ปฏิเสธรัก (ลัลน์ชนา)

ปฏิเสธรัก (ลัลน์ชนา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715414
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 277.00 บาท 69.25 บาท
ประหยัด: 207.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

ยี่สิบปีที่แล้ว...

ใบหน้ารีเล็กในกรอบผมม้ากับตาแป๋วๆ ทำให้เด็กชายอายุ

หกขวบอดไม่ได้ที่จะบีบแก้มใสนั้นเล่น และก็แปลกที่แรงบีบเบาๆ

ไม่ได้ทำให้เด็กหญิงร้องหรือชอบใจ ตากลมโตเพียงแต่กะพริบปริบๆ

และจ้องเป๋งเท่านั้น เด็กชายเอียงคอมองซ้ำแล้วคิด

‘น้องคนนี้ท่าทางประหลาดแฮะ!’

“กาย เอามือออก” เด็กชายคนโตดุเสียงเรียบเมื่อเห็นว่า

น้องชายยังคงมุ่งมั่นที่จะแกล้งให้เด็กหญิงตัวเล็กตรงหน้าร้องไห้ให้

จงได้ และเด็กแก้มใสก็ช่างกระไร จะร้องไห้โวยวายก็ไม่มี เอาแต่นั่งมอง

คนนั้นทีคนนี้ทีอย่างกับตุ๊กตาไขลาน

“อย่าเสียงดังสิพี่แมน เดี๋ยวแม่ได้ยิน แล้วพี่เห็นไหม หยิกก็

ไม่ร้อง กายว่านะ น้องต้องเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่คนจริงๆ หรอก” คำบอก

ของน้องชายที่อายุห่างกันสามปีทำให้คนเป็นพี่จ้องคนที่ถูกสันนิษฐาน

ว่าเป็นหุ่นยนต์เขม็ง

“แตะดูสิ ตัวนิ้มนิ่ม เหมือนคนทุกอย่างเลย แต่พูดไม่ได้

สงสัยคุณน้าลืมใส่โปรแกรมพูด”

คำเพ้อของน้องชายผู้คลั่งหุ่นยนต์ทำให้เด็กชายคนพี่ส่ายหน้า

อย่างเอือมระอา สุดท้ายเพื่อตัดปัญหา เด็กชายแมนจึงยื่นมือออกไป

สัมผัสแก้มใสบ้าง น่าแปลกที่ผิวเนื้อนุ่มมือนั้นแม้จะไม่ต่างกับตนเอง

และน้องชายนัก หากแต่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลมากกว่าและดวงตากลมโต

ก็เหมือนบ่อน้ำใสแจ๋วที่ทำให้อยากรู้ว่าในนั้นมีอะไร

“หุ่นยนต์ใช่ไหมล่ะ บอกแล้วว่าไม่ใช่คนหรอก”

เสียงเด็กชายกายกระตุ้นมาอีกครั้งทำให้เด็กชายคนพี่เก็บมือ

ตัวเองไว้ข้างตัวอย่างแสนเสียดาย แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ มากกว่า

ตีหน้าขรึมและบอกกับน้องชายอย่างเป็นงานเป็นการ

“น้องเป็นคนและไม่ต้องพิสูจน์อะไรน้องอีกแล้ว ไม่งั้นพี่จะ

บอกแม่ว่ากายแอบเอาหุ่นยนต์ตัวใหม่ไปใส่ไวใต้รถอาป้า”

แม้ตลอดมาพี่ชายผู้เงียบขรึมจะไม่เคยฟ้องเรื่องซุกซนของ

ตนให้พ่อกับแม่รู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตลอดชีวิตนี้พี่จะไม่ฟ้อง

พอคิดได้ดังนั้นเด็กชายกายจึงมองเด็กหญิงแก้มใสอย่างหมายมาด

ก่อนจะหันหลังให้แล้วกอดอกฉับเพื่อบอก

“เหอะ! ไม่ยุ่งกับหุ่นยนต์เด็กผู้หญิงนี่ก็ได้ แต่ไม่ใช่เพราะ

กลัวหรอกนะ หุ่นยนต์ที่อาป้าซื้อให้น่ะมันหุ่นยนต์ติด ตามตัวมีไว้สำหรับ

งานข่าวกรองอยู่แล้ว จะติดใต้รถหรือในห้องน้ำก็ไม่แปลกหรอก”

เด็กชายกายโอ้อวดแล้วเดินห่างออกไป ตั้งใจว่าถ้าพี่ชาย

เผลอเมื่อไรจะจับหนอนมาโยนใส่น้องผู้หญิง ถ้าเห็นหนอนแล้วร้อง

กรี๊ดก็แสดงว่าเป็นคน แต่ถ้ายังคงนั่งมองเฉยๆ ละก็...หุ่นยนต์ชัวร์

บทสนทนาที่มีตัวเองเกี่ยวข้องอยู่ไม่ทำให้เด็กหญิงรับรู้และ

สนใจเท่ากลิ่นหอมหวานที่ลอยมาปะทะจมูก กลิ่นหอมจัด หวานจัดนั้น

ถ้าเด็กหญิงเดาไม่ผิด มันมาจากพี่ชายคนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆ

“หอม” เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นทำให้เจ้าน้องชายหยุดพูดและ

หันมองด้วยความสนใจ และนั่นก็ทำให้คนพี่ซึ่งทีแรกไม่ได้ตั้งใจฟังต้อง

หันมองตามด้วย

“อะไรนะ” เด็กชายกายถาม และเมื่อตาแป๋วๆ ยังคงมองนิ่ง

เด็กชายใจร้อนก็จับบ่าเล็กเขย่า เผื่อว่าหุ่นยนต์ตรงหน้าถ่านใกล้หมด!

