ใจร้อยรัก (เพลงพฤกษา)

ใจร้อยรัก (เพลงพฤกษา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715698
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 339.00 บาท 84.75 บาท
ประหยัด: 254.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“นวนิยายเรื่องนี้คือการแสวงหาความรัก

และคนรักในอุดมคติตามแบบฉบับของผู้เขียน

บทนำ

น้าห้องตรวจแผนกออร์โธปิดิกส์ ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

เด็กสาวร่างเล็กนั่งอยู่ตรงเก้าอี้รอตรวจ เธอยังผูกผมเป็นหางม้าติดโบสีขาว

เค้าโครงหน้าบ่งบอกชัดว่ายังเรียนชั้นมัธยมศึกษา หรืออย่างมากที่สุดก็คง

พ้นจากรั้วโรงเรียนมาไม่เกินหนึ่งปี เธอกระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่ก็สู้

สะกดใจเก็บอาการเอาไว้ รอกระทั่งพยาบาลที่จัดคิวเข้าห้องตรวจเรียกชื่อ

ของเธอ

“นางสาวอติกานต์ค่ะ”

เด็กสาวลุกขึ้นเดินไปยังห้องตรวจห้องหนึ่งที่นางพยาบาลผายมือ

ให้เข้าไปได้ ใบหน้าเล็กเงยขึ้นอ่านป้ายชื่อข้างกรอบประตู

“นายแพทย์มนพัทธ์ วิระตา”

เด็กสาวใจเต้นตึกตัก ทั้งสมหวัง ทั้งตื่นเต้น และทั้งหวาดหวั่นไม่

แน่ใจ ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังเข้ามาจนเธอพานจะเป็นลมเสียให้ ได้

แต่นี่เป็นเพียงหนทางเดียวในความมืดมนที่เธอต้องเผชิญอยู่

ก่อนหน้าที่จะมายืนอยู่จุดนี้ อติกานต์รู้ข้อมูลแค่เพียงว่า เขาเป็น

แพทย์ออร์โธปิดิกส์ ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เธอไม่รู้ว่าจะเข้าพบเขา

ได้อย่างไร จึงตัดสินใจแสร้งทำเป็นข้อเท้าอักเสบมาหาหมอ ทั้งที่ก็ไม่รู้

หรอกว่าเขามีเวรตรวจผู้ป่วยนอกวันนี้หรือเปล่า

ทว่าโชคชะตาก็เข้าข้างเธอในที่สุด

เด็กสาวเดินเข้าไปในห้องตรวจ ตอนนั้นเขากำลังก้มอ่านประวัติ

คนไข้เบื้องต้นที่ได้จากพยาบาล เธอรอให้เขาเงยหน้าขึ้นแล้วจึงยกมือไหว้

คุณหมอหนุ่มรับไหว้ กล่าวเชิญเธอนั่ง จากนั้นก็ก้มลงอ่านประวัติอีก

อติกานต์เกิดใจโหวงเหวงขึ้นมาดื้อๆ เขาจำเธอไม่ได้ และอาจจะลืม

เรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว แต่เธอก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตามที่เขาบอก

สู้สะกดใจรออีกครั้ง พลางพิจารณาบุคคลตรงหน้าในขณะที่อีกฝ่ายเผลอ

เขาดูดีในชุดเสื้อกาวน์ ตัดผมรองทรง เสี้ยวหน้าที่เห็นเกลี้ยงเกลา

สะอาดสะอ้าน ผิวพรรณก็ขาวสะอาด เป็นคุณหมอหนุ่มที่หล่อเหลารูปงาม

และน่าจะเป็นที่รักของใครต่อใครมากมาย อติกานต์ลองก้มมองสารรูป

ตัวเองบ้าง พลันต้องเม้มปากด้วยนึกน้อยใจ ดูเธอสิ แต่งตัวปอนๆ เสื้อผ้า

กลางเก่ากลางใหม่ และอยู่ในสภาพที่เพิ่งผ่านการเดินทางไกลมาหมาดๆ

แถมยังอดหลับอดนอนเพราะมีเรื่องต้องคิดมาก เห็นอย่างนี้แล้ว เธอยิ่ง

ไม่นึกอยากส่องกระจกดูตัวเองตอนนี้เลย

“คุณอติกานต์นะครับ” เขาทวนชื่อคนไข้ตามหน้าที่ แต่เมื่อเงยหน้า

ขึ้นแล้วพิจารณาให้ดี เขาเห็นคนไข้ที่กำลังพยักหน้าตอบเป็นแค่เด็กสาว

จึงเปลี่ยนสรรพนามเรียก

“น้องเจ็บข้อเท้ามาหรือครับ อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เล่าให้หมอ

ฟังหน่อย”

“เอ่อ...เจ็บแปลบๆ ค่ะ” อติกานต์ตัดสินใจโกหกไป ในใจยังว้าวุ่น

ว่าจะทำอย่างไรต่อดี เขาเห็นชื่อเธอก็แล้ว เห็นหน้าเธอ ได้ยินเสียงเธอก็แล้ว

แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะจำได้ หรือเธอต้องถามออกไปตรงๆ เลย แล้วถ้าเขา

ปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักล่ะ เธอมิต้องหน้าแตกยับกลับไปหรือ ไหนยังจะต้อง

จ่ายเงินค่ารักษา ซึ่งคาดว่าไม่ใช่ถูกๆ แน่ คงไม่มีเหลือพอสำหรับกินอยู่

ในเมืองใหญ่แห่งนี้

หางานทำ...คำนี้ปรากฏขึ้นในใจของเด็กสาว แต่เงินที่เหลือติดตัว

อยู่ตอนนี้ คงไม่อาจช่วยให้เธอเอาตัวรอดไปได้ถึงวันรับเงินค่าตอบแทนแน่

“ทำอะไรมาถึงเจ็บครับ” เสียงทุ้มนุ่มละมุนถามกลับมาอีก ทำให้

สาวน้อยตื่นจากภวังค์ความคิด

“เอ่อ...หกล้มข้อเท้าแพลงค่ะ” อติกานต์ตอบอึกอัก

“ขอหมอดูหน่อย ยกขาวางตรงนี้นะครับ” เขาเลื่อนเก้าอี้อีกตัว

มาใกล้ๆ เธอ

เด็กสาวจำเหยียดขาออกไปให้คุณหมอหนุ่มตรวจ เขาถลกขากางเกง

เธอขึ้นเล็กน้อยให้พ้นข้อเท้า และขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อเท้าที่ขาวสะอาดไม่มี

รอยฟกช้ำใดๆ คุณหมอหนุ่มจึงค่อยๆ จับข้อเท้านั้นยืดเหยียดตามวิธี

การตรวจ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วหนักขึ้น เขายืดตัวนั่งกอดอกบนเก้าอี้

เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้ม

“ไม่เป็นอะไรเลย สงสัยคนไข้กังวลมากไป” เขาบอกอาการของ

คนไข้ตรงหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ที่จริงหนูไม่ได้หกล้ม แล้วก็ไม่ได้ขาแพลง” เธอเม้มปากก่อน

สารภาพในที่สุด

“อ้าว! แล้วมาโกหกหมอทำไมล่ะครับ” คุณหมอมนพัทธ์ถาม

เสียงเข้ม ที่จริงเขาพอดูออกว่าคนไข้ ไม่ได้เจ็บมา ทั้งไม่เข้าใจเจตนาของ

อีกฝ่ายเหมือนกัน คิดแค่เพียงว่าเมื่อเขาบอกผลการตรวจรักษาไปแบบนั้น

คนไข้ก็จะลากลับไปเอง แต่คนไข้กลับสารภาพตามตรง นั่นยิ่งทำให้

ชายหนุ่มแปลกใจไม่น้อย และอยากรู้ว่าคนตรงหน้าจะมาไม้ ไหนอีก

“พี่มน...”

