ป่ารักอลวน

ป่ารักอลวน

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160019007
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 270.00 บาท 67.50 บาท
ประหยัด: 202.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

คอยที่ห้องรับแขกหน้าบ้าน ด้วยสีหน้าไม่ดีและดวงตาจับผิดกล่าวโทษผมอีกแล้ว

“ป้าขออนุญาตไม่ทำ ความสะอาดห้องให้คุณเพื่อนของคุณคนนี้อีก

แล้วนะคะ ตราบใดที่เธอยังอยู่ ป้าไม่เข้าไปเช็ดถูห้องให้เธอเด็ดขาด” ป้าโฉม

เริ่มร่ายยาว “แล้วป้าก็ไม่ใช่นางสนองพระโอษฐ์เธอด้วย ที่จะเรียกไปหยิบ

ถุงน่อง รองเท้า คอยรองบาทเวลาเธอแต่งตัว และซักชุดชั้นในให้น่ะ ถึงป้า

จะทำ ได้ แต่กับคนที่ไม่มีความสุภาพเสียเลยป้าไม่อยากทำ ” ป้าโฉมสะบัดหน้า

ค้อนขวับใส่ผม

ผมต้องถอนใจเฮือก “ป้าครับ บ้านผมก็มีป้าอยู่คนเดียว...”

 ป้าโฉมหันขวับมาส่งสายตาแสงเลเซอร์พลังทำ ลายล้างสูงจนผม

ต้องหยุดกึก

“โอเคๆ ไม่รับใช้พีชผมไม่ว่าอยู่แล้ว ห้องไม่อยากถูก็ไม่ต้องถู ปล่อยไว้

อย่างงั้นแหละนะ พอมันสกปรกเต็มที่เดี๋ยวเค้าคงงอนกลับบ้านไปเอง”

บ้านหลังที่ผมอยู่นี่ คุณพ่อคุณแม่ท่านปลูกให้ครับ พ่อออกเงิน

ปลูกบ้านให้ลูกชายสี่คน คนละหลังบนเนื้อที่ติดๆ กันกับบ้านท่าน เพื่อกักกัน

พวกเรากลายๆ ให้อยู่ใกล้สายตา แม้ว่าเราจะเรียนจบมีการมีงานทำแล้ว

แม่ก็ไม่อยากให้พวกเราหายหัวไปไกลๆ และนานๆ โดยไม่รู้ข่าวคราวความ

เป็นตายร้ายดีและชีวิตรักของพวกเรา อีกทั้งการมีบ้านก็บังคับพวกเราให้

รู้จักรับผิดชอบ ‘บ้าน’ ของตัวเองด้วย

พ่อสร้างให้แต่บ้าน ส่วนการตกแต่งภายในพวกเราแต่งเอง ด้วย

งบประมาณและรสนิยมของตัวเอง แล้วก็ต้องดูแลบ้านเองด้วย นี่หมายถึง

ว่าผมต้องบริหารจัดการพนักงานในความรับผิดชอบส่วนตัวซึ่งเหลืออยู่

สองคน คือป้าโฉมกับเจ้าแห้วคนล้างรถและคนสวนของผมเอง

จนถึงวันนี้ จากที่เคยมีผู้ช่วยป้าโฉมทำ กับข้าว ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน

และงานอื่นบรรดามีที่ทำ ให้บ้านสะอาดอีกหนึ่งคน ตอนนี้เธอผู้นั้นถูก

พิทย์ธิดาบังคับให้ลาออกไปเสียแล้ว และผมยังหาคนใหม่มาแทนไม่ได้ ถ้า

ป้าโฉมออกไปอีกคนแล้วไม่มีคนช่วยถูบ้านหลังมโหฬารหลังนี้ผมก็แย่น่ะสิ

ป้าโฉมดูท่าจะพอใจกับการอ่อนข้อของผม เมื่อป้าพยักหน้าอย่าง

เสียไม่ได้ แล้วแนะนำ ราวกับญาติผู้ใหญ่ผู้ไม่ต้องเกรงใจกันว่า

“เลิกกับเธอเสียเถอะค่ะ ผู้หญิงอะไร อารมณ์ร้าย ปากก็จัด”

ผมอึ้งไปนิดหนึ่ง

“พีชยังไม่เคยร้ายกับผมเลย แล้วเธอก็น่าสงสาร เข้ากับพ่อเลี้ยง

ไม่ได้...”