“กาย” พี่ชายดุและผลักมือออกซึ่งการขยับเพียงเล็กน้อยก็

เพียงพอให้เด็กหญิงตัวเล็กได้กลิ่นอีกครั้ง

“วานิลลา” คราวนี้สองพี่น้องได้ยินชัด โดยเฉพาะพี่ชายคนโต

ที่ถูกน้องน้อยขยับตัวนั่งเกยตัก ท่าทางร่อนจมูกเล็กหากลิ่นนั้นน่ารัก

นัก เด็กชายแมนจึงนั่งเฉยๆ ดูว่ายายตัวเล็กจะทำอะไรต่อ

“หอมๆ” พูดซ้ำพลางทำจมูกฟุดฟิดใกล้ริมฝีปากของพี่ชาย

ก่อนใช้ปลายนิ้วเล็กจิ้มที่ริมฝีปากแล้วบอก “วานิลลา”

คำพูดซ้ำๆ ของน้องน้อยเพิ่งทำให้คนเป็นพี่เข้าใจ นาทีต่อมา

มือที่ใหญ่กว่าจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบบางอย่างส่งให้

“กินไหม ลูกอมวานิลลา” ถามแล้วก็ยื่นเข้าไปใกล้อีกนิด แต่

น้องน้อยก็เอาแต่กะพริบตาปริบๆ ไม่ตอบ จนคนที่เป็นฝ่ายจับตามอง

โดยตลอดต้องกระซิบบอกกับพี่ชายว่า

“พี่แมน ผมว่านะ...หุ่นยนต์แกะซองลูกอมไม่เป็นหรอก”

คุณหยกเอื้อมมือสะกิดเพื่อนรักซึ่งเป็นมารดาของหนูน้อย

ก่อน และต่อจากนั้นทั้งสองสาวก็ต่างชี้ชวนสามีของตนให้หันมองภาพ

น่ารักของเด็กหญิงชายอีกฟากหนึ่งของบ้านตามบ้าง ท่าทางสนิทสนม

กลมเกลียวที่น้องผู้หญิงขึ้นไปนั่ง อยู่บนตักของพี่ชายคนโตโดยมีพี่ชาย

คนเล็กแกะลูกอมแล้วยื่นไปให้ทำให้ผู้ใหญ่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข

โดยเฉพาะสองสาวที่สนิทสนมกันตั้งแต่สมัยมัธยมต้น

หยกมณีหรือคุณหยกยิ้มจนตาเรียวรีนั้นเกือบปิดเมื่อหันไป

บอกกับสามีว่า “เห็นอย่างนี้แล้วหยกอยากมีลูกสาวจัง แต่เสียดาย

ตัดสินใจทำหมันไปแล้ว”

 “แก้หมันก็ได้นี่หยก คนที่เคยไปทำมาบอกว่าเจ็บนิดเดียว

และแผลก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร” จินตนาบอกกับเพื่อนก่อนจะอมยิ้ม

เมื่อสามีหนุ่มของเพื่อนสาวรีบสนับสนุนว่า

“ผมเห็นด้วยกับคุณจินนะหยก เราไปปรึกษาหมอเพื่อแก้

หมันก็ได้ ผมยินดีให้ความร่วมมือกับคุณทุกเรื่อง โดยเฉพาะขั้นตอน

ทำลูก” ตาพราวระยับของหนุ่มตี๋ทำให้ใบหน้าขาวหมวยของหยกมณี

แดงจัดและมือก็ฟาดลงบนต้นแขนสามีที่ทะเล้นไม่รู้จักเวลา

“พูดเล่นได้ทุกเรื่องสิอาปาเนี่ย หยกกำลังจะบอกว่าหยกมี

วิธีดีกว่าไปแก้หมันแล้วต่างหาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่นพกับจินจะยอม

ยกลูกสาวให้เราหรือเปล่าเท่านั้น” เสียงใสของคุณนายโรงงานอาหาร

ทำให้นายพันหนุ่มใหญ่มองหน้ากับภรรยาสาวอย่างงงๆ และเพียงครู่

หยกมณีก็โพล่งว่า “จิน พี่นพ...หยกขอหมั้นน้องต้อยติ๊ดริดให้นายแมน

นะ”

นายพันหนุ่มสบตาภรรยาก่อนจะมองไปยังร่างเล็กของบุตรี

ที่ตอนนี้ตกลงรับคำขอหมั้นด้วยการหอมแก้มพี่ชายเป็นที่เรียบร้อย

จากภาพที่เห็น เด็กชายแมนซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเข้มขรึมและไม่ชอบ

สุงสิงกับใครก็ไม่ได้ดุหรือว่าอะไรน้อง เพียงแต่ทำหน้ามุ่ยและใช้มือ เช็ด

คราบน้ำลายออกเท่านั้น

“พูดเล่นก็พอได้นะหยก แต่อย่านับเป็นจริงจังเลย การ

คลุมถุงชนโบราณเกินไปสำหรับคนสมัยนี้ และเจ้าติ๊ดริดของพี่ก็

ไม่เหมือนเด็กคนอื่น ประเดี๋ยวนายแมนโตขึ้น รู้เรื่องเข้าจะหาว่าผู้ใหญ่

โอนภาระไปให้ ของแบบนี้มันไม่ได้รักษาหายได้ง่ายๆ เหมือนไข้หวัด

นะหยก เพราะเมื่อเป็นแล้ว เขาจะเป็นไปชั่วชีวิต เพียงแต่พวกเราจะ

ช่วยดูแลเขาอย่างไรให้อยู่ในสังคมนี้ได้เหมือนคนอื่นๆ” แม้ใบหน้า

ผู้พูดจะเจือด้วยรอยยิ้มแต่การเอ่ยถึงลูกสาวผู้ ‘พิเศษ’ นั้นจริงจังเสมอ

ชนินทร์สบตากับหยกมณีอย่างเข้าใจในกันและกัน เขากับ

หยกมณีเป็นหนี้บุญคุณของสองสามีภรรยานี้มากเหลือเกิน ทั้งเรื่อง

ช่วยไถ่ถอนที่ดินคืนให้และร่วมทุนก่อตั้งโรงงานผลิตอาหารแปรรูป

ไม่นับสายโซ่ทางธุรกิจอีกมากมายที่คนเป็นนายพันสานให้จนถึงทุกวันนี้

และแม้ตอนนี้ครอบครัวเขาจะตั้งตัวได้แล้ว จินตนากับนายพันนพพล

ก็ไม่เคยยอมรับของตอบแทนใดๆ กลับนอกจากเงินปันผลของบริษัท

ในความเห็นของชนินทร์และหยกมณีแล้ว บุญคุณของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่