ชื่อที่หลุดออกจากปากคนไข้เด็กของคุณหมอ ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

มุ่นกว่าเดิม ชื่อนี้เป็นชื่อเล่นของเขาก็จริง แต่ปัจจุบันแทบจะหาคนเรียก

ไม่ได้แล้วนอกจากญาติทางฝั่งแม่ ส่วนใหญ่ถ้าไม่เรียกชื่อเต็มไปเลย ก็จะ

เรียกเขาว่า ‘หมอพัทธ์’

“พี่มน...จำเนื้ออุ่นไม่ได้จริงๆ หรือคะ”

“เนื้ออุ่น!”

ชื่อนี้...เขาจำได้ แต่ก็นานมาแล้ว...นานมาก ใช่จริงๆ หรือนี่

ระหว่างที่รอให้คุณหมอหนุ่มครุ่นคิดใคร่ครวญ อติกานต์แทบจะ

กลั้นหายใจคอยฟังคำตอบ คิดมากแต่ว่าเขาจะยอมรับว่ารู้จักเธอหรือ

คุณหมอหนุ่มหล่อกับเด็กสาวปอนๆ ที่ในอดีตเคยนับถือกันเป็นพี่ชาย

น้องสาวร่วมโลก...แค่นั้น ยิ่งไม่ควรคิดถึงสิ่งที่มากกว่านั้นอย่าง ‘คำสัญญา’

“เนื้ออุ่นจริงๆ หรือนี่” ในที่สุดคุณหมอก็อุทานอย่างดีใจ เกือบเดิน

เข้าไปกอดสาวน้อย แต่ก็ยั้งตัวไว้ ได้ทัน เมื่อเห็นว่าตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กๆ

อย่างเมื่อสิบปีก่อนอีกแล้ว แม้จะไม่ถึงกับเป็นสาวเต็มตัวนักก็ตาม เขา

ควรเตือนตัวเองไว้และระมัดระวังการแสดงออกให้มากขึ้น

“อุ่นมาที่นี่ได้ยังไง...มากับใคร...แล้วทำไมต้องโกหกว่าไม่สบาย

เพื่อมาหาหมอด้วย” เขาถามรัวเร็วแต่ชัดทุกถ้อยคำ

“อุ่นไม่ได้คิดอยากจะหลอก รู้แต่ว่าพี่มนเป็นหมอที่นี่ ไม่รู้จะหาทาง

เจอพี่มนได้อย่างไร ก็เลยต้องใช้ วิธีนี้”

“มาเพื่อหาพี่?” เขาสรุปสิ่งที่เด็กสาวพูดแบบสั้นๆ พร้อมเลิกคิ้ว

คมเข้มขึ้นสูงอย่างแปลกใจ

อติกานต์พยักหน้า เม้มปาก เธอรู้ว่าตัวเองมาหาเขาที่นี่เพื่อการใด

แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี

“มีเรื่องอะไรหรือ”

“เอ่อ...คือ...”

“พูดมาเถอะ”

เสียงนุ่มทุ้มที่แฝงไปด้วยความเมตตาเอ็นดูเต็มเปี่ยมนั้น ทำให้เธอ

ลดอาการหวาดหวั่นลงได้มาก ในที่สุดเด็กสาวก็กลั้นใจพูดออกไปตรงๆ

“อุ่นมาทวงสัญญาที่พี่มนเคยให้ ไว้ พี่มนเคยบอกว่า...ถ้าอุ่นเรียนจบ

เมื่อไร พี่มนจะไปขออุ่นมาเป็นเจ้าสาวของพี่มน”

อติกานต์แทบไม่มองหน้าคุณหมอหนุ่ม เธอหลับตาปี๋พลางว่าออก

ไปอย่างรัวเร็ว แม้เมื่อพูดจบก็ยังก้มหน้างุด กลั้นใจรอฟังสิ่งที่ชายหนุ่ม

จะตอบกลับมา

มนพัทธ์ยอมรับว่าอึ้งไปเมื่อได้ยิน เขามองเด็กสาวหงิมๆ เรียบร้อย

ตรงหน้า เด็กอย่างนี้น่ะหรือที่อาจหาญมาทวงสัญญา ซึ่งเมื่อเธอโตขึ้นแล้ว

คงพอจะเข้าใจว่ามันเป็นแค่สัญญาเล่นสนุกๆ สมัยวัยเยาว์เท่านั้น แถม

เด็กสาวก๋ากั่นที่ไหน พอกล้ามาทวงสัญญาแล้วจะหลับหูหลับตาพูดไม่สู้หน้า

ไม่เชิดหน้ากล้าหาญอย่างที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มพิจารณาไปถึงกระเป๋า

ที่วางข้างๆ ที่นั่งของเด็กสาว ซึ่งทีแรกเขาเห็นแต่ไม่ทันได้ ใส่ใจ กระเป๋านี้

ไม่ใช่กระเป๋าสะพายใบเล็กๆ แบบที่ใส่ของจุกจิกของผู้หญิง แต่ก็ไม่ใช่

กระเป๋าเป้ใหญ่โตอย่างของนักเดินทาง มันเป็นเป้ใบกลางๆ สำหรับบรรจุ

ของสำคัญต่างๆ รวมทั้งเสื้อผ้าอีกไม่กี่ชุดได้ และเขาสังเกตเห็นกระเป๋าใบนี้

ตุงเกินกว่าจะใช้สะพายเล่นๆ ทั่วไป

เด็กสาวคนนี้อาจจะหนีออกจากบ้านมา แล้วก็เสี่ยงมาหาเขาถึง

ที่โรงพยาบาล มนพัทธ์ตั้งข้อสันนิษฐาน โดยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดาไว้นั้น

มีเค้าลางความเป็นจริงได้มากกว่าการคาดเดาเป็นอย่างอื่น

เธอคงไม่รู้จะเอาข้ออ้างไหนมาเพื่อพบเขา และขอให้เขาช่วยเหลือ

จึงยกคำสัญญาเมื่อนานมาแล้วขึ้นอ้าง

ชายหนุ่มใช้เวลาพินิจพิจารณา จนเงียบไปนาน ขณะนั้นพยาบาล

โผล่หน้าเข้ามามองผ่านทางช่องกระจกเล็กๆ จากนั้นก็ผลุบกลับไป อาจ

กำลังสงสัยว่าทำไมคนไข้รายนี้ถึงต้องใช้เวลาตรวจกันนานนัก ทั้งที่แค่

ข้อเท้าแพลงธรรมดา คุณหมอหนุ่มจึงคิดว่าไม่เป็นการดีแน่หากเขาจะใช้

ห้องตรวจมาคุยเรื่องส่วนตัว เขายังมีงานที่ค้างคาอยู่อีกมาก จำต้องเห็น

เรื่องงานมาก่อนเรื่องส่วนตัว

อติกานต์กลั้นใจรออยู่นานมาก ยิ่งนานเท่าไรใจก็ยิ่งนึกกลัวว่า

เขากำลังหาทางปฏิเสธและไล่ให้เธอกลับอยู่หรือเปล่า แล้วก็จริงเมื่ออยู่ๆ

ก็ถูกฉวยข้อมือให้ลุกขึ้นเดินตาม คงจะลากเธอออกไปให้พ้นโรงพยาบาล

เป็นแน่

ได้ยินเขาบอกพยาบาลหน้าห้องตรวจ

“ผมขอไปทำธุระเดี๋ยว แล้วจะกลับมาตรวจคนไข้ต่อ”

อติกานต์ก้มหน้างุดๆ สาวเท้าตามหลังคุณหมอหนุ่ม ยอมรับว่าอาย

สายตาใครต่อใครเมื่อโดนลากตัวออกมาจากห้องตรวจแบบนั้น ทั้งที่

ความเป็นจริงแล้ว สายตาแทบทุกคู่...ทั้งจากคุณหมอคนอื่น พยาบาล

หรือแม้กระทั่งคนไข้บางคน ต่างมองมาด้วยแววตาประหลาดใจแกมอิจฉา

ด้วยซ้ำ ก็คุณหมอรูปหล่อเล่นเดินหน้ายิ้มแย้ม จูงมือเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม

ที่แม้ติดจะมอมแมมนิดหน่อยออกไปด้วยกัน

“นี่ห้องทำงานพี่” เขาเปิดประตูห้องแล้วดึงเด็กสาวเข้าไป จัดการ

ปลดกระเป๋าเป้จากมือเล็กไปวางเก็บมุมห้อง กดไหล่บางให้นั่งลงที่เก้าอี้

ทำงานของเขา เด็กสาวทำตามอย่างงงงวยเป็นที่สุด

“นั่งรอในนี้ก่อน จนกว่าพี่จะทำงานเสร็จแล้วกลับมา ในตู้เย็นเล็กๆ

นั่นมีของกิน หิวก็ลองเลือกออกมาทาน แต่ห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด

จนกว่าพี่จะกลับมา...สัญญา?”

