เพลงดอกปีบ (ลัลลบาย)

เพลงดอกปีบ (ลัลลบาย)

1 รีวิว  1 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160006069
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 220.00 บาท 55.00 บาท
ประหยัด: 165.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

               แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

 

ควันสีดำอมเทาที่พวยพุ่งออกจากปล่องยาวสีขาวทรงหกเหลี่ยม

ทางด้านบนของเมรุคลี่ตัวปกคลุมท้องฟ้าสีอ่อนมัวซัวให้ยิ่งดูหม่นหมอง

บรรยากาศแห่งการจากลาซึ่งหดหู่อยู่แล้วยิ่งทวีความอาดูรเมื่อเสียงร่ำไห้

ดังระงมขึ้นอีกคำรบ บิดามารดาและญาติสนิทของผู้เสียชีวิตยืนโอบกอด

กันร้องไห้พลางทอดตามองควันที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า การจากไปอย่าง

กะทันหันของชายหนุ่มนักเรียนนอกผู้ซึ่งกำลังจะก้าวไปเป็นอาจารย์ใน

มหาวิทยาลัยชื่อดัง บุคคลที่กำลังจะนำความภาคภูมิใจมาสู่ครอบครัว

ดูเป็นเรื่องยากจะทำใจ แต่อุบัติเหตุบนท้องถนนที่ไม่มีใครอยากให้เกิด

ก็พรากอาจารย์หนุ่มอนาคตไกลไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ

หญิงสาวร่างสูงเพรียวในชุดกระโปรงอัดพลีตเย็บติดกันกับตัวเสื้อ

แขนพองสีดำยืนสงบนิ่งอยู่ตรงเชิงบันไดทางลงด้านหนึ่งของเมรุ ใบหน้า

รูปไข่สวยหวานทว่าซีดเซียวแหงนมองตามควันสีเทาดำที่ค่อยๆ ลอยลับตา

ไปด้วยความโศกเศร้า ดวงตาบวมช้ำบ่งบอกถึงการร้องไห้อย่างหนักมา

หลายวันทอดมองไปทั่วท้องฟ้าสีหม่นราวกับจะมองหาใครคนหนึ่งที่อยู่

บนนั้น...ใครคนนั้นที่เพิ่งจากไป

“กลับเถอะแม่ วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว พรุ่งนี้เช้าเราค่อยมาเก็บกระดูก

ชวินทร์พร้อมกัน” ชายวัยห้าสิบเศษท่าทางภูมิฐานเอ่ยพลางประคองหญิง

สูงวัยอายุไล่เลี่ยกันในชุดผ้าไหมสีดำสนิทให้ออกเดิน มือหนาลูบหลังไหล่

ภรรยาที่ในมือยังถือผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กขลิบลูกไม้คอยซับตรงหัวตา

“วิน...วินลูกแม่...” เสียงครวญคร่ำสะอื้นโหยของคนเป็นแม่สะท้อน

เข้าไปในอกของทุกคนที่ได้ยิน

“เพราะยายน้องดาแท้ๆนะคะคุณแม่ ถ้าพี่วินไม่ขับรถมาหายายเด็ก

นั่นตอนกลางคืน เรื่องทุกอย่างก็คงไม่เกิด เพิ่งคบกันได้ไม่ทันเจ็ดวัน

ก็พาความซวยมาให้ซะแล้ว ดูสิ ยังมายืนหัวโด่ทำหน้าเศร้าในงานศพได้

อีก” หญิงสาวอีกคนร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางตวัดสายตามาทางเจ้าของ

ใบหน้าสวยหวานในชุดกระโปรงพลีตสีดำซึ่งอายุอานามคงไม่ห่างกันนัก

แล้วว่ากระทบอย่างไม่เกรงใจ

ศศิรดาไม่โต้เถียงหรือตอบโต้ใดๆ ทำเพียงยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นอยู่

อย่างเดิม เธอเข้าใจจิตใจของผู้สูญเสียได้ดี จึงไม่นึกโกรธต่อถ้อยคำที่

ดูเหมือนจะโยนความผิดที่ไม่ได้ก่อมาให้

แต่จะว่าไป...เธออาจจะเป็นสาเหตุของความสูญเสียครั้งนี้จริงๆ ก็ได้

“ไม่เอาน่ายายนุช เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับน้องดาเสียหน่อย ตาวินขับรถ