“อู๊ย...คุณก็สงสารไปหมด” ป้าโฉมประชดกลับด้วยลีลากรีดกราย

“มีสาวน้อยคนไหนมั่งไหมคะที่คุณไม่สงสารน่ะ”

ผมได้แต่ยิ้ม มองป้าโฉมตุปัดตุป่องออกไปหลังเอ่ยคำ พูดทิ้งท้ายว่า

“นี่ละน้า คุณแม่คุณถึงได้ห่วงคุณที่สุด”

การถูกหญิงสาวและไม่สาวทั้งหลายบ่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของ

ชีวิตผมไปเสียแล้วละครับ ผมจึงหันหลังเดินลงบันไดระเบียงหน้าบ้านมา

ด้วยความเบิกบานใจ หากความเบิกบานของผมมีอันต้องหยุดชะงักงัน

ความโกรธพุ่งปรูดทันทีที่เห็น Ferrari Spider จอดรอผมอยู่หน้าบ้าน

ผมเงยหน้าขึ้นมองหาระเริงฤทธิ์

“ไอ้แห้ว!” ผมตะโกน กระตุกนายระเริงฤทธิ์จากการรดน้ำ ต้นไม้ที่ริมรั้ว

เขาเป็นสมาชิกอีกหนึ่งคนในบ้านหลังนี้ของผม ระเริงฤทธิ์หรือแห้ว

ศักดิ์ เป็นพนักงานล้างและเช็ดรถ ขับรถในระยะสั้นๆ จากโรงรถมารอหน้าบ้าน

เพราะผมยังไม่ไว้ใจให้มันขับไกลกว่านั้น รวมถึงมีหน้าที่รดน้ำ พรวนดิน

ตัดแต่งต้นไม้ในสวนรอบบ้านผมด้วย และเวลานี้เพิ่มหน้าที่ช่วยป้าโฉม

ถูบ้านอีกหนึ่งตำ แหน่งโดยไม่มีโอที

นายแห้วมืออ่อนทำ สายยางหล่นปุลงบนสนามหญ้า ก่อนวิ่งมาหา

ด้วยหน้าตาตื่นตกใจปนหวาดหวั่น คงรู้ตัวว่าเสียงตะโกนของผมหมายถึง

ความผิดระดับใด

“บอกแล้วใช่ไหมว่าคืนนี้ฉันไปกับคุณโบ” พลิกดูนาฬิกาข้อมือผม

ก็รู้ว่ากำ ลังจะสายแล้ว “เอาคันนี้ไปเก็บ!” ผมง้างเท้าเมื่อมันผ่านเข้ามาใกล้

แต่เจ้าแห้วฤทธิ์หลบหลีกได้รวดเร็วราวมีวิชาเคลื่อนย้ายมวลสาร “ทีหลัง

ถ้าบอกว่าไปกับคุณโบ ถอย Maserati มาเข้าใจมั้ย”