คุณหมอเรียกหาคำสัญญาจากคนตัวเล็กตรงหน้า ในขณะที่อีกฝ่าย

กำลังตกอยู่ในอาการฉงนไม่หาย จึงฟังที่เขาพูดไม่ถนัดทุกคำ

 “คะ?”

“เฮ้อ...”คุณหมอหนุ่มถอนหายใจให้กับอาการเอ๋อของเด็กสาว

ก่อนจะย้ำให้เข้าใจชัดอีกครั้ง “ห้ามออกไปจากห้องนี้จนกว่าพี่จะกลับมา

เข้าใจไหม ถ้าเข้าใจแล้วก็สัญญามา”

“ค่ะ...สัญญา”

คุณหมอหนุ่มยีศีรษะเล็กจนผมที่มัดเรียบร้อยยุ่งฟู

“ดีมาก สัญญาแล้วก็ต้องรักษาสัญญาด้วยนะ” เขากล่าวส่งท้ายก่อน

จะผลุบหายไปทางประตู

อติกานต์ถอนใจ เก็บลมเข้าไปในกระพุ้งแก้มจนแก้มตุ่ย เป็นกิริยา

ที่เจ้าตัวมักทำเสมอยามมีอะไรค้างคาในใจ นึกทวนคำที่มนพัทธ์พูดเมื่อครู่

อยากถามเขากลับเหมือนกันว่า ในส่วนตัวของเขาเองเล่า ยังอยากจะรักษา

สัญญาที่เคยให้ ไว้กับเธออยู่บ้างไหม

อติกานต์เป็นเด็กหัวอ่อนว่าง่ายคนหนึ่ง ถ้าไม่ถึงที่สุด อย่างตอนนี้

เมื่อเขาสั่งให้นั่งรอ เธอก็นั่งรออยู่ที่เดิมโดยไม่ได้กระดิกกระเดี้ยไปไหน

ครั้นพอท้องเริ่มร้องครวญครางว่าหิว จึงลุกไปเปิดตู้เย็นหาของกินตามที่

ชายหนุ่มสั่งไว้ เด็กสาวหยิบเค้กหนึ่งชิ้นพร้อมกับรินน้ำส้มบรรจุกล่อง

ออกมาหนึ่งแก้ว นั่งทานเงียบๆ จนหมด ล้างจานกับแก้วน้ำเสร็จเรียบร้อย

ก็มานั่งรอที่เดิมอีก ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผ่านไป สี่ชั่วโมงต่อมาเธอรู้สึก

ง่วงงุนจนฟุบหลับลงกับโต๊ะ

กระทั่งล่วงเข้าสู่ชั่วโมงที่ห้า คุณหมอเจ้าของห้องก็เปิดประตูเข้ามา

เห็นคนที่อยู่ในห้องหลับใหล เขาก็ย่องกริบเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายกำลังฟุบ

หลับจนน้ำลายยืด มนพัทธ์นึกหัวเราะในใจ พลางส่ายหน้ายิ้มๆ

“โธ่เอ๋ยเด็ก”

แล้วก็ตัดสินใจปลุก

“อุ่น...ตื่นได้แล้ว เด็กขี้เซา”

อติกานต์งัวเงียตื่นขึ้นมา

“ไปล้างหน้าสิ พี่จะพากลับบ้าน”

คำว่า ‘บ้าน’ ทำให้เด็กสาวลืมความง่วงงุนไปแทบจะหมดสิ้น

“บ้าน! บ้านไหนคะ” เธอถามตื่นๆ

 “บ้านพี่...กลับบ้านพี่ก่อน ส่วนจะกลับบ้านไหนต่อไหม เดี๋ยวค่อย

ว่ากัน พี่มีเรื่องจะถามเราหลายเรื่องเลย แล้วเราก็ต้องตอบพี่ตามความจริง

ด้วย ห้ามโกหกอีกแม้แต่คำเดียว” คุณหมอทำเสียงเข้ม หน้าดุขึ้นเมื่อพูดถึง

ตรงนี้

อติกานต์กลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ รู้สึกหวั่นใจ แต่ก็เดินตามเขาไป

ต้อยๆ ชีวิตเธอมีทางเลือกอื่นอีกหรือ บุญแค่ไหนที่ยังมีผู้ชายคนนี้ให้

นึกถึงยามจนตรอก ส่วนนับจากนี้เขาจะเมตตาเธอแค่ไหนนั้น คงต้อง

สุดแท้แต่เวรกรรมแล้ว

 “แม่จะพักที่นี่หรือครับ” เสียงทุ้มห้าวตั้งคำถามขึ้น ขณะที่สายตา

กวาดมองสำรวจแบบคร่าวๆ สถานที่แห่งนี้ดูร่มรื่นด้วยไม้ดอกไม้ประดับ

นานาชนิดที่ปลูกกระจายอยู่ทั่วบริเวณอย่างเหมาะเจาะ

คุณฉัตรพรมองลูกชาย เห็นความพึงพอใจไม่น้อยอยู่ในแววตาคู่นั้น

นางยิ้มแล้วให้คำตอบ

“แม่เคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าแถวนี้เมื่อปีที่แล้ว เลยมีโอกาสมาพัก

ที่นี่ ร่มรื่นดีนะตามน เจ้าของใจดี เป็นกันเอง และมีลูกสาวตัวเล็กๆ กำลัง

น่ารักทีเดียว ชื่อเนื้ออุ่น”

มนพัทธ์ ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยกับข้อมูลที่ผู้เป็นมารดาพยายาม

อธิบายมา กลับนึกชอบความเงียบสงบของโฮมสเตย์แห่งนี้มากด้วยซ้ำ

และเขาก็ไม่เคยมีปัญหากับ ‘เด็ก’ แต่พอเสียงแหลมเล็กวิ่งกระทบหู

ก็เกิดนึกอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น

“สวัสดีค่า!”

