ผลิใบรัก (แจมจันทร์)

ผลิใบรัก (แจมจันทร์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715834
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 289.00 บาท 72.25 บาท
ประหยัด: 216.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

จุดเริ่มต้น

       “หนูลงตรงนี้แหละ ขอบคุณมากนะจ๊ะป้านุ่ม” บัวบูชากระโดด

ลงจากท้ายรถมอเตอร์ไซค์สีน้ำเงินที่ถูกดัดแปลงจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

ของป้านุ่ม ผู้มีน้ำใจให้เธอติดรถมาจากปากทางด้วย แล้วพนมมือไหว้

ขอบคุณ

“ไม่เป็นไร ทางเดียวกัน นี่ถ้าไม่ติดว่าป้าจะต้องไปใส่ปุ๋ยในนาก็จะ

ไปส่งให้ ไกลกว่านี้อยู่หรอก”

“จ้ะป้า ขับรถดีๆ ล่ะ ถนนมันลื่น” บัวตะโกนตามหลังป้านุ่มแล้ว

สะพายเป้ขึ้นหลัง จากนั้นก็เดินเท้าต่อ สักพักถนนปูนซีเมนต์ก็สิ้นสุด

กลายเป็นถนนดินลูกรังแทน เพราะงบประมาณในการสร้างถนนที่เชื่อม

จากถนนสายหลักไปยังหมู่บ้านของเธอมีจำกัดเพียงเท่านั้น

เท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบสีแดงซีดคู่ใจก้าวเดินไปตามถนนดินลูกรัง

สีแดงชื้นแฉะหลังฝนตก ทำให้แทบทุกครั้งที่ก้าวไปจะมีน้ำโคลนกระเด็น

ขึ้นมาเปื้อนรองเท้าและกางเกงยีนส์ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ ให้ความสนใจ

ยังคงเดินสลับวิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นชินมาตั้งแต่เด็กด้วยความเบิกบาน

ภาพทุ่งนาสลับกับทุ่งข้าวโพดสองข้างทางทำให้หญิงสาวรู้สึกสดชื่น

ยิ่งในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่มีฝนตกประปรายอย่างวันนี้ที่มีฝนตกหนัก

ในช่วงเช้า ทำให้บรรยากาศช่วงบ่ายยิ่งสดใสเป็นพิเศษ

“อา...บ้านจ๋า ฉันกลับมาแล้ว”

หลังจากเดินเท้าผ่านหมู่บ้านและไร่นามาเกือบชั่วโมง ในที่สุดบัว

ก็ได้มาหยุดที่หน้าบ้านสีขาวหลังเล็กที่เธอเติบโตมา ถึงบัวจะเรียน

มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัด แต่เพราะเธอเรียนไม่จบพร้อมกับเพื่อนอีก

หลายคนที่จบไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้นางสร้อยแม่ของบัวรู้สึกขายหน้า

จึงตัดหางปล่อยวัดลูกสาวให้หาเงินเรียนต่อเอง บัวจึงต้องทำงานพิเศษ

ด้วยการเฝ้าร้านเกมให้เพื่อนเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย และเธอจะกลับบ้านก็ต่อเมื่อ

ไม่มีเงินจะซื้อข้าวกินแล้ว จึงโบกรถโดยสารกลับมาเพื่อจะได้หอบข้าวสาร

อาหารแห้งกลับไปประทังชีวิตที่หอพักต่อ...เหมือนเช่นในวันนี้เอง

เนื่องจากมีเงินเหลือติดกระเป๋าไม่ถึงสามร้อยบาท เพราะเพิ่งหมด

ไปกับการเปย์สามีในมโนของตัวเอง ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็เลนนีศิลปินลูกครึ่ง

จีนเกาหลีสุดหล่อที่เธอแสนจะคลั่งไคล้นั้นดันมาออกผลงานเพลงใหม่

ช่วงนี้เข้า แถมไอ้อัลบั้มที่ว่านั่นยังมีถึงสามปกให้สะสม จนบัวอดคิดไม่ได้ว่า

ไอ้ค่ายเพลงที่เลนนีสังกัดอยู่นั้นมันกำลังจะล้มละลายหรือไรกัน ถึงได้

สร้างเรื่องมาสูบเงินจากกระเป๋าแฟนคลับอย่างเธอนัก แล้วเธอที่ดันคอย

ติดตามข่าวของเลนนีทุกวันจะอดทนต่อความยั่วยวนได้อย่างไร เพราะ

เปิดไปเห็นหน้าเลนนีทีไรก็เหมือนถูกมนตร์สะกดว่า

‘มาพาฉันไปอยู่ด้วยสิ...ถ้าเธอไม่ได้ฉันไปเธอจะนอนไม่หลับนะบัว

กดสิ กดเร็วเข้า’

ทำให้บัวที่บอกตัวเองว่าจะไม่...จะไม่...แต่พอรู้ตัวอีกทีก็กดสั่งจอง

อัลบั้มของเขาไปแล้วทุกครั้ง

เฮ้อ...นี่ละน้าความทุกข์ใจอันหอมหวานของมนุษย์ติ่งอย่างเธอ

“พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูกลับมาแล้ว...แม่ๆ”

