ใจล้อมรัก (ฬีรดา)
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 94.15 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ใจล้อมรัก
ฬีรดา
บทนำ
พี่พบน้อง
“อะระหังสัมมาสัมพุทโธภะคะวา...”
ภูไทลอบถอนหายใจเบาๆขณะที่สองมือยังยกพนมอยู่ระหว่างอก
ไม่ใช่ว่าเขาไม่นับถือในพระพุทธศาสนาหรอกนะแต่ที่ต้องถอนหายใจ
ก็เพราะว่าอีกไม่กี่นาทีหลังจากที่ไหว้พระเสร็จแล้วเขาต้องรับเอาอีก
หนึ่งชีวิตเข้ามาอยู่ในความดูแลน่ะสิ!
คนที่ว่านั่นกำลังนั่งคุกเข่าเก็บปลายเท้าแล้วก็ตั้งใจสวดมนต์อยู่
ตรงหน้าเขานี่เองปลายฟ้าเป็นเด็กกำพร้าอายุย่างสิบเก้าเธออยู่ใน
ความดูแลของแม่ชีที่มารดาของเขานับถือแต่เมื่อไม่กี่เดือนนี้แม่เพิ่ง
ตกลงใจจะรับเด็กสาวมาอุปการะส่งเสียเธอจนจบมหาวิทยาลัยเพราะ
แม่ชีท่านไม่มีกำลังพอจะส่งเสียเด็กคนนี้เรียนต่อในระดับปริญญา
แต่นรกเถอะ! แม่ไม่ได้ถามความสมัครใจของเขาเลยสักนิดว่า
อยากมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มหรือเปล่าแถมยายนั่น...ยายเด็กนั่น
ยังพูดจาทำท่าทางราวกับตัวเองเป็นแม่ชีเสียเอง
เขาจำตอนที่เจอเธอครั้งแรกได้ขึ้นใจ!
ภูไทเจอกับปลายฟ้าครั้งแรกที่วัดนี่แหละที่นี่เป็นวัดเก่าแก่และมี
สำนักแม่ชีอยู่ในอาณาบริเวณของตัววัดวันนั้นเขาเป็นสารถีให้มารดา
ที่จะมาทำบุญแต่มีช่วงจังหวะที่เขาออกมาคุยโทรศัพท์อยู่ตรงศาลาริมบึง
อยู่พักหนึ่งเลยได้เผชิญหน้ากับเด็กสาวตามลำพัง
“การโกหกเป็นบาปนะคะยิ่งในวัดในวายิ่งไม่ควรพูดปด”
เสียงหวานเนิบช้าดังขึ้นจนภูไทต้องหันมองไปรอบๆเหลียวซ้าย
แลขวาจนแน่ใจแล้วว่าสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราคนนี้กำลังพูด
กับเขา
“โกหก?” ภูไททวนคำอย่างไม่เข้าใจเขาแน่ใจล้านเปอร์เซ็นต์เลยว่า
ตัวเองไม่เคยเจอหน้าเด็กสาวที่ยืนอยู่ในเขตศาลาคนนี้มาก่อนแต่จาก
การแต่งกายก็พอจะคาดเดาได้ว่าเธอคงเป็นลูกศิษย์ลูกหาของสำนัก
แม่ชีกระมัง
เธอแต่งชุดขาวมิดชิดดวงหน้าอ่อนใสไร้เครื่องสำอางนั้นน่ามอง
ปากอิ่มได้รูปเรื่อสีชมพูใสจมูกนิดแต่ดวงตากลมโตผมยาวสีดำสนิท
ถูกรวบเอาไว้เป็นหางม้าน่าแปลกที่เด็กวัยรุ่นอย่างเธอสนใจเรื่องธรรมะ
มากกว่าความบันเทิง
“ปายเห็นคุณคุยโทรศัพท์แต่เอานิ้วไขว้กันแบบนี้” เธอทำท่าทาง
ประกอบคำพูดยกมือขึ้นระดับสายตาใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กันแล้ว
กำนิ้วที่เหลือเอาไว้ “มันผิดศีลข้อสี่นะคะมุสาวาทาเวรมณี”
แน่ละว่าเขาทำแบบที่เธอพูดจริงๆแต่มันกงการอะไรของเธอ
ด้วยเล่า! “เราเคยรู้จักกันหรือ”
คำถามของภูไทอาจไม่ได้ต้องการคำตอบแต่คล้ายว่าชายหนุ่ม
ต้องการจะย้ำเตือนถึงสถานะคนแปลกหน้าระหว่างเขากับเธอและเธอ
กำลังล้ำเส้นเขาด้วยการยืนเทศนาศีลห้าใส่หน้าเขา!
แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะเข้าใจไปอีกอย่างเธอรีบอธิบายแนะนำตัว
ด้วยคิดว่าตัวเองกำลังเสียมารยาทกับชายหนุ่ม
“ปายชื่อปลายฟ้าค่ะอยู่กับแม่ชีมาตั้งแต่เด็กพอดีปายจะเข้ามา
กวาดศาลาแต่เห็นคุณกำลังพูดปดกับคนในโทรศัพท์ก็อดเตือนไม่ได้
ศีลห้าน่ะไม่ยากนะคะถ้าตั้งใจจะปฏิบัติรักษาปายเชื่อว่าคุณจะทำได้”
ภูไทหลับตาลงเม้มปากแน่นคล้ายจะสะกดกลั้นอารมณ์พยายาม
บอกตัวเองว่าตอนนี้เขาอยู่ในวัด...ในวัด! สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมะ
และหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ให้ตายเถอะ! ยายเด็กนี่ตัดสินเขา
ทั้งที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ
“ผมอาจจะพูดโกหกจริงๆแต่ผมก็ทำเพราะไม่ต้องการให้ตัวเอง
เดือดร้อน” แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมาสาธยายให้เธอฟังด้วยวะ
“คุณมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเลยมาทำบุญที่วัดหรือคะแล้วได้เข้าไป
กราบพระหรือยังคะ”
คราวนี้ภูไทถอนหายใจเสียงดังอย่างจงใจถ้าเขากลอกตาเป็น
เลขแปดได้คงทำไปแล้วเขาว่าเธอไม่ใช่เด็กที่โตมาในสำนักชีแล้วละ
เธอโตมาในทุ่งลาเวนเดอร์! ต้องใช่แน่ๆเธอต้องขี่ม้าเพกาซัสวิ่งเล่น
ในทุ่งลาเวนเดอร์ทุกวันชัวร์!
“ผมหมายถึง...ถ้าเมื่อครู่ผมไม่โกหกไปมันจะนำพาเรื่องเดือดร้อน
มาให้ผมแต่ผมไม่ได้ทุกข์ร้อนใจอะไรอย่างที่คุณคิด”
“ไม่เห็นเข้าใจเลยไม่โกหกแล้วจะเดือดร้อนอย่างนั้นหรือคะ”
“คนรู้จักโทรศัพท์มายืมเงินน่ะเลยปฏิเสธไป” โดยการบอกว่า
ช่วงนี้เขาหมุนเงินไม่ทันเลยเป็นเหตุให้เธอเข้าใจว่าเขาเป็นคนขี้โกหก
อย่างไรล่ะนรกเถอะ! ทำไมเขาต้องมาอธิบายให้เธอฟังด้วยเนี่ยแล้ว
เธอเองก็กระไรทำตัวเป็นเจ้าหนูจำไมสงสัยนู่นนี่ไม่เข้าท่า
“ก็ไม่เห็นต้องโกหกเลยนี่คะคุณน่าจะปฏิเสธไปตรงๆ”
ลาเวนเดอร์! เธอโตมาในทุ่งลาเวนเดอร์จริงๆด้วย! นี่ตั้งแต่เกิด
จนโตมาปลายฟ้าเคยโดนใครยืมเงินบ้างหรือเปล่ามันไม่ใช่ว่าปฏิเสธ
แล้วจบไปหรอกนะหากอีกฝ่ายต้องการจะเอาน่ะอย่างไรเสียโลกนี้ก็มี
คำบัญญัติที่ว่า ‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก’ เกิดขึ้นมาแล้ว
ปากหยักอ้าออกเตรียมจะต่อคำกับยายเด็กหน้าตาจิ้มลิ้มใสซื่อ
แต่เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาพร้อมด้วยเสียงเรียกขานคุ้นหูก็ดังขึ้น
ขัดจังหวะเสียก่อน
“เหนือมาอยู่นี่เองแม่ก็ว่าหายไปไหนอ้าว...หนูปายก็อยู่ด้วย
หรือจ๊ะ”
“สวัสดีค่ะคุณทรรศ”
ภูไทเหลือบมองทรรศนี...มารดาของเขากับเด็กปลายฟ้าด้วยความ
แปลกใจสองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหนเอ๊ะ! หรือว่า...
