รอยรักหักเหลี่ยมแค้น (ตะวันทอแสง)

รอยรักหักเหลี่ยมแค้น (ตะวันทอแสง)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715216
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 257.00 บาท 64.25 บาท
ประหยัด: 192.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 

 

 

บทนำ

 

กใส่ร้ายฉัน! แกโกงฉัน! ไอ้สารเลว!” เสียงตะโกนกร้าว

ของผู้เป็นพ่อทำให้เด็กหนุ่มวัยสิบสองปีชะงักมือที่กำลังจะคว้าลูกบิดประตูเพื่อเปิดออกเปลี่ยนเป็นยืนนิ่งหยุด ฟังการสนทนาระหว่าง ธานินศิริพรมรินทร์ บิดาของเขากับใครบางคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ไอ้สารเลว’

“แกก็รู้ว่าทั้งหมดมันคือกลเกมทางธุรกิจ ใครที่เหนือชั้นกว่า

คนนั้นก็จะได้เป็นผู้ชนะ”

แม้จะมั่นใจในน้ำเสียงอันคุ้นเคยไปกว่าครึ่งแล้วว่าเจ้าของ

เสียงนั้นเป็นใคร แต่เด็กวัยสิบสองปีในห้องก็อดไม่ได้ที่จะแง้มประตู

ออกเพื่อให้เห็นใบหน้าของคู่สนทนาข้างนอกห้องนั้นให้ชัดเจน แล้วจึง

พบว่า...

‘ใช่เขาจริงๆ ด้วย!’

คุณอาศิวะ พุทธาวจนะ เพื่อนสนิทที่บิดาของเขาเคยเล่าว่า

เริ่มต้นรู้จักและคบหากันมายาวนานมากกว่าสามสิบปี แถมในยามนี้

 

 

อาศิวะยังเป็นคนที่ถือปืนสีดำสนิทและกำลังจ่อเล็งมายังหน้าผากพ่อ

ของเขาอยู่อีกด้วย!

และทันทีที่เห็นภาพนั้น มือเล็กที่แง้มประตูออกก็ค่อยๆ ปิด

มันเอาไว้เหมือนเดิมอย่างแผ่วเบาเท่าที่มือสั่นๆ ของเขาจะเอื้ออำนวย

เด็กน้อยตัวชาวูบ เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นตรงใบหน้าและแผ่นหลัง จน

รู้สึกได้ว่ามันเปียกแฉะไปหมด ส่วนทางด้านนอกในขณะนี้ศิวะกำลัง

ใช้ปืนสั้นสีดำค่อยๆ ต้อนธานินเข้ามาใกล้ห้องนี้เรื่อยๆ ส่วนคนเป็น

มารดาของเด็กน้อยในห้องนั้นไปทำธุระที่ต่างประเทศ กำหนดเดินทาง

กลับคืออีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ทำให้บ้านหลังนี้มีเพียงคนรับใช้ซึ่ง

ถูกลูกน้องของศิวะควบคุมตัวเอาไว้ยังเรือนเล็กหลังบ้านสวน ทำให้

บนเรือนใหญ่มีเพียงแค่ศิวะ ธานิน และเด็กชายธัมม์ ศิริพรมรินทร์

เพียงเท่านั้น

เขาควรทำอย่างไรดีถึงจะนำพาให้ทั้งพ่อและตัวเองรอดพ้น

จากสถานการณ์คับขันนี้ไปได้...เด็กน้อยครุ่นคิดอย่างกระวนกระวายใจอยู่ภายในห้องนอนใหญ่ของคนเป็นพ่อ

“โชคดีชะมัดที่วันนี้แกอยู่บ้านคนเดียว” คนที่ถูกตราหน้าว่า

เป็นไอ้สารเลวพูดขึ้น ลูกบิดประตูหมุนอย่างช้าๆ เพียงเสี้ยววินาทีประตู

จึงถูกกระชากเปิดออกพอดีกับที่เด็กชายธัมม์หาที่ซ่อนตัวได้ทันท่วงที

ศิวะยินดีอย่างยิ่งที่ในวันนี้บัญชีแค้นทั้งหมดที่เขามีต่อ

ธานินจะได้รับการสะสางกันเสียที หมดเวลาของไอ้ลูกเศรษฐีโชคดีที่

คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอย่างมันแล้ว หลังจากที่เขาเฝ้ามองและ

อิจฉาความสุขสบายของมันมาทั้งชีวิต ในที่สุดวันนี้เขาก็ทำได้...ทำให้

ไอ้เพื่อนยากที่เป็นคุณหนูต้องพ่ายแพ้แก่เด็กสลัมจนๆ ที่สร้างทุกอย่าง

ขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเฉกเช่นเขา รวมไปถึงการถ่ายโอน