เมื่อตะโกนเรียกครั้งแรกก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ซ้ำประตูหน้าต่าง

บ้านยังปิดสนิทเช่นเดิม บัวจึงปลดเป้ใบใหญ่บนบ่าลงกับพื้นแล้วเดิน

สำรวจรอบบ้าน แต่ก็ไร้เงาผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง บัวยักไหล่แล้วเดินอ้อม

ไปยังประตูหลังบ้านที่เพียงปิดไว้แต่ไม่ได้ลงกลอน

การอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญก็ดีแบบนี้ ต่อให้เปิดประตู

บ้านทิ้งไว้ โดยไม่มีคนอยู่สามวันสามคืนก็ไม่มีอะไรหาย ดังนั้นมันจึงเป็น

เรื่องปกติเสียแล้วที่แม้ ไม่มีใครอยู่บ้านแต่แม่ของเธอก็ไม่ล็อกกุญแจไว้

บัวจัดการไล่เปิดประตูหน้าต่างออกจนกว้างเพื่อไล่อากาศอับ

แล้วรีบโผไปยังห้องนอนของตนเองเพื่อชื่นชมภาพชายหนุ่มผิวขาวหน้าใส

ผู้กำลังส่งรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์มายังเธอ

“เลนนี...เลนนีของบัว คิดถึงเหลือเกิน เลนนีเข้าใจบัวใช่ไหม

เลนนีไม่โกรธใช่หรือเปล่าที่บัวพาคุณไปอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะถ้าหอพัก

ของบัวอนุญาตให้ติดรูปคุณได้ บัวก็คงไม่ต้องเฝ้าคิดถึงคุณมากขนาดนี้”

หญิงสาวกางแขนออกกว้างเพื่อทาบตัวกับโปสเตอร์ภาพของเลนนี

ศิลปินหนุ่มผู้มีผลงานอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ เขาเป็นบุคคลที่รักยิ่งของเธอ

มากว่าสี่ปี แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือ...

ตอนเริ่มรู้จักเลนนี เธอเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้เป็นของ

ตัวเอง ต้องแบมือขอเงินจากพ่อแม่ ทำให้ช่วงที่เขาโด่งดังถึงขีดสุด มีทัวร์

คอนเสิร์ตในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย บัวก็ทำได้แต่เพียงติดตาม

ข่าวเขาผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น และเมื่อเธอเริ่มทำงานมีเงินของ

ตัวเองบ้างแล้ว กระแสของเลนนีกลับเงียบลงจนไม่มีทัวร์คอนเสิร์ตในไทย

อีก บัวจึงต้องติดตามเขาผ่านเพียงหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อไป

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธออยากกลับมาบ้านก็เพราะสิ่งนี้แหละ อะไร

จะดีไปกว่าการได้นอนสบตากับเลนนีแบบนี้อีกเล่า

“อา...เลนนีของบัว”

เมื่อได้พรมจูบรูปภาพนับสิบภาพที่ติดอยู่หนังห้องนอนจนเป็นที่

พอใจแล้ว บัวก็ทิ้งตัวลงนอนมองตากับผู้ชายในภาพต่ออีกสักพัก กว่าจะ

ยอมรื้อกระเป๋าหยิบหนังสือที่ต้องอ่านขึ้นมากางแล้วปิดหน้าตัวเองเอาไว้

เพื่อจะผล็อยหลับไป

 

บทที่ 1

ชายผู้มากับสายฝน

“รัฐไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมถ้าพ่อจะยกหุ้นของพ่อครึ่งหนึ่ง

ให้น้อง” เสียงชายวัยกลางคนในสายถามขึ้น

“ไม่นี่ครับ ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องบอกผมด้วยซ้ำ เพราะเรื่องนี้

ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมอยู่แล้ว”

“รัฐ...ถึงพ่อจะไม่ได้ทำหน้าที่พ่อที่ดี แต่พ่อก็ไม่เคยลืมว่าเป็นพ่อ

ของรัฐนะลูก แต่พ่อเห็นว่ารัฐก็ได้ทุกอย่างจากทั้งคุณปู่ และคุณตาของรัฐ

มากพออยู่แล้ว แต่ตานุยังไม่มีอะไรเลย พ่อก็แค่อยากให้อะไรกับน้องบ้าง

รัฐเข้าใจใช่ไหม”

“ครับ ผมเข้าใจ ทีนี้คุณคงสบายใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอวางสาย

นะครับ เพราะตอนนี้ผมติดธุระอยู่”

“งานคงยุ่งมากสินะ พักผ่อนบ้างนะรัฐ”

“ครับ ขอบคุณ”

ดวงตาดำสนิทของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อยเช่นทุกครั้งหลังสนทนา

กับบิดา แต่ชั่วครู่ใบหน้าก็กลับเป็นปกติ ร่างสูงเพรียวลุกขึ้นยืน หันไป

เรียกคนสนิทให้ โทรศัพท์ลงไปบอกเจ้าหน้าที่ของโรงแรมให้เตรียมรถให้

“นายไม่ต้องตามไปหรอกนะเอก”

