มนตร์วิวาห์ (บุญลากุล)

มนตร์วิวาห์ (บุญลากุล)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715780
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 259.00 บาท 64.75 บาท
ประหยัด: 194.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

“เดือนมีแฟนหรือยังลูก” สายหยุดถามเด็กสาววัยย่างสิบแปดปีตรงหน้า ใบหน้าสดใสไร้เครื่องสำอางฉายแววตาตื่นตระหนกขึ้นเมื่อได้ยินคำถาม สายหยุดหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นจึงรีบปลอบขวัญอีกฝ่าย

“แม่ถามเฉยๆ ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลย” สายหยุดรวบช้อนไว้กลางจานแล้วเงยหน้าสบตากับสมศักดิ์ผู้เป็นสามี หลังตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างกับสกาวเดือน ลูกสาวของน้องสาวที่ด่วนจากไปเมื่อหลายปีก่อน

“ก็อยู่ๆ แม่ถามขึ้นมา” แววตาตื่นตระหนกหายไปกลับกลายเป็นความสงสัยเข้ามาแทน “ทำไมเหรอคะ” สกาวเดือนถามยํ้าอีกครั้ง แต่รอยยิ้มของสายหยุดทำให้เธอรู้สึกว่ามีความหมายอะไรแฝงอยู่ในนั้น

“เอ่อ...” คราวนี้เป็นสายหยุดที่กระอักกระอ่วนแทนเมื่อเป็นฝ่ายถูกถามกลับบ้าง หล่อนหันหน้ามองสามีอีกครั้ง สมศักดิ์พยักหน้าเบาๆเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่ต้องพูดแล้ว

“หนูจะว่ายังไง ถ้าจะมีคนมาดูแลหนูแทนพ่อกับแม่”

 พูดออกไปแล้วก็รู้สึกใจหาย ทั้งที่ตนเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง สกาวเดือนเป็นลูกสาวของน้องสาวหล่อนที่เสียชีวิตไปพร้อมกับสามีด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน เด็กสาวเลยต้องมาอยู่ในการดูแลของหล่อนและสามี เพราะความรักและความผูกพันตั้งแต่เด็กทำให้สกาวเดือนเรียกหล่อนว่า ‘แม่’ ประหนึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด เช่นเดียวกับสมศักดิ์ที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อ’

“หนู...ไม่เข้าใจค่ะ”

เด็กสาวบอกเช่นนั้นทั้งที่เธอรูว่าประโยคนั้น หมายถึงอะไร สกาวเดือนใจหายไม่แพ้กัน ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน และถามยํ้าอีกครั้ง อยากรู้ว่าตนเองไม่ได้หูฝาดไป “หมายความว่ายังไงหรือคะ”

เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายสายหยุดก็รู้สึกผิดขึ้นมา คล้ายกับว่าหล่อนกำลังทอดทิ้งเธอ แต่ทุกอย่างเกิดมาจากความหวังดี หล่อนยื่นมือไปกุมมือเด็กสาวแล้วเริ่มบทสนทนา

“ปีหน้าพ่อก็เจ็ดสิบแล้วนะลูก”

สกาวเดือนรู้แต่ไม่ใช่เพราะรอยย่นบนใบหน้าของคนทั้งคู่ แต่เป็นเพราะเธอจำรายละเอียดของสมศักดิ์ได้ต่างหาก เธอพยักหน้าเบาๆรอฟังสายหยุดพูดต่อ

“ส่วนแม่ก็...”

“ห้าสิบแปด”

สกาวเดือนพูดต่อให้ สายหยุดยิ้มบางๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายจำได้

“จ้ะใช่ ดูสิ พ่อกับแม่แก่กันขนาดนี้ จะอยู่กันได้อีกกี่ปีเชียว”

สายหยุดมองหน้าเด็กสาวด้วยแววตารักใคร่ หวังให้อีกฝ่ายเข้าใจเจตนารมณ์ของตน

“พ่อกับแม่ยังแข็งแรงอยู่เลย” สกาวเดือนพูดนํ้าเสียงอ่อนแรงและอยากได้ความชัดเจนมากกว่าเดิม

“วันนี้ต่างจากวันพรุ่งนี้ยังไงหนูรู้ไหม” คราวนี้เป็นสมศักดิ์พูดขึ้นมา สกาวเดือนส่ายหน้าพัลวัน รออีกฝ่ายอธิบาย

“ต่างตรงที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไงล่ะลูก ความสวยงามของชีวิตคือการไม่รู้เรื่องของวันพรุ่งนี้ พ่อกับแม่อยากสบายใจว่าถ้าหากว่าวันพรุ่งนี้ไม่อยู่บนโลกนี้แล้วจะยังมีใครคอยดูแลหนูอยู่”

เด็กสาวนํ้าตาเอ่อคลอเมื่อได้ยิน ซาบซึ้งในความรักของคนทั้งสองเธอก้มหน้าลงเพื่อบดบังหยาดนํ้าตาที่กำลังร่วงหล่น

“พี่ทิวากับพี่พลไงคะ”

สกาวเดือนเอ่ยถึงลูกชายลูกสาวแท้ๆ ของอีกฝ่ายด้วยนํ้าเสียงเจือสะอื้นเมื่อกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ มันสับสนไปหมด ทั้งน้อยใจ ทั้งตื่นเต้นกับการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของลูกผู้หญิง และสุดท้ายคือความกลัว

“พี่ๆ เขาก็มีครอบครัวให้ดูแล วันหนึ่งหนูก็ต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเองเหมือนกัน” สมศักดิ์กล่าว

“แต่หนูเพิ่งจะย่างสิบแปด” สกาวเดือนไม่ได้ค้านซะทีเดียว แต่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่เธอยังไม่ควรทำมันในตอนนี้