เด็กหญิงวัยประมาณหกถึงเจ็ดขวบ จูงมือผู้ ใหญ่สองคนซึ่งคาดว่า

จะเป็นพ่อและแม่ของเธอ โผล่พ้นออกมาจากพุ่มต้นแก้วสูงท่วมศีรษะ

ที่ปลูกอยู่หน้าบ้าน ผู้เป็นแม่ก้มลงดุลูกสาวเป็นลำดับแรก

“อุ่น! อย่าเสียงดังแบบนั้นสิลูก แขกจะพานตกใจเอานะจ๊ะ” แล้ว

ผู้ ใหญ่ทั้งสองก็กล่าวทักทายแขก

เด็กหญิงเอ่ยขอโทษอ้อมแอ้มหลังจากพยักหน้าเจื่อนๆ ว่ารับทราบ

ปล่อยมือจากบิดามารดาเพื่อไหว้ทักทายแขกด้วยน้ำเสียงที่เบาลง

“สวัสดีค่ะคุณป้าใจดีที่เคยมาเมื่อปีที่แล้ว อุ่นจำได้ แล้วก็สวัสดี

ค่ะ...” เสียงใสแจ๋วชะงักไป เมื่อไม่รู้ว่าจะทักทายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

บทที่ 1

คุณป้าใจดีว่าอะไร

“นี่ลูกชายของป้าเองจ้ะ จะเรียกว่าพี่มนก็ได้”

“สวัสดีค่า พี่มน” เด็กหญิงย่อตัวไหว้ทักทายผู้ชายตัวโตๆ ที่กำลัง

ทำหน้าเคร่ง จากนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบกับผู้เป็นแม่ “พี่มนหน้าดุ

จังเลยค่ะ”

เสียงพูดที่พยายามปรับให้เบาแล้วนั้นกลับดังลั่นจนได้ยินกันถ้วนทั่ว

คนถูกว่า ‘หน้าดุ’ หันขวับมามอง เด็กหญิงจึงหน้าจ๋อยเจื่อน ผู้เป็นแม่ก้มลง

ดุอีก

“อุ่น! จุ๊ๆ พูดแบบนี้ไม่ดีนะลูก”

คุณฉัตรพรเลยยิ้มปลอบเด็กหญิง แล้วกลับไปดุลูกชายตัวเองบ้าง

“ตามนนี่ก็นะ ทำหน้าให้ดีๆ หน่อยสิลูก น้องกลัวแย่แล้วเห็นไหม

แบบนี้เรียนจบไปแล้วจะมีคนไข้ที่ไหนกล้ามารักษาด้วยฮึ”

“เรียนหมอด้วยหรือครับ...ดีเลย จะได้ช่วยจับเจ้าตัวเล็กนี่ไปฉีดยา

ให้หายซน” พ่อของเด็กหญิงเอ่ยยิ้มๆ โดยหวังจะให้ลดบรรยากาศตึงๆ

ที่กำลังก่อตัว แล้วก็ได้ผลเมื่อลูกสาวที่แอบมุดไปข้างหลังผู้เป็นพ่อทันที

อย่างกลัวๆ กล้าที่จะโผล่หน้าออกมายิ้มแหยให้ว่าที่คุณหมอได้เห็นว่า

ตนอยากจะผูกมิตรเพราะไม่อยากถูกจับฉีดยา

มนพัทธ์ถอนหายใจเฮือกๆ อย่างที่บอกว่าเขาไม่ใช่คนเกลียดเด็ก

แต่ในภาวะอารมณ์ขุ่นมัวเพราะครอบครัวกำลังจะแตกแยกเช่นนี้ ไม่ใช่

เวลาที่เขาจะมามีแก่ใจอยากชื่นชมความน่ารักหรือเล่นกับเด็กแต่อย่างใด

เจ้าของโฮมสเตย์ทักทายและถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบทั่วไปของ

ลูกค้าเก่า จากนั้นจึงสอบถามถึงระยะเวลาที่จะเข้าพัก

“ยังไม่ได้กำหนดเลยค่ะ แต่น่าจะราวๆ เดือนหรือสองเดือนก่อนจะ

เปิดเทอม เพราะตามนก็ต้องกลับไปเรียนต่อ ฉันคงจะไม่ค่อยอยู่หรอกค่ะ

อยากไปปฏิบัติธรรมที่วัดมากกว่า แต่จะฝากลูกชายไว้ที่นี่”

หลังจากวันนั้น ตลอดเวลาที่ต้องพักอาศัยอยู่ที่นั่น ชีวิตของว่าที่

คุณหมอหนุ่มก็มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ คอยตามติดแจ แรกๆ เธอยังไม่กล้า

เข้ามาใกล้ ได้แต่ด้อมๆ มองๆ ด้วยท่าทีกลัวๆ กล้าๆ ยิ่งทำให้คนกำลัง

หงุดหงิดใจพานจะหัวเสียเอาง่ายๆ หลายครั้งหลายหนที่เขาหันไปทำหน้า

ดุใส่ หรือบางทีก็อดแสดงท่าทีรำคาญออกไปไม่ได้ จนพ่อแม่ของเด็กหญิง

ต้องมาขอโทษ บอกว่าเป็นช่วงปิดเทอม ลูกสาวจึงขาดแคลนเพื่อนเล่น

เหอะ! เขานี่นะเพื่อนเล่นเด็ก แถมยังเด็กผู้หญิงอีกด้วย

หลังจากที่อดทนมานานหลายวัน ครั้งหนึ่งเขาดุเด็กหญิงเข้าให้

จนอีกฝ่ายร้องไห้จ้า กว่าเธอจะหายสะอึกสะอื้นได้ เขาต้องลำบากลำบน

หลอกล่อด้วยขนมและไอศกรีม แต่พอใจดีด้วยแค่ครั้งเดียว กลับทำให้

อติกานต์ยิ้มกว้าง หายกลัวเขาไปในบัดดล ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่มีแก่ใจ

แม้แต่จะยิ้มให้เด็กหญิงอยู่ดี

กระทั่งถัดจากนั้นไม่กี่วัน เมื่อเขาไม่สบาย นอนซมอยู่ในบ้านพัก

หลังเล็ก คงจะไม่มีใครเข้ามาเห็นอีกหลายชั่วโมงเลยทีเดียว หากว่า

ตอนสายของวันนั้น ความซุกซนและอยากหาเพื่อนเล่นของเด็กหญิงคนเดิม

จะไม่พาเจ้าหล่อนเข้ามาเห็นเขานอนซม แล้วอติกานต์ก็วิ่งปรูดกลับไป

จูงมือพ่อแม่มาที่บ้านพักของเขา

“พ่อขาแม่ขา พี่มนเขาไม่สบายค่ะ ตัวร้อนจี๋เลย”

มนพัทธ์ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล คุณหมอเจ้าของไข้แจ้งว่าไข้ขึ้น

สูงมาก หากปล่อยไว้อีกนิดเดียวอาจถึงขั้นช็อกจนเสียชีวิตได้ คุณฉัตรพร

รีบตามมาเยี่ยม แล้วก็ต้องส่ายหน้าน้ำตาหยด

“ตามนนี่นะ...จะเป็นหมอยังไง ปล่อยให้ตัวเองไม่สบายมากขนาดนี้

คราวหลังไม่เอาแล้ว อย่าละเลยตัวเองแบบนี้นะลูก แม่เป็นห่วง” รู้ดีว่า

ลูกไม่ใส่ใจตัวเองก็เพราะคิดมากเรื่องที่พ่อแม่กำลังจะหย่าร้างกันเพราะมี

มือที่สามเข้ามา

เห็นน้ำตาของแม่ มนพัทธ์จึงพยักหน้ารับปากโดยไม่อิดออด

“พี่มนหายเร็วๆ นะคะ หายแล้วอุ่นจะพาไปอ่านนิทาน” เด็กหญิง

เกาะขอบเตียงพูดเจื้อยแจ้ว

“พี่โตแล้ว ไม่อ่านนิทานหรอก” เขาตอบกลับ คราวนี้ไม่ได้ทำหน้า

บึ้งตึงอีก แม้จะยังยิ้มไม่กว้างมาก เสียงใสๆ ที่เรียกพ่อแม่มาดูเขาจนกระทั่ง

พามาส่งถึงโรงพยาบาล ยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ พอเห็นถึงความ

ห่วงใยอันบริสุทธิ์จริงใจของเด็กหญิงตัวน้อย ก็อดใจอ่อนด้วยไม่ได้

“แต่อ่านนิทานท้องฟ้าสนุกนะคะ พ่อสอนให้อุ่นอ่านเอง รับรอง

พี่มนอ่านแล้วต้องยิ้มกว้างๆ แน่นอน”