“คร้าบ ‘ไม่สวยละติ’ เข้าใจชัดครับผม” มันออกเสียงภาษาฝรั่ง

อย่างชัดเจน

ขณะที่เจ้าแห้ว หรือนายฤทธิ์ ชื่อเล่นที่มันชอบให้ผมเรียก แต่ผม

ไม่เรียก เตรียมเอา Ferrari Spider ไปเก็บ ผมก็เดินลงมาที่โรงจอดรถ

ที่จริงแล้วผมเดินมาเลือกรถที่จะขับเองได้หรอกครับ แต่บางคันควรต้อง

วอร์มเครื่องก่อนสักครู่ และหากพีชไปกับผม เธอจะไม่ชอบรอวอร์มเครื่องรถ

หรือต้องเดินมาที่โรงจอดในรองเท้าส้นเข็ม เธอบอกว่ามันไกล ไปๆ มาๆ

ผมเลยติดเป็นนิสัยให้ไอ้แห้วคอยเตรียมรถก่อนเสมอ วิธีนี้ผมไม่ต้องเสี่ยง

กับการพบว่ารถคันที่ผมต้องการขับยังสกปรกไม่ได้ล้างอยู่อีกด้วย

ผมกดสวิตช์เปิดประตูโรงจอดช่องที่สี่ ซึ่งผมเก็บเจ้า Maserati

คันโปรดของน้องโบไว้ สปอร์ตสองประตูสีแดงสะอาดเอี่ยมเป็นเงาวับ

เจ้าแห้วรอดฝ่าเท้าปราบมารของผมไปได้

มันง่ายกว่ากันมากเลยนะครับ ที่จะจำ ว่ารถคันไหนผมมักใช้ไปกับใคร

และผมพยายามไม่สลับคันกัน ไม่อย่างนั้น บางทีมันก็ไม่สะดวกเลย เวลา

ที่น้องโบหาผ้าเย็นเช็ดมือกลิ่นที่เธอชอบ หรือน้ำ หอมขวดเล็กที่เธอทิ้งไว้

ในรถผมคราวที่แล้วไม่เจอ แล้วไปเจอกำ ไลหรือรองเท้าแตะของน้องจอย

แทนในรถอีกคันหนึ่ง

ผมเป็นคนชอบรถครับ ยอมรับว่าค่อนข้างตามใจตัวเองเรื่องนี้

รู้สึกผิดไหมหรือครับ กับการมีรถสปอร์ต ๕ คัน กับซีดาน ๑ คัน

เป็นของตัวเองคนเดียว...

ไม่เลย อย่างน้อยในหนึ่งสัปดาห์ผมต้องใช้รถซ้ำ คันหนึ่งสิน่า

ผมถอย ‘รถของน้องโบ’ ออกมา ขับผ่านประตูหน้าบ้านแล้วชะลอ

ช้าเมื่อผ่านหน้าบ้านคุณแม่ซึ่งอยู่ติดกัน ระหว่างบ้านของพวกเราไม่มีรั้วสูงๆ

กั้นหรอกนะครับ เป็นรั้วต้นไม้เตี้ยๆ และมีประตูไม้ขนาดน่าเอ็นดูคั่นไว้

พอให้รู้เขตเท่านั้นเอง

ผมเห็นคุณแม่กำ ลังเดินออกมาที่มุขหน้าบ้าน เตรียมจะขึ้นรถไป

ร่วมงานแต่งงานเหมือนกันพอดี ผมรู้ตัวว่าต้องรีบ เพราะต้องแวะรับน้องโบ

อีก แต่แม่เห็นรถผมพอดีเลยโบกมือเรียกให้หยุดแล้วเดินมาหา

“ลูกรัก!”

ผมชอบจังเวลาแม่เรียกอย่างนี้ ผมขับรถเข้าไปจอดหน้าประตูรั้ว

แล้วลดกระจกลง

“ไม่ไปกับแม่หรือลูก” แม่ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเปล่งปลั่ง ที่หน้า

เทอร์เรซผมมองเห็นรถตู้คันใหญ่ของครอบครัว และคุณพ่อซึ่งกำ ลังยืนคุย

อยู่กับเพื่อนของคุณแม่อีกคนหนึ่งพร้อมบุตรสาว

“ดูซิใครแวะมา”

เอื้องผึ้งชายตามามองผมเมื่อได้ยินเสียงรถอีกคัน เธอยังยืนอยู่ไกล

ถึงระเบียงหน้าบ้านกับคุณพ่อผม นับดูแล้วเป็นระยะทางประมาณยี่สิบเมตร

เศษ แต่แสงวิบๆ ในดวงตาเธอมันปลาบเข้าแทงใจผมอย่างแรง

สายตาตำ หนิติเตียนกึ่งดูถูกแกมชิงชังของเธอนั้นผมได้รับมาเป็น

เวลาหลายปีมากแล้ว เกินครั้งจะนับไหว หากอานุภาพของมันยังคงรุนแรง

ดั่งเคย

โอย...ผมเกือบยกมือซ้ายขึ้นนวดหัวใจตัวเองให้คลายปวดจาก

บาดแผลที่สายตาของเธอทิ้งไว้ ก่อนเอื้องผึ้งเมินหน้ากลับไปหาคุณแม่ของเธอ

“ไปกับแม่เถอะ” แม่คะยั้นคะยอให้ผมลงจากรถ ทั้งที่ผมไม่อยาก

แม้แต่นิด “ไปงานเดียวกันจะขับไปหลายคันทำ ไมลูก เปลืองน้ำ มัน”

“ผมต้องไปรับน้องโบ” ผมบอกเสียงค่อย หากราวกับมีหูทิพย์ หญิงสาว

ที่ยืนห่างไปเกินสิบวาชายตากลับมาอีกครั้งเหมือนได้ยินคำ ตอบของผมชัด

ผมมัวแต่มองเธอเลยไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าคุณแม่คลายความเบิกบานลงทันที

“โบคนไหนอีกล่ะ!”

จนกระทั่งได้ยินน้ำ เสียงหงุดหงิดของคุณแม่เข้า พร้อมกับนิ้วแหนบ

ไม่เบานักเข้าที่ต้นแขนพอให้สะดุ้งอีกทีนั่นละ ผมถึงได้ละสายตากลับมา

แล้วก็ได้พบเปลวตาเพชฌฆาตคู่ที่สี่ในค่ำ นี้อย่างจังๆ

“แม่ครับ...” ผมส่งเสียงอ้อน ลูบแขนตรงรอยหยิกเพื่อเรียกความ

สงสาร แม้ว่าความเจ็บจะจางไปหมดแล้ว

“ลงมาจากรถเดี๋ยวนี้เลยนะ รัก มาไหว้น้าขวัญใจก่อน ผ่านมาให้

เห็นหน้าแล้วไม่หยุดทักน้าได้หรือ” แม่ดุ แล้วหยิกอีกทีเมื่อผมลงจากรถ

หากผมเข้าใจว่าด้วยความโกรธเรื่องน้องโบมากกว่าเรื่องที่แม่ว่า

ผมเดินตามคุณแม่ไปห่างๆ อย่างไม่เต็มใจ นึกสลดใจ

ผมคงเป็นลูกชายคนเดียวในจำ นวนพี่น้องทั้งหมด ที่แม่เรียกขาน

อย่างรักใคร่มากที่สุด แล้วก็ถูกทำ โทษมากที่สุดมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกด้วย

จนถึงบัดนี้ เหลือผมอยู่คนเดียวในจำ นวนลูกชายสี่คนที่ยังถูกแม่หยิกและ

ตีเหมือนเด็กหัวดื้อจอมซนอยู่ ทั้งๆ ที่ผมอายุตั้งยี่สิบห้าปีเข้าไปแล้ว

ผมทำ ความเคารพคุณน้าขวัญใจ แล้วรับไหว้เอื้องผึ้ง

“รัก!...สวัสดีจ้ะ...ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ สบายดีใช่ไหมจ๊ะ”

คำ ถามประจำ วัน “ครับ น้าขวัญกับน้องผึ้งก็สบายดีนะครับ”

จากสีหน้าท่าทาง ทั้งสองคนสบายดีมาก ผมทราบได้ น้าขวัญใจ

เป็นสุภาพสตรีร่างผอมบาง ผิวขาวนวลรับกับชุดผ้าไหมสีทองคร่ำยาวคลุมข้อเท้า

“น้าสบายดี ผึ้งเขาน่ะสิไม่ค่อยสบาย”

เอื้องผึ้งก็รูปร่างโปร่งระหงบอบบางเหมือนคุณแม่ของเธอ ใบหน้า

สวยหวานสมกับชื่อ เธอสวมชุดผ้าแพรสีเขียวอ่อน ขับผิวขาวอมชมพู

นวลใย หากเธอดูผอมลงเล็กน้อยกว่าที่ผมเคยจำ ได้ ดวงตาดำ หวานเหมือน

น้ำ เชื่อมทั้งสวยทั้งคม เวลามองผมแววประกายปลาบในดวงตาก็ยังไม่อ่อนแสง

“ไม่สบาย...เป็นอะไรครับ”

ให้ตาย...ผมรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งที่สบสายตาผึ้งใกล้ๆ ไม่ใช่อะไร

มากไปกว่า ลุ้นระทึกว่าเมื่อไรเธอจะเชือดเฉือนคารมคมมีดใส่ผมอีก

“แค่เป็นหวัดนิดหน่อยค่ะ...ตอนนี้หายแล้ว” เธอตอบ

“เพิ่งหายหรือครับ” ผมถาม

“หายสนิทพอที่จะไม่ติดใครได้หรอกค่ะ คุณ...ไม่ต้องเป็นห่วง”

ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าเรายืนห่างกันกว่าสี่ฟุตได้ ซึ่งนับว่าห่างกว่าระยะ

การสนทนาตามปกติทั่วไป คงไม่ใช่ผมหรอกนะที่หยุดอยู่ห่างเกินไป เอ่อ...

จะไม่ใช่อย่างนั้นได้ยังไงล่ะ ผมดุตัวเอง ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายยืนอยู่ก่อน

และผมเป็นฝ่ายเดินเข้ามา ความคิดผมเริ่มวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ คงเป็น

เพราะว่าผมเกรงรัศมีดวงตาของเธอมากกว่าอย่างอื่น

ผมเพิ่งรู้เรื่องที่เอื้องผึ้งไม่สบายเองนี่นา เพราะฉะนั้นการยืนห่าง

ของผมย่อมไม่ใช่การแสดงความรังเกียจกลัวติดโรคอย่างที่เธออ้าง หาก

แต่ ผมเพิ่งเข้าใจว่า ผึ้งรู้สึกถึงความห่างเหินอย่างผิดปกติของผม ซึ่งต่างจาก

คนอื่นๆ และจงใจทักขึ้นมาเพื่อให้ผมรู้ว่าเธอก็รู้ใช่ไหม

ให้ตาย ผู้หญิงคนนี้นี่ไซโคชะมัดเลย

ขณะที่ผมยืนอึ้ง เหงื่อเริ่มตกอยู่นั้นเอง คุณพ่อคุณแม่คุณน้ากำลัง

คุยเรื่องอะไรไม่รู้ หัวเราะครื้นเครงขึ้นมาโดยไม่สนใจเรา ทำ ให้ผมได้สติ

กลับคืนมาหลังหูอื้อตาลายไปแวบสั้นๆ

“ถ้าผมจะห่วงตัวเอง” ผมเอ่ยเสียงเบา “ก็ไม่ได้ห่วงกลัวติดหวัดหรอก

นะครับ ตาคุณน่ะแทงผมได้ในระยะห่างตั้งเป็นกิโล ผมห่วงคุณมากกว่า

กลัวว่า อะไรที่คุณไม่ต้องการจากผมมันจะฟุ้งกระจายไปถึงคุณได้”

เอื้องผึ้งขมวดคิ้ว แต่ไม่แกล้งทำ เป็นไม่เข้าใจ ความรังเกียจไม่พอใจ

ที่เธอแสดงออกเป็นนัยกับผมเสมอมานั้นมันชัดเจนเสียจนเธอไม่ต้อง

เปลืองเวลา

“ผึ้งไม่คิดว่าเจ้าสิ่งนั้นมันจะฟุ้งกระจายมาติดกันได้ง่ายๆ หรอกค่ะ”

ริมฝีปากอิ่มสีอ่อนของเธอบิด

“ผมอยากรู้จังว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร” ผมยิ้มยวน “บางทีมันอาจจะ

เป็นความกลัวก็ได้นะครับ” ก้าวเข้าไปใกล้เธออีกสองก้าว ย่นระยะห่างระหว่าง

เราจนเหลือแค่ไม่ถึงฟุต เบียดบังพื้นที่ส่วนตัวโดยจงใจ แล้วลดเสียงลง

กระซิบกับเธอ “เหมือนคนกลัวผี อะไรอย่างนั้น”

เธอตกใจ อย่างที่ผมคิดว่าจะตกใจ ทำ ท่าจะถอยหลัง แต่ความ

หยิ่งทะนงในตัวเองทำ ให้ผึ้งยังยืนปักหลักอยู่กับที่ เธอเงยหน้าขึ้นมองผม

ขนตายาวงอนเป็นแพช้อนขึ้นทำ ให้เห็นดวงตาเข้มแพรวเป็นประกาย

ผิวแก้มขาวใสเริ่มมีสีสันขึ้น

“ไม่ใช่ความกลัวแน่ค่ะ รัก ฉันยืนยันได้”

คำ ว่ารัก กระตุกหัวใจผม

‘รัก...ฉันยืนยันได้’ ผมชอบวลีนี้จริงๆ เลย

หากใครอื่นมาได้ยินเขาคงดีใจแทนผม มีหญิงสาวสวย สูงส่งทั้งชาติ

ตระกูลและการศึกษาคนนี้มาบอกรัก เสียงนุ่มแผ่วแหบนิดๆ ของเธอทำเอา

ผมฝัน ด้วยแววตาฝันผมเอ่ยเบาๆ

“งั้นคุณก็ไม่ได้กลัวที่จะเรียกชื่อผม ใช่ไหมครับ ผึ้ง”

การยั่วเย้าของผมได้ผลเป็นสีแก้มที่เข้มขึ้นอีกนิดของเธอ ทำ ให้ผม

ใจเต้นแรง

“ฉันไม่ได้กลัวที่จะเรียกชื่อคุณ ฉันแค่อาย” เธอเน้นเสียง “มันน่าอาย

ไม่ใช่หรือไง”

เสียงดุของเอื้องผึ้งทำ ให้คุณแม่ของเราหันมามอง

ผมหันไปยิ้มกว้างให้แม่ๆ ของเราและพ่อของผม พวกท่านรู้หรอก

ครับว่าไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น นอกจากการยั่วแหย่กันตามปกติของเรา

แม้ว่าผึ้งจะเอ่ยคำ ว่ารักสักกี่ครั้ง พ่อแค่เลิกคิ้ว แต่แม่ดุผมอีกแล้ว

                              (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024