“ครับ คุณรัฐ” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำตอบรับด้วยใบหน้าเรียบสนิท

ไม่ต่างจากผู้เป็นนาย

เมื่อได้ขับรถออกมาจากโรงแรมที่พักและห่างจากเมืองออกมา

เรื่อยๆ ความรู้สึกที่คุกรุ่นอยู่ภายในก็ค่อยๆ คลายลง

รัฐลดกระจกรถลงเพื่อรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้ามา การที่ได้เห็น

ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้มสวย ประกอบกับลมแรงพัดเข้ามากระทบใบหน้า ทำให้

ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายจนลืมเวลา จนเห็นว่าท้องฟ้าที่โปร่งใสกลับมีฝน

ตกลงมาอย่างหนักมองแทบไม่เห็นทิวทัศน์ รัฐจึงคิดว่าควรกลับไปยัง

โรงแรมได้แล้ว

แต่ระหว่างเส้นทางลงเขาที่ลดเลี้ยวนั้น อยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงดัง

สนั่นพร้อมกับที่รถเสียการทรงตัว และด้วยความรวดเร็ว รัฐรับรู้ ได้

เพียงว่ารถของเขาเสียหลักพุ่งลงไปข้างถนนซึ่งเป็นหุบเขา เมื่อเขารู้ตัว

อีกครั้งก็พบว่ารถของเขาคว่ำอยู่เบื้องล่างหุบเขาเสียแล้ว รัฐรู้สึกชาไป

ทั้งร่าง พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกสติ จนได้กลิ่นของน้ำมัน

ที่รั่วออกมา เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่เปิดประตูรถแล้ววิ่งไป

ให้ ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเมื่อหันไปมองที่รถอีกครั้ง

ก็พบว่าไฟกำลังลุกไหม้ขึ้นพร้อมกับสติที่ดับวูบลง

นห่าใหญ่ที่เทลงมาเหมือนฟ้ารั่วปลุกให้รัฐตื่น ร่างกายของเขา

สั่นเทาจนแยกไม่ออกระหว่างความเย็นกับความเจ็บปวด เขาไม่แน่ใจ

ว่าการที่อยู่พื้นที่ต่ำแบบนี้จะมีดินถล่มลงมาซ้ำเติมเขาอีกหรือเปล่า รัฐจึง

รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปให้ ไกลจากสถานที่แห่งนั้น

ด้วยฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและความมืดมิดของยามค่ำคืนทำให้

เขาได้แต่เดินตรงไปอย่างไร้ทิศทาง แม้จะเหนื่อยแทบล้มทั้งยืนเขาก็

ไม่ยอมหยุดเท้า เพราะหากยอมให้ตัวเองล้มลงไป เขาคงไม่มีแรงพยุงตัว

เองให้ลุกขึ้นได้อีก ทางเดียวที่ทำได้คือเดินต่อไป

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ที่สุดเขาก็พบกับทุ่งข้าวโพด

สิ่งนี้มันทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจว่าเมื่อเจอไร่ข้าวโพดแบบนี้ เขาก็มี

ความหวังจะเจอบ้านคน หรือใครสักคนที่สามารถขอความช่วยเหลือได้

รัฐเดินเข้าไปในทุ่งข้าวโพด ถูกใบของมันกรีดผิวไปตลอดเส้นทาง

จนแสบคันไปทั้งตัว และแล้วเขาก็ได้มายืนอยู่ที่ถนนดินลูกรังเส้นหนึ่ง

ดวงตาที่ปรือใกล้จะปิดของชายหนุ่มมองเห็นแสงไฟดวงเล็กส่องสว่างอยู่

เยื้องออกไป

รัฐกำมือแน่นขณะก้าวไปตามทิศทางของแสงสีส้มสลัว ยิ่งเข้า

ไปใกล้หัวใจของรัฐก็ยิ่งกลับมาเต้นแรงด้วยความยินดี เขาเห็นแล้ว...

แสงไฟสีส้มสลัวมาจากบ้านหลังหนึ่ง ตอนนั้นรัฐรู้สึกว่าบ้านที่เห็นอยู่

ตรงหน้ามันเป็นบ้านที่สวยที่สุดในโลก

รัฐพยุงร่างที่ใกล้หมดแรงเต็มทีก้าวตรงไปยังบ้านหลังนั้น แล้ว

ยกมือขึ้นทุบประตูด้วยความหวังว่าเสียงเคาะประตูจะดังกว่าเสียงฝน

แต่...ไม่มีใครเปิดประตู

รัฐทุบมือลงไปอีกครั้ง

“ได้โปรดเถอะ...”