“จ้ะแม่รู้ แต่พี่เขาเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ เขาจะดูแลหนูได้ เชื่อแม่สิลูก” สายหยุดสร้างความมั่นใจให้เด็กสาวด้วยการเล่าประวัติของเจ้าบ่าวในอนาคตให้เธอฟัง สกาวเดือนไม่มีสมาธิฟัง จึงจำที่สายหยุดเล่าได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ต้องมาสะดุดกับบางอย่าง เหมือนว่าสายหยุดจะลืมบอกเรื่องอายุของอีกฝ่าย

“เขาอายุเท่าไรคะ”

สายหยุดเต็มใจบอกอายุของว่าที่เจ้าบ่าวให้รู้ เมื่อเห็นสกาวเดือนไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธค้านหัวชนฝาเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ “ห่างจากหนูเกือบหนึ่งรอบจ้ะ”

ณ คฤหาสน์หรูราคาหลายล้านใจกลางเมือง ชดช้อยหญิงสูงวัยเดินวนไปวนมา จิตใจจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์รอฟังผลจากสายหยุดซึ่งเป็นเพื่อนสนิทด้วยความตื่นเต้น ท่ามกลางสายตาของกำพลผู้เป็นสามีที่ละสายตาจากหนังสือเป็นครั้งคราวเพื่อดูภรรยา แล้วชดช้อยก็ร้องด้วยความดีใจเมื่อเสียงโทรศัพท์ที่รอคอยดังขึ้น

“ฮัลโหล ว่าไงจ๊ะ เป็นอย่างไรบ้าง หนูเดือนว่ายังไง แม่สายตอบเร็วๆ สิฉันใจร้อน” ด้วยความตื่นเต้นทำให้ชดช้อยรัวคำถามจนอีกฝ่ายตอบไม่ทัน

กำพลที่อยู่ในเหตุการณ์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะภรรยาพร้อมกับบอกหล่อน แม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจที่ตนพูดก็ตาม

 “ใจเย็นๆ คุณ”

“เหรอจ๊ะ หนูเดือนไม่ได้ว่าอะไรอย่างนั้นรึ แบบนี้ก็เหลือแค่ฝ่ายฉันสินะแม่สาย”

ชดช้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะความฝันที่จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับเพื่อนสนิทเริ่มมีเค้าความจริงมากขึ้น

“จ้ะ ประเดี๋ยวได้เรื่องแล้วฉันจะโทร.บอกแม่สายให้เร็วที่สุด จ้ะ...สวัสดีจ้ะ” หล่อนวางโทรศัพท์ลง กำลังจะเอ่ยปากบอกผู้เป็นสามีก็เห็นว่าอีกฝ่ายยกมือขึ้นห้าม

“หนูเดือนตอบตกลงแล้ว”

ชดช้อยพยักหน้าเป็นพัลวันด้วยความดีใจก่อนจะพูดถึงเป้าหมายต่อไป

“ต่อไปก็เหลือเจ้าปัถย์”

ชดช้อยมองหาแม่บ้านเพื่อสั่งให้เรียกปัถย์ ลูกชายเพียงคนเดียวให้มาพบ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าคมคายเดินเข้ามาพอดี

เครื่องหน้าทุกอย่างของปัถย์ผสมกันได้อย่างเหมาะเจาะ เขาได้ส่วนดีของบิดาและมารดามาอย่างละนิดละหน่อยจนกลายเป็นความลงตัวในที่สุด

“อ้าว มาพอดี มานั่งก่อนสิปัถย์ แม่เขามีเรื่องจะคุยด้วยแน่ะ”

ชายหนุ่มเผยยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้บิดามารดาแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตรงข้ามบุพการีตามคำบอก กำพลเปิดบทสนทนาให้ภรรยาแล้วแสร้งหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ

“มีอะไรหรือครับคุณแม่” เขาถามผู้เป็นมารดา ใบหน้านิ่งเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งผิดกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง

“แม่ไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะ” ด้วยอายุของบุตรชาย ทำให้ชดช้อยคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องชักแม่นํ้าทั้งห้ามาพูดเพื่อให้เขาเข้าใจ จึงเลือกที่จะพูดออกไปตรงๆ

 “แม่อยากให้ปัถย์แต่งงาน”

ชดช้อยเอ่ยแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “กับลูกสาวเพื่อนแม่”

ปัถย์ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เขายังเงียบเพื่อคิดอะไรบางอย่าง ชดช้อยเห็นดังนั้นก็กลัวจะถูกลูกชายปฏิเสธ จึงเสริมต่อ

“อายุอานามก็สมควรมีครอบครัวได้แล้วนะลูก...ลูกสาวบ้านนี้น่ารักนิสัยดี” ชดช้อยกำลังนึกประโยคโน้มน้าวใจ แต่อีกฝ่ายก็ตอบตกลงจนกำพลผู้เป็นพ่อที่แอบฟังอยู่เงียบๆ ต้องวางหนังสือลง ไม่คิดว่าลูกชายจะตอบตกลงง่ายดายเพียงนี้

“ครับ ผมจะแต่ง” ปัถย์กล่าวสีหน้าเรียบนิ่ง มันอาจจะเป็นทางเดียวที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ชายหนุ่มตอบโดยไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของคนอื่นนอกจากตนเอง

“หรือจ๊ะ ปัถย์ไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม”

ชดช้อยดีใจจนต้องถามลูกชายอีกครั้ง ทั้งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนชอบพูดเล่น แต่ขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมลูกชายถึงตอบตกลงรวดเร็วเพียงนี้ หล่อนคิดไว้ว่าปัถย์จะปฏิเสธ แต่ทุกอย่างก็เหนือความคาดหมาย ชดช้อยไม่รอช้า ทิ้งความสงสัยนั้นไป เพราะนาทีนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการโทร.ไปหาสายหยุดเพื่อบอกข่าวดี แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นแล้วก็ตาม