คนรุ่นลูกจึงควรรับภาระไว้อย่างเต็มใจ

ระหว่างการชั่งใจนั้นเอง ชนินทร์กับหยกมณีก็พบว่าไม่มีอะไร

ต้องห่วงกังวลอีกต่อไป ภาพเด็กชายแมนมองน้องบนตักนิ่งนานก่อน

ค่อยๆ จรดปลายจมูกลงบนพวงแก้มใสทำให้คนเป็นพ่อตัดสินใจได้

ง่ายขึ้น เสียงหนักแน่นสำทับคำภรรยาอีกครั้งอย่างมั่นใจ และเต็มใจ

ดูแลว่าที่สะใภ้ที่ทั้งสองคนได้เลือกแล้ว

“พวกเรายืนยันครับพี่นพ เราขอหมั้นหนูต้อยติ๊ดริดให้กับ

แมน”

 

1

ต้อยติ๊ดริดหรือดอกเตอร์ตนิษฐา อินทรอาสา อายุยี่สิบสาม

ในปีนี้ เธอเรียนจบชั้นมัธยมปลายตั้งแต่ตอนอายุสิบหกและเรียนจบ

ปริญญาตรีเมื่ออายุสิบเก้า จากนั้นเธอก็ต่อปริญญาโทควบปริญญาเอก

ก่อนกลับมาเริ่มทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และคิดค้น

สูตรการผลิตกลิ่นรสให้กับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายหัวเชื้อทางอาหาร

รายใหญ่ประจำประเทศไทย ถึงจะมีชีวิตแบบก้าวกระโดดจากวัยเด็ก

และวัยรุ่นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ใช่ว่าต้อยติ๊ดริดจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวนัก

เธอยังคงชอบอ่านการ์ตูน สะสมตุ๊กตา และมักจะเผลอพูดคนเดียว

บ่อยๆ ว่ากันว่าอัจฉริยะกับออทิสติกห่างกันแค่เส้นบางๆ กั้น อาจจะ

โชคดีที่ต้อยติ๊ดริดยืนอยู่ฝั่งอัจฉริยะ แต่เธอก็รู้ตัวเองดีว่าขาข้างขวา

ของเธอชอบล้ำเส้นไปอีกฝั่งเสมอ และเพราะรู้ว่าตัวเองแปลกเพียงใด

ชีวิตนี้ต้อยติ๊ดริดจึงไม่หวังให้ใครมาเข้าใจเธอนัก

โลกของต้อยติ๊ดริดเป็นโลกแคบๆ ที่มีคนคุ้นเคยสนิทสนม

เพียงไม่กี่คน อันดับหนึ่งในนั้น คือคุณจอมใจผู้เป็นผู้ปกครองหนึ่งเดียว

ที่หญิงสาวมีอยู่ คุณนายจอมใจสาวใหญ่เจ้าของตลาดและร้านไอศกรีม

เปรมปรีดารับต้อยติ๊ดริดมาอุปการะเมื่อสิบห้าปีก่อน หลังจากอุบัติเหตุ

เพลิงไหม้คลังสินค้าและลามขึ้นมาที่บ้านพักของครอบครัว เหตุการณ์

ในวันนั้นทำให้พ่อของต้อยติ๊ดริดเสียชีวิตจากการพยายามช่วยเธอและ

แม่ ส่วนแม่ที่เป็นเจ้าหญิงนิทราเพราะขาดอากาศหายใจเป็นเวลานาน

ก็เสียชีวิตตามในปีถัดมา แม้ตระกูลอินทรอาสาจะเป็นเชื้อสายผู้ดีเก่า

แต่ขณะนั้นทั้งป้าและอาหลายคนตกยากจึงไม่มีความพร้อมพอที่จะ

เลี้ยงดูเธอได้ ต้อยติ๊ดริดในวัยแปดปีจึงถูกส่งให้กับตระกูลพรหมสวัสดิ์

ซึ่งเป็นครอบครัวทางฝั่งมารดาดูแล

คุณจอมใจเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ของต้อยติ๊ดริด โดยพ่อ

ของคุณจอมใจคือพี่ชายของยายของต้อยติ๊ดริด แม้บุคลิกและน้ำเสียง

ของคุณจอมใจจะโผงผางเสียงดัง แต่จริงๆ แล้วใจดีมาก คุณจอมใจ

รักและเอ็นดูต้อยติ๊ดริดเหมือนเป็นลูกแท้ๆ เพราะตัวท่านเองมีลูกสาว

แต่ว่าถูกสามีพรากไป ดังนั้นเมื่อได้เลี้ยงหลานจึงคิดว่าต้อยติ๊ดริดเป็น

ตัวแทนของลูกสาว ยิ่งเมื่อต้อยติ๊ดริดมีความเป็นอัจฉริยะที่แฝงมากับ

อาการเด็กพิเศษอ่อนๆ คุณจอมใจจึงยิ่งรักและเป็นห่วงเธอมากขึ้น

ทวีคูณ ทางใดที่จะสามารถปูรอให้ต้อยติ๊ดริดเดินหรือคัดสรรไว้เพื่อ

ให้เธอก้าวไปอย่างเรียบร้อยได้ คุณจอมใจจึงมักตระเตรียมและจัดวาง

ไว้รอเธอเสมอรวมทั้งเรื่องคู่ครองด้วย

ต้อยติ๊ดริดกวาดตามองภาพขนาดสี่คูณหกนิ้วปึกใหญ่บน

โต๊ะกลมตรงหน้าแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว หากแต่ความคิดจะหลีกเลี่ยง