สมบัติของมันมาไว้ในมือ ทั้งบ้าน รถ บริษัท ไม่เว้นแม้แต่เมียรักของ

มันที่ตัวเขานั้นได้แอบหมายปองมาตั้งแต่เธอเป็นสาวแรกแย้ม! ทว่า

เพราะความที่ไอ้ธานินมันเป็นลูกคุณหนูตระกูลดังนั่นแหละ ธีรสาจึง

ไม่คิดแม้แต่จะชายตามามองพนักงานบริษัทที่ค่อยๆ ไต่เต้ามาจาก

 

 

ตำแหน่งระดับล่างอย่างเขาเลยสักครั้งเดียว!

“แกไม่ต้องห่วงคุณสาหรอกนะ เพราะฉันจะดูแลเมียแกให้

เอง ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าแกนอนตายตาหลับแน่นอน” ศิวะบอกเสียง

เนิบก่อนแสยะยิ้มสะใจ

มือเล็กยกขึ้นปิดปากตัวเองแน่นกลัวว่าจะทำเสียงเล็ดลอด

ออกไปให้ใครได้ยิน ร่างเล็กที่สูงเพียงร้อยห้าสิบเศษนอนขดตัวเข่า

ชิดอก แผ่นหลังงองุ้มพร้อมก้มหน้าคางชิดอกแน่นิ่งอยู่ใต้เตียงในมุม

ที่เห็นเพียงขาของคนสองคนที่เดาได้ไม่ยากว่าคือใคร

“อย่าทำร้ายครอบครัวฉัน” แม้จะเป็นประโยคขอร้อง ทว่า

น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นช่างเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเหลือเกิน

น้ำตาลูกผู้ชายของคนใต้เตียงเริ่มเอ่อคลอเมื่อสมองพอจะ

ประมวลเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ดี ความกลัว ความหวาดหวั่น

ความตกใจ ประดังประเดเข้ามาสุมอยู่ในอกเล็กๆ ของเด็กชั้นประถม

จนอัดแน่นไปหมด

ทั้งๆ ที่เขาอยู่ตรงนี้ อยู่ใกล้ผู้ให้กำเนิดเพียงแค่ไม่กี่ก้าว แต่

เขากลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าที่เด็กวัย

สิบสองขวบจะตั้งรับหรือหาทางป้องกันอะไรได้ ในมือของธัมม์ไม่มี

อาวุธ ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ที่จะติดต่อสื่อสารเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ

จากใครต่อใครได้ด้วยซ้ำไป

“ฉันสัญญา...ไม่สิ...ฉันสาบานเลยว่าจะไม่แตะต้องลูกกับเมีย

ของแกแม้แต่ปลายเล็บ ถ้าหากแกจัดการมันให้เรียบร้อยด้วยตัวแก

เอง”

“ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าแกจะรักษาสัญญา”

“ถ้าฉันจะฆ่า ฉันก็ฆ่าพวกมันไปนานแล้ว ไม่ต้องรอจังหวะ

ลูกแกไปโรงเรียนและเมียแกไปเมืองนอกหรอก แค่นี้แกยังไม่เห็น

อีกเหรอว่าฉันน่ะปรานีครอบครัวแกแค่ไหน” สุ้มเสียงของคนใจดีใน

สายตาธัมม์กลับกลายเป็นเสียงของปีศาจแสนร้ายกาจไปในบัดดล

‘อาศิวะไม่ใช่คนดี’ เด็กน้อยเพิ่งตระหนักถึงความจริงเมื่อ

 

ไม่กี่วินาทีข้างหน้านี่เอง

“หึ” ธานินกระแทกเสียงด้วยความขมขื่น

เขารู้ว่าวันนี้ลูกชายป่วยเป็นไข้หวัดจึงไม่ได้ไปโรงเรียน และ

แน่นอนทีเดียวว่าธัมม์จะต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องนี้ เพราะเขาอนุญาต

ให้ลูกเข้ามานอนในห้องตัวเอง เนื่องจากเครื่องปรับอากาศที่ห้องของ

ธัมม์เสีย หรือว่าบางที...โชคชะตาอาจกลั่นแกล้งเขากับลูกก็เป็นได้

เพราะอีกไม่กี่นาทีที่จะถึงนี้ก็จะเกิดเป็นภาพอันเลวร้ายและ

น่าอดสูเหลือเกินที่ลูกชายต้องมาเห็นพ่อตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตา

แบบนี้ ทว่าตัวเขาก็ไม่มีทางเลือกให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนไปอีกแล้ว

ไอ้สารเลวศิวะมันวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างรัดกุมและแยบยลเสีย

เหลือเกิน อีกทั้งจังหวะเวลาของการลวงสังหารในครั้งนี้ก็ช่างพอเหมาะ

พอเจาะราวกับมีใครสักคนบนฟ้าจับวางเอาไว้ หรือบางทีเส้นชะตาชีวิต

ของเขาอาจถูกกำหนดให้ขาดสะบั้นลงในวันนี้ก็เป็นได้...