ปัถย์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน หยิบรูปภาพที่วางไว้บนเตียงขึ้นมาดูด้วยความรูสึกชาหนึบ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึก เหมือนจะหายใจออกอีกครั้ง เมื่อตอบตกลงแต่งงานไป เขาเปิดลิ้นชักข้างเตียงแล้วเก็บรูปภาพไว้ในนั้นโดยไม่คิดจะเปิดมันขึ้นมาดูอีก

ชายหนุ่มเอนตัวนอนราบไปกับเตียง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้งถึงสาเหตุที่ทำให้เขาตอบตกลงแต่งงานในครั้งนี้ เขายังจำรอยยิ้มของฟ้าลดาหญิงสาวในรูปถ่ายได้ดี ตอนบอกข่าวดีที่ทำให้เขาต้องอึ้งไปครู่หนึ่ง

เขาไม่คิดว่าเธอจะตัดสินใจแต่งงานกับชายหนุ่มที่เพิ่งคบหากันเร็วขนาดนั้น ฟ้าลดากับพงศ์ใช้เวลาศึกษาดูใจกันเพียงหกเดือนก็ตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แม้เขาจะไม่เห็นด้วยและรู้สึกเจ็บเพียงใดก็จำต้องฝืนยิ้มกล่าวแสดงความยินดี พยายามทำสีหน้าให้   เป็นปกติแม้ภายในหัวใจเขาจะไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยก็ตาม

ปัถย์รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอนั้นเป็นได้เพียงพี่ชายกับน้องสาวกัน ฉะนั้นการแสดงความรู้สึกให้ฟ้าลดารับรู้ความในใจนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขา

ชายหนุ่มจมปลักอยู่กับความรูสึกที่ไม่มีทางออก แต่แล้วก็เหมือนเจอแสงสว่าง เมื่อมารดาต้องการให้เขาแต่งงานกับเด็กสาวที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน รู้ดีว่าตนเองเห็นแก่ตัวที่เอาความเจ็บปวดไปผูกมัดกับใครอีกคนที่ไม่รู้เรื่องด้วย แต่ปัถย์คิดว่าการแต่งงานจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาหายจากความรู้สึกเหล่านี้ได้

เช้าวันถัดมา ชดช้อยได้เล่าเรื่องราวของว่าที่เจ้าสาวให้เขาฟังระหว่างรับประทานอาหารด้วยกัน และหนึ่งในข้อมูลนั้นก็ทำให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้ตนเองต้องมาอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งที่เขาขับรถผ่านทุกวัน โดยไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาดักรอเพียงเพราะต้องการเห็นหน้าเด็กมัธยมปลายคนหนึ่ง เขาหัวเราะเบาๆ ให้ตนเอง คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้บ้าสิ้นดี คิดได้เช่นนั้นปัถย์ก็สตาร์ตรถเพื่อจะเคลื่อนตัวออก แต่แล้ววินาทีนั้นที่หน้าประตูโรงเรียนก็เผยโฉมเด็กสาวที่ปัถย์คิดว่าน่าจะใช่...สกาวเดือน ว่าที่เจ้าสาวของเขา

ปัถย์หยิบรูปถ่ายที่มารดาให้ขึ้นมากลางอากาศเพื่อเทียบว่าใช่เธอจริงๆ หรือไม่

ชายหนุ่มส่ายหน้า ระอากับความไร้สาระของตัวเอง เขาเก็บรูปถ่ายไว้ในเสื้อสูทเหมือนเก่าแล้วเคลื่อนรถออกไปอย่างช้าๆ ชะลอรถเมื่อผ่านประตูหน้าโรงเรียนเพื่อดูหน้าเธอให้ชัดๆ และเผลอยิ้มเมื่อเห็นเด็กสาวสะดุดขาตัวเองจนเกือบจะล้ม แต่มีเพื่อนของเธอจับเอาไว้ทัน

ปัถย์ส่ายหัวเบาๆ มองกระจกเพื่อดูรถด้านหลังก่อนจะเลี้ยวรถออกไปจากตรงนั้น พร้อมกับยิ้มบางๆ โดยไม่รู้ตัว

แล้ววันนัดดูตัวก็มาถึง เช้าวันนั้นปัถย์ยืนส่องกระจกอยู่นาน มองใบหน้าที่ผ่านกาลเวลามาหลายปี เขาไม่เคยกังวลกับมันเลยแม้แต่น้อยแต่มาวันนี้เขากลับวิตกกังวลกับรอยคลํ้าใต้ตาจากการทำงานอย่างครํ่าเคร่งมองกางเกงยีนส์ที่นานหนจะหยิบมาใส่ซึ่งทำให้เขาดูอายุน้อยกว่าเดิมอีกหลายปี เขาเผยยิ้มบางๆ ให้กระจก เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกประหม่าที่อยู่ภายในใจ

สกาวเดือนยืนรออาหารที่สายหยุดกำลังตักใส่จานอย่างเหม่อลอยในหัวคิดไปต่างๆ นานาถึงการนัดเจอตัวครั้งแรก เธอหลุดเข้าไปในห้วงความคิดนานจนสายหยุดต้องเรียกสติ

“เดือน” สายหยุดเรียกสกาวเดือนเป็นรอบที่สองกว่าเธอจะรู้สึกตัว

“คะ” สกาวเดือนหลุดออกจากภวังค์ความคิด หันมาสนใจผู้เป็นมารดาที่กำลังถือจานผลไม้รอให้เธอนำไปวางไว้ที่โต๊ะอาหาร เธอเอื้อมมือไปรับ ขณะหมุนตัวเดินออกจากครัวก็ได้ยินเสียงรถดังขึ้นที่หน้าบ้าน ตามมาด้วยเสียงของสมศักดิ์เอ่ยเชื้อเชิญแขกให้เดินเข้ามาในบ้าน