ก็หมดลงเมื่อสบแววตาบังคับของผู้เป็นป้า มือบางจำต้องหยิบภาพ

เหล่านั้นมามองอย่างไม่เต็มใจนัก ถึงจะรู้เท่าทันว่าคุณจอมใจคิดอ่าน

ประการใดอยู่แต่เธอก็จนปัญญาจะเอาตัวรอดได้ ต้อยติ๊ดริดเปิดภาพ

เพื่อพิจารณาจนครบแล้วก็รวบส่งคืนให้ด้วยรอยยิ้มเฝื่อน

“ดูครบแล้วคิดยังไง ถูกชะตาคนไหนบ้าง” คุณจอมใจถาม

ด้วยความสนใจ ลอบสังเกตใบหน้าอ่อนเยาว์ของหลานแล้วก็รู้คำตอบ

ได้เองในที่สุด แต่ถึงจะรู้คำตอบดี แต่มันก็ไม่เหมือนการฟังคำตอบ

เพราะมันหมายถึงการยอมรับหรือยอมจำนนของอีกฝ่ายนั่นเอง

ต้อยติ๊ดริดคิดแล้วว่ามันต้องเป็นรูปแบบนี้ ตั้งแต่กลับจาก

ญี่ปุ่นป้าจอมใจสอบถามเธออยู่หลายครั้งว่าคบหากับใครบ้างไหม

แรกๆ ต้อยติ๊ดริดก็เข้าใจว่าท่านกลัวเธอมีแฟนเป็นชาวต่างชาติจึงรีบ

สาธยายว่านอกจากฆนนาทและเพื่อนชายที่ป้าจอมใจคุ้นเคยอีกสองคน

แล้ว เธอไม่ได้ให้ความสนิทสนมกับใครอีก ถ้ารู้เสียหน่อยว่าท่านถาม

เพราะตั้งใจจะจับคู่เธอกับใครสักคน จะยอมอุปโลกน์ศาสตราจารย์

ในคณะมาเป็นแฟนเก๊ๆ ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ในเมื่อบอกความจริงไปแล้ว

และเธอก็ไม่อยากทำลายน้ำใจของคุณจอมใจ ต้อยติ๊ดริดจึงตอบเลี่ยงๆ

“รูปร่างหน้าตาดีกันทุกคนเลยนะคะ แต่ติ๊ดริดว่า...พวกเขา

เต๊ะท่ากันแปลกๆ ให้ความรู้สึกเหมือนดูรูปในนิตยสารมากกว่าดูคน

จริงๆ ยังไงไม่รู้ค่ะ” ต้อยติ๊ดริดคาดหวังว่าการวิจารณ์ของเธอจะทำให้

คุณจอมใจท้อใจที่เหล่าชายหนุ่มรูปงามไม่อยู่ในมาตรฐานของเธอ

สักคน เฮ้อ! แต่ถ้าเธอสมหวังง่ายๆ คนคนนั้นก็ไม่ใช่ป้าจอมของเธอ

น่ะสิ คุณจอมใจตบเข่าฉาดทันทีที่เธอปฏิเสธภาพผู้ชายปึกใหญ่และ

ยังหัวเราะถูกอกถูกใจ ชมเปาะไม่ขาดปากว่าเธอฉลาดไปทุกเรื่อง

“ป้าลองใจแกน่ะ ไอ้ผู้ชายในภาพน่ะดารานายแบบทั้งนั้น

หล่อแต่รูปจูบไม่ได้ เพราะถึงแกบอกว่าชอบ ป้าก็ไม่รู้จะหามาให้แก

ได้ยังไง เอ้านี่...ของจริงอยู่นี่ เลือกดูสิ ถูกใจคนไหน” บอกพร้อมส่ง

ภาพให้สามสี่ใบ ต้อยติ๊ดริดมองรอยยิ้มร่าของคนเป็นป้าแล้วก็ได้แต่

ลอบถอนใจ

‘ต้องเอาชนะให้ได้ทุกเรื่องนะคะคุณป้าจอมบงการ’

ภาพชุดที่สองถูกพิจารณาอยู่ราวห้านาทีต้อยติ๊ดริดก็เงยหน้า

ปฏิเสธด้วยข้อหาว่า “หน้าตาพอดูได้กันทุกคนนะคะ แต่...” พูดอ้ำอึ้ง

ก่อนตัดสินใจยกตัวอย่างรายตัว “คนแรกนี่ประโคมใส่ทั้งสร้อยคอ

นาฬิกา สร้อยข้อมือยิ่งกว่าผู้หญิง ดูท่าจะไม่เคยอ่านข่าวอาชญากรรม

ฆ่าหั่นศพเพื่อชิงทรัพย์นะคะ ส่วนคนนี้ดั้งจมูกและลักยิ้มดูเบี้ยวๆ ติ๊ดริด

ไม่แน่ใจว่าเขาผ่าหรือเสริมซิลิโคนมาหรือเปล่า ส่วนคนนี้”

ต้อยติ๊ดริดไม่ทันได้วิจารณ์ชายหนุ่มเบอร์สาม คุณจอมใจก็

หัวเราะหึๆ แล้วดันรูปตรงหน้าออกทั้งหมดก่อนจะวางใบสุดท้ายลง

“คนไหนๆ ก็ไม่ถูกใจสินะ แล้วคนนี้ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง”