ไม่ระวังเอง ไม่เกี่ยวกับใครเลย” คนเป็นพ่อซึ่งดูมีเหตุผลมากกว่าคนอื่น

ปรามเบาๆ “พาแม่กลับไปพักผ่อนได้แล้ว แม่เหนื่อยมาหลายวัน เมื่อคืน

ก็แทบไม่ได้นอน เดี๋ยวจะพลอยไม่สบายไปอีกคน”

เหมือนชัญญานุชเพิ่งนึกได้จึงรีบเข้าประคองมารดาเดินออกไป

ทางลานจอดรถซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณเมรุเผาศพไม่มากนัก

“อย่าคิดมากนะหนู ตาวินคงดีใจถ้าพรุ่งนี้หนูจะไปลอยอังคารกับ

ครอบครัวเรา...ไปส่งวินเป็นครั้งสุดท้าย” ชายสูงวัยหันมาปลอบใจ

หญิงสาวผู้คล้ายจะตกเป็นจำเลยอยู่กลายๆ

ศศิรดาพนมมือไหว้ “ขอบคุณค่ะคุณลุง แต่หนูขอส่งพี่วินที่นี่เลย

ดีกว่า ครอบครัวของคุณลุงน่าจะสบายใจมากกว่าถ้าไม่มีหนูไปด้วย”

บิดาของชวินทร์ถอนใจแต่ก็ไม่เซ้าซี้ “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ลุงไป

ก่อนนะ แล้วก็อย่าคิดมากล่ะ อย่าโทษตัวเอง เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่

ความผิดของใครทั้งนั้น มันเป็นอุบัติเหตุ หนูเข้าใจนะ”

“ค่ะ หนูเข้าใจ ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ”

เจ้าหน้าที่วัดช่วยกันเก็บดอกไม้สดสีม่วงอ่อนที่ประดับอยู่ตามราว

บันไดและเชิงบันไดทางขึ้นลงเมรุออกเพื่อให้สะดวกแก่คนที่จะมาทำพิธี

ในวันรุ่งขึ้น พวงหรีดเก่าๆ และดอกไม้ประดับหน้าศพถูกเข็นไปกองรวม

กับพวงหรีดและดอกไม้ที่ไม่ใช้แล้วจากศาลาอื่นทางด้านหลัง เด็กหนุ่ม

เจ้าหน้าที่วัดซึ่งดูจะอ่อนวัยที่สุดเดินถือถุงพลาสติกใสใบเขื่องคอยเก็บ

แก้วน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่วางระเกะระกะอยู่ใต้เก้าอี้เหล็กใส่ลง

ในถุง ก่อนทำความสะอาดศาลาและตระเตรียมสถานที่สำหรับงานสวดศพ

ที่เจ้าภาพอีกรายจองศาลาไว้ในค่ำคืนนี้

แขกเหรื่อตลอดจนเจ้าภาพทยอยกันกลับไปหมดแล้ว เหลือเพียง

ศศิรดาที่ยังนิ่งมองควันสีเทาจางๆ ที่ปลายปล่องเมรุสีขาวนั้นคล้ายจะ

สื่อสารถ้อยคำในใจไปถึงผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้าย

...น้องดาขอโทษนะคะพี่วิน ทั้งๆ ที่น้องดาเองก็รู้ว่าไม่ควรรักกับ

พี่วินเลย แต่น้องดาก็ยังปล่อยให้มันเกิดขึ้น...ทั้งๆ ที่รู้...

ศศิรดาซบหน้าลงกับฝ่ามือก่อนจะปล่อยให้น้ำร้อนๆ จากดวงตา

ไหลออกมาอีกครั้ง

ชัญญานุชพูดถูก เพราะชวินทร์มารักกับเธอ เขาถึงต้องพบจุดจบ

เช่นนี้ หญิงสาวไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ เกิดอะไรขึ้น

กับความรักของเธอที่ดูราวกับต้องคำสาป

เริ่มตั้งแต่วสุพล...หนุ่มน้อยคนแรกที่เข้ามาติดพันเธอเมื่อครั้งเรียน

มัธยมฯ ปลายอยู่ด้วยกัน และเธอก็มีใจให้เขา แต่เมื่อเขาเอ่ยปากฝากรัก

และเธอรับรักเขาได้ไม่ถึงเจ็ดวัน วสุพลก็มีอันต้องย้ายโรงเรียนตาม

ครอบครัวไปอย่างกะทันหัน และขาดการติดต่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ณัช...ชายหนุ่มคนที่สองในรั้วมหาวิทยาลัย เธอกับเขาเรียนอยู่คณะ

เดียวกัน คบหากันอย่างเพื่อนสนิทอยู่ถึงสามปี และในที่สุดความใกล้ชิด

ก็ทำให้ความสัมพันธ์เริ่มเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเขากับเธอตกลงคบกันในฐานะ

คนรักได้ไม่ถึงเจ็ดวัน ศศิรดาก็ได้รู้ว่าครอบครัวของณัชถูกฟ้องล้มละลาย

และเป็นหนี้เป็นสินอีกหลายสิบล้าน บิดามารดาของณัชต้องหนีไปต่างประเทศ

ไม่อาจกลับเมืองไทยได้อีก และนั่นรวมถึงเพื่อนชายของเธอด้วย

สุดท้าย...ชวินทร์...ชายหนุ่มที่รู้จักคบหากันตอนไปเรียนเมืองนอก

ก็ต้องถูกความตายพรากไปจากเธอเมื่อเขาบอกรักเธอและเธอตอบรับรักได้ไม่ถึงเจ็ดวัน

ครั้งแรก ศศิรดาคิดว่ามันเป็นเพียงความบังเอิญ แต่เมื่อเหตุการณ์

เช่นนี้เกิดขึ้นถึงสามครั้งสามครา จะให้หลอกตัวเองต่อไปว่ามันเป็นความ

บังเอิญก็คงไม่ได้ ถึงวันนี้ เธอรู้แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ต้องคำสาปในเรื่องของความรัก

ใครที่บอกรักเธอและเธอตอบรับรักจะต้องถูกพรากไปภายในเจ็ดวัน!

ไม่จากเป็นก็จากตาย!

และสิ่งที่แปลกประหลาดอีกอย่างที่เธอไม่กล้าบอกใครแม้กระทั่ง

พ่อกับแม่ก็คือ ทุกครั้งที่เธอรักใคร ความเจ็บร้าวปวดแปลบจะเกิดขึ้น

ที่ตรงตำแหน่งหน้าอกด้านซ้ายอันเป็นที่ตั้งของหัวใจทุกครั้ง...เจ็บเหมือน

ใครเอามีดคมกริบมากรีดแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนบางครั้งก็แทบทนไม่ไหว

เธอเป็นผู้หญิงต้องคำสาปที่ไม่อาจมีรักได้!

“กลับเถอะโยม เย็นมากแล้ว”

เสียงเรียบเย็นเปี่ยมเมตตาดังขึ้นเบาๆ ที่ด้านหลัง ดึงศศิรดาให้ตื่น

จากภวังค์ เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเธอจำได้ว่ามาร่วม

สวดศพให้ชวินทร์ตลอดเจ็ดคืนที่ผ่านมายืนสงบนิ่งอยู่ ผ้าเหลืองที่ห่ม

คลุมกายดูผุดผ่องกระจ่างตาเหลือเกินในแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์

“หนูกำลังจะกลับแล้วค่ะหลวงพ่อ” ศศิรดาปาดน้ำตาอย่างลวกๆ ก่อนพนมมือไหว้

“คงจะมีทุกข์หนักใช่ไหม”

“คือหนู...”

“กรรมคือการกระทำ เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล บ้างก็ก่อให้เกิดผล

ในภพนี้ บ้างก็ส่งผลไปยังภพหน้าหรือภพต่อๆ ไป บางคนเป็นเจ้ากรรม

นายเวรก็ผูกกรรมกันมา ตามขัดขวางล้างผลาญกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

มาจนถึงชาตินี้ และจะตามล้างผลาญกันต่อไปไม่จบไม่สิ้นหากไม่รู้จักการ

ให้อภัยหรืออโหสิกรรม ชาติที่แล้วเพื่อนของโยมอาจจะไปทำอะไรเขาเอาไว้

ชาตินี้เขาก็มาทวงคืน ถึงเวลาของใครก็ของมัน การจากไปของเพื่อนโยม

จึงมาจากกรรมของเขาเอง ไม่ใช่ความผิดของใคร” ภิกษุสูงวัยบอกมาเบาๆ

ราวกับอ่านใจของเธอออก

“เจ้ากรรมนายเวรอย่างนั้นหรือคะหลวงพ่อ แต่สำหรับหนู คนที่

ผูกกรรมกับหนูเขาคงเกลียดหนูมากนะคะ ถึงได้ทำให้ชีวิตของหนูต้องเป็นอย่างนี้”

ศศิรดารำพึงกับตัวเอง ไม่ได้หวังจะให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่หลวงพ่อ

กลับยิ้มเหมือนเข้าใจดีถึงสิ่งที่เธอพูด แล้วเอ่ยช้าๆ

“การผูกกรรมบางครั้งก็ไม่ได้มาจากความเกลียดเสมอไป ความรัก

ก็ทำให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน ถ้าโยมอยากจะรู้ถึงเรื่องราวและที่มาที่ไปของสิ่งที่

เกิดขึ้นกับชีวิตโยม...ใครเป็นคนที่ผูกกรรมกับโยม หรือต้องการให้โยม

ขอขมา ลองตามหาขิมโบราณดู แล้วคำตอบทุกอย่างจะปรากฏ”

“ขิมหรือคะหลวงพ่อ? ขิมอะไรคะ?”

หลวงพ่อหลับตาลงสักครู่แล้วจึงบอก

“เป็นขิมโบราณที่สลักถ้อยคำบางอย่างเอาไว้...ตามหาขิมโบราณ”

“แล้วหนูจะไปตามหาขิมที่ว่าได้ที่ไหนคะ”

“อาตมาบอกได้เท่าที่รู้ เมื่อไม่รู้ ไม่ทราบ จึงไม่อาจตอบคำถามได้”

คำตอบมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“แล้วขิมตัวนั้นเกี่ยวพันกับหนูยังไงคะ”

ศศิรดาเอ่ยถามออกไปก่อนจะพบว่าตนเองยืนอยู่เพียงลำพังใน

ลานกว้างหน้าเมรุเผาศพ ไม่มีพระสงฆ์หรือแม้ใครสักคนในบริเวณรอบ

ลานกว้าง ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็พบเพียงความว่างเปล่าที่น่าขนลุก

น้ำเสียงเรียบเย็นของภิกษุสูงวัยยังคงดังก้องในโสตประสาท

‘ลองตามหาขิมโบราณดู...ขิมโบราณที่สลักถ้อยคำบางอย่างเอาไว้...

ตามหาขิมโบราณ...’

ศศิรดาเดินกลับไปที่รถซึ่งจอดไว้ริมถนนใหญ่อย่างใจลอย

...ขิมโบราณอย่างนั้นหรือ? ขิมในเมืองไทยมีตั้งเป็นพันเป็นหมื่น

แล้วเธอจะไปตามหาขิมที่ว่านั่นได้จากที่ไหน เธอควรจะเริ่มตรงไหนดี...

 

“ทำอะไรหรือน้องดา”

เสียงบิดาดังขึ้นทางด้านหลัง ศศิรดาซึ่งยังอยู่ในชุดเดียวกันกับ

ที่งานศพเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก

“น้องดากำลังหาของค่ะ”

ห้องเก็บของซึ่งอยู่หลังบ้านเปิดไฟสว่างจ้า กล่องข้าวของเก่าๆ

กองรวมอยู่ด้านหนึ่ง หนังสือ กรอบรูป อัลบัมเก่าๆ สมัยเรียน ถูกผลัก

ออกไปให้พ้นทาง แต่ดูเหมือนหญิงสาวยังไม่พบสิ่งของที่กำลังค้นหา

ชายวัยกลางคนคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้บุตรสาว

“พ่อก็รู้ว่าลูกกำลังหาของ น้องดามารื้อห้องเก็บของดึกๆ ดื่นๆ

แบบนี้ คงไม่ได้มานั่งดูอัลบัมรูปเฉยๆ หรอกใช่มั้ย ว่าแต่ไอ้ของที่กำลัง

หาน่ะ มันคืออะไร เผื่อพ่อจะช่วยได้”

“หาขิมค่ะ...ขิมตัวเก่าที่คุณทวดให้น้องดามาตอนเด็กๆ น้องดา

อยากดูขิมของคุณทวด”

“ขิมของคุณทวดหรือลูก” คนเป็นพ่อทวนคำ “แต่ลูกไม่ได้เอา

ออกมาเล่นนานมากแล้วนี่นา ทำไมจู่ๆ นึกถึงมันขึ้นมาล่ะ”

อดิศรถามด้วยความสงสัย ก็ไอ้ขิมตัวนั้นน่ะ ศศิรดาลูกสาวของเขา

เคยเห่อหัดเล่นอยู่แค่ช่วงปีสองปีแรกที่ได้มา แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยหยิบ

มาเล่นอีกเลยเพราะเจ้าตัวหันไปหัดเล่นไวโอลินตามเพื่อนๆ แทนด้วยเหตุ

ที่ว่าเครื่องดนตรีไทย ‘เชยและไม่ทันสมัย’ ไม่เหมือนกับเครื่องดนตรีสากล

ซึ่งเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเล่นกัน ขิมตัวที่ว่าจึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องเก็บของ

เป็นการถาวรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

“น้องดาก็แค่อยากดูน่ะค่ะ ขิมของคุณทวดนี่ถือว่าเป็นขิมโบราณได้มั้ยคะพ่อ”

“นึกยังไงน้องดาถึงสนใจขิมขึ้นมาล่ะลูก” แทนที่จะตอบ คนเป็นพ่อกลับถาม

“น้องดา...” ศศิรดาอึกอัก จะให้ตอบออกไปตามตรงถึงเรื่องราว

แปลกประหลาดที่ตนเองเพิ่งพบเจอมาบิดาก็อาจไม่เชื่อ หรือหากเชื่อก็อาจจะไม่สบายใจนัก

“ก็น้องดาเพิ่งเรียนจบกลับมานี่คะพ่อ ยังรอเรียกตัวอยู่เลย ตอนนี้

ว่างๆ เลยอยากจะลองหัดตีขิมดูอีกสักครั้ง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับสายงานที่น้องดาจะทำบ้าง”

หญิงสาวหลบสายตาของบิดาที่ทอดมองมาอย่างสงสัย ก็ปริญญาโท

สาขาที่เธอร่ำเรียนจบมาจากต่างประเทศนั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการตีขิมเลยสักนิด

แต่บิดาก็ไม่ได้ซักถามอะไรเธออีก หันหลังก้าวเข้าไปในห้องเก็บของ

นั่นทำให้หญิงสาวโล่งใจไปได้ไม่น้อยเพราะไม่อยากโกหก ได้ยินเสียงค้น

กุกกักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผู้เป็นพ่อจะยกถุงผ้าสีแดงเลือดนกที่อยู่ชั้นล่างสุด

ของชั้นเก็บของออกมาวางให้ตรงหน้า ฝุ่นที่จับอยู่บนถุงผ้าปลิวฟุ้งขึ้น

ราวกับตะกอนของวันคืนเก่าที่ฟุ้งกระจาย

                       (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

กรรมที่ผูกรั้งไว้แต่อดีตชาติ ดึงให้หญิงสาวในยุคดิจิทัล ต้องหาทางย้อนกลับไปแก้ไข 
 
ขิมโบราณที่รอคอยเธออยู่ที่เรือนไม้หลังเก่า เป็นดั่งสะพานที่พาเธอย้อนอดีต ทุกครั้งที่สัมผัส ความลับแห่งความรักและความชังจะปรากฏขึ้นตรงหน้า ทว่ายิ่งเข้าใกล้ความจริงเท่าไร หนทางในการแก้ไขกลับคล้ายยิ่งปิดตายเท่านั้น ชีวิตที่ราวกับต้องคำสาป ไม่อาจรักใครและไม่อาจให้ใครรัก ทำให้ ศศิรดา ตัดสินใจออกค้นหาคำตอบและหนทางแก้ไขคำกล่าวของภิกษุลึกลับว่าด้วยการตามหาขิมโบราณที่มีถ้อยคำบางอย่างสลักไว้ ทำให้เธอพาตัวเองก้าวสู่ 'เรือนคุณหลวง' โรงเรียนสอนดนตรีไทยที่อวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งอดีต ขิมโบราณรอคอยเธออยู่ที่นั่น 
และพลันที่ได้สัมผัสมัน เรื่องราวแห่งอดีตก็ฉายชัดอยู่ต่อหน้า...
 
เรื่องราวแห่งความรักความแค้น คำสัญญาและคำสาปแช่ง รวมทั้งเรื่องราวของชายหนุ่มผู้มีแววตาและรอยยิ้มอันคุ้นใจ แม้สังหรณ์ลึกๆ จะบอกว่าเธอกำลังเข้าใกล้จุดหมาย ทว่าหนทางในการแก้ไขคำสาปในอดีตกลับยิ่งดูคล้ายห่างไกลออกไปทุกที ศศิรดาจะทำเช่นไรหากการแก้ไขบ่วงกรรมนี้... มิใช่เพียงการรับรู้ความจริง

รีวิว (1)

เขียนรีวิว

ศรัญญา | 1 รีวิว
25/09/2013

นิยายเรื่องเพลงดอกปีบ โดยลันลาบาย เรื่องนี้อ่านจบสดๆ ร้อนๆ เลยค่ะ ไม่บ่อยที่สนใจและเลือกที่จะหยิบนิยายแนวนี้มาอ่าน เรื่องนี้แค่เพียงเห็นปกก็รู้แล้วว่ามันต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวย้อนยุคแน่นอน พล๊อตของเรื่องจะเกี่ยวกับศศิรดา หญิงสาวที่ต้องคำสาป ตลอดชีวิตเธอต้องเผชิญชะตากรรมและพานพบแต่การสูญเสียที่ยากจะทำใจ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียโดยการพรากจากกันทั้งที่ยังมีลมหายใจหรือการพรากจากกันตลอดกาล ไม่ว่าเธอจะรักใครก็ตามก็ไม่เคยสมหวังเธอจึงสาบานกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าชาตินี้เธอจะไม่รักใครอีกแล้ว จนเธอได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่งแนะนำให้เธอตามหาขิมโบราณ และบอกว่าขิมนี้จะไขความลับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แม้ว่าศศิรดาจะไม่ใช่คนงมงานและเชื่อในเรื่องลี้ลับแบบนี้เท่าไรนัก แต่ถ้าลองดูก็ไม่เสียหายอะไร จึงทำให้เธอแสวงหาและสมัครเข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนสอนดนตรีไทย ที่มีภูมไทย(พระเอก) ที่เป็นคนดูแลและมีความมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดและรักษาวัฒนธรรมทางดนตรี และสถาบันคนตรีภายใต้เรือนคุณหลวงแห่งนี้เอาไว้ และเมื่อวันหนึ่งมีสาวปริศนามาสมัครเป็นนักเรียนดนตรีไทย เธอดูจะไม่เข้ากับดนตรีไทยเอาซะเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงรับศศิรดาเข้าเป็นนักเรียนแม้จะมีความคลางแคลงสงสัยในตัวเธอว่าเป็นคนของฝ่ายตรงข้ามแอบปลอมตัวมาหรือไม่ หรือเธออาจจะมีแผนการก็เป็นได้ที่เข้ามาที่นี่ คนรอบข้างจะมองยังไงศศิรดาไม่สน เธอมาที่นี่เพื่อตามหาขิมโบราณตามที่พระภิกษุองค์นั้นบอกเธอเพื่อที่เธอจะได้หลุดพ้นจากคำสาปอันเลวร้ายนี้เสียที ยิ่งอยู่ใกล้ภูมิไทยก็รู้สึกว่าผู้หญิงอย่างศศิรดาคือคนที่ใช่ ตลอดเวลากว่า 35 ปีที่เขาครองชีวิตโสดก็ไม่ได้มองใครหรือมีความรู้สึกดีให้กับผู้หญิงคนไหนอย่างเธอมาก่อน เรื่องนี้ชอบบทพระเอกนะ เพราะว่าพระเอกดูเป็นคนดีเว่อร์ เป็นคนนิ่ง ๆ สุขุมไม่โวยวาย ในระหว่างที่อยู่ด้วยกันทั้งพระเอกและนางเอกก็ได้เผชิญกับเรื่องราวความลี้ลับ และมองเห็นภาพในอดีต แต่ยิ่งรู้ก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะคนที่เธอรักในอดีตสาปแช่งเอาไว้ เธอจึงเลือกที่จะทำทุกอย่างให้ความแค้นในอดีตจบลง แม้จะจบลงพร้อมกับชีวิตของเธอด้วยก็ตาม แต่สำหรับภูมิไทย เขารักศศิรดาเข้าแล้วและจะให้เขาทนเห็นคนที่รักจากไปต่อหน้าต่อตาเขาทำไม่ได้จริงๆ เขาเชื่อมั่นในความรักและพลังแห่งรักนี้จะทำให้ทั้งสองเอาชนะทุกสิ่ง เรื่องนี้อ่านแล้วตื่นเต้นดีนะคะ อ่านไปจินตนาการไป ไม่ค่อยได้อ่านแนวแปลกๆ แบบนี้อ่านแล้วถือว่าดีค่ะ คนเขียนเขียนดีอ่านแล้วไม่กระตุก ปกติเรื่องประมาณนี้อ่านแล้วจะงง แต่เรื่องนี้ไม่งง แล้วชอบอีกอย่างในความรักของพระเอก แต่ไม่ได้รักเว่อจนเลี่ยนนะคะ พอประมาณแล้วมันก็เหมาะสมกับเรื่องดีไม่มากไปไม่น้อยไป คิดว่าคนที่ชอบอ่านแนวนี้น่าจะชอบค่ะ

สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024