แวมไพร์อโยธยา (อรรถพร)
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 75.95 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
1
ดาเนียล
มกราคม ค.ศ. 1909 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
มันเป็นคืนที่หิมะตกหนักในกรุงปารีส ทำให้เมืองที่มีชื่อเสียง
ว่าเป็นนครแห่งแสงไฟของยุโรปเงียบเหงากว่าปกติ ทหารที่เดินยาม
อยู่รอบพระราชวังแวร์ซายต่างพากันหลบเข้าป้อมเพื่อไม่ให้ตัวเอง
แข็งตาย จึงไม่มีใครเห็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่กำลังนั่งมองลงมา
จากหลังคาของพระราชวังแห่งนี้
ชายหนุ่มบนหลังคาสวมเสื้อผ้าแบบสามัญชน ดูท่าทางไม่
สะทกสะท้านต่อความหนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย เขาหยิบสมุดบันทึก
เล่มหนึ่งออกมาพร้อมกับดินสอแบบใหม่ที่สามารถเหลาให้แหลมได้
ดินสอแบบนี้เพิ่งมีการคิดประดิษฐ์และผลิตขึ้นในอเมริกาเมื่อไม่ถึง
สิบปีมานี้ ชายหนุ่มเริ่มคิดและเขียนบันทึกลงในสมุดราวกับว่าเขามอง
เห็นทุกสิ่งได้ในความมืด...
หลังจากที่ข้าได้คุ้มครองทายาทของพี่สาวผู้มีพระคุณของข้า
ออกจากราชอาณาจักรสยาม ด้วยสามีของนางต้องพระราชอาญา ข้าจึง
ร่อนเร่ไปทั่ว เฝ้ามองปรากฏการณ์ของสังคมมนุษย์ด้วยสายตาของคนนอก...
เมื่อปลายปีที่แล้ว ข้าได้เห็นการวางยาพิษองค์จักรพรรดิและ
การสิ้นพระชนม์ของซูสีไทเฮาในพระราชวังต้องห้าม ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ
ช่างคล้ายกับเหตุการณ์ในบ้านเกิดแสนรักของข้าในอดีตยิ่งนัก ทำให้รู้สึก
เศร้าใจ ข้าจึงได้เดินทางออกจากจีน เพื่อไปยังนิวยอร์ก...
ข้ามาที่ปารีสอีกครั้ง เพื่อตามมาดูการทดลองบินข้ามทวีปจาก
อเมริกามาฝรั่งเศสและการบินข้ามช่องแคบอังกฤษของพี่น้องตระกูลไรท์
คงอีกไม่นานที่มนุษย์ทุกคนจะสามารถบินได้...
ข้าเคยใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้บินไปบนฟ้า พร้อมกับนางอันเป็นที่รัก
บัดนี้ข้ามีอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว
ได้แต่หวังว่าอีกร้อยปีให้หลัง ความฝันของข้าจะมีโอกาสเป็น
จริง...
ดาเนียลแห่งอโยธยา
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเก็บสมุดบันทึกให้เรียบร้อย ประสาท
สัมผัสเหนือมนุษย์ของเขาก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากบริเวณที่ห่างออกไป
หลายกิโลเมตร หญิงสาวชาวปารีสคนหนึ่งกำลังเร่งรีบเดินอยู่ในตรอก
มืดเพื่อจะกลับบ้าน
ประกายตาของดาเนียลลุกโชนกลายเป็นสีเลือดขึ้นมาทันที
ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวลงจากหลังคาพระราชวังมุ่งสู่ตรอกมืดแห่งนั้นด้วย
ความเร็วที่มองแทบไม่ทัน จนดูเหมือนราวกับหายตัวได้
หญิงสาวชาวปารีสคนนั้นเริ่มรู้สึกว่ามีใครตามมา เธอรีบเร่ง
ฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง แต่ก็ยังไม่ทัน จู่ๆ เสียงฝีเท้าที่
ดังอยู่ด้านหลังก็มาดังอยู่ด้านหน้าของเธอแทน
เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืน
ยิ้มให้กับเธอ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา เป็น
รอยยิ้มของความหิวโหยและชั่วร้าย จากนั้นชายหนุ่มคนนั้นก็พุ่งตัว
เข้าหาเธอด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ที่แม้แต่แค่คิดจะกรีดร้องก็ยังไม่ทัน
เพราะเขี้ยวคมของชายหนุ่มได้พุ่งเข้ามาแทบจะสัมผัสกับลำคอของเธอ
แล้ว
‘แวมไพร์!’ หญิงสาวทำได้แค่คิดขึ้นแวบหนึ่ง ขณะที่ร่างกาย
กลับยืนแข็งทื่อรอความตายอยู่กลางหิมะราวกับลูกแกะที่ต้องมนตร์
สะกดรอเป็นอาหารของหมาป่า
ทันใดนั้นเอง ก่อนที่เขี้ยวคมจะฝังลงบนลำคอของหญิงสาว
มือแข็งแรงข้างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจับลำคอของแวมไพร์ตนนั้นแล้วบีบ
พลางผลักเธอให้ถอยออกไปเบาๆ
“รีบหนีไปซะ”
เสียงอ่อนโยนนุ่มนวลนั้นดังมาจากปากของชายหนุ่มรูปงาม
ที่กำลังใช้มือเพียงข้างเดียวเค้นคอแวมไพร์หนุ่มหน้าตาชั่วร้ายอยู่ แม้
หญิงสาวที่เกือบเคราะห์ร้ายยอมวิ่งหนีไปตามคำสั่ง แต่ใบหน้าหล่อเหลา
ปานเทพบุตรของดาเนียลก็ทำให้เธอยังหันกลับมามองบ่อยครั้งเหมือน
อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ก่อนจะตัดใจเลี้ยวลับเข้าตรอกหนีหายไป
“อังเดรย์อยู่ไหน!”