คนนี้น่ะหรือ...ต้อยติ๊ดริดมองภาพครึ่งตัวเห็นเพียงใบหน้า

ด้านข้างแล้วสันนิษฐานว่าเจ้าตัวไม่รู้หรอกว่าถูกถ่าย และคนถ่ายก็น่าจะ

เป็นคนคุ้นเคยกันนี่แหละ เพราะคนแบบนี้น่ะหรือจะยอมยิ้มกับคนอื่น

ง่ายๆ

ใช่...เธอรู้จักผู้ชายในรูปดี เขาชื่อ ฆนัตว์ เมฆาสวรรค์ อายุ

ย่างสามสิบปี เป็นลูกชายคนโตของเจ้าสัวชนินทร์และคุณนายหยกมณี

มีน้องชายชื่อฆนนาท ซึ่งฆนนาทก็คือเพื่อนสนิทของเธอเอง

เมื่อไม่มีการตอบรับนอกจากมองนิ่งนาน คุณจอมใจก็ยก

ริมฝีปากขึ้นและถามย้ำ “ว่าไง คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ชอบไหม”

ชอบไหมน่ะหรือ เธอนี่นะมีสิทธิ์ตอบคำถามนี้ ไม่หรอก เธอ

ไม่อยู่ในฐานะจะตอบเรื่องนี้ได้ ยังจำได้แม่นเชียวละว่าครั้งสุดท้ายที่

พบกัน ดวงตาคู่นั้นทั้งคมดุและกร้าวกระด้างอย่างไม่มีไมตรีจิต ยิ่ง

เมื่อรวมกับริมฝีปากบางเฉียบที่บิดขึ้นแล้วเอ่ยย้ำคำสั่ง นับจากนั้น...

ต้อยติ๊ดริดก็คิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์รู้สึกใดๆ ต่อเขาอีก

ต้อยติ๊ดริดมองคนในภาพและคิดอะไรไปเรื่อยโดยไม่ได้ตอบ

ซึ่งการไม่ตอบและมองภาพเฉยก็ทำให้ผู้เป็นป้ามั่นใจในการตัดสินใจ

ของตัวเองมากขึ้น “ก่อนหน้าจะคุยกับแก ป้าก็คุยกับทั้งชนินทร์และ

หยกมณีมาหลายครั้ง และป้าเองก็ยืนยันกับทั้งคู่ว่าอยากให้โอกาสแก

ได้เลือกบ้าง ซึ่งก็อย่างที่เห็น แกไม่ได้พิจารณาหรือใส่ใจโอกาสที่ป้า

หยิบยกให้เลย ใจแกเลือกทางนี้มาโดยตลอด”

‘หือ! ติ๊ดริดยังไม่ได้เลือก’ ต้อยติ๊ดริดส่ายหน้าเร็วๆ ด้วย

สมองกลั่นคำพูดออกมาไม่ทัน แต่จากการอยู่ด้วยกันมานาน เธอเชื่อ

ว่าคุณจอมใจเข้าใจการสื่อสารโดยไร้เสียงของเธอได้ดี แต่ก็นั่นแหละ

ถึงจะเข้าใจแต่คุณจอมใจก็ยังยึดถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่เสมอ

 “เดือนหน้าป้าจะให้แกเข้าพิธีหมั้น และอีกสักปีค่อยแต่งแล้ว

กันนะ ทางนั้นเขาสามสิบแล้วก็จริง แต่แกเพิ่งยี่สิบสาม ไม่ต้องรีบร้อน

กันนักก็ได้” พูดเองเออเองแล้วคุณจอมใจก็นับนิ้วตัวเองแล้วบอกเพิ่ม

“นี่แน่ะ...ถ้านับตามเวลาที่แม่หยกเขาบอก จริงๆ แล้วแกกับ

นายแมนก็หมั้นกันมายี่สิบปีแล้วนะ หยกเล่าว่ากำไลที่แกสวมอยู่นั่นละ

คือของหมั้นที่เขาให้ไว้”

ต้อยติ๊ดริดก้มมองกำไลหยกสีเขียวเข้มที่คุณหยกมณีให้เธอ

ใส่เมื่อหกปีก่อนอย่างเคืองมันเล็กน้อย เกิดมาเป็นกำไลแท้ๆ แต่ริอ่าน

จะเป็นโซ่ตรวน มันเสียชาติเกิดรู้ไหม และเพราะมัวมองค้อนกำไลนี่ละ

เลยไม่ได้ปฏิเสธออกไปเสียที

“จะว่าไป ยี่สิบปีมันก็นานพอดูเลยนะ หรือจะไม่ต้องศึกษา

ดูใจกันแล้ว แต่งๆ กันไปเลยดีกว่ามั้ง เห็นแม่หยกเขาว่าดวงแกกับ

นายแมนเกื้อหนุนกันมาก จะแต่งฤกษ์ไหนก็ไม่มีปัญหา”

ต้อยติ๊ดริดต้องพยายามระงับความรู้สึกพลุ่งพล่านในอกไว้

เพื่อให้คำพูดไหลออกจากปากชัดเจนที่สุด “ติ๊ดริดขอไม่หมั้นค่ะ” บอก

แล้วก็ปั้นหน้าขึงขังตั้งใจว่าถ้าจะต้องเถียงหรือขัดใจคุณจอมใจบ้าง เธอ

ก็จะลองทำในวันนี้

ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันครู่ใหญ่ก่อนฝ่ายสูงวัยกว่าจะพยักหน้า

