นหลังกว้างชัดขึ้นอีกนิด

แต่กระจกบริเวณนั้นมีฝุ่นเกาะค่อนข้างหนา ประกอบกับเริ่มมืดแล้ว ไม่ว่า

จะเขม้นมองอย่างไรก็ดูไม่ออกเสียทีว่าเป็นใครจนเริ่มหงุดหงิด

“คุณก็พูดแบบนี้ทุกที”

เป็นครั้งแรกที่ภีมเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขเพียงนี้ของผู้เป็นมารดา ใช่ว่า

ปกติแล้วเธอมีสีหน้าอมทุกข์อมโศกแต่อย่างใด เพียงแต่...เขาจะอธิบาย

สีหน้าในยามนี้ของเธอด้วยคำว่าอะไรดีหนอ...เปล่งประกาย ใช่...เปล่ง

ประกาย คุณแม่ของเขาเป็นคนสวย และสีหน้าแบบนี้ช่วยเพิ่มความงามให้

อีกหลายเท่า

“พูดอย่างกับไม่ชอบอย่างนั้นละ สิตางศุ์”

เด็กชายเบิกตากว้างเมื่อเห็นชายร่างสูงโน้มตัวลงประทับจุมพิตบน

ริมฝีปากของหญิงงามในอ้อมแขน เขาอายุสิบสามแล้ว พอเข้าใจเรื่องความ

สัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอยู่บ้าง เด็กที่เรียนโรงเรียนนานาชาติแถมยังริมี

จูบแรกตั้งแต่อายุสิบปี จะไม่รู้ได้อย่างไรเล่าว่าภาพที่เห็นตรงหน้านี้คืออะไร

เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติอย่างที่สุด

คุณแม่จูบกับชายอื่นที่ไม่ใช่...คุณพ่อ!

ความงุนงงและสับสนในคราแรกถูกแทนที่ด้วยความโกรธเกรี้ยว

ด้วยอารามลืมตัว ภีมรีบผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนหน้าผากกระแทกกับ

บานหน้าต่างกระจกดังโครม ชายหนุ่มลึกลับและมารดาของเขาสะดุ้งโหยง

รีบหันกลับมามองต้นเสียงทันควัน เปิดโอกาสให้เด็กชายได้เห็นใบหน้าของ

คนที่ตนอยากรู้นักหนาว่าเป็นใครกันแน่

ใบหน้า...ที่จะสร้างบาดแผลให้เขาต้องเจ็บปวดเหมือนตกอยู่ในฝัน

ร้ายไปตลอดชีวิต!

“ไม่...ไม่จริง...”

ดวงตาสีน้ำตาลเต้นระริกอย่างตกตะลึง ภีมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่ม

ลงมาต่อหน้าต่อตาและถูกสูบเข้าไปในหลุมดำแห่งห้วงอเวจีอันมืดมิด ความ

ผิดหวังเสียใจที่ไม่อาจบรรยายเป็นถ้อยคำได้เปลี่ยนเป็นคมมีดที่มองไม่เห็น

พุ่งปักเข้าตรงกลางดวงใจและก่อให้เกิดบาดแผลที่เรียกว่าความชิงชัง

“ภะ...ภีม...”

เด็กชายมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง จาก

นั้นจึงบังคับสองขาให้ออกวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ฟังเสียงเรียกของ

คนทั้งสองที่อยู่ในเรือนกระจก สองมือกำหมัดแน่น ดวงตาเอ่อคลอไปด้วย

หยาดน้ำตาร้อนผ่าว

เขาจะไม่มีวันให้อภัยคุณแม่เป็นอันขาด...

ไม่มีวัน!

“อยากได้ก็ไปฟ้องเอาสิ ไม่เห็นยาก จะเถียงกันไปทำไม”

เสียงพูดกลั้วหัวเราะของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่นั่งเอกเขนกอยู่บน