“คนนี้ไงเหนือที่แม่เคยเกริ่นให้ฟังว่าจะรับมาอุปการะต่อจาก
แม่ชีน่ะ”
“...”
“เหนือ!”
ร่างสูงสะดุ้งเบาๆเมื่อได้ยินมารดาเรียกเสียงดังดึงเขาหลุดจาก
ภวังค์ภูไทลดมือที่ประนมอยู่ลงเมื่อเห็นว่าคนอื่นๆตั้งท่าเหมือนจะกลับ
กันแล้ว
“เหม่อไปถึงไหนหรือว่าเกิดซึ้งในรสพระธรรมขึ้นมา” ทรรศนีแกล้ง
แซ็วบุตรชายขบขันกับรอยเก้อเขินในดวงตาของภูไทไม่รู้ว่าเมื่อครู่
เขาคิดอะไรอยู่นางกับปลายฟ้ากราบลาพระเรียบร้อยแล้วแต่ภูไทก็ยัง
นั่งพนมมือค้างอยู่เป็นนานสองนาน
“กำลังขอให้พระคุ้มครองน่ะครับอย่าให้ชีวิตผมวุ่นวายจน
เส้นเลือดในสมองแตกไปเสียก่อน”
ภูไทหันไปกราบลาแม่ชีก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนผายมือให้มารดา
กับปลายฟ้าเดินนำเขาออกไปไม่แม้แต่จะช่วยถือกระเป๋าสัมภาระให้
‘เด็กในอุปการะของมารดา’ เลยสักนิดเธอไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปมาก
มีแค่กระเป๋าถือใบใหญ่หนึ่งใบเท่านั้นในเมื่อปลายฟ้าถือเองไหวก็ให้เธอ
ถือไปนั่นแหละ
“เดี๋ยวหนูปายไปนั่งหน้าเป็นเพื่อนพี่เหนือเขานะลูก” ทรรศนีเอ่ย
น้ำเสียงอ่อนโยนไม่สนใจลูกชายที่ทำหน้านิ่วคล้ายจะไม่พอใจอะไร
บางอย่าง
“คุณเหนือ” จู่ๆชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาเสียงเข้ม
“คะ?”
“เรียกคุณเหนือผมไม่ใช่พี่คุณ”
คนพูดไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่คนฟังถึงกับหน้าถอดสีปลายฟ้ามอง
หน้าภูไทด้วยแววตาไหวระริกเธอเห็นว่ามารดาของเขามีเมตตากับเธอ
แต่ไม่เคยนึกว่าเขาจะเดียดฉันท์เธอปลายฟ้าเคยวาดฝันถึงพี่ชายที่แสนดี
เอาไว้ในหัวเมื่อทราบว่าคุณทรรศนีมีบุตรชายที่อายุมากกว่าเธอ
แต่ไหงพี่ชายกลับกลายเป็น...คนที่ดูอันตรายไปเสียได้ล่ะ
“เหนือจะไปเจ้ายศเจ้าอย่างกับน้องทำไมล่ะลูก” ทรรศนีเอ็ดลูกชาย
เบาๆแต่ด้วยความใจดีของนางและน้ำเสียงที่อ่อนโยนอยู่เป็นนิจไม่ได้
ทำให้ภูไทรู้สึกหวั่นเกรงเท่าไรนักกระนั้นชายหนุ่มก็รู้ว่าเขาไม่ควรทำให้
มารดาไม่สบายใจ
“เอ้าอยากเรียกอะไรก็เรียกไป” ไม่นึกว่าพอเขาพูดแค่นั้นคนที่ยืน
หน้าซีดอยู่ก็เปลี่ยนมายิ้มแฉ่งปลายฟ้ารีบยกมือกระพุ่มไหว้เขาทันที
“งั้นปายขอเรียกว่าพี่เหนือนะคะ”
“อือ”
“พี่เหนือก็แทนตัวเองว่าพี่แทนคำว่าผมนะคะ”
เอ๊ะ! ยายเด็กนี่...ได้คืบจะเอาศอก
“อือ” ภูไทเลือกที่จะเออออให้จบๆไปก่อนคิดเสียว่ามันก็แค่
สรรพนามแทนตัวอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเป็นพี่ชายของเธอจริงๆหรอก