ยอมรับ คุณจอมใจขยับแว่นสีชาของท่านนิดๆ แล้วบอกเด็ดขาด

“ได้ ตัดพิธีหมั้นเหลือแต่พิธีแต่ง แต่งเช้าฉลองค่ำ ประหยัด

ทั้งงบประมาณและเวลา” คำตอบรับง่ายๆ ของผู้เป็นป้าเกือบทำให้

ต้อยติ๊ดริดร่วงตกเก้าอี้ เธออยากจะร้องกรี๊ดๆ ย่ำเท้ากับที่แล้วงอแง

ร้อง ‘ไม่เอาๆ’ นักแต่เพราะไม่เคยทำจึงทำได้แค่ส่ายหน้ารัวเร็วเท่านั้น

“ป้าจอม...ติ๊ดริดยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กอยู่เลย ไม่พร้อมจะ

ดูแลใครหรอกค่ะ” ต้อยติ๊ดริดพยายามทำเสียงอ่อนออดอ้อนผู้เป็นป้า

อีกนิดเผื่อว่าท่านจะเห็นใจแต่ก็ไม่สำเร็จ คุณจอมใจเอนหลังพิงเก้าอี้

บุนวมหนาแล้วกอดอกนิ่ง

“ทีเวลาขอไปทำงานไกลๆ ไม่เห็นพูดอย่างนี้นี่ มีแต่จะบอก

ป้าว่าเราโตแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้” คุณจอมใจเอาคำพูดของเธอ

เมื่อตอนขอไปประชุมที่สิงคโปร์เมื่อเดือนก่อนมาค้านทำเอาต้อยติ๊ดริด

ต้องเลี่ยงประเด็นใหม่

“แต่ติ๊ดริดยังไม่เคยมีแฟน ไม่เคยรักใครเลยนะคะ ติ๊ดริด

ไม่อยากแต่งงานโดยไม่รู้จักความรัก ป้าจอมให้โอกาสติ๊ดริดได้ลอง

คบหากับใครสักคนก่อนไม่ได้หรือคะ” บอกพร้อมกับยืดอกนิดๆ รู้สึก

เหมือนกับตัวเองเป็นนางเอกละครหลังข่าวขึ้นมาตงิดๆ การเป็นคนมี

อุดมการณ์เรื่องความรักมันก็เท่อย่างนี้แหละ

“อย่างแกน่ะหรือจะหาแฟน ขนาดป้าลองใจแกด้วยภาพ

ผู้ชายหน้าตาดีสารพัดแบบ แกยังไม่สนใจจะมองเลย ไหนจะงานของ

แกที่วันๆ ก็ขลุกอยู่แต่ในห้องแล็บ ทำงานวิจัย เขียนหนังสือแล้วก็

เข้าโรงงานผลิตไอ้สารพัดกลิ่นออกมา อ้อ! แล้วอย่าคิดไปเอาเจ้าอิฐ

เจ้าปูนมาหลอกป้าให้ยาก เพราะถ้าหากแกคิดจะรักใครสักคนจริงๆ

ไอ้สองคนนั้นจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายบนโลกนี้”

ต้อยติ๊ดริดหลับตาลงเมื่อคนที่ท่านพูดถึงคือสองหนุ่มฝาแฝด

เพื่อนสนิทของเธอที่กำลังจะยกมาอ้างพอดี

‘ผิดค่ะป้า สองคนนั้นไม่มีทางเข้ามาอยู่ในตัวเลือกต่างหาก!’

ต้อยติ๊ดริดฟังป้าเทศนาแล้วก็เริ่มคอตก เธออธิบายไม่ชนะ

ตามเคย คุณจอมใจรู้จักเธอดี ทุกอย่างและมันก็จริง อย่างที่ท่านว่า ความ

สนใจของเธออยู่ในระดับโมเลกุลเท่านั้น ต้อยติ๊ดริดมีความสุขกับการ

ทำแล็บ วิเคราะห์ วิจัย ทดลองผลิตหัวเชื้อทางอาหารและรสชาติใหม่ๆ

จนไม่เหลือสายตามองใครที่ไหน ผู้ชายร้อยพันที่รู้จักและเดินสวนทาง

ไม่เคยทำให้ประทับใจจนต้องเก็บมาคิดถึง วงโคจรของชีวิตเธอมีแต่

การศึกษา งานวิจัยและบ้าน อาจมีครั้งหรือสองครั้งที่เคยคิดถึงความรัก

แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเฝ้ากังวลถึงสิ่งที่ยังห่างไกล

“ต้อยติ๊ดริดเอ๋ย...” ต้อยติ๊ดริดเงยหน้ามองผู้เป็นป้าอย่าง

รู้ทัน ถ้าได้เรียกขานเต็มชื่อและลากเสียงยาวอย่างนี้ละก็ คุณจอมใจ

กำลังเข้าโหมดดราม่าแน่ๆ “ป้าเข้าใจว่าเรายังอายุน้อยและคนสมัยนี้ก็

ไม่นิยมแต่งงานเร็ว แต่ติ๊ดริดก็รู้ว่าป้าแก่แล้วและก็ไม่ได้แข็งแรงนัก

จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้”

ประโยคหลังของผู้เป็นป้าทำให้ต้อยติ๊ดริดคิดค้านในใจ

‘ถ้าคนที่เดินเร็วได้สามกิโลเมตรต่อเนื่องทุกวันถือว่าเป็น

คนไม่แข็งแรง โลกนี้จะเหลือคนแข็งแรงสักกี่คนกันหนอ’ แต่ประโยค

ต่อไปกลับทำให้เธอปฏิเสธไม่ออก

“อย่างน้อยก่อนตายป้าก็อยากให้แกเป็นฝั่งเป็นฝา ให้ป้าได้

สบายใจว่ามีคนดูแลแกและเข้าใจสิ่งที่แกเป็นแล้ว”

คำว่า ‘เข้าใจในสิ่งที่แกเป็น’ ของผู้เป็นป้าทำให้ต้อยติ๊ดริด

รู้ตัวว่าอุปนิสัย ‘พิเศษ’ ของเธอเป็นเรื่องที่คุณจอมใจยังคงกังวลและ

คงไม่คลายใจง่ายๆ จนกว่าเธอจะดูแลตัวเองได้ดีกว่านี้

“แมนคือคนที่ป้า ชนินทร์ และหยกมณีมั่นใจว่าจะดูแลแกได้

ส่วนจะรักหรือไม่รักนั้น แต่งไปแล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้กันก็ไม่สาย แมน