ลางดึกคืนที่สายฝนเทกระหน่ำทำให้อากาศรอบตัวเย็นสบาย

หญิงสาวคนหนึ่งขดร่างอยู่ในผ้าห่มอุ่นหนา มันคงเป็นคืนที่ควรหลับสนิท

หากไม่มีเสียงรบกวนซึ่งเกิดจากเสียงทุบประตูที่ดังขึ้นติดต่อกันแข่งกับ

เสียงฝนที่ตกหนักไม่ขาดสาย ปลุกให้หญิงสาวที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มงัวเงีย

ลุกขึ้นนั่ง พลางปัดผมที่บดบังใบหน้าอย่างยุ่งเหยิงออก

“ได้ยินแล้วๆ” บัวบูชาร้องตะโกนบอกแล้วคลานลงจากที่นอนไปยัง

ประตูห้อง โดยอาศัยการยื้อมือดึงลูกบิดประตูเพื่อพยุงลุกขึ้นยืน

ปัง ปัง ปัง

เสียงทุบประตูดังเร่งขึ้นอีก บัวสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความง่วง

แล้วพาร่างโซซัดโซเซไปเปิดประตูหลังบ้าน

“ก็บอกว่าได้ยินแล้ว จะเคาะอะไรนักหนา...”

โครม!

แทบจะทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างหนึ่งก็แทรกเข้ามาภายในแล้ว

ล้มลงไปกองอยู่แทบเท้าเธอต่อหน้าต่อตา จากที่งัวเงียเพราะถูกปลุก

ขึ้นมากลางดึก ร่างของบัวก็ยืนแข็งทื่อด้วยความตกใจ ตาสว่างในทันที

นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนหรือว่าผี!

หญิงสาวตัวแข็งทื่อ เหลือบตามองไปยังร่างที่กองอยู่บนพื้นด้วย

ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความกลัว ร่างที่นอนคว่ำหน้าไม่ไหวติงอยู่นั้น

เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ผมดำสนิทเปียกลู่ เสื้อสีขาวแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว

กับเนื้อตัว

บัวไม่กล้าขยับตัว ที่จริงเธอแทบไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ เพราะกลัว

ว่าร่างที่นอนอยู่จะได้ยินเสียงแล้วลุกขึ้นมา เพราะวันนี้เธอรอพ่อกับแม่

ตั้งแต่บ่ายจนค่ำ ถึงช่วงดึกก็ไม่มีแนวโน้มว่าพ่อกับแม่จะกลับมา ทำให้

ตอนนี้ทั้งบ้านมีแค่เธอที่เป็นผู้หญิงเกือบจะบอบบางอยู่เพียงลำพัง แถม

โทรศัพท์มือถือยังไม่มีเงินให้ ใช้ โทร.ออกได้อีก แบบนี้แล้วจะไม่ให้เธอ

กลัวได้อย่างไรเล่า

“ไม่นะ!” บัวย่อตัวลงเขย่าร่างเย็นเฉียบนั้น “ไม่นะ อย่ามาทำ

แบบนี้นะ ถ้าจะตายทำไมต้องมาเลือกตายที่บ้านฉันด้วย ฮือ...”

บัวออกแรงผลักจนร่างที่นอนคว่ำอยู่พลิกหงายขึ้น เมื่อเห็นว่า

ทรวงอกคนตรงหน้ายังมีการขยับขึ้นลง เธอก็เริ่มตบใบหน้าซีดขาวไร้สี

เลือดอย่างไม่ออมแรง โดยไม่สนใจว่าเจ้าของใบหน้าจะเจ็บหรือเปล่า

สิ่งที่เธอรู้มีเพียงแค่ว่าต้องปลุกเขาให้ตื่น ทั้งตบทั้งเขย่าอยู่นาน ตาที่

ปิดสนิทก็เริ่มขยับแล้วปากซีดก็เริ่มเคลื่อนไหว

“...”

เสียงที่ผ่านออกมาแผ่วเบา เมื่อประกอบกับเสียงฝนกระทบหลังคา

สังกะสีแล้วบัวจึงไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพยายามพูด

“ฮ้า อะไรนะ”

“...”

“อะไรนะ พูดดังๆ ซิ ฉันไม่ได้ยิน” บัวก้มลงตะโกนถาม ทรวงอก

ของชายหนุ่มพองขึ้นเหมือนรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่แล้วพูดด้วยเสียง

ที่ฟังชัดว่า

“ฉัน-เจ็บ”

คราวนี้บัวได้ยินแล้ว แต่พูดได้เพียงเท่านั้นผู้ชายคนนั้นก็สลบไป

อีกครั้ง แต่บัวไม่คิดจะปลุกเขาอีก เพราะตอนนี้เธอเริ่มตั้งสติได้แล้ว จึง

เปลี่ยนเป็นนั่งเกยคางลงกับเข่าจ้องมองร่างคนที่นอนหมดสติอย่าง

พิจารณา

แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ชาย และแม้ ใบหน้าจะเต็มไปด้วยสีสันหลากสี

ทั้งเขียว ม่วง แดงจากรอยช้ำทั่วใบหน้า แต่ก็ยังพอมองออกว่าผู้ชายคนนี้

เวลาปกติคงจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีใช้ ได้ เพราะดวงตาที่เธอได้เห็นก่อนที่