“สงสัยจะมากันแล้ว” สายหยุดกล่าวพร้อมกับดึงผ้ากันเปื้อนออก สกาวเดือนรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวเหมือนมีคนมาตีกลองอยู่ข้างในอย่างไรอย่างนั้น

 “เดินออกไปสิลูก”

เสียงสายหยุดดังมาจากด้านหลัง ทำให้เธอต้องเดินนำออกไปก่อนสกาวเดือนก้มหน้าก้มตาถือจานผลไม้นั้นออกไป พอวางเสร็จก็เตรียมจะหมุนตัวกลับ

“นี่ไง มาแล้ว” ใครบางคนเอ่ย ทำให้สกาวเดือนต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับเจ้าของเสียงนั้น ไม่ไกลจากที่เธอยืน มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่ หนึ่งในนั้นคือสมศักดิ์ ส่วนชายหญิงสูงวัยใบหน้าใจดีอีกสองคน เธอเดาว่าคงเป็นบิดามารดาของปัถย์ ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ

แล้วตัวเขาล่ะอยู่ไหน...แม้สกาวเดือนจะอยากรู้ แต่ก็ไม่กล้าสอดสายตามองหาเขา เธอยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้าอย่างนอบน้อม

“เชิญๆ แล้วพ่อปัถย์ล่ะ” สมศักดิ์เชื้อเชิญและถามถึงลูกชายของอีกฝ่าย

“กำลังเดินตามมาจ้ะ” ชดช้อยเป็นคนตอบ สกาวเดือนได้ยินดังนั้นก็อยู่ไม่เป็นสุข ใบหน้าของเธอซีดเผือดด้วยความตื่นเต้นระคนประหม่า

สกาวเดือนนึกได้ว่าตนลืมจานผลไม้อีกจานจึงเดินกลับเข้าไปในครัวแต่กลับมาคราวนี้เก้าอี้ถูกจับจองไปหมดแล้ว เหลือเพียงเก้าอี้สองตัวติดกันไม่ต้องถามเธอก็รู้ว่าหมายถึงอะไร สกาวเดือนไม่รู้ว่าจะเลือกนั่งตรงไหนเพราะทั้งสองไม่ได้ต่างอะไรกัน จึงสุ่มนั่งลงไป

“ทำไมเจ้าปัถย์ยังไม่มาอีกล่ะ” กำพลพูดเบาๆ กับผู้เป็นภรรยา

“คุยธุระอะไรอยู่หรือเปล่าคะ”

ชดช้อยพูดเท่านั้นก็หันไปคุยกับสายหยุดต่อสกาวเดือนนั่งกุมมือจนชุ่มเหงื่อเพราะความตื่นเต้น เพียงครู่เดียวหลังจากนั้นเก้าอี้ข้างๆ เธอก็ถูกเลื่อนออก

“ขอโทษนะครับที่มาช้า” ปัถย์กล่าวพร้อมกับเหล่มองเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกว่ามีคนประหม่ากว่าเขา หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซํ้า

“จ้ะ ไม่เป็นไร เริ่มกินข้าวเลยแล้วกันนะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที”

สายหยุดเอ่ยแล้วสั่งให้สกาวเดือนตักข้าว เธอทำหน้าตกใจ นั่นหมายความว่าเธอต้องตักข้าวให้เขาด้วยเช่นกัน สกาวเดือนเห็นสายหยุดทำปากขมุบขมิบก็จำใจลุกขึ้นทำหน้าที่ จนมาถึงปัถย์

“เอาเยอะไหมคะ” สกาวเดือนถามแบบนี้กับทุกคนด้วยนํ้าเสียงปกติพอมาถึงปัถย์ เธอกลับควบคุมนํ้าเสียงไม่ให้สั่นเครือไม่ได้ เธอเงยหน้ามองเขาเพียงครู่เดียวแล้วก้มลง

“ทัพพีเดียว” ปัถย์ตอบพร้อมกับมองหน้าเธอไปด้วย แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาตักข้าวเพียงอย่างเดียว ท่ามกลางสายตาของบิดามารดาของทั้งสองฝายที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ

เมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จสกาวเดือนก็กลับไปนั่งประจำที่ เงยหน้าขึ้นมองสมาชิกบนโต๊ะอาหารอีกครั้งก็พบว่าทุกคนกำลังมองมาทางเธออย่างพร้อมเพรียงกัน ยกเว้นปัถย์ที่นั่งอยู่ข้างกันที่ไม่ได้มองมาทางเธอ สกาวเดือนทำหน้าสงสัยแต่ก็ไม่มีใครคลายความสงสัยให้เธอได้ จากนั้นสมศักดิ์ก็กล่าวให้ทุกคนเริ่มรับประทานอาหาร

การสนทนาบนโต๊ะอาหารส่วนมากจะผูกขาดด้วยชดช้อยและสายหยุด โดยมีสมศักดิ์และกำพลพูดคุยเสริมเป็นระยะ สกาวเดือนรวบช้อนเมื่อกินข้าวเสร็จ นั่งรอคนอื่นๆ เพื่อรอเก็บจานชามไปล้างเหมือนอย่างที่เคยทำ หญิงสาวนั่งฟังผู้ใหญ่พูดคุย             เรื่องนั้นเรื่องนี้ทีอย่างเพลิดเพลินจนมาถึงเรื่องสำคัญที่เป็นสาเหตุให้เธอต้องมานั่งอยู่ตรงนี้

“เราคุยกันเพลินจนลืมแนะนำลูกสาวลูกชายให้รู้จักกันซะแล้วแม่สาย” ชดช้อยพูดแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความปีติที่อนาคตอันใกล้จะได้ลูกสาวของเพื่อนสนิทมาเป็นลูกสะใภ้

“หนูเดือน นี่พี่ปัถย์นะลูก” ชดช้อยกล่าว

สกาวเดือนเก้ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จึงหันไปยกมือไหว้อีกฝ่ายโดยเขายังมีสีหน้าเรียบนิ่งจนเธอใจฝ่อขึ้นมา

“ส่วนปัถย์ นี่น้องเดือน”

ปัถย์พยักหน้ารับเบาๆ พร้อมกับหันไปมองคนข้างๆ ก็เห็นว่าเธอกำลังนั่งก้มหน้า มือทั้งสองข้างกุมกันอยู่บนหน้าตัก หรือเธอจะถูกบังคับให้แต่งงาน...ชายหนุ่มคิด

จากนั้นสกาวเดือนก็ไม่ได้คุยกับอีกฝ่ายเลย จนกระทั่งผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายแสร้งเดินออกไปดูต้นกล้วยไม้ที่กำลังออกดอกในขณะนี้ เพียงครู่เดียวบนโต๊ะอาหารก็เหลือเขาและเธอแค่สองคน สกาวเดือนจึงเอ่ยถามขึ้น

“รับประทานเสร็จแล้วใช่ไหมคะ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนเพื่อจะนำจานไปเก็บ และอีกเหตุผลหนึ่งคือหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับเขาเพียงลำพัง

สกาวเดือนไม่ได้ยินเขาตอบ เธอจึงทำหน้าที่ของตนไปเงียบๆ แล้วก็มีเสียงทุ้มของผู้ชายคนตรงข้ามดังขึ้นมา

“กินน้อยจังเลยนะ” สกาวเดือนไม่ตอบเลยทันทีที่ได้ยิน เธอคิดหาคำพูดที่จะตอบนอกจากคำสั้นๆ ว่า ‘ค่ะ’ และพยายามทำเสียงไม่ให้สั่นตะกุกตะกักเพราะตื่นเต้น

“ค่ะ พอดียังไม่หิว” เธอมองหน้าเขาตอนตอบด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้มองหน้าเขาตรงๆ ชัดๆ แต่เพียงแว่บเดียวเธอก็ก้มหน้ากลับที่เดิม เพราะไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“ตื่นเต้นรึ” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงนิ่ง ราวกับว่าตัวเองไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนอย่างที่ถามคนอื่น

“ค่ะ” สกาวเดือนยอมรับออกไปตรงๆ จะชวนเขาคุยก่อนก็ไม่กล้า

เธอคิดว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรต่อ แต่เขาก็เงียบไป หญิงสาวรวบรวมจานเสร็จแล้วก็หมุนตัวเดินตรงไปที่ห้องครัวโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเก็บแก้วนํ้าและโถข้าวเดินตามมาด้วย

สกาวเดือนวางจานเสร็จก็เช็ดมือและหมุนตัวเพื่อจะออกไปเก็บส่วนที่เหลือ ก็พบว่าปัถย์ยืนถือของอยู่เต็มมือ สกาวเดือนตกใจที่จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมาช่วยเธอ

“คุณปัถย์วางเลยค่ะ เดี๋ยวเดือนทำเอง” สกาวเดือนลนลานจะเดินเข้าไปช่วยถือ แต่อีกฝ่ายปฏิเสธ เลือกจะนำของมาวางไว้ด้วยตนเอง

 “ข้างนอกไม่เหลืออะไรแล้ว ล้างจานไปเถอะ”

เขากล่าวเพียงสั้นๆ หญิงสาวจึงพยักหน้ารับเบาๆ หันกลับไปทางซิงก์ล้างจานแล้วทำหน้าที่ของตนเองจนลืมคิดไปเลยว่าเขาเดินออกไปหรือยัง กระทั่งจานใบสุดท้ายถูกทำความสะอาดเสร็จ สกาวเดือนหมุนตัวกลับเพื่อจะออกไปด้านนอก หัวใจของเธอก็หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะร่างสูงโปร่งของเขายังยืนอยู่ที่เดิม มือหนึ่งข้างอยู่ในกระเป๋ากางเกง อีกข้างกำลังสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวสกาวเดือนไม่คิดว่าเขาจะยืนรอ

“ฉันรอเธออยู่”

ปัถย์พูดสั้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับใจสั่นอย่างไม่เป็นจังหวะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีชายใดมายืนรอเธอแบบนี้

“เสร็จหรือยังล่ะ” เขาถาม เตรียมตัวจะเดินออกไปด้านนอก สกาวเดือนเห็นท่าทีเหล่านั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่รู้สึก อะไรบ้างหรือ ต่างกับเธอที่ตื่นเต้นและประหม่าไปหมดเช่นนี้ ปัถย์วางท่าทีสบายๆ อย่างไร้ความวิตกกังวลหรืออาจจะเป็นเพราะอายุอานามที่สมควรมีครอบครัวแล้ว หรือเป็นเพราะเขาเก็บอาการเก่งกันแน่...

แต่ทั้งหมดที่เธอคิดมานั้นก็หาได้ใช่คำตอบที่แท้จริงไม่ หากไม่ได้ฟังจากปากของเขาเอง คนที่พร้อมไปทุกอย่างอย่างปัถย์น่ะหรือจะแต่งงานกับเธอโดยไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากถูกบังคับ แล้วอะไรกันนะที่ทำให้เขาตอบตกลงแต่งงานกับเธอ...