มันเป็นภาพที่ดูขัดสายตาไม่น้อยที่หนุ่มรูปงามผมดำที่ตัวเล็ก
กว่าใช้มือเพียงข้างเดียวเค้นคอแล้วยกร่างของแวมไพร์หนุ่มผมแดง
หน้าตาชั่วร้ายที่ตัวใหญ่กว่าจนตัวลอยขาไม่ติดพื้นและอ่อนเปลี้ยไร้แรง
ดิ้นรน
แวมไพร์ตนนั้นมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินชายหนุ่มเรียกชื่อของ
ท่านอังเดรย์ จอมแวมไพร์ที่น่ากลัวที่สุดในยุโรปด้วยน้ำเสียงเหมือน
ถามหาแวมไพร์ลูกสมุนกระจอกๆ
“แก...แกคือ...ดาเนียล!” แวมไพร์ตนนั้นเอ่ยชื่อของอีกฝ่าย
ด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพยายามกลบเกลื่อน
“ข้าไม่กลัวแกหรอก วันใดที่เจ้าได้พบกับท่านอังเดรย์ วันนั้น
คือวันตายของเจ้า!”
ดาเนียลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้นนายของเจ้าคงไม่อยากให้ข้าตายเร็วสินะ ถึงได้
ยอมหนีข้าหัวซุกหัวซุนมาร้อยกว่าปี”
“ท่านอังเดรย์ไม่มีวันกลัวเจ้าหรอก!” แวมไพร์หนุ่มผมแดง
พยายามจะเถียง แต่ก็ลังเลสงสัยในคำพูดของดาเนียล
“เฮ้อ...พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าเป็นแค่สมุนปลายแถวที่ไม่เคย
ได้พบกับอังเดรย์สินะ เสียดายเวลาจริงๆ” ดาเนียลถอนหายใจอย่าง
รู้สึกผิดหวัง
“ใช่ๆ ปล่อยข้าไปเถอะ”
“ดูจากพฤติกรรมเมื่อครู่นี้ของเจ้า ข้าคงปล่อยให้เจ้าไปฆ่า
ใครอีกไม่ได้ ส่วนบาปที่ต้องฆ่าอสุรกายอย่างเจ้า ข้าขออโหสิกรรมด้วย
ก็แล้วกัน”
น้ำเสียงของแวมไพร์หนุ่มรูปงามฟังดูนุ่มนวลเปี่ยมเมตตา
ก่อนที่แววตาของเขาจะลุกโชติขึ้นราวกับเปลวเพลิงจากนรก
ในวินาทีนั้น เปลวไฟที่เกิดจากพลังจิตอันแรงกล้าก็ลุกไหม้
ร่างของแวมไพร์หนุ่มผมแดงที่ยังถูกจับเค้นคออยู่อย่างรุนแรงและ
รวดเร็วจนสลายเป็นจุณไปในพริบตา
ใครจะเชื่อเล่าว่าวิชาลมปราณพระอาทิตย์ที่พระลามะทิเบต
ใช้ฝึกฝนกันเพื่อไม่ให้ร่างกายของตนเองต้องแข็งตายในขณะนั่งสมาธิ
ท่ามกลางหิมะนั้น วันนี้กลับถูกใช้โดยแวมไพร์ด้วยพลังที่แข็งกล้ากว่า
มากมายเช่นนี้
ดาเนียลปัดเถ้าถ่านที่เปื้อนมือข้างที่ใช้เค้นคอออก ก่อนจะ
ยกมือขึ้นมาพนมแล้วเอ่ยคำอธิษฐาน
“ข้าขออุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้า ขอให้เจ้าจงไปเกิดในภพภูมิ
ที่ดีด้วยเถิด”
ภาพแวมไพร์หนุ่มรูปงามกำลังปฏิบัติตนในแบบวิถีแห่ง
ชาวพุทธเช่นนี้คงเป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับทุกคนหากได้มาพบเห็น
เป็นแน่
หิมะหยุดตกแล้ว ดาเนียลเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากรุงปารีส
ในยามราตรี ฟ้าเริ่มกระจ่างมองเห็นหมู่ดาว บนกึ่งกลางท้องฟ้านั้น
ดาเนียลมองเห็นกลุ่มดาวเวอร์โก้หรือกลุ่มดาวแห่งหญิงพรหมจารีหรือ
กลุ่มดาวราศีกันย์นั่นเอง ดาวรวงข้าวที่สุกสว่างที่สุดซึ่งอยู่กลางหมู่ดาว
ทั้งแปดดวงนั้น ทำให้เขาพลันหวนนึกถึงประกายตาของนางอันเป็น
ที่รัก
ภาพของดวงหน้างามเด่นล้ำราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย กับ
ชุดไทยโบราณของสตรีสูงศักดิ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏขึ้นซ้อนทับ
ไปบนกลุ่มดาวราศีกันย์นั้น
รอยยิ้มของนางผุดขึ้นเหมือนจะทักทายเขา ทำให้แววตาแสน
เศร้าและว้าเหว่ของดาเนียลปรากฏประกายตาแห่งความหวังขึ้น ความ
ทรงจำต่อรอยยิ้มนั้นนั่นเองที่ทำให้เขายอมมีชีวิตเปลี่ยวเหงาปวดร้าว
ต่อมานับร้อยปี
ก่อนภาพแห่งความทรงจำนั้นจะสลายไปจากฟากฟ้า ดาเนียล
ก็เอ่ยพึมพำขึ้นราวกับจะย้ำเตือนกับตัวเองขึ้นว่า
“ธิดาแช่ม...อีกแค่ร้อยปีเท่านั้น...เราจะได้พบกัน!”