“นิทานท้องฟ้าเป็นยังไง” ว่าที่คุณหมอหนุ่มที่บัดนี้กลายเป็นคนป่วย

ขมวดคิ้ว

“อยากรู้ต้องรีบหายเร็วๆ ค่ะ”

“เข้าใจหาเรื่องมาหลอกล่อพี่นะ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นยีผมเด็กหญิง

ตัวเล็กเบาๆ

หลังจากหายป่วย มนพัทธ์จึงรู้จักปล่อยวางหัวใจไม่ให้หมกมุ่น

กับเรื่องพ่อแม่ เขาไม่ใช่คนที่ต้องตัดสินใจ แต่มีหน้าที่เพียงยอมรับการ

ตัดสินใจของบุพการีเท่านั้น เมื่อคิดได้ก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย การทำ

อะไรที่เคยคิดว่าไร้สาระอย่างการเล่นกับเด็กผู้หญิงวัยเจ็ดขวบ ก็ไม่ใช่เรื่อง

น่าปวดหัวอีกต่อไป ทั้งที่ความจริงแล้วก็น่าปวดหัวน้อยเสียเมื่อไร เมื่อมี

เด็กหญิงตัวเล็กๆ ขยันมาซ้อมเป็นผู้ป่วยให้เขาตรวจรักษาอยู่เนืองๆ

“ซนอะไรอีกล่ะอุ่น” มนพัทธ์รวบตัวเด็กหญิงมานั่งที่ตัก เมื่อเห็นร่าง

เล็กเดินน้ำตาหยดแหมะเข้ามาหา หัวเข่ามีเลือดซิบทั้งสองข้าง คงจะหกล้ม

“ไม่ได้ซนนะคะ” เด็กหญิงค้าน

“เมื่อวานก็เพิ่งเอาหัวโหม่งพื้นโลกไม่ใช่หรือไง ดูซิ ยังไม่หายโนเลย

วันนี้หกล้มเจ็บอีกแล้ว ไม่ให้เรียกว่าซนจะให้เรียกว่าอะไรละฮึ” ว่าที่คุณ

หมอบ่นๆ แต่ก็หยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมา “มา...เดี๋ยวพี่ทำแผลให้”

“โตขึ้นอุ่นจะเป็นพยาบาล จะทำแผลให้คนไข้ จะใจดีเหมือนพี่มน”

อติกานต์ว่า หลังจากมองว่าที่คุณหมอทำแผลให้อย่างเบามือ แถมจบลง

ด้วยการเป่าเพี้ยงให้หายเร็วๆ

“ไม่อยากเป็นหมอหรือ” มนพัทธ์ขมวดคิ้วถาม แล้วก็เห็นเด็กหญิง

ส่ายหน้าเร็วๆ

“ไม่ค่ะ อุ่นอยากเป็นพยาบาลสวยๆ” คำตอบนั้นเรียกเสียงหัวเราะ

จากอีกคนได้

“ซนจนเจ็บตัวทุกวันอย่างนี้คงเป็นพยาบาลไม่ได้หรอก ทำแผล

ให้ตัวเองก็คงหมดเวลาแล้ว สงสัยจะเป็นได้แค่คนไข้ของหมออย่างเดียว

ละมั้ง”

ความผูกพันเล็กๆ น้อยๆ สะสมดำเนินไปจนกระทั่งคุณเอกสิทธิ์

บิดาของมนพัทธ์มาตามทั้งภรรยาและลูกชายกลับไปพร้อมกัน

“พี่มน”

เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบน้ำตาริน เมื่อเพื่อนต่างวัยถึงคราวต้องจากลา

ระยะเวลาสองเดือนได้ถักทอสายใยความผูกพันระหว่างกันไว้ ไม่น้อย แม้

ไม่อาจนับได้ว่าเขาเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กหญิงอย่างแท้จริง เพราะวัยที่

ต่างกันมาก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะไร้เดียงสา

ของเด็กหญิง ทำให้ โลกสีทึมเทาของเขากลับมาสดใสชื่นบานอีกครั้ง หลาย

ต่อหลายครั้งที่เขายอมให้เด็กหญิงตัวน้อยขึ้นขี่หลัง ให้เขาพาไปเที่ยวไหน

ต่อไหน กินขนม พูดคุยไร้สาระแบบเด็กๆ ทั่วไป แต่ก็ทำให้ยิ้มได้ หรือ

จะนิทานเรื่องเล่าจากท้องฟ้า ล้วนเป็นวันคืนในความทรงจำที่ดีต่อกันทั้งสิ้น

มนพัทธ์ยกตัวเด็กหญิงขึ้นอุ้ม ปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มนุ่ม

“โตแล้วไม่ร้องไห้นะ” เป็นคำปลอบโยนทื่อๆ ของว่าที่คุณหมอ

“พี่มนจะมาที่นี่อีกไหมคะ” เสียงใสเอ่ยถาม

“ถ้าอุ่นเป็นเด็กดี...แล้วพี่จะมาเยี่ยมก็แล้วกัน”

“จริงนะคะ...อุ่นจะเป็นเด็กดี จะตั้งใจเรียนค่ะ สัญญาๆ” เด็กหญิง

ตอบรับเสียงใส รอจนพี่ชายตัวโตวางเธอลงพื้น แล้วโบกมือลา

ผ่านมาสิบปีแล้วสินะ เขาไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย เพราะความ

จำเป็นหลายอย่างในชีวิต พอกลับมาเรียนต่อก็ทุ่มเทเวลาให้กับการเรียน

มากกว่าอย่างอื่น ตลอดหลายปีมานี้เขาเกือบลืมไปแล้วว่าเคยไปใช้ชีวิต

ที่โฮมสเตย์เล็กๆ ในจังหวัดเพชรบูรณ์อยู่เป็นเดือน กระทั่งได้พบกับ

อติกานต์อีกครั้งในวันนี้ ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วทุกอย่างยังคงกระจ่างชัด

อยู่ในความทรงจำ เขาแทบจะจำได้ในทุกถ้อยคำที่เคยพูดคุยกับอติกานต์

มนพัทธ์เหลือบมองเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ในรถ ปกติเขาเองเป็น

คนไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบให้ ใครเข้ามาบงการหรือยุ่งเกี่ยวกับชีวิต

โดยเฉพาะคนในครอบครัวฝ่ายพ่อ หลังจากที่ประสบปัญหาครอบครัว

แตกแยก เพราะพ่อของเขามีผู้หญิงอีกคนจนทำให้แม่เสียใจและหนีไปบวช

เป็นชี เขาจึงใช้ชีวิตอยู่ลำพังคนเดียวเรื่อยมา

กระทั่งวันนี้...

วันที่ได้พบกับอติกานต์อีกครั้ง แม้จะสัมผัสได้ว่าเด็กสาวคนนี้

อาจนำพาความวุ่นวายและปัญหา มาสู่ชีวิตที่เคยสงบราบเรียบของเขา

แต่อะไรบางอย่างบอกเขาว่าไม่อาจละทิ้งเธอไปได้ คงเป็นเพราะมิตรภาพ

บริสุทธิ์สดใสในวัยเด็ก ซึ่งยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ

“พี่มนจะให้อุ่นพักด้วยหรือคะ” อติกานต์ถามขึ้นเมื่อมนพัทธ์

พาเธอมาถึงคอนโดมิเนียมหรูของเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเรียกที่นี่

ว่าบ้าน เพราะเธอไม่อาจเรียกห้องชุดบนชั้นที่สิบเจ็ดแถมมีคนพำนักอยู่

เพียงคนเดียวว่าบ้านได้

“เรามีที่อื่นให้ไปหรือไงล่ะ” เขาถามกลับ ด้านอติกานต์ส่ายหน้า

หลายๆ ที แล้วก็ก้มหน้านิ่งไป

มนพัทธ์ถอนหายใจ เอากระเป๋าเป้ของเด็กสาวไปเก็บไว้ ในห้องนอน

เล็ก และเดินออกมาบอกให้อติกานต์นอนห้องนั้น เธอโผล่หน้าเข้าไปดูห้อง

หน่อยหนึ่ง จากนั้นก็หดคอกลับมาพูดกับเขาอ้อมแอ้ม

“สวยจังค่ะ”

มนพัทธ์มองสีหน้าที่ไปคนละทางกับคำชมของอีกฝ่ายก่อนเอ่ยถาม

“ไม่ชอบหรือ”

“ชอบค่ะ แต่มันหรูเกินไปสำหรับอุ่น”

“หรูยังไงก็ต้องนอน เพราะมีห้องนี้ห้องเดียว” เขาพูดเสียงเฉียบขาด

ทำให้อติกานต์ดูจ๋อยไป รู้สึกตัวเองมาเพื่อสร้างความยุ่งยากใจให้กับเขา

โดยแท้ เลยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เห็นเขาเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัว

ผืนใหม่กับแปรงสีฟันอันใหม่ออกมายื่นให้

“ไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อน เสร็จแล้วค่อยมาพูดกัน”

อติกานต์รับของจากมือเขา อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พบเขานั่งรออยู่ที่

โต๊ะอาหารแล้ว ตรงหน้าคุณหมอหนุ่มมีชามข้าวต้มวางอยู่ เมื่อเด็กสาว

นั่งลงฝั่งตรงข้าม เขาก็เลื่อนชามข้าวต้มนั้นมาไว้ตรงหน้าเธอแทน

“ทานอะไรก่อน นั่งรอในห้องทำงานพี่ได้ทานอะไรหรือเปล่า”

เธอพยักหน้าซื่อๆ “ทานเค้กกับน้ำส้มแล้วค่ะ” แต่ก็รับเอาชาม

ข้าวต้มไปจากเขา

 “พี่มนไม่ทานหรือคะ”

คุณหมอหนุ่มส่ายหน้า “ระหว่างที่รอตรวจคนไข้ รองท้องมาบ้าง

แล้วล่ะ”

อติกานต์ลงมือทานเงียบๆ และทานได้เพียงไม่กี่คำก็ต้องวางช้อนลง

ไม่ใช่เพราะไม่หิว แต่เธอรู้สึกแปลกๆ ยามมีคนนั่งมองเวลาทานอาหาร

แถมสายตาของเขายังมองมาอย่างพิจารณาและจับผิด เธอรู้สึกแบบนั้น

จริงๆ

“อิ่มแล้วหรือ” มนพัทธ์ทำท่าจะยกชามไปเก็บเมื่อเห็นอีกฝ่าย

พยักหน้า แต่อติกานต์ปฏิเสธไม่ให้เขาทำ รีบแย่งชามข้าวต้มไปจัดการเอง

โดยทิ้งเศษอาหาร ล้างทำความสะอาด คว่ำเก็บ ทำทุกอย่างแบบอ้อยอิ่ง

ยื้อเวลา เด็กสาวรู้ว่าเขาจะพูดจะถามอะไร แต่เธอยังไม่พร้อมจะเอ่ยถึง

หรือตอบคำถามใดทั้งสิ้น ทว่าสุดท้ายก็ต้องกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม

“พร้อมคุยกับพี่แล้วใช่ไหม” เขาตั้งคำถามนิ่งๆ พอจะรับรู้ว่าอีกฝ่าย

พยายามบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยง เห็นได้จากการที่เธอจัดการธุระอย่างช้าๆ

เด็กสาวเม้มปากสนิทพลางส่ายหน้า

“ทำไม” ชายหนุ่มตั้งคำถามอีก

อติกานต์รู้สึกว่าเขาดุและเฉียบขาด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ค่อนข้าง

วางตัวสบายและไม่เนี้ยบกริบเท่านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กสาวยังสัมผัสได้ คือ

ความเมตตาที่ส่งผ่านมาทางน้ำเสียงทุ้มนุ่ม และดวงตาคู่นั้นของเขา

“อุ่นรู้ว่าตัวเองต้องพูด ต้องอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ต้องตอบคำถาม

ของพี่มน แต่ว่าทำยังไงอุ่นก็ยังไม่พร้อมที่จะพูด อุ่นไม่รู้ว่าตัวเองจะอธิบาย

ให้พี่มนเข้าใจความรู้สึกได้ยังไง แต่ก็ยังหวังว่าพี่มนจะเข้าใจ และไม่คาดคั้น

ถามอะไรกับอุ่นตอนนี้”

เด็กสาวก้มหน้าก้มตาอธิบาย ไม่มองหน้าคู่สนทนา อยากบอกเขา

เหลือเกินว่าอย่าเพิ่งกดดันเธอนักเลย ปัญหาเท่าที่มีก็จวนเจียนจะรับไม่ไหว

อยู่แล้ว ความรู้สึกต่างๆ ประดังประเดเข้ามาอีก ผลักดันให้น้ำใสๆ เอ่อท่วม

นัยน์ตากลมหวาน เธอยิ่งไม่กล้าเงยหน้ามองคนถามพลันน้ำตาเจ้ากรรม

ก็หยดแหมะลงที่โต๊ะ

มนพัทธ์ตกใจ หยุดซักไซ้ทันที รีบลุกจากเก้าอี้ไปดึงตัวอีกฝ่าย

มากอดหลวมๆ ลูบศีรษะเล็กไปมาเพื่อปลอบประโลม รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่

เรื่องเล็กๆ เสียแล้ว และเขาต้องรู้ความจริงให้เร็วที่สุด เพื่อหาทางช่วย

คนตัวเล็กในอ้อมกอดคนนี้แก้ปัญหาให้ ได้ แต่เรื่องที่จะคาดคั้นเอาความ

กับเธอตรงๆ เห็นจะต้องระงับไว้ก่อน

“เอาละ พี่จะยังไม่ถามอะไรแล้วกัน ไว้เราสบายใจก่อนค่อยเล่าให้

พี่ฟัง ตอนนี้ไปนอนพักให้สบายเถอะ หยุดร้องนะเด็กดี”

คุณหมอหนุ่มเกลี่ยน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน จูงมือเธอไปส่ง

ถึงเตียง รอกระทั่งอติกานต์หลับตาลงเขาถึงปิดไฟให้ เมื่อกลับมาห้องนอน

ตัวเอง ก็เริ่มหาข้อมูลต่างๆ ที่พอจะช่วยให้ติดต่อครอบครัวของเด็กสาว

ได้โดยไม่ต้องถามหรือรื้อค้นข้าวของของเธอ

มนพัทธ์พยายามหาเบอร์ โทรศัพท์ของโฮมสเตย์ที่เขาตามแม่ไปพัก

นานกว่าสองเดือน แต่ด้วยเวลาล่วงผ่านมาเป็นสิบปี ทำให้ชายหนุ่มไม่มี

ข้อมูลในมือเลย จะโทรศัพท์ ไปถามทันทีก็คงไม่ดีอีก เพราะนี่ก็ค่อนข้างดึก

เขาไม่อยากรบกวนเวลาปฏิบัติธรรมของมารดา ชายหนุ่มค้นข้อมูลเพิ่มทาง

อินเทอร์เน็ต เพราะยังจำชื่อโฮมสเตย์แห่งนั้นได้ แต่ก็ไม่พบอะไรแม้แต่

น้อย อาจเป็นโฮมสเตย์ขนาดเล็กเกินไป หรือเพราะปิดตัวลง หรือเปลี่ยนชื่อ

ไปแล้ว ไม่เช่นนั้นคงพอจะมีข้อมูลของนักท่องเที่ยวปรากฏให้เห็นบ้าง

สรุปคือไม่มีความคืบหน้าใดๆ มนพัทธ์ถอนหายใจยืดยาว ไม่ใช่

เพราะกังวลว่าจะเดือดร้อนไปด้วยหากให้ความช่วยเหลือเด็กสาว แต่เขา

ห่วงเพราะดูท่าแล้วจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับอติกานต์ หากไม่รีบรู้สาเหตุ

และแก้ ไขให้ทันท่วงที อาจเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อไรก็ได้

เมื่อไม่มีทางรู้ข้อมูลด้วยตนเอง ทางออกเดียวคือต้องตะล่อมให้

อติกานต์พูดระบายออกมา คุณหมอหนุ่มจึงตัดสินใจนอนพัก อาชีพ

อย่างเขาอาจถูกเรียกตัวไปรักษาคนไข้อย่างปัจจุบันทันด่วน ดังนั้นเขาเอง

ก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้เสมอ

ตอนก่อนรุ่ง มีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลโทรศัพท์มาตามเขาจริงๆ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์มือดีอย่างเขามักถูกตามตัวเสมอเมื่อมีเคสผ่าตัด

สำคัญ หลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จ ชายหนุ่มก็เปิดประตูห้องนอน

เล็กเข้าไป เห็นคนบนเตียงกำลังหลับสบาย จึงแง้มประตูปิดลงตามเดิม

ก่อนออกไปไม่ลืมเขียนโน้ตไว้ที่โต๊ะอาหารว่าเขาหายไปทำอะไรและเมื่อไร

จะกลับ

การผ่าตัดที่ยืดเยื้อหลายชั่วโมง ทำให้มนพัทธ์กลับมาถึงคอนโดฯ

ที่พักเอาเกือบเที่ยงวัน แล้วก็ต้องร้อนใจทันทีที่กลับมาถึง กลางโต๊ะอาหาร

ตรงที่เขาวางโน้ตเอาไว้ก่อนออกไป บัดนี้มีโน้ตอีกแผ่นวางเคียงกันอยู่

บนกระดาษสีนวลปรากฏลายมือเป็นระเบียบเขียนเอาไว้

 

ทำกับข้าวไว้ ให้พี่มน อยู่ในตู้เย็นนะคะ จะออกไปข้างนอกสักครู่

ไม่ต้องเป็นห่วง

เนื้ออุ่น

 

ชายหนุ่มนั่งไม่ติดนับแต่นั้น

เขาเดินไปเปิดตู้เย็น เห็นมีกับข้าวง่ายๆ อยู่สองสามอย่างที่เป็น

ของโปรดของตัวเอง บรรจุอยู่ในชามแก้วที่ปิดคลุมด้วยฟิล์มห่ออาหาร

ซึ่งนำเข้าไมโครเวฟเดี๋ยวเดียวก็รับประทานได้ แต่คุณหมอหนุ่มกลับไม่มี

แก่ใจจะทำอะไรทั้งนั้น ทั้งที่ท้องก็ร้องประท้วงว่าหิวอยู่เหมือนกัน

อีกด้านหนึ่ง อติกานต์ก็กำลังเดินหางานไปทั่ว เธอกังวลอยู่ว่าจะ

หลงทาง จึงพยายามไม่ไปไกลจากคอนโดฯ ของมนพัทธ์ หากตั้งใจจะไม่

กลับไปที่บ้านเกิดอีก ก็ควรคิดหาหนทางพึ่งตนเองให้ได้ เด็กสาวเลิกคิดถึง

ข้อสัญญาที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาขอคำตอบจากเจ้าของสัญญาไปแล้ว

เมื่อวานที่เขาไม่ตอบ ก็เป็นการบอกอ้อมๆ ว่าแท้ที่จริงคำตอบคือ

อะไร เขายังใจดีช่วยเหลือเธอ ให้ที่พักพิง ซึ่งนั่นก็นับว่าดีมากแล้ว แต่เธอ

จะไม่รบกวนเขานานหรอก

การหางานทำเป็นเรื่องยากสำหรับอติกานต์ เพราะอายุของเธอยังไม่

ถึงสิบแปดปีเต็ม งานเท่าที่หาได้คือเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร ได้รับเงิน

ค่าจ้างไม่กี่พันบาทต่อเดือน อติกานต์ตัดสินใจทำงานนั้น ด้วยคิดว่าไม่ควร

จะเลือกงานให้มากนัก

สาวน้อยกลับมาถึงคอนโดฯ หรูเอาเมื่อตอนบ่ายคล้อย ทางร้าน

อาหารขอให้เธอไปเริ่มงานวันพรุ่งนี้ ซึ่งอติกานต์ก็ตกลงตามนั้น เธอเดิน

เข้าไปหาพนักงานต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ ขอให้เขาโทรศัพท์ขึ้นไปที่ห้อง

ของคุณหมอหนุ่มเพื่อให้เจ้าของห้องลงมารับเธอ เพียงไม่นานมนพัทธ์ก็ลง

มาถึงโถงต้อนรับชั้นล่างด้วยหน้าตาถมึงทึง คว้ามือเด็กสาวให้เดินตามไป

ขึ้นลิฟต์ทันทีโดยไม่พูดไม่จา ท่ามกลางสายตาหลายต่อหลายคู่ที่มองมา

อย่างสงสัย

“พี่มนโกรธอะไรคะ” เดิมทีอติกานต์อดทนเดินตามไปเงียบๆ แต่

ยิ่งนานยิ่งรู้สึกร้อนใจกับท่าทีของอีกฝ่าย เธอรู้ว่าเขาโกรธเธอ และอยากรู้ว่า

โกรธด้วยเรื่องอะไร

“ยังไม่รู้ตัวอีก?” ชายหนุ่มถามกลับเสียงขุ่น

“แต่อุ่นก็เขียนโน้ตบอกไว้แล้วนี่คะว่าจะออกไปข้างนอก หรือว่า

พี่มนไม่เห็น”

“แค่นั้นมันพอที่จะทำให้พี่ไม่ต้องเป็นห่วงได้หรือไง จะไปที่ไหน

กลับเมื่อไรก็ไม่บอก”

อติกานต์ ไม่เขียนบอกว่าจะไปที่ไหน เพราะเธอเองก็ยังไม่รู้จุดหมาย

ปลายทาง ส่วนจะกลับเมื่อไรนั้น เธอก็ยังไม่รู้อีกนั่นแหละ สาวน้อยรู้ตัว

ว่าผิด จึงยอมยกมือขอโทษอีกฝ่ายแต่โดยดี

“อุ่นไปหางานมาค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอกพี่มน”

“หางาน!” เขาอุทานดังกว่าเก่า

“ค่ะ แล้วอุ่นก็ได้งานแล้วด้วย เป็นงานที่ร้าน...”

“พี่ไม่ให้ทำ ห้ามทำ” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แม้เธอจะยังพูด

ไม่ทันจบความ

“พี่มน!” สาวน้อยเรียกอย่างตกใจกับอาการของเขา แต่เธอได้

ตัดสินใจแล้ว

“อุ่นจะทำค่ะ อุ่นอยากทำ จะได้ไม่อยู่รบกวนพี่มนนาน” เธอให้

เหตุผล ซึ่งหวังว่าเขาจะยอมรับ

“ยังไงพี่ก็ไม่ให้ทำ เรามีปัญหาอะไรยังไม่บอกพี่เลย แก้ปัญหาให้ ได้

ก่อนแล้วจะทำอะไรถึงค่อยทำ”

เหตุผลของเขาทำให้สาวน้อยเงียบกริบ ไม่ดื้อดึงอีก ทว่ายังแอบ

เป็นกังวล กลัวจะผิดคำพูดกับทางร้าน

 “แต่...อุ่นรับปากเขาไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะไปเริ่มงาน”

“ถ้าอย่างนั้นเอาเบอร์ โทรศัพท์ของที่ร้านมา เดี๋ยวพี่จะเป็นคนโทร.

ไปยกเลิกให้เอง”

สาวน้อยค้นหาเบอร์ โทรศัพท์ ให้ชายหนุ่มอย่างอ้อยอิ่งและหน้าเสีย

มนพัทธ์รับนามบัตรของผู้จัดการร้านอาหารไปกดโทร.ออกอย่างรวดเร็ว

เขาพูดสั้นๆ อติกานต์จับใจความได้ว่า เด็กสาวที่ไปสมัครงานเมื่อบ่าย

และทางร้านรับไว้เป็นน้องสาวของเขาเอง และเขาไม่อนุญาตให้น้องสาว

เข้าทำงาน ขอโทษด้วยที่ให้เธอไปทำงานที่ร้านไม่ได้แล้ว เมื่อเสร็จจาก

ธุระนั้น คุณหมอหนุ่มก็หันมาจ้องเธออย่างเอาเรื่อง

“ต่อไปนี้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากพี่ ห้ามออกไปไหน เข้าใจไหม”

อติกานต์พยักหน้ารับคำ ก่อนก้มหน้าเดินกลับเข้าห้องไปเงียบๆ

เมื่อเรื่องจบลงอย่างง่ายดาย แทนที่ชายหนุ่มจะรู้สึกสบายใจ แต่มัน

ไม่ใช่แบบนั้น เขากลับวุ่นวายใจมากยิ่งขึ้น ต้องการให้เธอดื้อดึงต่อต้าน

อย่างนั้นหรือ มนพัทธ์ถามตัวเอง แล้วก็ได้คำตอบว่าไม่ใช่เลย เขาเพียงแต่

ไม่อยากให้เธอนิ่งเงียบเหมือนเก็บบางอย่างไว้ ในใจ

คุณหมอหนุ่มนำอาหารที่คงค้างตั้งแต่มื้อกลางวันออกมาอุ่นและ

จัดวางลงบนโต๊ะ พอเสร็จแล้วจึงไปเคาะประตูห้องนอนเล็ก

“ออกมาทานข้าวเถอะ” เขาบอก และอติกานต์ก็เดินออกมาเงียบๆ

นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา

“หายโกรธพี่หรือยัง” เขาถามขึ้นระหว่างทานอาหาร

“อุ่นไม่ได้ โกรธเลยค่ะ รู้ว่าพี่มนหวังดีถึงได้ทำแบบนี้ อุ่นดีใจด้วยซ้ำ

ที่อย่างน้อยก็มีพี่มนคนหนึ่งที่หวังดีกับอุ่นด้วยใจจริง”

“แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงนิ่งเงียบไป”

“อุ่นรู้สึกว่าตัวเองมาเป็นภาระให้พี่มนมากเหลือเกิน ทั้งที่เราก็ไม่ได้

เป็นอะไรกัน แถมยังทำให้พี่มนต้องเป็นห่วงอีก อุ่นไม่น่าพาตัวเองมาที่นี่

ให้พี่มนลำบากด้วยเลย”

“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ดีแล้วที่เราคิดถึงพี่เป็นคนแรก ยังอยาก

ทำงานอยู่หรือเปล่า” อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง

อติกานต์พยักหน้า งงที่อยู่ดีๆ เขาก็ถามเรื่องงานทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งเอ่ย

ห้ามอย่างเด็ดขาด

“ถ้าอย่างนั้นทำงานบ้านให้พี่ พี่จะจ้างเราเอง”

อติกานต์ส่ายหน้าทันควัน

“ส่ายหน้าคือปฏิเสธหรือ” เขาถามกลับ

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ อุ่นยินดีทำงานบ้านทดแทนบุญคุณของพี่มน

แต่พี่มนไม่ต้องจ้างอุ่นหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นอุ่นคงรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ”

“ยังไงพี่ก็ต้องบอกเลิกจ้างแม่บ้าน ไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่มย่ามแล้ว

เก็บเอาเรื่องในห้องนี้ไปพูดมาก ปกติเงินส่วนนี้พี่ก็ต้องจ่ายอยู่ทุกเดือน

ดังนั้นไม่ต้องปฏิเสธ เพราะยังไงพี่ก็จะให้” เขาบอกเหตุผลอย่างนุ่มนวล

ไม่บังคับเสียงเข้มเหมือนเมื่อตอนบ่าย

สุดท้ายแล้วอติกานต์ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกตามเคย เธอพยักหน้ายินยอม

ซึ่งทำให้ชายหนุ่มมีสีหน้าสบายใจขึ้น

“ทำไมอาหารยังเหลืออยู่เหมือนเดิมล่ะคะ” เด็กสาวเพิ่งมีแก่ใจ

สังเกต เมื่อสถานการณ์อันเคร่งเครียดเริ่มผ่อนคลายลง

มนพัทธ์เงยหน้าขึ้นมองคนนั่งตรงข้าม ด้วยแววตาราวกับจะย้อน

ถามเด็กดื้อว่า ‘เพราะใครล่ะ’

อติกานต์คอหดเมื่อรู้ว่าเป็นความผิดของเธอ

“ก็อย่าทำให้พี่ต้องเป็นห่วงอีก เข้าใจไหม”

“ค่ะ” สาวน้อยรับคำอย่างว่าง่าย ทำให้ชายหนุ่มยิ้มได้กว้างขึ้น

เธอก็พลอยยิ้มตามไปด้วย

มนพัทธ์เข้าใจแล้วว่าเขาไม่ควรใช้วิธีการออกคำสั่งให้อติกานต์พูด

สิ่งต่างๆ ออกมา นั่นยิ่งจะทำให้อีกฝ่ายกดดันและเก็บเงียบ ที่น่ากลัว

ยิ่งกว่านั้นคือเธออาจจะเตลิดไปที่อื่น เขาควรปล่อยให้เธอสบายใจขึ้น

รอจนเจ้าตัวพร้อมที่จะพูดเรื่องทั้งหมดออกมาเองดีกว่า

แต่คุณหมอหนุ่มก็บอกตัวเองด้วยว่า อย่ารีรอนานเกินไปนัก เพราะ

เขาเองก็ไม่รู้ว่าปัญหานั้นคืออะไร สมควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

หรือเปล่า

รายละเอียด

หากโชคชะตามักจะเล่นตลกกับคนที่กำลังมาถึงทางตัน เธอก็ขอฝืนโชคชะตานั้นด้วยการลิขิตมันขึ้นมาเอง
 
อติกานต์ สาวน้อยวัยสิบเจ็ด รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเดินทางมาทวงสัญญาแต่งงานจากคุณหมอมนพัทธ์ ศัลยแพทย์หนุ่มผู้อบอุ่น อ่อนโยน และแสนดี ชายหนุ่มทำให้เธอตกหลุมรักตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน หนำซ้ำยังเคยสัญญาไว้ว่าจะให้เธอเป็นเจ้าสาวของเขาอีกด้วย อติกานต์จึงเห็นเขาเป็นทางออกเดียวในชีวิต ขณะที่กำลังจะถูกพ่อเลี้ยงจับแต่งงานกับผู้มีอิทธิพล ในเมื่อจะต้องตกเป็นของใครสักคน เธอก็ขอเลือกที่จะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
 
เช่นเดียวกับนายแพทย์หนุ่มอย่างมนพัทธ์ เพราะความผูกพันเมื่อครั้งก่อนทำให้เขาไม่คิดลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กสาว ชายหนุ่มทั้งหวงแหนและกางแขนปกป้องเธอสุดกำลัง ราวกับต้องการยืนยันในคำสัญญาที่ตั้งใจจะถักร้อยมันขึ้นมาให้เกิดเป็นความรักระหว่างเขาและเธอ 

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (67 รายการ)

www.batorastore.com © 2024