“จัดการซะ” ศิวะเอื้อมมือที่สวมถุงมือไปด้านหลังของตนเอง

สาเหตุที่เขาต้องสวมถุงมือนี้ไว้ก็เพื่อปกปิดลายนิ้วมือที่อาจปรากฏให้

เห็นระหว่างที่เขาหยิบซองปืนส่งให้เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่กำลังจะหมด

ลมหายใจในเวลาอันใกล้

มันก็ยุติธรรมดีแล้วไม่ใช่หรือที่คนสิ้นไร้ไม้ตอกและกำลังจะ

ถูกประกาศให้เป็นบุคคลล้มละลายในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้สมควรจะ

ตาย ในเมื่ออยู่ไปก็ไม่ต่างอะไรกับการตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว

หุ้นทั้งหมดในบริษัทส่งออกเฟอร์นิเจอร์อันโด่งดังของธานิน

ตำแหน่งนักการเมืองในพรรคใหญ่ของธานิน ทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด

ของธานิน รวมไปถึงตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ที่วันนี้จะได้ติดป้ายนามสกุล

‘ศิริพรมรินทร์’ เอาไว้เป็นวันสุดท้าย ได้กลายเป็นของเขาไปเรียบร้อย

แผนการทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบกริบ เหนือความคาดหมาย และ

ค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งสุดท้าย...เขาจึงได้เป็นฝ่ายชนะ

หากมองในแง่ของธุรกิจ ทั้งเงินและอำนาจมีแต่จะต้องเดิน

ไปข้างหน้าและเร่งกอบโกยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ศิวะจึงไม่มีเวลาหัน

 

 

มาสนใจลูกไก่ลูกกาตามรายทางหรอกว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพียง

แค่พวกมันเสียสละแผ่นหลังให้เขาเหยียบย่างก้าวเดินไปสู่หนทางที่เต็ม

ไปด้วยความสำเร็จ เขาก็พอใจแล้ว โดยเฉพาะกับไอ้คนที่เขามีความ

แค้นส่วนตัวพ่วงเข้ามาด้วยอย่างธานินนั้น...ชีวิตช่างไร้ค่าเสียยิ่งกว่าผัก

กว่าปลาเสียอีก

“ลาก่อน...ลูกพ่อ” ธานินกล่าวอำลากับบุตรชายเพียง

คนเดียว ก่อนจะค่อยๆ ยกพญามัจจุราชสีดำสนิทขึ้นเล็งตรงขมับด้าน

ซ้ายของตัวเองอย่างช้าๆ แม้แข้งขาจะอ่อนล้าไปหมด และในที่สุด

เปลือกตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับที่นิ้วมือเหนี่ยวไก...

ปัง!

เสียงปืนดังสนั่นลั่นห้องพร้อมกับที่ี่เด็กชายธัมม์สะดุ้งสุดกาย

สองมือยกขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น โดยที่น้ำตาของเด็กชายไหล

พราก ทว่าไร้เสียงสะอื้นให้ได้ยิน

ร่างสูงใหญ่ของธานินทรุดลงกับพื้นก่อนจะนอนแผ่หลาอยู่

ข้างๆ เตียงใหญ่ ใบหน้าซีดขาวของผู้เป็นพ่อดูราวกับคนไม่มีเลือด

ลมหายใจของธานินกระตุกเป็นห้วงก่อนจะกระอักเลือดอยู่สองสามครั้ง

จากนั้นใบหน้าของเขาก็หันกลับมาสบกับดวงตาที่เบิกโพลงของลูกชาย

ที่ซ่อนอยู่ใต้เตียง ของเหลวสีแดงไหลทะลักออกมาทางปาก จมูก และ

ขมับซ้ายมากมายคล้ายน้ำป่าไหลหลากในวันที่ฝนตกหนัก

ธัมม์ ศิริพรมรินทร์ นอนตัวเกร็งนิ่งอึ้งโดยที่มือยังคงปิดปาก

ร่างกายผอมเกร็งสั่นสะท้านสะอื้นฮักกับภาพที่เห็น มือเล็กของเขาเอื้อม

ไปปิดเปลือกตาให้กับพ่อพร้อมกับเสียงประตูห้องที่ปิดลง...คล้ายกับ

คนที่เพิ่งเดินออกไปนั้นได้กระชากลากเอาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของ

เขาจากไปตลอดกาล...โดยเฉพาะ ‘พ่อบังเกิดเกล้า’

 

ามปีผ่านไป ที่ผ่านมารสชาติของชีวิตที่ไม่เคยได้สัมผัส

และไม่คิดว่าจะได้พบพานผ่านเข้ามาหาเขาและแม่อย่างไม่อาจปฏิเสธ

 

ได้ เริ่มจากการที่แม่ยอมกัดฟันทำงานตำแหน่งพนักงานบัญชีเงินเดือน

ไม่กี่พันบาท แลกกับการไม่ยอมขายศักดิ์ศรีจดทะเบียนใหม่กับศิวะ

หลังจากที่ฝ่ายนั้นยื่นข้อเสนอว่าถ้าหากธีรสายอมเป็นของตนก็พร้อม

จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทว่าธีรสาก็ไม่ขอทิ้งศักดิ์ศรีเพียงเพื่อข้อเสนอ

ของคนเห็นแก่ตัว ถึงแม้ยามนั้นสองแม่ลูกจะบากหน้าไปพึ่งพาญาติ

ฝ่ายไหนก็ไม่มีใครยอมช่วยเหลือ ด้วยญาติที่แท้จริงนั้นมีน้อยเหลือเกิน

ญาติห่างๆ ที่เหลือเมื่อรู้ว่าธีรสากับธัมม์ถังแตกแล้วต่างก็พากันส่าย

หน้าหนีทั้งสิ้น

ธัมม์และผู้เป็นแม่จำต้องย้ายออกจากบ้านมาอยู่ห้องเช่า

ราคาถูก การกิน การนอน และการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ ธัมม์ต้องย้ายออกจากโรงเรียนนานาชาติชื่อดังมาเป็นเรียนโรงเรียนเทศบาลที่ค่าเล่าเรียนแสนถูก ทว่าความยากลำบากที่พานพบตลอดระยะเวลาสามปีนั้นยังเทียบไม่ได้กับความทุกข์ทั้งปวงที่ได้พบเจอ...เพราะนี่คือ

ชีวิตจริง ล้มจริง เจ็บปวดจริง และทรมานจริง!

กระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่เคยปริปากขอร้องให้มารดาแต่งงานกับ

ศิวะตามข้อเสนอ รวมไปถึงความรักศักดิ์ศรีที่ธีรสามีก็ทำให้หล่อน

เองยอมกัดฟันหาเลี้ยงลูกตามลำพัง โดยไม่คิดจะใช้สะพานที่ศิวะทอด

มานานแรมปีเพื่อก้าวไปสู่ความสุขสบายดังเดิม

“เหนื่อยไหมลูก” ใบหน้าอ่อนล้าที่มีน้ำตาคลอแทบตลอด

เวลาของธีรสาเอ่ยถาม เมื่อเห็นลูกชายเพียงคนเดียวเดินกลับมาถึง

บ้าน...บ้านที่บัดนี้ย่อขนาดจากคฤหาสน์หลังใหญ่กินพื้นที่กว่าสี่ไร่มา

เป็นเพียงห้องเช่าเล็กๆ ภายในชุมชนแออัดแห่งหนึ่งเท่านั้น

เมื่อมรสุมลูกใหญ่ในชีวิตสาดซัด ปัญหามากมายถาโถม ชีวิต

หรูหราสุขสบายของคุณผู้หญิงธีรสา ศิริพรมรินทร์ ก็มีอันต้องพลิกผัน

เปลี่ยนไป สามปีที่ผ่านมาสร้างความทุกข์ระทมให้แก่นางอย่างแสน

สาหัสทีเดียว และคำว่า ‘จน’ ที่เพิ่งเคยสัมผัสก็กลายมาเป็นเพื่อนรู้ใจ

ของนาง

ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เคยเป็นเด็กร่าเริงยิ้มง่ายเปลี่ยนไป

 

 

เป็นคนละคน ไม่ต่างไปจากตัวนางเองที่ทั้งตรอมใจเรื่องการจากไป

อย่างไม่มีวันกลับของสามี และปรับตัวไม่ได้กับสภาพชีวิตที่เปลี่ยนไป

อย่างรวดเร็ว หากความเป็นแม่ได้ร่ำร้องบอกให้นางอดทนและพยายาม

ทำทุกวิถีทางเพื่อประคับประคองแก้วตาดวงใจให้มีชีวิตรอดปลอดภัย

ให้จงได้

ความยากลำบากบวกกับการที่ไม่ต้องการให้มารดาแต่งงาน

กับคนที่ฆ่าพ่อทำให้ธัมม์ต้องแข็งแกร่งขึ้น เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีจึงใช้