เขารูปงาม นิสัยใจคอเขาก็ดี ป้าเชื่อว่าแกไม่ถึงกับต้องทำใจให้รักเขา

หรอก” ต้อยติ๊ดริดเบ้หน้าออกยามนึกถึงคนคนนั้น หน้าตาดี...ก็ได้

ยอมรับ ส่วนนิสัยดี...ก็คงพอได้ละ ถ้าดีของป้าจอมหมายถึง...ไม่พูด

มาก

 

ถึงป้าจอมจะมีเหตุผลที่ดีรองรับแต่ต้อยติ๊ดริดก็ยังไม่คิดว่า

มันเป็นทางที่ดีที่สุดของเธออยู่ดี คิดแล้วจึงเสนอชื่อของใครอีกคนที่

เธอสบายใจที่จะอยู่ด้วยมากกว่า

“เปลี่ยนจากเขา...เป็นกายไม่ได้หรือคะ” ต้อยติ๊ดริดหมายถึง

ฆนนาทน้องชายของฆนัตว์ซึ่งอายุมากกว่าเธอสามปี ทั้งสองสนิทสนม

กันเพราะไปเรียนต่อต่างประเทศมาด้วยกัน และเพื่อนสนิทของกายคือ

อิฐ แฝดผู้พี่ของนายปูน เพื่อนสนิทของเธอ จริงอยู่ว่าต้อยติ๊ดริดไม่เคย

คิดกับฆนนาทเป็นอื่นนอกจากพี่และเพื่อน แต่หากต้องให้อยู่กับคนใด

คนหนึ่งในสองคนนี้...ฆนนาทก็เป็นตัวเลือกที่ทำให้เธอสบายใจกว่า

เห็นๆ

คุณจอมใจคิดตามเพียงนิดก่อนส่ายหน้า มือขาวที่มีริ้วรอย

เหี่ยวย่นตามกาลเวลาของท่านยกขึ้นลูบศีรษะของเธอแผ่วเบายามบอก

“คู่ครองไม่ใช่แค่คนที่จะทำให้เราหัวเราะได้เท่านั้น แต่ต้อง

เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกไว้วางใจ อบอุ่น ปลอดภัยที่อยู่ด้วย และบางครั้ง

เขาก็ต้องเป็นหลักให้เรายึดเหนี่ยวได้ ป้าว่าถ้าแกแต่งงานกับนายกาย

ลูกออกมาคงเป็นหนุมานหรือไม่ก็เห้งเจียละมั้ง”

ต้อยติ๊ดริดคิดตามแล้วก็หัวเราะ คงจะจริง...เธอกับกาย แค่

คิดก็ฮาไม่ไหวแล้ว

‘คู่หมั้น’ คำคำนี้คงฟังแล้วอ่อนหวานโรแมนติกอยู่หรอก

ถ้าหากไม่ใช่เธอกับเขา ต้อยติ๊ดริดมองภาพในมือแล้วส่ายหน้าช้าๆ

ไม่เข้าใจเลยว่าทั้งป้าจอม อาปา และป้าหยกเห็นอะไรในตัวเธอกับ

ฆนัตว์ เหมาะสมหรือ คู่ควรหรือ เพื่อนคู่คิดหรือ ไม่เลย...เธอกับเขา

ไม่ใกล้เคียงกันเลยในทุกสถานะ ถ้าจะใกล้ที่สุดก็คงจะใกล้แค่สปีชีส์

ในการเกิดเป็นคนเท่านั้น ครั้งหนึ่งต้อยติ๊ดริดเคยหวังว่าการคลุมถุงชน

จะเป็นโมฆะ เพราะพ่อกับแม่ของเธอซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาได้เสียชีวิตไป

นานแล้ว แต่เจ้าสัวชนินทร์และคุณหยกมณีกลับยืนยันหนักแน่นว่า

ท่านต้องการให้เธอเป็นสะใภ้ บวกกับความสงสารเห็นใจที่เธอกำพร้า

ทั้งสองจึงยิ่งยึดมั่นต่อคำสัญญายิ่งขึ้นไปอีก

ในวัยเด็กต้อยติ๊ดริดได้เจอกันฆนัตว์บ้างเนืองๆ เพราะแม่

ของเธอกับคุณหยกมณีนัดสังสรรค์กันบ่อยครั้ง แต่การเจอบ่อยก็ไม่ได้

แปลว่าสนิทสนม เพราะเด็กชายฆนัตว์เคยเคร่งขรึม พูดน้อย และดุเก่ง

อย่างไรก็ยังอย่างนั้น อย่างดีที่สุด ถ้าเขาจะสนใจต้อยติ๊ดริดบ้างก็ตอนที่

เธอถูกฆนนาทแกล้งนั่นแหละ มือที่ใหญ่กว่าจะกางป้องให้และดุด้วย

น้ำเสียงเรียบเพื่อให้ฆนนาทเลิกทดสอบความเป็นมนุษย์ในตัวเธอ

หากถึงจะเคร่งขรึมเย็นชาแต่ฆนัตว์ก็ไม่ได้ใจร้าย ต้อยติ๊ดริด

เรียนรู้เรื่องนี้ในงานเลี้ยงปีใหม่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ครั้งนั้นต้อยติ๊ดริด