เจ้าตัวจะหมดสติไปนั้นมันเป็นสีดำสนิทดูลึกล้ำ แถมจมูกยังโด่งสวย

ริมฝีเล็กบางแต่กลับดูอิ่มเต็ม คิ้วดำเข้มเรียงเส้นสวยเหมือนเส้นผม จาก

ผิวหน้าในส่วนที่ไม่มีรอยช้ำและมือของเขาที่บัวเห็นนั้นมันช่างดูขาว

นวลตา เท่าที่เห็นดูเหมือนว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างเพรียวบางค่อนไปทาง

ผอมและน่าจะสูงมาก

นั่งจ้องอยู่นาน คนที่นอนอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา บัวจึงไม่รู้สึก

กลัวอีกต่อไป ความตกใจหายไปหมดสิ้นแล้วความง่วงก็เริ่มกลับมา

ครอบงำเธออีกครั้ง

“เอาเหอะ เพื่อเห็นแก่ความน่าจะหล่อของนาย ฉันยอมให้นาย

นอนพักสักคืนก็ได้” จากนั้นบัวจึงลุกขึ้นยืนเพื่อดึงร่างคนเจ็บลากเข้ามา

ในบ้านแล้วปิดประตูลง

สงสว่างที่แยงตาประกอบกับเสียงกุกกักดังไม่ขาดสายปลุกให้

ชายหนุ่มลืมตาขึ้น แต่เพียงขยับตัวก็รู้สึกเจ็บร้าวไปทั่วทั้งร่าง รัฐมองไป

รอบตัว สิ่งแรกที่เห็นคือแสงแดดช่วงเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านสีน้ำตาลทึม

จากการถูกใช้งานมานาน...หลังคาสังกะสี...และผนังไม้สีขาวสึกกร่อน...

แล้วทันใดนั้นเสียงใสๆ ที่ได้ยินก่อนหมดสติไปก็ดังขึ้น

“เอ้า ตื่นแล้วเหรอ ข้าวต้มเสร็จพอดี ลุกมากินเลยนะ”

รัฐเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง เธอเป็นหญิงสาวที่น่าจะอายุไม่เกิน

ยี่สิบปี ใบหน้าใสกระจ่างไร้เครื่องสำอาง เขามั่นใจด้วยซ้ำไปว่าผู้หญิง

คนนี้ยังไม่ล้างหน้าล้างตา ผมยาวผูกเป็นหางม้าหลวมๆ หญิงสาวหน้ากลม

คนนั้นยิ้มและยักคิ้วส่งมาให้ ขณะเดินถือถ้วยผ่านเขาไปเปิดโทรทัศน์

แล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โดยไม่สนใจเขาอีก

รัฐหลับตาลงเพื่อทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใช่แล้ว...เมื่อวาน

รถของเขาเกิดอุบัติเหตุ และเขาเดินมาเรื่อยๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ

จนมาสลบที่บ้านหลังนี้

“คุณ...” รัฐตะโกน แต่เสียงที่ดังออกมากลับแหบแห้งอย่าง

น่าใจหาย

“หือ”

“คุณช่วยผมไว้”

“อือ”

“ขอบคุณ”

“อ้อ” หญิงสาวคนนั้นยังคงขานรับสั้นๆ โดยไม่สนใจจะมองมา

ยังเขาแม้แต่น้อย เพราะดวงตาของเธอยังคงจดจ่อกับภาพข่าวเช้าใน

หน้าจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังเสนอภาพข่าวเต่าสองหัวอยู่

รัฐที่ปกติไม่ใช่คนที่ชอบเริ่มบทสนทนากับใครอยู่แล้ว เห็นว่า

คู่สนทนาไม่สนใจตนจึงปิดปากลง แต่แล้วดวงตาของชายหนุ่มก็เบิกกว้าง

เมื่อเห็นภาพสะท้อนในกระจกเงา

นี่มันอะไรกัน!

ไม่ใช่ใช่ไหม

ภาพสะท้อนนั้น...ไม่ใช่เขา

ใช่...ไม่ใช่เขา ต้องไม่ใช่เขาแน่ๆ

เขา...นายรัฐพล รัฐวาทิน ท่านประธานผู้ทรงอิทธิพล จะเป็น

คนเดียวกับผู้ชายหน้าตายับเยินที่ถูกฝังอยู่ใต้กองผ้าห่มผืนใหญ่สีอึมครึม

บนพื้นปูนหยาบหน้าประตูไม้โทรมๆ จนดูคล้ายกองขยะไร้ค่าอะไร

สักอย่างได้อย่างไรกัน

ไม่!

ไม่มีทาง...

ชายหนุ่มไม่อยากจะยอมรับความจริง อยากจะเชื่อว่าตนเองเพียง

แค่ฝันไป แต่ไม่ว่าจะลืมตาขึ้นมากี่ครั้งภาพที่เห็นก็ยังคงเป็นเช่นเดิม แถม

ยังดูจะชัดเจนขึ้น รัฐจึงแทบไม่อยากจะลืมตาขึ้นมาเพื่อยอมรับความเป็น

จริงอันโหดร้ายนั้นอีก

“หิวไหม เจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่า อยากไปหาหมอไหม”

เสียงของหญิงสาวถามอย่างใจดีดังขึ้นข้างกาย แต่รัฐยังคงหลับตา

อยู่เช่นเดิม เพื่อหวังว่าเธอจะเลิกสนใจแล้วหยุดมองเขาที่อยู่ในสภาพนี้

เสียที แต่ดูเหมือนจะเป็นอีกครั้งที่ความหวังของเขาไม่เป็นผล เพราะ

เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็พบว่า ผู้หญิงคนนั้นกำลังนั่งยองๆ เท้าคางมองเขาด้วย

สีหน้าสนใจอย่างเปิดเผย

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไร ฉันแค่สนใจผิวของนายน่ะ นายโตมาในห้องมืดเหรอ

ชีวิตนี้นายเคยเจอแสงแดดบ้างหรือเปล่า”

“ทำไม”

“ก็มันสวยมากน่ะสิ เห็นเมื่อคืนฉันก็ว่าผิวนายดีแล้วนะ แต่พอ

มองตอนสว่างแบบนี้ทำฉันทึ่งเลย ผิวของนายมันขาวใสอมชมพูยิ่งกว่า

ผิวเด็กแรกเกิดที่ฉันเคยเห็นมาอีกแน่ะ”

เมื่อแรกบัวก็คิดอยู่ว่าควรเรียกแทนผู้ชายตรงหน้าว่าอย่างไรดี

จนตะกี้ที่แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาทำให้มองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

เธอก็มั่นใจว่าผู้ชายคนนี้คงอายุไล่เลี่ยกับเธอ หรือไม่ก็ต้องอ่อนกว่าแน่

 “ว่าแต่นายเป็นใคร แล้วไปทำอะไรมาถึงมีสภาพแบบนี้ได้”

“รถผมเกิดอุบัติเหตุตกเขา แล้วผมก็เดินมาเรื่อยๆ เพื่อจะขอ

ความช่วยเหลือ จนมาเจอบ้านคุณ”

“อ้อ...แล้วนี่จะเอาไงต่อ จะไปแจ้งความหรือไปโรงพยาบาลก่อน

ดีล่ะ”

“ผมต้องการโทรศัพท์”

“นายไม่มีโทรศัพท์” บัวตอบ เพราะเมื่อคืนตอนที่ลากเขาเข้ามา

ในบ้าน เธอลองค้นตัวเขาดูแล้ว แต่ไม่เจออะไรเลย

“ผมรู้ ผมแค่ต้องการยืมโทรศัพท์ของคุณ” แม้ชักจะไม่พอใจกับ

ท่าทางซื่อบื้อของอีกฝ่าย แต่รัฐก็พยายามบอกตัวเองว่าหล่อนคือคนที่

ช่วยเขาเอาไว้ ทำให้รัฐอดทนกับคนตรงหน้าได้มากกว่าปกติ

“อ้อ” หญิงสาวพยักหน้าแล้วลุกเดินไปยังห้องหนึ่ง ซึ่งรัฐเดาว่า

เป็นห้องนอนของเธอ ครู่เดียวเธอก็ออกมายื่นโทรศัพท์ให้ รัฐกล่าว

ขอบคุณแล้วรับโทรศัพท์มือถือมากดหมายเลขที่ต้องการ ก่อนจะวาง

มันลงบนพื้นแล้วจ้องหน้าหญิงสาวเจ้าของบ้าน

“โทรศัพท์ไม่มีเงิน”

“ก็ใช่ไง มันหมดไปหลายวันแล้วละ”

“แล้วเธอยังเอามาให้ฉันโทร.?”

“ก็นายบอกเองว่าอยากได้ โทรศัพท์นี่นา...คนอะไรเรื่องมากจริง”

บัวเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแสดงความไม่พอใจ ว่าหมอนี่

ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเลยจริงๆ เป็นใครก็ไม่รู้ เธออุตส่าห์ช่วยไว้ ยังมา

เรียกร้องนู่นนี่นั่นอีก

แน่ะ...ยังมาทำมองเหมือนเธอทำผิดอะไรอยู่อีกแน่ะ

“ถ้าเป็นเด็กทำหน้าบึ้งตึงมันก็น่ารักอยู่หรอกนะ แต่พอผู้ชายตัวโต

แถมมีรอยช้ำเต็มหน้าทำแล้ว มันน่าเกลียดมาก ฉันบอกได้เลย”

“...”

เป็นครั้งแรกที่รัฐโมโหแต่พูดอะไรไม่ออก จึงหันหน้าไปทางอื่น

“ได้ๆ ฉันยอมนายก็ได้ ทีนี้เลิกทำหน้างอได้แล้ว รีบกินข้าวแล้ว

กินยาซะ เดี๋ยวทำอะไรเสร็จ หญิงสาวบอบบางอย่างฉันจะรีบปั่นจักรยาน

โซ่ยานๆ ข้ามภูข้ามเขาไปเติมเงินโทรศัพท์มาให้นายเอง พอใจหรือยัง

ทีนี้รีบกินข้าวนะ อย่างอแง”

เจ้าของบ้านพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้งเหมือนผู้ ใหญ่ปลอบเด็ก ยิ่งเห็น

รัฐยิ่งหน้าเขียวคล้ำด้วยความโมโห แต่ไม่ทันที่จะได้ โต้ตอบอะไรออกไป

ผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกจากประตูบ้านไปอย่างสบายใจเสียแล้ว

บัวออกมานั่งยองๆ มองแปลงผักข้างบ้านที่แม่ปลูกไว้ แปลงผัก

ยาวหลายเมตรจำนวนหกแปลงนี้มีทั้งผักกะหล่ำ คะน้าดอก ผักบุ้ง ผักชี

ต้นหอม ผักเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อขาย แต่เอาไว้เผื่อญาติพี่น้องที่ใครอยาก

ได้ผักอะไรก็สามารถมาเก็บไปได้

นางสร้อยแม่ของบัวรักการปลูกทุกอย่างที่ปลูกได้เป็นชีวิตจิตใจ

ปลูกตั้งแต่ผักสวนครัว สวนไร่ ผลไม้ ไม้ดอก ไม้ ใบ เรียกว่าเจอต้นอะไร

ก็เอามาปักลงดิน จนทุกวันนี้ทั่วบริเวณบ้านร่มรื่นไปด้วยต้นไม้นานาชนิด

ที่ส่วนใหญ่บัวก็ไม่รู้จักชื่อ

“อ้าว ไอ้บัว กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” ลุงสุขญาติห่างๆ ทั้งยังเป็น

เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดชะลอรถไถที่หน้าบ้านของบัวเพื่อทักทาย

“มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วจ้ะลุงสุข แต่ไม่มีใครอยู่บ้านเลย ไม่รู้พ่อแม่

ไปไหนกันหมด”

“พ่อแม่เราไปงานแต่งงานลูกชายน้าใจจังหวัดอื่นนู่น คนในหมู่บ้าน

เราก็ไปกันหลายคน เห็นว่าเขาจะเที่ยวต่อ คงหลายวันโน่นแหละถึงจะ

กลับกัน”

“อ้ออย่างนี้เอง มิน่าถึงไม่มีใครอยู่บ้าน”

“แล้วนี่เรียนใกล้จบหรือยัง”

“ใกล้แล้วจ้ะลุง เหลือแค่สองวิชา ถ้าไม่ติดอะไรก็จบละ”

 “เออ ดีๆ ตั้งใจเรียนนะ ต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน แล้วจะกลับ

เข้าเมืองวันไหนล่ะ”

“วันมะรืนก็คงกลับแล้วจ้ะลุง อ้อ...โทรศัพท์ลุงมีเงินหรือเปล่า หนู

ยืมหน่อยได้ ไหม”

“โอ๊ย ไม่มีหรอกไอ้บัว นี่ลูกสาวลุงมันไม่เติมเงินให้ลุงตั้งหลายวัน

แล้ว เอ็งจะโทร.หาแฟนเหรอ”

“ไม่ใช่หรอกจ้ะ เพราะแฟนน่ะหนูยังหาไม่ได้เลย”

“ดีแล้วละ ตั้งใจเรียนให้จบก่อน พอจบแล้วค่อยมีแฟนยังไม่สาย

เอ้า ลุงไปก่อนนะ”

เมื่อลุงสุขกลับไปแล้วบัวก็ไปให้อาหารไก่ในเล้าต่อ จากนั้นจึงกลับ

มาเก็บคะน้าก้านอวบหนึ่งกำมือ และเดินเข้าบ้านไปรื้อเสื้อผ้าในตู้ของพ่อ

ที่มีขนาดใหญ่ออกมาวางไว้ข้างกายชายหนุ่มที่เอาแต่นอนหลับตาเงียบ

“นี่เสื้อผ้าของพ่อฉันเอง ถ้าลุกได้แล้วค่อยเปลี่ยนแล้วกัน เมื่อคืน

เสื้อผ้านายเปียกหมดนี่ เดี๋ยวไม่สบายเอา ฉันจะไปซื้อของที่ตลาด

ในหมู่บ้าน จะได้แวะเติมเงินโทรศัพท์ ให้ด้วย นายอยู่บ้านก็สงบเสงี่ยม

หน่อยล่ะ อย่าเที่ยวไปรื้อข้าวของอะไรเข้าใจไหม”

“อือ” รัฐพยักหน้าแม้ภายในจะคุกรุ่นด้วยความไม่พอใจ คนอย่าง

เขาจำเป็นอะไรที่จะอยากรื้อข้าวของในบ้านคนอื่นด้วยเหรอ แต่รัฐทำเพียง

หลับตาเพื่อหลีกเลี่ยงการรับรู้สถานภาพอันน่าอนาถของตนเอง

เสียงกุกกักดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงประตูที่ปิดลง เขาได้ยิน

เสียงปั่นจักรยาน แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบ ชายหนุ่มลืมตาขึ้น

ฝืนร่างที่เจ็บระบมผลักผ้าห่มหนาหนักออกแล้วลุกไปทำความสะอาด

ร่างกาย ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ถึงเนื้อผ้าจะให้ความรู้สึกไม่สบาย

