ใจพิสุทธิ์ ซีรีส์ ดวงใจเทวพรหม (แพรณัฐ)

ใจพิสุทธิ์ ซีรีส์ ดวงใจเทวพรหม (แพรณัฐ)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160022298
ผู้แต่ง: แพรณัฐ
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 310.00 บาท 77.50 บาท
ประหยัด: 232.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1

 

ม้าสีขาวที่ยืนอยู่กลางสนามหญ้าเขียวขจี มีนายทหารหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งเด่นสง่าอยู่บนหลัง มือซ้ายกุมบังเหียนไว้แม่นมั่น

เขาแต่งกายด้วยชุดขี่ม้าสีกากีแกมเขียว  ใส่หมวกทรงหม้อตาล กางเกงทรงพองบริเวณต้นขา สวมท็อปบูตสูงถึงเข่า เครื่องหมายซึ่งประดับอยู่บนเสื้อบ่งบอกยศของนายทหารระดับผู้บังคับกองร้อยแห่งกองพันทหารม้าที่ ๒๙ รักษาพระองค์

แม้เป็นเวลาเช้าตรู่ ดวงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ทุกคนก็ยังเห็นว่าวงหน้าคล้ามแดดเรียบเฉยจนน่ากลัว ยิ่งผสานเข้ากับดวงตาดุดันซึ่งจ้องมองเหล่าทหารที่จูงม้ามาหยุดรอนอกรั้วสีขาวเตี้ยๆ  ริมสนามฝึกขี่ม้าด้วยแล้ว

ใครที่กล้าสบตาตอบก็ต้องพลอยหัวหดไปตามกัน

“ขออนุญาตเข้าสนามครับ!”  ทหารคนหนึ่งกล่าวนำพร้อมกับตะเบ๊ะ คนอื่นทำความเคารพตามในแบบเดียวกัน

“เข้ามาได้” รณจักรตะเบ๊ะตอบ

ทหารเหล่านั้นจูงม้าเข้ามาตั้งแถวเรียงหน้ากระดานซ้อนกันเป็นระเบียบ รณจักรยกข้อมือข้างขวาขึ้นมาดูนาฬิกา

๖:๓๐ น.

เขากราดมองแถวของทหารทั้งหมดในขณะนี้  ช่องที่ว่างอยู่แสดงให้เห็นถึงผู้ซึ่งยังมาไม่ถึง หัวคิ้วของผู้บังคับกองร้อยกระตุกเข้าหากัน

“ผู้หมู่สมชัยทำไมยังไม่มา”

“ไม่ทราบครับ” ทหารคนหนึ่งตอบหลังจากพวกเขาหันหน้ามองกันไปมาอยู่ครู่สั้นๆ

“ถ้าอย่างนั้นเราก็เริ่มฝึกกัน ทั้งหมดแถวตรง เตรียมขึ้นม้า ปฏิบัติ!”

รณจักรตะโกนสั่ง ทหารหันไปตรวจม้าและอุปกรณ์ให้แน่ใจว่าพร้อมสำหรับการขี่ ผู้กองหนุ่มจึงสั่งต่อ

“เอาโกลนลง!”

ผู้ใต้บังคับบัญชาเอาห่วงซึ่งห้อยจากอานม้าทั้งสองข้างสำหรับสอดเท้าเพื่อใช้ยันเวลาขี่ม้าลงมา

“ขึ้นม้าตอนที่หนึ่ง!”

เหล่าทหารทำขวาหันเพื่อหันหน้าเข้าหาม้าคู่ใจ เสียงรองเท้าบูตกระทบกันเมื่อพวกเขาชิดเท้าอย่างพร้อมเพรียง  ทหารจับบังเหียนและหัวอานม้าด้วยมือซ้าย มือขวาจับโกลน แล้วบิดเข้าหาตัว พวกเขาหยุดนิ่งเพื่อรอคำสั่ง

ให้ขึ้นไปบนหลังม้าในขั้นตอนที่สอง

ทหารซึ่งเป็นหัวหน้าในกลุ่มนั้นพยักหน้าให้สัญญาณ เขาและทุกคนยกขาซ้ายขึ้นเพื่อสอดเท้าข้างเดียวกันเข้าไปในโกลน  มือขวาละไปจับตรงท้ายอานม้าอันเป็นที่นั่ง สปริงตัวขึ้นไปหยุดค้างนิ่งในอากาศ

นายทหารคนเดิมส่งสัญญาณสำหรับการขึ้นไปบนหลังม้าในขั้นตอนที่สาม  ทุกคนพร้อมใจกันโน้มตัวไปข้างหน้า  เตะขาขวาผ่านบั้นท้ายของม้านั่งลงบนอาน  แล้วสอดเท้าข้างขวาเข้าไปในโกลน  เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด

รณจักรออกคำสั่งให้ทหารบังคับม้าเดินเข้าเส้น  ซึ่งหมายถึงการเดินเป็นแถวเรียงเดี่ยวไปรอบสนาม ดวงตาคมกริบจับจ้องทุกคนอย่างเข้มงวด เขานิ่วหน้า หยิบไม้ง่ามสำหรับยิงหนักสติ๊กกับลูกดินขนาดจิ๋วออกมา ยิงไปที่ทหารคนหนึ่งจนฝ่ายนั้นสะดุ้งเฮือก

“กินกุ้งมากี่โลวะ!”

คนถูกดุเพราะขี่ม้าหลังงอรีบยืดตัวขึ้นจนหลังตรงแหน็ว รณจักรมองปราดไปอีกทิศทางหนึ่ง แล้วยิงลูกดินจิ๋วใส่ทหารอีกคน

“เฮ้ย! เสี่ยงเซียมซีรึไง สั่นเป็นเจ้าเข้าเชียวโว้ย”

ทหารที่ตัวโงนเงนไปมาตลอดการขี่ม้ารีบนั่งหลังตรงและบังคับตัวให้นิ่งขึ้นทันที จังหวะเดียวกันนั้นเองมีทหารคนหนึ่งจูงม้ามาแต่ไกล และหยุดลงตรงนอกรั้วสนามฝึก

“ขออนุญาตเข้าสนามครับ!”  เขาตะเบ๊ะด้วยสีหน้ากริ่งเกรงจนเหงื่อแตกพลั่ก

“มาสายขนาดนี้ นาฬิกาตายรึไงวะ!” ผู้กองหนุ่มตะคอก

“ขออนุญาตครับผู้กอง  เมื่อเช้าตอนผมคุมพลทหารใหม่วิ่ง  ใช้เวลานานไปหน่อย เลยกลับมาทำความสะอาดคอกม้าช้ากว่าปกติครับ” คนตอบแก้ตัว

“คุมทหารวิ่งเป็นภารกิจที่ผู้หมู่ต้องทำทุกวันรึเปล่า” รณจักรซักไซ้

“ทุกวันครับ” นายทหารยศร้อยตรีตอบ

“ทำความสะอาดคอกม้าก็ต้องทำทุกวันด้วยใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“งั้นมันก็เป็นภารกิจประจำวันที่แกต้องทำอยู่แล้ว อย่าเอามาอ้าง” เขาเอ็ด

“ขอโทษครับ”

“ถ้าเราต้องไปออกรบ แล้วแกมาผิดเวลานัด จะไปรบชนะใครเขาได้วะ จำไว้ว่าการตรงเวลาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับทหาร เอ้า! วันนี้แกไม่ต้องขี่ม้าหรอก จูงม้าวิ่งตามเพื่อนไป”

คนโดนทำโทษรับคำ ก่อนจะจูงม้าของตนวิ่งตามท้ายแถวทหารที่ขี่ม้าไปตลอดทั้งชั่วโมง

“เมื่อเช้าเหนื่อยหน่อยนะผู้หมู่”

รณจักรตบบ่านายทหารรุ่นน้องซึ่งถูกเขาทำโทษ อีกมือถือผักบุ้งไว้กำหนึ่ง

“ไม่เป็นไรครับ เป็นความผิดของผมเองที่มาสาย คราวหน้าผมจะไม่สายอีกแล้วครับ” ร้อยตรีหนุ่มยิ้มรับ

รณจักรยิ้มตอบ หลังเวลาเลิกงาน ความเข้มงวดก็คลายลงเหลือแต่ความเป็นพี่น้อง รณจักรเดินต่อไปในคอกม้าซึ่งเป็นโรงไม้ขนาดใหญ่เปิดโล่ง มีหลังคาคลุม  จนเจอนายสิบที่คอยดูแลม้าคู่ใจของตน  นายสิบตะเบ๊ะทำความเคารพ เขาจึงตะเบ๊ะตอบ

“แม่ออกจากโรงพยาบาลรึยัง”

“ออกแล้วครับ  เป็นเพราะผู้กองให้เงินค่าผ่าตัด  แม่ผมก็เลยรอด ขอบคุณผู้กองมากนะครับ”

“เรื่องเล็กน่า ดูแลแม่ของแกให้ดีก็แล้วกัน วันหยุดนี้ฉันอนุญาตให้แกกลับไปเยี่ยมท่านที่บ้านได้”

นายสิบขอบคุณเขาอีกยกใหญ่ทีเดียวกว่ารณจักรจะผละจากมาได้ จนมาถึงคอกที่ม้าขาวคู่ใจอาศัยอยู่

“พายุทัต”

เจ้าม้าก้าวเข้ามาหาอย่างยินดีตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเรียกชื่อด้วยซ้ำ มันยื่นศีรษะมาซุกหน้าท้องของชายหนุ่ม เขาจึงตบลำคอของมันเบาๆ พร้อมกับหัวเราะ

“ขี้อ้อนจริงๆ เอ้า! ฉันเอาผักบุ้งมาฝาก”

รณจักรป้อนผักบุ้งให้พายุทัต พูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับการเป็นครูฝึกซึ่งสั่งทหารอย่างเข้มงวดเมื่อเช้าราวกับเป็นคนละคน

เสียงฝีเท้าดังขึ้น  รณจักรจึงหันไปมอง  เห็นเสมียนกองร้อยซึ่งเป็นเสมือนผู้ช่วยของตนยืนรออยู่ห่างออกไป

“ขออนุญาตครับผู้กอง ท่าน ผบ.ทอ. โทร. มาครับ”

รณจักรขมวดคิ้ว ผบ.ทอ. ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงคือ พลอากาศเอก หม่อมราชวงศ์รณพีร์  จุฑาเทพ  ผู้บัญชาการทหารอากาศ  ซึ่งเพิ่งได้รับตำแหน่งหมาดๆ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อปีที่ผ่านมาจบสิ้นลง และ ผบ.ทอ. ท่านนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบิดาของเขาเอง

“ท่านว่ายังไงบ้าง”

“ท่านสั่งว่ามีเรื่องด่วน ให้ผู้กองรีบกลับวังจุฑาเทพครับ”

หม่อมหลวงหนุ่มแห่งจุฑาเทพพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ด้วยหน้าที่ของผู้บังคับกองร้อยทหารม้าซึ่งต้องทำงานตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนถึงเย็นค่ำ บางครั้งก็ต้องดูแลม้าที่อาจเจ็บป่วยได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  เขาจึงเลือก

อยู่บ้านพักในกองพัน และกลับไปที่วังจุฑาเทพในช่วงสุดสัปดาห์

บิดาเข้าใจความจำเป็นดี จึงไม่เคยโทรศัพท์มาสั่งการให้เขากลับบ้านก่อน นี่เป็นครั้งแรก

เกิดอะไรขึ้นที่วังจุฑาเทพกันแน่

เมื่อรณจักรกลับไปถึงบ้านสีขาวซึ่งสร้างขึ้นเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ภายในอาณาเขตวังจุฑาเทพ บิดาก็รออยู่แล้ว ทั้งยังมีน้องชายคนที่สองคือ เรืออากาศตรี หม่อมหลวงรณภูมิ นั่งอยู่ด้วย

รณภูมิเป็นนักบินขับไล่เหมือนบิดา  โดยขับเครื่องบินรบ  F-16 ตามปกติเขาประจำการอยู่ที่โคราช รณจักรจึงแปลกใจที่เห็นรณภูมิในวันนี้

“กลับมาเมื่อไรน่ะภูมิ  ฉันไม่เห็นรู้เลย”  บุตรชายคนโตของแม่ทัพอากาศถามหลังจากทำความเคารพบิดา

“ผมเพิ่งมาเมื่อเช้า  พอดีมีราชการที่นี่  พรุ่งนี้ก็กลับไปแล้วครับ” รณภูมิยิ้มน้อยๆ อย่างคนที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิตย์

รณจักรทรุดกายลงบนโซฟาทางขวามือของบิดา ซึ่งอยู่ตรงข้ามรณภูมิพอดี  ตามปกติแล้วโซฟาตัวยาวตรงกลางในห้องดูโทรทัศน์แห่งนี้นอกจากเป็นที่ประจำของบิดาแล้ว  มักจะมีมารดานั่งอยู่ด้วยเสมอ  แต่ท่านเดินทาง

ไปเยี่ยมน้องสาวคนที่สามของเขา ซึ่งเรียนบัลเลต์ชั้นสูงอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และมีแผนจะบินไปหาน้องชายคนเล็กของเขาซึ่งศึกษาด้านภาพยนตร์อยู่ในสหรัฐอเมริกา

เมื่อหม่อมหลวงหนุ่มแห่งจุฑาเทพนั่งประจันหน้ากัน  ความละม้าย

และความแตกต่างระหว่างพี่น้องก็ชัดเจนขึ้น ทั้งคู่ตัวใหญ่บึกบึนสมเป็นชายชาติทหาร ผิวเข้มพอๆ กัน เพราะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กลางแดด แต่รณภูมิร่างบางกว่าพี่ชายเล็กน้อย  ใบหน้าเหมือนผู้เป็นพ่อมากกว่า  ยิ่งนั่งอยู่ใกล้

บิดา  ก็ดูราวกับจะเห็นภาพรณพีร์ในวัยหนุ่มและวัยห้าสิบเก้าปีมานั่งอยู่เคียงกัน

รณจักรเป็นส่วนผสมที่ดีระหว่างบิดามารดา จะมองว่าเขาคล้ายบิดาก็ได้ คล้ายมารดาก็ถูก แต่ทุกครั้งที่อยู่กับบิดา รณจักรก็ยังรู้สึกว่าท่านช่างหล่อเหลาและสง่างามชนิดที่เขากับน้องๆ เทียบไม่ติด แม้มารดาจะให้กำลังใจอยู่เสมอว่าเขาหล่อกว่าบิดาก็ตาม

“คุณพ่อมีธุระอะไรหรือครับถึงเรียกผมกลับมา” รณจักรนั่งหลังตรงแหน็วตามความเคยชิน

“เรื่องเดิมๆ  นั่นแหละ”  รณพีร์ถอนหายใจ  วงหน้าคมคายฉายแววเหนื่อยล้าอย่างที่คนนอกไม่ใคร่ได้เห็น

“เรื่องทวดอ่อนใช่ไหมครับ” รณภูมิเดา

“อืม...เรื่องนั้นแหละลูก”

“คุณลุงใหญ่ คุณลุงรุจ คุณลุงภัทรพาทวดอ่อนไปตากอากาศที่หัวหินไม่ใช่หรือครับ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า” รณจักรถามเสียงเครียด

“คุณทวดอาการทรุดลงหรือครับ”  รณภูมิหรี่ตามอง  ผู้เป็นพ่อจึงพยักหน้า

“คุณลุงใหญ่เพิ่งโทร.มาเล่าให้ฟังว่า  ทวดอ่อนฝันร้ายอีกแล้วว่าวิไลรัมภามาตะโกนสาปแช่งอยู่หน้าวังจุฑาเทพ  แล้วก็เกิดไฟไหม้ขึ้นในวัง คุณทวดจึงสะดุ้งตื่น  จากนั้นอาการความดันสูงก็กำเริบจนคุณลุงภัทรกับป้าแก้วต้องช่วยกันพยาบาลแทบไม่ได้หลับได้นอน พ่อไม่สบายใจเลยจริงๆ”

คำบอกเล่าของบิดาทำให้คนฟังพลอยเครียดไปด้วย  วิไลรัมภาที่รณพีร์กล่าวถึงก็คือ  หม่อมหลวงวิไลรัมภา  เทวพรหม  อดีตคู่หมายของรณพีร์

หม่อมเจ้าวิชชากรแห่งราชสกุลจุฑาเทพ ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของรณจักร กับหม่อมราชวงศ์เทวพันธ์แห่งราชสกุลเทวพรหม  มีสัญญาต่อกันว่าอยากให้ทั้งสองตระกูลได้เกี่ยวดองกัน โดยหมายมั่นปั้นมือให้บุตรชายทั้งห้าของ

วิชชากรแต่งงานกับทายาทสาวแห่งเทวพรหมอย่างน้อยหนึ่งคน  แต่ก็ไม่สมหวังเลยสักคน จนมาถึงคนสุดท้ายคือรณพีร์ ที่ถูกหมายมั่นให้ลงเอยกับวิไลรัมภาก็เป็นอันต้องคลาดแคล้ว  เนื่องจากรณพีร์พบรักกับเพียงขวัญ

ดาราภาพยนตร์ชื่อดังในสมัยนั้น  ประกอบกับวิไลรัมภาเคยปองร้ายหม่อมเอียดจนเกือบถึงแก่ชีวิต สัญญาระหว่างจุฑาเทพกับเทวพรหมจึงสิ้นสุด

นับจากนั้นเป็นต้นมา เทวพรหมก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ ลูกสาวสองคนในจำนวนสามคนของเทวพันธ์หายสาบสูญ เขาจึงตรอมใจจนป่วยหนัก ทั้งยังมีจดหมายจากวิไลรัมภาส่งมาสาปแช่งราชสกุลจุฑาเทพให้ถึงแก่หายนะ ด้วยเหตุที่ทำให้เทวพรหมต้องตกต่ำ สร้างความไม่สบายใจให้แก่อ่อนในวัยชราจนเจ็บออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่นั้น

อ่อนขอร้องให้ทายาทจุฑาเทพช่วยกันตามหาบุตรสาวทั้งสองของเทวพันธ์ที่หายไป เพื่อพามาพบนางและเทวพันธ์ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง ในช่วงแรกทุกคนช่วยกันตามหา แต่ยังไม่พบ วิไลรัมภาก็ส่งจดหมายขู่อาฆาตมาอย่าง

ต่อเนื่อง  คุณชายทั้งหลายจึงปรึกษากันและได้ข้อสรุปว่าจะไม่ตามหาพวกเธออีก โดยเฉพาะวิไลรัมภา ด้วยเกรงว่าการพาวิไลรัมภาซึ่งมีเจตนาร้ายต่อจุฑาเทพมาพบอ่อนจะไม่เป็นผลดี  อาจทำให้อ่อนอาการทรุดลงกว่าเดิม

(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

จู่ๆ ร้อยเอก หม่อมหลวงรณจักร จุฑาเทพ
ทหารม้าหนุ่มโสด...อดีตนายแบบที่บรรดาหญิงสาวคลั่งไคล้
ต้องจับพลัดจับผลูกลายเป็นผู้ปกครองของส้มจี๊ด
เด็กสาวจอมเฮี้ยวที่จี๊ดจ๊าดสมชื่อ
บุคคลเดียวที่จะช่วยเขาได้ มีเพียง ‘ยายหมูพุก’
เด็กหญิงอ้วนท้วนเจ้าน้ำตาในอดีตที่เขาเคยกลั่นแกล้งอยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งบัดนี้คือครูใจพิสุทธิ์ ผู้มีเรียวขาสวยที่สุดเท่าที่รณจักรเคยเห็น
แม้ใจพิสุทธิ์มีชาติกำเนิดน่าเคลือบแคลง
ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อราชสกุลจุฑาเทพ
แต่ทหารม้าหนุ่มก็ไม่หวั่น
ยังคงมุ่งมั่นหาวิธีเอาชนะใจหญิงสาวให้จงได้
เพื่อให้รักแรกที่เขามีต่อใจพิสุทธิ์กลายเป็นรักนิรันดร์
ด้วยพระพรหมลิขิตไว้...
ว่ารณจักรคือหนึ่งใน...ดวงใจเทวพรหม

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024