เวลาว่างจากการเรียนรับจ้างทำงานทุกอย่างเท่าที่สองมือน้อยของเขา

จะทำได้ ตั้งแต่ขายหนังสือพิมพ์ ขายพวงมาลัย ล้างจาน เข็นรถขนผัก

ในตลาด หรือแม้กระทั่งเก็บขยะขาย เขาก็ต้องก้มหน้าทำให้จงได้ ไม่ใช่

เรื่องยากเลยที่เด็กชายธัมม์จะเอาตัวรอดให้พ้นปากเหยี่ยวปากกาไป

ได้ในแต่ละวัน หากแต่ก็ไม่ยากเท่ากับการต้องยอมให้มารดาตอบรับ

ความช่วยเหลือจากผู้ชายสารเลวคนนั้น

“ไม่ครับ ไม่เหนื่อยเลย”

“แม่ขอโทษนะที่ทำให้ลูกต้องลำบาก”

“ไม่ครับ นี่ไม่ใช่ความผิดของแม่เลย” เพราะคนที่ผิด คนที่

ทำให้พ่อต้องตาย คนที่ทำให้ชีวิตของเขากับแม่ต้องมาเป็นแบบนี้ก็

คือศิวะ! ศิวะคนเดียวเท่านั้นที่ต้องชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เขาและ

ครอบครัว!

เด็กหนุ่มยังจดจำรอยยิ้มสะใจของศิวะได้ เขาจะไม่มีวันลืม

ความดีเคลือบยาพิษของมันเลยแม้แต่น้อย เพราะศิวะเสนอให้แม่

ของเขาแต่งงานใหม่กับตน ทว่าผู้เป็นมารดายืนยันว่าไม่ยอม ศิวะจึง

ทำได้เพียงหาตำแหน่งพนักงานบัญชีในบริษัทเฟอร์นิเจอร์ให้แม่ของ

เขาทำเท่านั้น กระนั้นเด็กชายก็รู้ว่าความหวังดีที่ศิวะมีให้เคลือบแฝง

ไปด้วยความเลวร้ายเกินจะบรรยายให้ใครฟังได้ แม้แต่มารดา เพราะ

เขาจะให้ใครรับรู้ไม่ได้หรอกว่า ในวันที่พ่อจบชีวิตลงยังมีเขาอีกคนหนึ่ง

ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น จากที่คาดคะเนแล้ว ศิวะมีอิทธิพลเกินกว่าเด็กที่

เพิ่งย่างเข้าสู่วัยรุ่นอย่างเขาจะจัดการด้วยตนเองได้

 

 

รอให้โตกว่าอีกหน่อยคงยังไม่สาย มันคงไม่สายไป ถ้าหาก

เขาจะกลับมาทวงทุกอย่างกลับคืน!

 

ห้าปีผ่านไป

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ธเดย์

แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทู...ยู”

เสียงเพลงอวยพรภาษาสากลดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ

ร่าอย่างมีความสุขในวันเกิดครบรอบสิบห้าปีของเด็กหญิงอธิษว์สิตา

พุทธาวจนะ ใบหน้าแฉล้มที่เริ่มฉายแววสวยสะพรั่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

เงยหน้าขึ้นมาจากการเป่าเทียนบนเค้กวันเกิดขนาดสิบปอนด์ ก่อนจะ

ตามมาด้วยเสียงปรบมือประสานคำอวยพรจากเพื่อนวัยเดียวกันที่มา

ร่วมงานเกือบยี่สิบคน

“พ่อขอให้ลูกสาวของพ่อมีความสุขมากๆ คิดหวังสิ่งใดก็

สมปรารถนาทุกอย่าง เป็นเด็กดีและเด็กน่ารักแบบนี้ของพ่อตลอดไป”

ศิวะกอดลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาเอาไว้แนบอก ก่อนจบคำอวยพร

ด้วยการยื่นกล่องกำมะหยี่สีแดงสดให้แก่หล่อน

“อะไรคะ” อธิษว์สิตาเอียงคอถามบิดาด้วยกิริยาอันน่ารัก

“เปิดดูสิลูก”

“หูย...สวยมากเลยค่ะคุณพ่อ สวยมากๆๆๆๆ” เด็กหญิง

ห่อปากก่อนระบายยิ้มกว้าง เมื่อเห็นว่าภายในกล่องนั้นคือสร้อยเพชร

ที่มีจี้เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษต่อกันเป็นคำว่าสิตา หรือชื่อเล่นของ

หล่อนนั่นเอง ประกายแวววาวของมันสะท้อนออกมาเป็นที่อิจฉาแก่

เพื่อนฝูงในวัยเดียวกันเหลือเกิน

“พ่อใส่ให้นะลูก” ชายกลางคนพูดจบก็หยิบสร้อยนั้นใส่ให้

กับเด็กหญิงตัวจ้อยอย่างแสนรักใคร่ยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง

“สิตารักพ่อ” ว่าแล้วจึงกางแขนโอบกอดผู้เป็นพ่ออีกครั้ง

ด้วยความรักล้นหัวใจ

 

อธิษว์สิตาเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูอุ้มชูของบิดาเพียง

คนเดียว เพราะมารดาของหล่อนเสียชีวิตในวันคลอดเด็กหญิงนั่นเองดังนั้นสำหรับสาวน้อยที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว บิดาจึงเปรียบเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ศิวะเป็นทั้งความภาคภูมิใจและความสุขของ

หล่อน และไม่ว่าจะเรื่องไหนเขาก็มักจะตามใจบุตรสาวคนนี้เสมอ ทว่า

อธิษว์สิตาก็ไม่เคยทำตัวต่อต้านหรือไม่เชื่อฟังให้ศิวะต้องไม่สบายใจ

เลยสักครั้ง ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว คำนิยามที่ว่าลูกคือแก้วตาดวงใจนั้น

ยังน้อยเกินไป เพราะนอกจากอธิษว์สิตาจะเป็นความพึงพอใจของ

พระอิศวรตามความหมายของชื่อแล้ว หล่อนยังเปรียบดั่งชีวิตและ

จิตวิญญาณของเขาอีกด้วย

ขณะเดียวกันกับที่งานเลี้ยงวันเกิดนี้ดำเนินไปอย่างรื่นเริง

มือแกร่งที่จับรั้วบ้านหลังใหญ่ในมุมที่สามารถมองเห็นงานปาร์ตี้วันเกิด

เล็กๆ ตรงสนามหน้าบ้านได้ถนัดก็กำแน่น เจ้าของร่างสูงกำลังจ้องมอง

ภาพความสุขของครอบครัวนี้อย่างคับแค้นใจ!

ในขณะที่ธัมม์กับแม่ต้องพบเจอกับความทุกข์ระทมขมขื่น

มากมาย คนที่หยิบยื่นความเลวร้ายให้ครอบครัวเขากลับเต็มไปด้วย

รอยยิ้มและความสุข เค้กวันเกิด ของขวัญ หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มนั้น

ได้จากหายไปจากชีวิตของเขาเป็นเวลาแปดปีเต็มๆ แล้ว นับจากวันที่

ต้องก้าวออกมาจากบ้านหลังนี้ด้วยความไม่เต็มใจ แม้วันนี้ทุกอย่างจะ

ดีขึ้นกว่าตอน ‘กัดก้อนเกลือกิน’ แต่ก็ใช่ว่าธัมม์จะลืมไปว่าไอ้สารเลว

คนนั้นทำอะไรกับเขาไว้บ้าง

“นายกำลังดูอะไรอยู่” คำพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสของชายวัย

ห้าสิบห้าปีเรียกให้ธัมม์หันหลังกลับไป

“ไอ้ศิวะ”

“ใคร?” อังเดร เดอชาแนล ชายสัญชาติฝรั่งเศสที่บัดนี้พ่วง

ตำแหน่งพ่อเลี้ยงของธัมม์ หรือ ธามมา เดอชาแนล ฐานะลูกชายติด

ภรรยาคนไทยถามพลางลูบคางอย่างใช้ความคิด ในขณะที่สายตาของเขาจ้องมองภาพของ ‘ศิวะ พุทธาวจนะ’ ไม่วางตา

 

วันนี้อังเดรมาเมืองไทยเพื่อติดต่อกับลูกค้ารายใหม่และนำ

เอาเฟอร์นิเจอร์รูปแบบแปลกตาจากเมืองไทยไปตกแต่งอพาร์ตเมนต์

ใหม่ในปารีส และธัมม์ก็ขอตามมาด้วย โดยให้เหตุผลว่าจะมาดูความ

เปลี่ยนแปลงของใครบางคน และใครคนนั้นก็คือศิวะ

“คนรู้จักน่ะครับ”

“มัวยืนเกาะรั่วบ้านเขาอยู่ได้ ทำไมนายไม่เข้าไปปาร์ตี้วันเกิดของแม่หนูคนนั้นล่ะ” พ่อเลี้ยงเอ่ยถาม สีหน้าครุ่นคิดถึงอาการแปลกๆ

ของคนเป็นลูกเลี้ยง

“ไม่ใช่คนรู้จักธรรมดาน่ะครับ”

“ที่แท้นายก็ลืมซื้อของขวัญมาให้แม่หนูคนนั้นใช่ไหมล่ะ”

“พ่อเธอฆ่าพ่อของผม” คำตอบที่ได้ทำเอาอังเดรมองหน้า

ธัมม์ด้วยสายตาที่แสนแปลกใจ

“งั้นพ่อของเธอก็คือคนที่นายแค้น...อย่างนั้นสินะ” ชายวัย

กลางห้าสิบพึมพำ

“ใช่ครับ คำว่าสารเลวคงน้อยไปถ้าจะใช้เรียกไอ้ศิวะ” ธัมม์

พึมพำอย่างเคียดแค้น เขาไม่คิดที่จะมีความลับใดๆ กับอังเดรเพราะ

นอกจากมารดาแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าเป็นคนที่

ไว้ใจได้และรักธีรสาด้วยใจจริง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เขาได้เห็นภาพความสุขของครอบครัว

พุทธาวจนะ ทว่าภาพเหล่านี้มันถูกสะสมอยู่ในความทรงจำหลายครั้ง

หลายคราเหลือเกิน ภาพที่ลูกสาวของคนชั่วค่อยๆ เติบโตขึ้นมาบน

กองเงินกองทองของผู้เป็นพ่อที่คดโกงเอาไปจากน้ำพักน้ำแรงของ

ครอบครัวเขา ภาพรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะที่พวกมันขโมยเอาไปจาก

เขาและแม่ตลอดกาลไม่ต่างอะไรไปจากระเบิดเวลาที่กำลังนับถอย

หลัง!

ต่อให้ต้องรอไปอีกห้าหรือสิบปีมันก็ยังไม่สาย เพราะอย่างไร

เสียเมื่อถึงเวลาเขาก็จะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน และด้วย

สองมือของเขา ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอะไร พุทธาวจนะก็ต้องฉิบหาย

 

วอดวายมากกว่าที่เขากับแม่เคยเจอ!

“นายยืนมองภาพความสุขของครอบครัวเขา ก็ไม่ได้ทำให้

อะไรดีขึ้นมาหรอกนะ ฉันว่าเรากลับปารีสกันดีกว่า ชีวิตใหม่รอนายอยู่

ที่นั่น” อังเดรบอกพร้อมกับยกมือแตะไหล่ของธัมม์อย่างให้กำลังใจ

“ครับ” ธัมม์ตอบเบาๆ ด้วยไม่อยากให้พ่อเลี้ยงไม่สบายใจ

กับความเคียดแค้นของตนเอง หากแต่ภายในใจยังไม่คลายอาการ

กระหายที่จะแก้แค้นแม้แต่นิดเดียว

“แค่นายเปิดใจรับความสุขที่ฉันหยิบยื่นให้ หัวใจของนายก็

จะเป็นสุขมากขึ้นนะธัมม์” อังเดรยิ้มอบอุ่นก่อนตบไหล่ลูกเลี้ยงเบาๆ

ขณะเดินกลับมายังรถที่เขาเช่าเอาไว้

“ขอบคุณมากครับ คุณอังเดร”

แม้มารดาจะตกลงแต่งงานกับชายฝรั่งเศสคนนี้มาเป็นเวลา

นาน เพียงพอให้ธัมม์และธีรสาได้สัญชาติฝรั่งเศสแล้ว หากแต่ชายหนุ่มก็ยังไม่คิดที่จะเรียกอังเดรว่าพ่อสักครั้ง เพียงแต่ชายผู้นี้นั้นมีภาษีดีกว่า

ศิวะมากมายนัก อังเดรคืออดีตลูกค้าเก่าของมารดา เขาเป็นทนายความ

และมีกิจการอพาร์ตเมนต์อยู่ที่ฝรั่งเศส ทำให้ต้องข้องเกี่ยวกับบริษัท

เฟอร์นิเจอร์จากไทยด้วยการเหมาซื้อเฟอร์นิเจอร์ล็อตใหญ่ไปตกแต่ง

ด้วยราคาต้นทุน ซึ่งถูกกว่าต่างประเทศและคุณภาพที่ยอดเยี่ยมไม่

น้อยหน้ากัน

อังเดรเจอธีรสาในวันที่เขามาเมืองไทยเพื่อเจรจาธุรกิจกับ

บริษัทของศิวะ ด้วยความที่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนทำให้ธีรสายอมเปิด

ปากเล่าถึงความยากลำบากที่ประสบพบเจอให้กับหุ้นส่วนเก่าฟังด้วย

ความอัดอั้นตันใจ จากนั้นอังเดรที่เคยชอบพอธีรสาอยู่ก่อนแล้วจึงไม่

ลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยแลกกับการพิสูจน์ว่าเขาดีพอที่

จะสร้างชีวิตใหม่ให้กับธีรสาและธัมม์ และแล้วชายชาวฝรั่งเศสผู้นี้จึง

เริ่มพิสูจน์ความจริงใจของตนเองนับแต่นั้นมา จนกระทั่งธีรสายอม

ใจอ่อนย้ายตามอังเดรมาอยู่ฝรั่งเศสเมื่อปีก่อน แม้จะยังไม่ยอมแต่งงานใหม่ แต่ก็มีท่าทีสดใสจนธัมม์รู้สึกได้ว่านี่คือสัญญาณแห่งความสุขของ

 

 

แม่ และเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าชีวิตของเขากำลังจะดีขึ้นจากความ

ช่วยเหลือของ อังเดร เดอชาแนล

หากแต่คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนก็คือ ศิวะ พุทธาวจนะ นั่นเอง

ฝ่ายนั้นทั้งโกรธแค้นและรู้สึกเสียหน้าที่ธีรสายอมใจอ่อนกับอังเดร หาก

แต่ไม่ยอมใจอ่อนกับเขาที่พยายามเทียวไล้เทียวขื่อหล่อนมานาน

แรมปี บีบก็แล้ว ขู่ก็แล้ว ยื่นข้อเสนอดีๆ ก็แล้ว แต่ทั้งธีรสาและธัมม์

ก็ไม่คิดสนใจจะรับเอาไว้แม้แต่น้อย และเมื่อรู้ว่าธีรสาจะย้ายไปอยู่กับ

อังเดร ความเสียหน้าและอับอายที่ต้้องกลายเป็นผู้แพ้จึงเกิดขึ้น ทำให้

หลังจากนั้นศิวะก็กลั่นแกล้งและคอยขัดขวางไม่ให้กิจการที่อังเดรคิด

จะเปิดบริษัทนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากไทยในปารีสรุ่งเรืองนับแต่นั้นมา

เป็นเหตุให้โครงการนั้นถูกพับเก็บไปในที่สุด

“ไอ้ศิวะ เราได้เจอกันอีกแน่” ธัมม์ทิ้งท้ายก่อนก้าวขึ้นรถไป

พร้อมกับอังเดรเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบินและกลับไปยังมหานครปารีส

ประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้ก็เพราะชายหนุ่มต้องกลับไป ‘เตรียมตัว’ และใน

วันที่พร้อมชายหนุ่มจะต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน

เขาจะทำให้ไอ้ศิวะรับรู้รสชาติของความสูญเสีย ความลำบาก

ความยากจน และความหิวโหย จะทำให้มันต้องไปคุ้ยขยะหาข้าวกินให้

ยิ่งกว่าที่เขาเคยประสบ ลูกมันต้องลำบากกว่าเขา ครอบครัวต้องไม่มี

ความสุข สุดท้าย...เขานี่แหละจะทำหน้าที่เหนี่ยวไกปืนส่งไอ้สารเลวนั่น

ไปลงนรกด้วยตัวเอง แต่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาจัดการ

ให้มันตายทั้งเป็นอย่างช้าๆ เสียก่อน...ไม่อย่างนั้นคงไม่สะใจ

รายละเอียด

"รอยรักหักเหลี่ยมแค้น" นำเสนอเรื่องราวของ  "ธัมม์ ศิริพรมรินทร์" ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา ดิบเถื่อน และแข็งกระด้างอย่าง จะกลับมาเมืองไทยอีกครั้งในชื่อใหม่ว่า "ธามมา เดอชาแนล" กับความแค้นที่คั่งค้างอยู่ในใจเขามานานกว่า 10 ปี มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องสะสาง !!

เมื่อบอดี้การ์ดรูปงาม ที่หลงไว้ใจกลับกลายเป็นคนที่กลับมาเพื่อล้างแค้น "อธิษว์สิตา พุทธวจนะ" แล้วเธอจะใช้รอยยิ้มอันสดใสละลายความแค้นครั้งนี้ให้ยุติลงได้หรือไม่ ? หรือเสือยิ้มยากอย่าง "ธัมม์ ศิริพรมรินทร์" นั่นแหละที่จะต้องกลายเป็นเหยื่อ ต้องอยู่ดูแลและปกป้องเธอตลอดไปกันแน่ !! แล้วเรื่องราวจะดำเนินต่อไป และมีบทสรุปอย่างไร !? ขอเชิญคุณผู้อ่านมาติดตามร่วมกันในนิยาย "รอยรักหักเหลี่ยมแค้น" เล่มนี้

เขียนโดย "ตะวันทอแสง"

 

352 หน้า


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (94 รายการ)

www.batorastore.com © 2024