ตัวนัก แต่ก็ยังดีกว่าสวมชุดเดิมที่ยังคงชื้นอยู่

เพราะเอาแต่นอนนานเกินไปทำให้รู้สึกเวียนหัว รัฐจึงออกมานั่งที่

ม้านั่งหน้าบ้าน สิ่งที่เห็นเมื่อมองไปรอบๆ คือทุ่งข้าวโพดยาวสุดลูกหูลูกตา

จรดตีนภูเขา ข้างนอกนี้รัฐรู้สึกโล่งสบายด้วยสายลมที่พัดพาความเย็น

มาเป็นระยะ คงเพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก ทำให้แม้แต่ตอนนี้รัฐยังได้กลิ่น

แปลกๆ ของไอดินหลังฝนตกที่เขาไม่ได้สัมผัสมานาน พลอยทำให้รัฐ

คิดว่ามันนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้ ทุกอย่างรอบตัว

ดูสงบจนเหมือนเวลาได้หยุดเดิน และนี่เป็นครั้งแรกที่รัฐรู้สึกถึงคำว่า

โดดเดี่ยว

ผ่านไปเกือบชั่วโมง เสียงล้อจักรยานก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้อง

โวยวายของหญิงสาวที่ใช้เท้ายันพื้นดินเพื่อหยุดรถจักรยานของเธอ วินาที

ที่ร่างหญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้นสีดำก้าวตรงเข้ามา สถานที่

ที่ดูเงียบเหงาก็กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง

“เสียใจด้วย คนเติมเงินเขาไปงานแต่งงานที่ต่างจังหวัด” บัวพูดขึ้น

เป็นประโยคแรกเมื่อเดินมาถึง

“แล้วแถวนี้ไม่มีใครมีโทรศัพท์เลยเหรอ”

“ใกล้สุดก็บ้านลุงสุขแหละ อยู่เลยจากที่นี่ไปกิโลกว่า แต่เมื่อเช้า

ฉันลองถามดูแล้ว โทรศัพท์ลุงสุขก็ไม่มีเงินเหมือนกัน ถ้าจะไปยืมญาติ

คนอื่นก็สองสามกิโลเมตรได้ แต่วันนี้ฉันไม่ไปแล้วนะ เหนื่อย”

รัฐอึ้ง นี่มันหมู่บ้านประเภทไหนกัน ทำไมแค่การจะโทรศัพท์มันถึง

ได้ดูยากลำบากขนาดนี้ ตกลงว่าคนแถวนี้มีโทรศัพท์เอาไว้แค่รับสาย

เท่านั้นหรือไง

“นี่ฉันหลงเข้ามาอยู่หมู่บ้านหลังเขาเข้าแล้วใช่ไหม”

“เปล่า...ไม่ใช่หลังเขา...หมู่บ้านฉันอยู่กลางเขาเลยแหละ นายไม่เห็น

เหรอ” จากนั้นบัวก็ชี้ไปรอบตัว “เห็นไหม นู่นก็ภูเขา นี่ก็ภูเขา ตรงนั้นก็

ภูเขา มองไปทางไหนก็มีแต่ภูเขา”

รัฐมองตามทิศทางที่หญิงสาวชี้ด้วยใบหน้าสงบ ขณะทำใจยอมรับ

กับโชคชะตาของตนเอง “แล้วปกติเธอเดินทางไปเรียนยังไง”

“ก็ให้พ่อไปส่งที่หมู่บ้านขอนหนาม ตอนเช้าจะมีรถโดยสารรับส่ง

นักเรียนไปที่อำเภอแล้วเลยเข้าตัวจังหวัดน่ะ”

ได้ยินแบบนั้นใบหน้าของรัฐจึงรู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้างว่า หากคน

ของเขาตามหาเขาไม่เจอจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ยังพอมีลู่ทางกลับเข้าไป

ในเมืองได้เอง ถึงก่อนที่จะเดินทางมาดูทำเลที่ดินเพื่อสร้างโรงแรม

ในจังหวัดนี้เขาได้จัดการตารางงานไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่การหายไปเฉยๆ

แบบนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดความวุ่นวายมากมายแค่ไหน

ช่วงบ่ายวันนั้นรัฐเพียงนอนหลับตาเงียบๆ นานครั้งถึงจะปรายตา

มองไปยังม้านั่งริมหน้าต่างที่หญิงสาวกึ่งนั่งกึ่งนอนท่องหนังสืออยู่ พลาง

นึกสงสัยว่าเธอเป็นคนอย่างไรกันแน่ ทำไมถึงกล้าช่วยเหลือคนแปลกหน้า

ไว้ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย แถมยังดูไม่กังวลจนออกจะสบายใจเกินไปด้วยซ้ำ...

ช่วงเวลานั้นลมเอื่อยพัดพากลิ่นของไอดินเข้ามา...ภาพหญิงสาว

บนม้านั่งสีขาวทำให้รัฐเกิดความรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (94 รายการ)

www.batorastore.com © 2024