“เสร็จแล้วค่ะ”

ปัถย์พยักหน้าแล้วเดินนำออกไปก่อน ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เตรียมใจก่อนต้องออกไปฟังผู้ใหญ่พูดถึงการแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้

สกาวเดือนเดินตามเขาไปหลังจากนั้นไม่นาน ผู้ใหญ่ที่ออกไปคุยนอกบ้านก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเดินเข้ามาในบ้าน เธอจึงไม่รู้จะทำตัวอย่างไรจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแก้เขินก็กลัวว่าจะเสียมารยาท จึงทำได้เพียงนั่งรออย่างเงียบๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายเป็นคนเริ่มบทสนทนาขึ้นมาก่อน

“พร้อมไหมที่จะแต่งงาน” นํ้าเสียงราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆทำให้เธอไม่กล้าพูดออกไปตามความจริงอย่างที่รู้สึก “พร้อมหรือไม่พร้อมยังไงก็บอกกันได้นะ ถ้าเธอไม่กล้าบอกผู้ใหญ่เอง” เขาพูดต่อ

“ไม่พร้อมยังไงก็ต้องพร้อม” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว ไม่ได้ตั้งใจจะให้เขาได้ยิน

“งั้นรึ”

สกาวเดือนเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะได้ยินที่ตัวเองพูดจึงก้มหน้าลง มองไปที่มือของตัวเอง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

“เพราะยังไงก็ต้องแต่งอยู่ดี แบบนี้ใช่ไหมที่เธอคิด”

อีกฝ่ายพูดถูก เธอจึงพยักหน้าตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอสบายใจขึ้นมาสักนิด กลับกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจหรือปฏิเสธการแต่งงาน ทั้งที่มันเป็นเรื่องดีด้วยซํ้า แต่เธอเป็นห่วงความรู้สึกของบิดามารดาที่ต้องมาผิดหวังเพราะการปฏิบัติตัวไม่ดี จนอีกฝ่ายไม่พอใจ ยกเลิกการแต่งงานไป

เขาประเมินอีกฝ่ายเงียบๆ ด้วยคำถามไม่กี่คำ สกาวเดือนไม่ได้ดูเป็นเด็กเลวร้ายเหมือนอย่างที่เขาเคยคิด ตรงกันข้าม เธอดูเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทของผู้ใหญ่ จนบางครั้งเขาก็นึกสงสารที่เธอต้องมาตกกระไดพลอยโจนกับความเป็นห่วงไม่เข้าท่าของผู้ใหญ่เพียงครู่เดียวผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็เดินเข้ามาภายในตัวบ้านบรรยากาศที่จริงจังกว่าตอนรับประทานอาหารทำให้สกาวเดือนรู้สึกอึดอัด

หลังจากนั้นผู้ใหญ่ฝ่ายของปัถย์ก็เริ่มพูดคุยสู่ขออย่างเป็นทางการ สกาวเดือนมองหน้าปัถย์ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มึนงง สับสน เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ ราวกับว่าเธอกำลังโดนลมพัดผ่านไปที่ไหนสักแห่งไม่มีสติจะฟังอะไรทั้งนั้น เธอรู้เพียงแต่ว่าจะต้องแต่งงานกับผู้ชายคนนี้คนที่กำลังมองมาทางเธอและสบตากันอยู่ตอนนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1

การเป็นเจ้าสาวในวัยนี้ของสกาวเดือนนั้น ความยากไม่ได้อยู่ที่การเลือกชุดแต่งงาน ของชำร่วย หรือการ์ดเชิญ แต่สิ่งที่ยากคือการใช้ชีวิตคู่ต่างหาก เป็นสิ่งที่เธอกังวล เพราะว่าที่เจ้าบ่าวของเธอเป็นหนุ่มฉกรรจ์อายุห่างกันเกือบรอบหนึ่ง รูปร่างหน้าตาดีและเป็นคนมีฐานะและหน้าตาในสังคม

คิดมาถึงตรงนี้สกาวเดือนก็นึกย้อนมาที่ตัวเองว่าแล้วเธอล่ะ เป็นใครกัน

เด็กผู้หญิงกะโปโลคนหนึ่ง หน้าตาธรรมดา ฐานะไม่ได้รํ่ารวยอะไรแถมยังกำพร้าพ่อแม่อีก เธอมีอะไรที่เทียบเทียมเขาได้บ้าง คำตอบคือ...ไม่มี

สกาวเดือนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองขณะนั่งรถไปกับปัถย์เพื่อรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ในคํ่าวันนั้นเอง เธอไม่รู้ว่าเป็นความคิดของใครและไม่รู้ว่าเขาอยากมาด้วยหรือไม่ ส่วนเธอนั้นอยู่ในจุดที่ปฏิเสธอะไรไม่ได้อยู่แล้ว

“เคยมีแฟนหรือเปล่า” นํ้าเสียงนิ่งๆ จากอีกฝ่าย เอ่ยถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังเพ่งสายตาไปข้างหน้ารถ สกาวเดือนยกมือขึ้นมากอดอก แล้วมองด้านข้างของเขา เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่หันมามองเธอแน่

“ไม่เคยค่ะ” เธอตอบสั้นๆ ไปตามความจริง

“เหรอ” เขาหันมองเธอขณะถามกลับ นํ้าเสียงและท่าทางเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด

“ค่ะ” สกาวเดือนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามด้วยนํ้าเสียงเช่นนั้น ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เลยได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่น บรรยากาศในรถจึงเงียบไปโดยปริยายจนกระทั่งมาถึงร้านอาหาร

“ปกติชอบอาหารแบบไหน” เขาถาม

“คะ...” สกาวเดือนไม่เข้าใจที่เขาถามในตอนแรก ก่อนจะตั้งสติได้ว่านี่เป็นการเดต จึงไม่แปลกที่เขาจะเริ่มทำความรู้จัก

“ก็อาหารปกตินี่แหละค่ะ” ได้ยินคำตอบจากอีกฝ่าย ปัถย์ก็แทบจะกลั้วยิ้มออกมาทันที

“ฉันหมายถึงอาหารฝรั่ง ญี่ปุน เกาหลี อะไรทำนองนั้น”

พอเขาขยายความ สกาวเดือนก็ยิ้มเขินแล้วตอบเขาไปว่าชอบอาหารไทย

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งลง”เขายกมือห้ามเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเปิดประตูลงจากรถ

“ทำไมล่ะคะ ถึงแล้วนี่น่า” หญิงสาวชี้ไปทางร้านอาหาร มีป้ายเขียนหน้าร้านว่า ‘อิตาเลียนฟู้ด’ เธอไม่เข้าใจเขาอีกครั้ง

“ร้านนี้มันอาหารอิตาเลียน เธอกินหรือไงล่ะ” สกาวเดือนร้องอุทานอยู่ในใจ

“ไม่เป็นไรค่ะ เดือนกินได้ ถ้ามัวแต่เปลี่ยนร้านไปมาจะเสียเวลาเปล่าๆ” หญิงสาวรู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้

“เสียเวลายังไง ไม่เห็นต้องรีบร้อน มีเวลาอีกเยอะแยะ” เขาพูดอย่างสบายอารมณ์

“ไม่เป็นไรค่ะ เดือนกินได้ รีบกินจะได้รีบกลับไงคะ” สกาวเดือนพูดเสร็จก็เปิดประตูลงไปรอเขา ก่อนอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจพาไปร้านอื่น

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาที่ต้องไป ประตูห้องก็ถูกเปิดออก

“ไม่ต้องตื่นเต้นนะ มีอะไรโทร.หาพี่ได้ตลอด”

ทิพย์ทิวาชูโทรศัพท์ขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม เธอเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดีว่าการต้องไปพบกับคนที่เคยเจอกันเพียงไม่กี่ครั้งนั้นเป็นเรื่องกระอักกระอ่วนและปฏิบัติตัวยาก แต่ครั้งนี้มันกลับยากมากกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายเป็นว่าที่เจ้าบ่าวหรือคนที่จะต้องแต่งงานด้วย

“เอ่อ พี่ทิวา หนูดู...โอเคหรือยัง”

สกาวเดือนลุกขึ้นโชว์ชุดที่ตัวเองใส่ให้อีกฝ่ายดู ปกติเธอไม่ใช่คนรักสวยรักงามอะไร แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง ความงามกลับเป็นสิ่งเดียวที่พอจะสร้างความมั่นใจให้เธอได้

“โอเคแล้ว ไม่ดูกะโปโลหรอก”

“ไปๆ อย่าให้เขาต้องรอนาน”

ทิพย์ทิวาพูดพร้อมกับยิ้มกริ่ม ส่วนสกาวเดือนนั้นเพียงยิ้มเหยตอบกลับเพราะเธอไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรในเมื่อมันยิ้มไม่ออก

“แล้วก็เลิกยิ้มแสยะแบบนั้นด้วย”

“ก็หนูไม่รู้จะทำหน้ายังไงนี่” เธอว่าแล้วก็หันไปส่องกระจกอีกรอบไร้ซึ่งความมั่นใจ เธอพยายามยิ้มอีกครั้งแต่ก็กลายเป็นแสยะยิ้มอีกอยู่ดี

“ก็ทำหน้าปกตินี่แหละ แต่แค่ยิ้ม”

แล้วทิพย์ทิวาก็ยิ้มโชว์ให้สกาวเดือนดู หญิงสาวยังไม่เลิกแสยะยิ้มจนกระทั่งเดินลงมาถึงบันไดบ้านขั้นสุดท้าย สายตาก็เหลือบไปมองเห็นคนที่กำลังรอเธออยู่

“เชิญตามสบายนะคะ” จากนั้นทิพย์ทิวาก็เดินหายเข้าไปในครัวปล่อยให้สกาวเดือนยืนเก้ๆ กังๆ

“ฉันไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เด็กสาวๆ เขาไปเที่ยวที่ไหน มีอะไรก็บอกแล้วกัน” พูดเสร็จเขาก็ลุกขึ้นจากโซฟา ยืนนิ่งเหมือนกำลังรอให้เธอเดินไปหา ปัถย์เห็นใบหน้าของเธอต่างจากคราวก่อนที่เจอกัน เหมือนอีกฝ่ายจะทาอะไรแดงๆ ที่แก้ม คงจะเป็นที่ปัดแก้มกระมัง เขาคิด

“เป็นหินหรือไง เดินมาสิ”

หญิงสาวแอบคิดว่าถ้านี่ไม่ใช่คำสั่งของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายให้เขามารับเธอไปดูชุดแต่งงานด้วยกัน เธอคงหาเรื่องบ่ายเบี่ยงไม่ไปกับเขาแน่ๆ

 “เดือนว่าเราไปแค่ร้านชุดแต่งงานก็พอ เรื่องไปเที่ยวไม่ต้องก็ได้ค่ะ”

พอนั่งรถมาได้สักพักสกาวเดือนก็รวบรวมความกล้าบอกเขา

“ทำไมล่ะ” เขาถามโดยหันมามองหน้าเธอเพียงแว่บเดียวก็หันกลับ ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกเกร็ง เพราะอายุมากกว่า แต่ก็อดขัดเขินไม่ได้เมื่อต้องมาอยู่กับเด็กสาวเพียงสองคน รู้สึกไม่ต่างไปจากหนุ่มวัยรุ่นเพิ่งหัดจีบสาวอย่างไรอย่างนั้น

“เอ่อ...คือ” เป็นช่วงที่รถติดไฟแดงพอดีเลยทำให้เขาหันมามองหน้าเธออย่างเต็มตาอีกครั้ง และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้เธอพูดติดๆ ขัดๆ

“กว่าจะเลือกชุด ของชำร่วย การ์ดอีก มันต้องนานมากๆ แน่ค่ะ”

สกาวเดือนไม่ใช่คนเรื่องมาก แต่ครั้งนี้เธอมั่นใจว่าจะต้องเลือกของแต่ละอย่างให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้  เธอไม่กล้าไปไหนกับเขาต่อเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรและพูดอะไรกับเขา

“เหรอ” สกาวเดือนเห็นเขายิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มเพียงครู่เดียวก็หายไป

“คิดแบบชุดเอาไว้บ้างหรือยังล่ะ”

ปัถย์ชวนอีกฝายคุยเพราะไม่อยากให้บรรยากาศเงียบเกินไป

“ยังค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่ว กลัวโดนเขาดุเรื่องไม่รู้จักเตรียมตัว เขาเกือบยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่า เธอกลัวโดนเขาดุ แปลกที่      เขาไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงแต่อย่างใด

“ไว้รอถึงร้านแล้วค่อยเลือก เลือกเผื่อฉันด้วยก็ดี แบบจะได้เข้ากัน”

เขาพูดจบเธอก็พยักหน้ารับสองสามที จากนั้นบทสนทนาก็หายไปจนรถมาจอดหน้าสตูดิโอเช่าชุดแต่งงาน

“กินข้าวมาหรือยัง”

“ยังค่ะ แต่เดือนยังไม่หิว”

เธอบอกเขาเสร็จสรรพ เพราะกลัวตัวเองเป็นภาระ

“งั้นก็ไปกินข้าวกันก่อน”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดือนยังไม่หิวจริงๆ” เธอบอก

 “คราวนี้จะพาไปร้านอาหารไทย จะได้ไม่ต้องทนกินสปาเกตตีเหมือนอย่างคราวก่อน”

สกาวเดือนหัวเราะอย่างไม่รู้สาเหตุ ปัถย์ได้แต่ทำหน้ามึนงง

“ขำอะไร...บ๊อง”

ชายหนุ่มให้เธอเป็นฝ่ายเลือกเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นของชำร่วยการ์ดเชิญแขก รวมไปถึงดอกไม้ที่จะใช้ในงานอีกต่างหาก มันทำให้สกาวเดือนอดคิดไม่ได้ว่าตกลงเธอแต่งงานกับใครกันแน่ เขาหรือตัวเอง

สกาวเดือนยืนอยู่หน้าราวชุดแต่งงานที่แขวนไว้เป็นสิบๆ ชุดที่พนักงานนำมาให้เลือก พร้อมกับครุ่นคิดไปว่าถ้าตอนนี้มีใครสักคนมาช่วยเลือกคงจะดีไม่น้อย ปกติร้านเช่าชุดแบบนี้จะต้องมีพนักงานมาคอยดูแลไม่ใช่หรือ แต่นี่กลับปล่อยให้เธออยู่ตามลำพังกับชุดยาวสลวยสวยเก๋ที่เธอไม่คุ้นเคย กับผู้ชายคนที่เธอเองก็ไม่คุ้นเคยอีกเช่นเดียวกัน

“ไม่เอาเกาะอกนะ” จู่ๆ เสียงทุ้มก็ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับยื่นมือมาหยิบชุดเกาะอกออกจากมือที่เธออุตส่าห์เลือกเอาไว้

“ทำไมล่ะคะ เดือนว่าสวยดีนะ” สกาวเดือนเงยหน้าถาม คิดว่าเขาจะปล่อยให้เธอเป็นคนเลือกเหมือนเดิมเสียอีก

“มันโป๊” เขาให้เหตุผลสั้นๆ แต่ทำให้เธอหน้าร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“แล้วจะให้เดือนใส่ชุดไหนล่ะคะ” เธอตัดปัญหาด้วยการให้เขาเป็นคนเลือก แต่ยังอดหันกลับมามองชุดเดิมที่เลือกไว้ไม่ได้

“อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เกาะอก”

สรุปว่าวันนั้นสกาวเดือนได้ชุดแต่งงานที่ตรงใจเจ้าบ่าวคือ...ไม่ใช่เกาะอก ไม่โป๊ และสำหรับเธอมันไม่สวย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้แย้งอะไร พยายามเก็บสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกออกมาให้เขาเห็น แต่ก็ไม่วายที่อีกฝ่ายจะรู้ทัน

“เกาะอกมันก็สวย แต่มันโชว์เนื้อหนังเกินไป”

“แต่ว่า...” สกาวเดือนจะเถียง แต่เห็นสายตาดุๆ ของเขาแล้วเธอก็ไม่กล้า

“การจัดงานแต่งก็เหมือนตำนํ้าพริกละลายแม่นํ้าแหละเดือน โรงแรมหรู การ์ดเชิญสวยก็ไม่ใช่เครื่องการันตีว่าเราจะอยู่ด้วยกันนานเสียเมื่อไร ชุดแต่งงานก็เหมือนกัน มันก็แค่ผ้าหุ้มตัว เธออย่าคิดอะไรมากเลย”

ที่ปัถย์พูดมันก็ถูก มันก็แค่เปลือกนอก แต่การแต่งงานสำหรับคนหนึ่งคนมันจะมีสักกี่ครั้งกันเชียว ใครบ้างที่ไม่อยากสวยในวันแต่งงานของตัวเอง สกาวเดือนถอนหายใจแล้วตัดใจเรื่องชุด แต่ก็ต้องหน้าแดงเรื่อขึ้นมาใหม่เมื่อเขาพูดต่อ

“ไว้หลังแต่งงานจะโชว์แค่ไหนก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่แค่กับฉันนะ”

พอได้ยินปัถย์พูดแบบนั้นสกาวเดือนก็ใบหน้าร้อนผ่าว ไม่อยากเอ่ยอะไรอีก ได้แต่ภาวนาให้ถึงบ้านไวๆ เพราะเธอไม่อยากอยู่กับเขาสองคนอีกแล้ว


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (94 รายการ)

www.batorastore.com © 2024