ในวัยเจ็ดขวบคือเด็กหญิงรูปร่างผอมบาง ไม่มั่นใจในตัวเองและกลัว

การเข้าสังคมเป็นที่สุด ในขณะที่ฆนัตว์คือเด็กหนุ่มอายุสิบสองย่าง

สิบสามปีผู้แสนจะเคร่งขรึม มักพูดจาตรงๆ ในรูปแบบที่พร้อมค้าน

หัวชนฝา ดังนั้นเมื่อคนกลัวสังคมต้องมานั่งรวมกับคนไม่ชอบสังคม

ทั้งสองจึงเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ

“ให้น้องนั่งด้วยคนนะแมน น้องไม่ค่อยชอบเสียงดังนัก น้า

ฝากแมนดูน้องด้วย” แม่พาเธอไปนั่งรวมกับเขาบนโต๊ะอาหารที่ใต้

ต้นมะม่วงต้นใหญ่ริมสระน้ำก่อนเดินตามพ่อของเธอออกไปทักทาย

คนในวงสังคมที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

ต้อยติ๊ดริดมองรอบกายที่มีไฟหลากสีประดับประดาและเสียง

เพลงกับเสียงสนทนาอึงอลฟังไม่ได้ศัพท์แล้วถอนหายใจ ดีที่แม่เลือก

ที่นั่งห่างจากลำโพงให้ เธอจึงทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดนัก หากแต่ก็ยังสร้าง

ความประหม่า ความกังวลสารพัดให้กับเธออยู่ดี โดยเฉพาะพี่ผู้ชายที่

นั่งหน้าตึงฝั่งตรงข้าม

ตอนนั้นต้อยติ๊ดริดไม่ได้สนใจว่าเธอไม่ได้เจอฆนัตว์นานแค่

ไหน รู้แค่...แปลกใจที่พี่ผู้ชายผมสั้น คนเก่ากลายเป็นหนุ่มน้อยผมยาว

หน้าหวาน และสงสัยต่อไปว่าฆนัตว์จะกระตุ้งกระติ้งเหมือนเพื่อนผู้ชาย

ในห้องเรียนของเธอไหม ที่สำคัญเขาจะชอบเล่นตุ๊กตาเหมือนกับเธอ

หรือเปล่า ถ้าหากเป็นอย่างนั้นได้คงดี...ต่อไปนี้เธอจะได้เล่นสมมุติว่า

มีพี่สาวแสนสวยแทนพี่ชายหุ่นยนต์อย่างกายสักที

ต้อยติ๊ดริดสะดุ้งน้อยๆ เมื่อคนที่กำลังถูกมองกลายเป็นฝ่าย

ตวัดตามองกลับ และจากที่เห็น ดวงตาวาววับนั่นไม่พอใจเธอสักเท่าไร

“กินสิ” คนเป็นพี่บอกพร้อมยื่นเจ้าคัพเค้กสตรอว์เบอร์รี่และ

บลูเบอร์รี่หน้าตาน่ารักที่อยู่ในจานมาให้ ต้อยติ๊ดริดยื่นมือออกไปรับ

และกำลังจะขอบคุณเขาอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ได้ยินเขาบอกว่า “เด็กไม่มี

มารยาท นั่งจ้องคนอื่นไม่พอ ผู้ใหญ่ให้ของยังไม่ขอบคุณอีก”

 

ต้อยติ๊ดริดจำได้ดีเลยว่าเธอกลืนคำขอบคุณลงกระเพาะทันที

ก่อนจะกลืนทุกสิ่งบนโต๊ะตามลงไป ไม่ได้คิดแค้นอะไร...แค่หมั่นไส้

ผู้ใหญ่อายุสิบสองปีเท่านั้น!

เมื่อต่างละเลียดอาหารบนโต๊ะจนพร่องไปกว่าครึ่งและท้อง

เล็กๆ ของทั้งสองคนก็ตึงเกินกว่าจะเติมอะไรลงไปได้ ต้อยติ๊ดริดที่

ง่วงงุนเต็มทีแต่ไม่อยากหลับคาโต๊ะก็จำต้องเริ่มบทสนทนาขึ้นใหม่

“งานจะเลิกกี่โมงคะ”

สายตาของฆนัตว์ที่มองเธอนั้นมีแววรำคาญนิดๆ ก่อนแขน

ยาวเก้งก้างจะยกขึ้นดูนาฬิกาข้อมือแล้วบอก “เที่ยงคืน นี่ก็ใกล้เวลา

แล้ว เดี๋ยวเขาก็คงปิดงานกันละ”

“ทำไมต้องเที่ยงคืนคะพี่” ถามเพราะอยากรู้ล้วนๆ ไม่ได้คิด

กวนเลยแต่ฆนัตว์ไม่เข้าใจอย่างนั้น เขาตวัดตามองเธอแล้วพูดด้วย

น้ำเสียงเรียบที่ยากจะเดาว่าไม่พอใจหรือไม่รู้สึกอะไร

“เขารอเคานต์ดาวน์ไง รู้ใช่ไหมว่าเคานต์ดาวน์เขาทำกัน

กี่โมง”

ต้อยติ๊ดริดรีบพยักหน้า รู้สึกแสบตัวซิบๆ กับการเฉือนด้วย

สายตาของเขาแต่ก็ยังอดมีข้อสงสัยไม่ได้ “แล้ว...เขาจะจุดพลุกันไหม

คะ คือ...” เข้าป่าอย่าถามหาเสือฉันใด ไปงานเลี้ยงปีใหม่ก็อย่าถามหา

พลุฉันนั้น ทันทีที่พูดจบพลุนัดแรกก็ถูกจุดขึ้น ต้อยติ๊ดริดสะดุ้งสุดตัว

แล้วหลับตาปี๋ เสียงพลุดังกึกก้องซ้ำๆ หลายสิบนัดจวนเจียนจะทำให้

เธอขาดใจ ต้อยติ๊ดริดไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั่งกองลงกับพื้นเมื่อไร จน

เมื่อพลุเงียบเสียงไปแล้วนั่นแหละถึงได้ยินเสียงคนข้างