ซ่านเสน่หา (มัญชุดา)

ซ่านเสน่หา (มัญชุดา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160021796
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 360.00 บาท 90.00 บาท
ประหยัด: 270.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

รถแท็กซี่จอดชิดประตูรั้วให้ร่างที่ก้าวลงและยื่นเงินมาให้นั้นเข้าไปได้สะดวก ประตูรั้วเหล็กบานเล็กถูกเปิดออกให้คนที่หอบเอกสารเต็มสอง มือลอดผ่านเข้าไป เบื้องหน้าคือบ้านไม้ครึ่งปูนสองชั้นขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ส่วนบนทาสีฟ้าจัด ถนนปูนลาดยาวจดบริเวณที่ปูไม้สีฟ้าเฉดเดียวกัน ต้นไม้ ในกระถางตั้งเรียงตลอดทางอวดสีสันแข่งกันรับเวลายามเย็นซึ่งท้องฟ้า เปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม สายตาแลเห็นรถญี่ปุ่นป้ายแดงจอดรออยู่ รองเท้าที่ถูกโยนไปข้างทางยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของรถกลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

 

หล่อนหยุดยืนอยู่หน้าประตูเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอดลึก กระชับ เอกสารในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ผมที่ปล่อยยาวถึงกลางหลังขึ้นเหงื่อจากการ เดินทางยาวนานนับชั่วโมง ถึงเครื่องปรับอากาศในรถแท็กซี่จะทำงานได้ไม่ดีนัก ก็ไม่ใช่สาเหตุหลักของความอ่อนล้าทั้งกายและใจ และสาเหตุนั้นก็เดินทางมาถึงเร็วกว่าที่คิดเอาไว้

 

“ลื้อมัวยืนทำอะไรหน้าบ้าน อาเคี้ยงกลับมาตั้งนานแล้วยังไม่มีใครหาข้าวหาปลาให้กินเลย”

เสียงแหลมสูงคุ้นหูดังขึ้นก่อนร่างอวบอัดของสตรีวัยหกสิบในชุดแพร จีนสีแดงสดที่โบกพัดในมือไปมาจะก้าวอย่างเชื่องข้าออกมา คิ้วเรียวเขียนดัวยสีดำเข้มโก่งเป็นเส้นโค้งชัดเจน ตัดกับหน้าขาวและริมฝีปากแดง

“ลื้อเป็นเมียภาษาอะไรวะอาหลิน กลับบ้านทีหลังผัว ให้ผัวมารอ”

เมื่อถูกตำหนิหล่อนก็ชะโงกหน้าเข้าไปมองนาฬิกาบนผนัง...เกือบหกโมงเย็นเป็นเวลาปกติในการกลับบ้านของหล่อนไม่ใช่หรือ หญิงสาวตอบด้วยเสียงเบาอย่างเคย “หลินกลับจากทำงานเวลานี้ตลอดนะอาม้า เฮียต่างหากที่กลับเร็ว”

พัดในมือปิดดังฉับก่อนจะตวัดไปชี้หน้าหญิงสาวห่างเพียงไม่กี่นี้ว “เดี๋ยวนี้ลื้อเถียงอั๊วเหรอ อาป๊ากับอาม้าลื้อไม่ได้สอนรีไงว่าเป็นเมียต้อง ปรนนิบัติผัว อั๊วไม่สนว่าอาเคิ้ยงอีจะกลับเมื่อไหร่ แต่ลื้อเป็นเมียมีหน้าที่ ต้องกลับก่อนผัว ลื้อกลับช้า อาเคิ้ยงอีก็หิ้วท้องรอ อีทำงานมาเหนื่อยๆ ลื้อ ผิดก็ยังเกียง”

หล่อนเกือบจะถอนหายใจออกมาอยู่แล้ว ดีที่เก็บมันเอาไว้ได้ทัน การ เกียงกับผู้หญิงตรงหน้าเป็นเรื่องโง่เขลา เพราะไม่ว่าจะยกเหตุผลมามากมาย ลักแค่ไหนก็ไม่เคยเป็นที่ถูกใจ..กิมเน้ยเลี้ยงลูกเหมือนพระเจ้า คมชาญถูกทุกอย่าง ขณะที่ลูกสะใภ้ไม่มีลิทธิแม้แต่จะทวงถามหรืออธิบายความจริง ตลอดเวลาสองปีที่แต่งงานเข้ามาในบ้านนี้ ลลิตาเรียนรู้ว่าการอยู่อย่างไม่มี ปากมีเสียงและทนฟังคำด่าที่หาสาระไม่ได้นั้นง่ายกว่า ดังนั้นหญิงสาวจึง พยักหน้ารับคำ

“ค่ะอาม้า เดี๋ยวหลินจะไปเตรียมข้าวให้เฮีย” พอจะก้าวเข้าไปแม่สามีก็โวยลั่น

“โอ๊ย ไม่ต้องแล้ว อาเคี้ยงอีไม่รอเมียอย่างลื้อหรอก อีแต่งตัวจะออก ไปหาอะไรกินข้างนอกแล้ว ลื้อมัวแต่ชักช้านะอาหลิน ทำอะไรก็ช้า คิดอะไร ก็ช้า ไม่ทันใจอีสักอย่าง อย่างนี้สิอีถึงได้เบื่อลื้อนัก อ้าว...อย่าเดินหนีอั๊วนา

อาหลิน อั๊วยังว่าลื้อไม่จบ”

ใครจะบ่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเถิด แต่การรู้ว่าสามีจะไม่อยู่บ้านพาให้ หล่อนก้าวขึ้นไปที่ชั้นสอง ประตูห้องนอนเปิดขณะที่บุรุษหนุ่มผู้ถูกเอ่ยนาม กำลังจะก้าวสวนออกมาพอดิบพอดี ลลิตาชะงักมองสามีตั้งแต่ศีรษะจด ปลายเท้า เขาสวมเสื้อตัวใหม่ พรมน้ำหอมจนกลิ่นฟุ้ง...คมชาญเองก็เหลือบ มองภรรยาเช่นกัน เขาเป็นหนุ่มผิวขาว ตาตี่เล็กตามแบบลูกคนจีนทั่วไป แต่ เพราะรู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวและรู้จักเข้าสังคมจึงจัดว่าเป็นคนดูดีคนหนึ่ง

“เฮียจะไปไหน” ปากถามออกไปทำไมก็ไม่ทราบทั้งที่คำตอบนั้น

ตายตัว

“ยุ่งน่า เฮียจะไปกินข้าวกับเพื่อน ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อเฮียนะ ถ้าอาม้าถามก็บอกว่าเฮียไปประชุมกับลูกค้าก็ได้ จะได้ไม่ต้องซักมาก” เขาโบ้ย ความรับผิดชอบให้ภรรยาทันที

หล่อนวางของลงบนโต๊ะ จะว่าชินก็คงชินอยู่บ้าง แต่จะว่าเฉยชาเลย คงไม่ใช่ “รอสักสิบนาทีได้ไหมเฮีย ขอหลินอาบน้ำก่อน หลินจะไปกับเฮีย”

เขานิ่งไปชั่วครู่แล้วโบกมือไปมา

“ไม่ต้อง” เสียงนั้นเกือบเป็นตวาด “เพื่อนกลุ่มนี้ของเฮีย หลินไม่รู้จัก หรอก ไปก็นั่งเฉยๆ ไม่ได้คุยกับใคร อยู่บ้านนี่แหละ จะได้ช่วยเฮียดูแลอาม้าด้วย หลินจะเอาแต่ตัวเองสบายไม่ได้ ต้องรู้จักทำเพื่อคนอื่นด้วย เฮียไปไม่เกินสามทุ่มก็กลับ”

การต่อว่านั้นเกือบทำให้ภรรยายิ้มเยาะ ใครกันแน่ที่เอาแต่ตัวเอง สบาย เขาเดินตัวปลิวออกไปกินข้าวกับเพื่อนขณะที่แม่กับเมียยังไม่รู้ว่า วันนี้จะกินอะไร หนึ่งปีให้หลังมานี้ลลิตานับวันที่เขากลับมากินข้าวที่บ้านได้ กิมเน้ยเข้าใจว่าบุตรชายติดงานต้องประชุมทุกวัน แต่ภรรยาอย่างหล่อนรู้ดี แก่ใจว่าสามีออกไปเมาเหล้าเข้าผับ หรือไม่ก็เตร่อยู่แถวอาบอบนวดนั่นแหละ ที่รู้เพราะเวลาเอาเสื้อผ้าสามีไปซักมักจะเจอบัตรสมนาคุณจากสถานเริงรมย์ ทั้งหลายที่ให้มาเพื่อลดราคาครั้งต่อไป บางคราวเขาก็ลงทุนสมัครเป็นสมาชิกวีไอพีของคลับเสียด้วยซ้ำ

“ตามใจเฮียก็แล้วกัน เฮียจะให้หลินเตรียมข้าวไว้ให้ตอนกลับมาไหม”

เขานิ่งคิดแล้วส่ายหน้า ยิ้มราวกับโล่งใจที่ภรรยาไม่ติดตามออกไป นอกบ้าน ก่อนจะแบมือ “ไม่ต้องหรอก หลินแค่รอเปิดบ้านให้เฮียก็พอ เพราะเฮียไม่เอากุญแจไปด้วย แต่อย่าให้อาม้ารู้นะว่าเฮียกลับดึก ช่วยดูให้อาม้าเข้านอนก่อนสองทุ่มด้วย เอ่อ...พอมีให้เฮียยืมก่อนสักสามพันไหมเดี๋ยวสิ้นเดือนเฮียขออาม้ามาคืนให้”

ลลิตามองตามสามีขณะหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า ในนั้นมีอยู่สี่พัน หล่อนกำลังหยิบตามจำนวนที่เขาขอแต่มือหนาเอื้อมมาหยิบไปจนหมด กระเป๋า และเทของออกเพื่อให้แน่ใจว่าหล่อนมีอยู่เท่านั้น

“สี่พันก็ดี ติดกระเป๋าไว้”

“ขอหลินคืนพันหนึ่งก่อนเฮีย อันนั้นอาม้าให้หลินไว้ซื้อของเข้าบ้าน” เงินกองกลางที่เบิกออกมาซื้อของเป็นรายสัปดาห์โดยหล่อนเป็นผู้ควบคุมการใช้จ่าย

เขาปัดมือภรรยา ไม่สนใจว่าหล่อนมีความจำเป็นต้องใช้เงินหรือไม่ “บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวสิ้นเดือนเฮียคืน หลินอย่าเป็นคนเข้าใจอะไรยากอย่างนี้สิ พรุ่งนี้หลินไปขออาม้าใหม่ก็ได้ หรือไม่ก็เอาเงินตัวเองออกไปก่อนยังไงไอ้ที่ซื้อมาหลินก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน จะมาหวังเกาะอาม้ากับเฮียกินอย่างเดียวไม่ช่วยกันออกมันก็เกินไป ครั้งนี้หลินออกเองเท่านั้นก็จบ”

นอกจากจะไม่สนใจแล้วเขายังทวงบุญคุณอีก ทำเอาลลิตานิ่งอึ้งพูด อะไรไม่ออก ได้แต่มองสามีเอาเงินตัวเองใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินผิวปาก ออกจากห้องไป ร่างแบบบางทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ครอบครัวของ คมชาญใช่ว่าจะยากจน มีธุรกิจร้านขายข้าวอยู่ในย่านเยาวราช ญาติส่งเงินกงสีมาให้ทุกเดือนเป็นค่าใช้จ่าย ตัวเขาเองก็เป็นถึงผู้จัดการธนาคาร แต่เงินทุกบาทของสามีไม่เคยกระเด็นมาถึงคนที่บ้านเลย หลายเดือนให้หลังมานี้ช่วงใกล้สิ้นเดือนเขายังอับจนถึงขั้นต้องขอเงินหล่อนใช้ แต่ไม่กล้าไปขอมารดาเพราะกลัวเสียภาพพจน์ลูกที่ดี แล้วไอ้ที่ว่าจะใช้ให้ตอนสิ้นเดือนก็ เหลวไม่เป็นท่าทุกครั้ง สี่พันบาทคราวนี้คงไม่ได้คืนเช่นเดียวกัน แค่คิดว่า พรุ่งนี้จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของ...หล่อนก็แทบหมดแรง

เข็มสั้นกระดิกอย่างเชื่องช้าผ่านเลขสองมาเกือบครึ่ง ขณะที่เข็มยาว กำลังจะข้ามเขตของเลขห้าไปหาเลขหก แต่ยังไร้เงาของคมชาญ ลลิตานั่ง อ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้ในห้องโถง และพยายามห้ามไม่ให้ตาปิด ทั้งที่ควรจะขึ้นไปนอนตั้งแต่สามทุ่มครึ่งแล้วด้วยซํ้า แต่ถ้าเขากลับมาในสภาพเมามายแล้วไม่มีใครคอยเปิดประตูให้จะกลายเป็นเรื่องขึ้นมาอีก หญิงสาวลุกขึ้น ไปล้างหน้าและดื่มน้ำเย็นเพื่อปลุกให้ตัวเองตื่น แต่เทน้ำยังไม่ถึงปากแก้วเลยด้วยซ้ำตอนที่แสงวับแวมลอดผ่านหน้าต่างบานเกล็ดของห้องโถงเข้ามา เสียงรถสามีจอดอยู่หน้าบ้าน ฝ่ายภรรยาจึงรีบกุลีกุจอออกไปเปิดประตูรั้ว รถพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วทันทีที่ประตูเหล็กเปิดกว้างพอ เฉียดตัวหล่อน จนชุดนอนที่ทำจากผ้าเนื้อบางปลิวสะบัด

“หลินๆ ชักช้าอะไรอยู่วะ”

สามีตะโกนเรียกขณะที่หล่อนกำลังปิดประตู ก่อนจะวิ่งไปหาคนที่ เปิดประตูรถอ้าไว้ กลิ่นเหล้าโชยออกมา แสงไฟจากในรถส่องให้เห็นว่าหน้าเขาแดงจัด หล่อนมีเวลาแค่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วก้มลงไปดึงแขนเขา มาพาดคอประคองออกจากรถ แต่คนเมายังโวยวาย

“ชักช้าจริงโว้ย ง่วงจะตายชัก”

เวลาเมาคมชาญก็ไม่ต่างกับคนอื่นนัก เขาหยาบคายอย่างที่เวลามีสติ จะไม่มีทางทำ บางคราวไร้สติไปเลยก็มี ดังเช่นในตอนนี้ที่หญิงสาวต้องทน ฟังคำสบถหยาบคายมากมายจากปากสามีขณะประคองกึ่งลากเขาขึ้นไปที่ ห้องนอนชั้นบนของบ้าน ชายหนุ่มไม่ใช่คนตัวใหญ่ ทว่าลลิตาเองต่างหากที่ บอบบาง ดีที่หล่อนสูง แต่ก็ผอมจนสู้แรงคนเมาไม่ไหว หลังจากวางร่างนั้น ลงบนที่นอนสำเร็จก็ปาดเหงื่อที่ไหลซึม หล่อนถอดเสื้อผ้าเขาออกแล้วยกกะละมังเล็กใส่น้ำมาเช็ดตัวให้

คนเมายังโวยวาย มือปัดป่ายอย่างรำคาญใจ พอหล่อนดึงคอเสื้อที่ ปลดกระดุมออกก็ชะงักเพราะเห็นรอยลิปสติกชัดเจน มันพร่างพรมจากหลังหูจนถึงอก มือที่กำผ้าเช็ดตัวสั่นระริก น้ำตาเหมือนจะเอ่อออกมาแต่ยังก้ม หน้าเช็ดตัวให้เขาต่อไป ทั้งที่ถามตัวเองบ่อยครั้งว่ายังไม่ชินอีกหรือ จะเรียก ว่าอะไรดี นอกใจหรือแค่นอกกาย ลลิตาปลอบตัวเองด้วยประโยคนี้เสมอ อย่างน้อยเขาก็ยังให้เกียรติ ไม่เคยพาผู้หญิงที่ไหนมาเยาะเย้ยให้หล่อนอับอาย

กว่าจะจัดการให้อีกฝ่ายสงบลงได้ก็จวนจะตีสี่ แทบไม่มีเวลานอน ด้วยซ้ำเพราะอีกครึ่งชั่วโมงแม่สามีก็จะตื่น หล่อนต้องออกไปเตรียมกับข้าว และกลับมาอาบน้ำอาบท่าเพื่อไปทำงานให้ทันตอนหกโมงเช้าก่อนที่รถจะติด

พอตีสี่ครึ่งกิมเน้ยก็เดินลงมาจากห้องนอนของตัวเองตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน แต่วันนี้ลูกสะใภ้ยังจัดการงานบ้านที่ควรจะเสร็จแล้วไม่เรียบร้อย ความไม่พอใจแล่นขึ้นมาบนหน้าก่อนที่ร่างอวบอัดในชุดผ้าแพรสีเขียวเข้ม จะเดินเข้าไปในครัว ซึ่งสะใภ้กำลังครํ่าเคร่งอยู่หน้าเตา แต่เพราะง่วงจัดจน ตาเกือบปิดจึงไม่ได้ยินว่าแม่สามีตะโกนเรียกอยู่ที่หน้าครัว จนกระทั่งอะไร บางอย่างลอยมากระแทกต้นแขนนั่นแหละหล่อนจึงสะดุ้งแล้วทันไปมอง

“มีหูเอาไว้ทำอะไรถ้าเรียกแล้วไม่ได้ยิน” เสียงด่าแผดสั่น

“ขอโทษค่ะอาม้า หลินเหม่อไปหน่อย”

“อั๊วเรียกคอแทบแตก ลื้อบอกว่าเหม่อ ลื้อนี่มันใช้ไม่ได้’ พูดแล้วก็ ขยับเข้าหาอีกฝ่ายซึ่งตนชี้พัดจ่อหน้าอยู่ “ทำงานในครัวแล้วเหม่อแบบลื้อ ถ้าไฟไหม้บ้านอั๊วขึ้นมาใครจะรับผิดชอบฮะอาหลิน โอ๊ย...อั๊วไม่รู้จะด่าลื้อ ยังไงแล้ว ทำไมอาเคี้ยงเลือกลื้อมาเป็นเมียก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจอั๊วสักอย่าง”

ลลิตาไม่ได้โต้ตอบอะไร ตั้งแต่แต่งงานเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้สองปี หล่อนได้ยินแม่สามีด่าคำนี้มาแล้วไม่รู้กี่หน ถ้าจะโดนอีกสักครั้งก็ไม่เสียหาย หรือน่าเสียใจอะไรนัก บางคราวหล่อนก็นึกสนับสนุนด้วยว่าเหตุใดหนอ

ผู้ชายอย่างคมชาญจึงเลือกหล่อนมาเป็นภรรยา

พอด่าจนสาแก่ใจคนสูงวัยก็ถามหาลูกรัก “อาเคี้ยงยังนอนอยู่หรือ”

“ค่ะ อาม้าจะให้ปลุกไหมคะ”

“ไม่ต้อง ผัวทำงานมาเหนื่อยๆ ก็ให้อีนอนพัก จะไปรบกวนอีทำไม อั๊วไม่คุยกับลื้อแล้ว อารมณ์เสีย!” พูดจบกิมเน้ยก็ออกจากครัวไปนั่งอยู่หน้า จอโทรทัศน์และเปิดดูรายการยามเช้า

ถ้าแม่สามีเห็นใจหล่อนอย่างลูกชายตัวเองบ้างก็คงจะดี คิด...ได้แค่ คิดเท่านั้น

เจ็ดโมงครึ่งหญิงสาวก็เดินทางมาถึงที่ทำงานที่หล่อนเป็นพนักงาน แผนกบัญชี ห้องนั้นยังโล่งไม่ค่อยมีคนนัก พอแก่การฟุบหลับที่โต๊ะทำงาน สักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี แปดโมงเช้าพนักงานคนอื่นทยอยเข้ามาแล้ว หญิงสาวได้ยินเสียงพูดคุยก็เหมือนนาฬิกาปลุกให้ตื่นเพื่อเริ่มต้นทำงานตามปกติ ทว่าเค้าลางของความวุ่นวายก็มาเยือน ช่วงพักเที่ยงหลังจากกินข้าวเสร็จหล่อนมักเป็นคนแรกที่ขึ้นมาทำงานเสมอ แต่กลับเห็นเจ้านายยืนรออยู่ที่โต๊ะ

                “คุณลลิตา ตามไปพบผมที่ห้องทำงานหน่อย” เจ้านายพูดเสียงเรียบเฉียบขาด

หล่อนทำได้แค่พยักหน้ารับคำ ขณะที่สมองพยายามจินตนาการว่า ตัวเองทำความผิดอะไรเอาไว้ หรือตัวเลขบัญชีเดือนนี้ที่เพิ่งส่งไปผิดพลาด ทั้งที่ทวนหลายรอบแล้วกระนั้นหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่พยายามค้นหาคำตอบแทบตายก็จนใจ สูไปถามต่อหน้าเลยดีกว่า...หญิงสาวเดินตามเจ้านายเข้าไปในห้อง ผู้จัดการบริษัทเป็นชายวัยเกือบห้าสิบ รูปร่างดีผมดำแซมขาวปัดเสยไปทางด้านหลัง ดวงตารีเรียวหรี่มองพนักงานที่ตัวเองเรียกพบด้วยท่าทางไม่พอใจนัก การเรียกพนักงานที่ทำผิดเป็นเรื่องปกติของการทำงาน เพียงแต่หญิงสาวไม่ทันนึกว่าจะถึงคิวของตัวเอง

"ทราบไหมว่าผมเรียกคุณมาทำ ไม"

โปรดติดตามต่อในฉบับ...

 

 

รายละเอียด

หัวใจลลิตาปริร้าวดังแก้วแตก เพราะถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจจากสามีที่ไม่รู้จักพอ กับแม่สามีจอมบงการ ซ้ำยังถูกอาป๊าประกาศตัดพ่อตัดลูก เพราะหล่อนต้องการหย่า เขาเชื่อว่าวงศ์ตระกูลต้องอับอายที่ลูกสาวถูกสามีทิ้ง ชีวิตที่เกิดมาภายใต้คำสั่งและความต้องการของผู้ชายตั้งแต่เกิดจนโต ทำให้หล่อนอยากพิสูจน์ให้อาป๊าเห็นว่าลูกสาวคนนี้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ชาย ทว่าการออกมาเผชิญโลกภายนอกไม่ง่ายดายสักนิด หล่อนสูญเสียงานด้วยทำร้ายเจ้านายที่ล่วงเกิน จนต้องไปเป็นพริตตี! ที่นั่น หญิงสาวได้พบชายผู้เข้ามาเยียวยาหัวใจแสนบอบช้ำ ความรักของเขาเปลี่ยนแปลงและผลักดันให้หล่อนก้าวพ้นอุปสรรคต่างๆ แต่นั่น ยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ... หล่อนต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น ชีวิตที่ไม่ต้องเดินตามคำสั่งของใคร ไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์ของใคร และที่สำคัญที่สุด ความรักและการยอมรับจาก...อาป๊า


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024