เก้าอี้หนังสีเข้มที่สุดปลายอีกด้านของโต๊ะประชุมไฟเบอร์ลายไม้ขนาดยี่สิบ

ที่นั่งเพิ่มกระแสกดดันให้บรรยากาศอึมครึมภายในห้องมากขึ้นไปอีก มือ

เรียวสวยราวมือสตรีที่แต่งแต้มปลายเล็บสั้นกุดบนนิ้วทั้งสิบด้วยยาทาเล็บ

สีดำเคาะมวนบุหรี่ลงในจานรองคริสตัลเบาๆ ก่อนจะยกมันขึ้นคาบไว้บน

เรียวปากหยักลึกสีสดล้อมกรอบด้วยไรหนวดสีเขียวจางๆ นัยน์ตาสีน้ำตาล

ใสใต้แพขนตางอนหนามองไปยังคนเกือบสิบชีวิตที่นั่งร่วมประชุมรอบด้าน

อย่างเย้ยหยัน

“แกพูดให้ดีๆ นะไอ้ภีม! ไอ้เด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ฉันไม่เชื่อหรอกว่า

คุณพ่อจะยกมรดกเกือบทั้งหมดนั่นให้คนอย่างแก! แกกับไอ้ภรตพ่อแกต้อง

รวมหัวกันแก้พินัยกรรมแน่ๆ!”

สตรีวัยกลางคนร่างท้วมในชุดผ้าไหมสีม่วงเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีต

ลุกขึ้นตะโกนใส่หน้าชายหนุ่มเจ้าของชื่ออย่างกราดเกรี้ยว เธอชี้นิ้วกลมป้อม

ที่สวมแหวนเพชรแหวนพลอยเกือบครบทั้งสิบนิ้วไปยังใบหน้าหล่อเหลาค่อน

ไปทางสวยของเขาอย่างชิงชัง

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะมันเป็นไปแล้วละครับคุณป้าภา” ภีมกระตุก

ริมฝีปากเป็นรอยยิ้มหยัน เขาระบายควันสีเทาหม่นออกจากจมูกช้าๆ โดย

ไม่สะทกสะท้านกับท่าทางโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายสักนิด...ที่จริงทุกๆ คนที่

นั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะตัวเขื่องต่างก็มองเขาด้วยสายตาทิ่มแทงแบบเดียวกัน

ทั้งสิ้น “เสียดายที่คุณปู่ตายก่อน ไม่อย่างนั้นผมจะได้บอกให้ท่านแก้

พินัยกรรมใหม่ให้ยกส่วนของคุณป้าให้ผมด้วย”

“ตาภีม! อย่าพูดถึงคุณปู่แบบนั้นนะแม่ขอ”

สตรีร่างบอบบางวัยไม่น่าเกินห้าสิบต้นๆ ในชุดผ้าไหมสีกลีบบัวเอ็ด

เบาๆ นัยน์ตาคมซึ้งพิมพ์เดียวกับชายหนุ่มเหลือบมองใบหน้าขาวใสที่ล้อม

กรอบด้วยเรือนผมซอยไล่ระดับทิ้งปลายให้ยาวระบ่าและย้อมจนเป็น

สีน้ำตาลแดงของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบลงต่ำเมื่อเห็นแววตาว่างเปล่า

ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ มองตอบกลับมา

“ผมต้องฟังคำขอของแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ” ชายหนุ่มแบะปาก

แล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“ภีม พอได้แล้ว”

ชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ปรามเสียงนุ่ม คำสั่งแสนสั้นนั้นได้ผล

ชะงัด ใครๆ ก็รู้ว่าชายหนุ่มจอมเฮี้ยวผู้ไม่เคยสนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน

อย่างภีมเคารพและเชื่อฟังภรตผู้เป็นบิดาแทบทุกคำพูด

“ผมเองก็แปลกใจไม่แพ้พี่ภาหรอกครับ ที่เจ้าภีมได้หุ้นของรักษ์ดำรง

และมรดกสามในสี่ไปจนหมดแบบนี้ และผมขอยืนยันว่าผมไม่มีส่วนรู้เห็น

กับพินัยกรรมของคุณพ่อเลยสักนิด”

ภรตพูดช้าๆ อย่างใจเย็น ถ้าเทียบกันแล้วเขากับลูกชายที่นั่งอยู่เคียง

ข้างกันนั้นต่างกันสุดขั้ว ทั้งรูปลักษณ์และอุปนิสัยใจคอ เรียกได้ว่าไม่มีสิ่งใด

เหมือนกันสักนิด...ภรตเป็นชายวัยห้าสิบตอนปลายที่ยังคงเค้าความหล่อเหลา

ในสมัยหนุ่มไว้ไม่เสื่อมคลาย เขามีใบหน้าคมเข้มชวนมองและมักแต่งกาย

ด้วยเสื้อผ้าพะยี่ห้อหรูหรา ดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ในขณะที่ภีมมี

ผิวขาวจัดและเป็นชายหนุ่มหน้าหวานที่ชอบแต่งตัวสไตล์พังก์ร็อก ประเภท

กางเกงหนังเสื้อปักหมุดแขวนโซ่ระโยงระยาง ยังดีที่วันนี้ภีมยอมทำตาม

คำขอของบิดา ลดการแต่งตัวสุดโต่งลงเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว

แบะอกจนเห็นแนวมัดกล้ามสวยงามและกางเกงหนังรัดติ้วโชว์รูปร่างได้

สัดส่วนประหนึ่งประติมากรรมชั้นเลิศของศิลปินเอก ไม่เช่นนั้นพวกญาติๆ

คงได้มองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามมากกว่านี้หลายเท่านัก แต่ถึง

กระนั้นชายหนุ่มก็ยังดื้อดึงที่จะสวมแหวนทรงประหลาดจนครบทั้งสิบนิ้ว

และใส่ตุ้มหูเรียงเป็นตับจากใบหูมาจดปลายติ่งหูอยู่ดี

“ใครจะไปรู้ ทั้งแกทั้งแม่สิตางศุ์เมียแกอาจจะแอบทำอะไรลับหลัง

พวกฉันก็ได้! เงินมากขนาดนั้นอย่าบอกนะว่าพวกแกไม่อยากได้!”

เสียงแหวของหญิงคนเดิมเหมือนเป็นการจุดชนวนอารมณ์ที่พร้อม

ระเบิดของญาติคนอื่นๆ ให้ลุกขึ้นมาโวยวายเรียกร้องส่วนแบ่งของตนเอง

กันเซ็งแซ่

ภีมแสยะยิ้มด้วยความสมเพช นั่นอย่างไรเล่า...สุดท้ายก็โผล่หาง

ออกมากันแล้ว อยู่ที่งานศพทำเป็นร้องไห้คร่ำครวญเสียใจหนักหนาที่ต้อง

สูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่ของตระกูลรักษ์ดำรงอย่างภูริศ แต่เอาเข้าจริงก็

อยากให้ประมุขของบ้านรีบๆ ตายไปเสีย จะได้แปลงร่างเป็นแร้งร่อนลงทึ้ง

มรดกกองโตกันทั่วหน้า...แต่ขอโทษทีเถอะนะ เงินพวกนั้นเป็นของไอ้ภีม

คนนี้ต่างหาก และเขานี่ละจะถลุงมันให้หมดภายในพริบตา

เงินพวกนั้นไม่อาจชดเชยแม้เพียงเศษเสี้ยวของความเจ็บปวดที่เขา

ต้องแบกรับด้วยซ้ำ!

“พอเถอะครับคุณภาวดี ผมว่าเราควรให้เกียรติท่านภูริศบ้างนะครับ”

ทนายร่างป้อมที่ยืนฟังทุกๆ คนถกเถียงด่าทอกันมานานกว่าชั่วโมงพูดขึ้น

อย่างหมดความอดทน ตั้งแต่เขาประกาศรายชื่อทรัพย์สินที่ภีมจะได้รับ

ภาวดีและเหล่าแนวร่วมก็โวยวายทันทีว่าตนเป็นถึงลูกแท้ๆ ทำไมจึงได้รับ

ส่วนแบ่งน้อยกว่าหลานที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างภีมเสียอีก “ผมขอยืนยัน

ด้วยเกียรติของทนายประจำตระกูลว่าท่านภูริศได้ทำพินัยกรรมนี้ขึ้นขณะที่

ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ พยานที่ร่วมลงนามในพินัยกรรม

นี้แต่ละท่านก็เป็นผู้ใหญ่ระดับผู้บริหารของรักษ์ดำรงกรุ๊ปทั้งสิ้น นั่นเป็น

หลักฐานว่าท่านภูริศคิดทบทวนและเตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้วแน่นอน

จะลองตรวจสอบดูก็ได้นะครับ”

ทนายวัยกลางคนเลื่อนเอกสารในแฟ้มหนังสีน้ำเงินเข้มไปตรงหน้า

ภาวดี ที่พอเห็นลายเซ็นของพยานบนแผ่นกระดาษก็นิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียด

...ลายเซ็นเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นลายเซ็นของหุ้นส่วนคนสำคัญของรักษ์-

ดำรงกรุ๊ปจริงดังที่ว่า และคนที่ขึ้นชื่อเรื่องยึดถือคุณธรรมและความถูกต้อง

แบบนั้นคงไม่ลดตัวลงมาทำให้ชื่อเสียงของตนต้องมัวหมองด้วยการรวมหัว

กับไอ้เด็กภีมนั่นแน่ๆ

“ไงครับ หน้าเจื่อนแบบนั้น คงหายสงสัยแล้วสินะ” ภีมหัวเราะกวน

ประสาท เขาขยี้ก้นกรองบุหรี่ลงกับจานรองใสแล้วหยัดกายขึ้นยืน “ผมจะ

ได้กลับไปอัดเสียงต่อเสียที เสียเวลามานานแล้ว ผมไปได้แล้วใช่ไหมคุณ

ทนายธีรเทพ”

ชายหนุ่มกวาดตามองสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเหล่าผู้ร่วม

ตระกูลรักษ์ดำรง แล้วเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยันอย่างจงใจยั่ว

อารมณ์ทุกคน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นทนายยกมือขึ้นเป็นสัญญาณห้าม

“ยังครับ ผมยังไม่ได้แจ้งเงื่อนไขของพินัยกรรมให้คุณภีมทราบ”

“เงื่อนไข? ยังจะต้องมีเงื่อนไขอะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าจะให้ผมไป

บริหารไอ้งานนำเข้าส่งออกบ้าบออะไรนั่น คุณธีรเทพก็น่าจะรู้ว่าผมทำเป็น

แค่ร้องเพลงอย่างเดียวเท่านั้นละ”

ภีมนิ่วหน้าอย่างไม่รักษามารยาทใดๆ ทั้งสิ้นประสาคนเจ้าอารมณ์ สื่อ

ต่างๆ คงได้ลงข่าวกันครึกโครมแน่ว่า ภีม รักษ์ดำรง นักร้องนำวงบลัดดี

                       (ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

แสงสว่างจากหนึ่งใจ สาดส่องอีกใจให้อุ่นรัก

ภีม รักษ์ดำรง ร็อกเกอร์หนุ่มเลือดร้อนได้รับมรดกจำนวนมหาศาลจากผู้เป็นปู่
โดยพ่วงเงื่อนไขว่าต้องดูแลโซฟี นกมาคอว์เจ้าอารมณ์จนกว่ามันจะหมดอายุขัย
โธ่เอ๋ย! คนที่สนใจแค่ตัวเองอย่างเขาจะดูแลสัตว์เลี้ยงได้ยังไงกัน!
แต่จะให้เขาสละสิทธิ์รับมรดกงั้นหรือ...ไม่มีทาง!
นี่เป็นสิ่งที่ปู่จะต้อง ‘ชดใช้’ ให้เขา!
เมื่อเจ้านกคู่อาฆาตเซื่องซึมผิดปกติ ภีมจึงต้องวิ่งโร่ไปหา ‘ตัวช่วย’ ที่ฟาร์มสวนปักษา
ที่นั่นเขาได้พบกอหญ้า หญิงสาวผู้มีสัมผัสพิเศษและดึงดูดหัวใจเขาไว้ได้อยู่หมัด
แม้ดวงตาของเธอมองไม่เห็น...แต่หัวใจกลับสว่างไสวอบอุ่น
เธอสัมผัสหัวใจที่มืดบอดของเขาด้วยความปรารถนาดีและความอ่อนโยน
แต่แม้หญิงสาวจะแสนดีและดูน่าสงสารเพียงไร คนอย่างภีมก็ไม่คิดจะละเว้น
เขาอยากได้อะไรก็ต้องได้ เพราะโลกหมุนรอบตัวเขาอยู่แล้ว
และเวลานี้ก็อยากเขมือบ ‘แม่ลูกกวางน้อย’ จนแทบทนไม่ไหวแล้วด้วยสิ!
ทว่าสิ่งที่ภีมยังไม่รู้ก็คือ...ใครบางคนในเงามืดกำลังคิดกำจัดเขาให้พ้นทาง!

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024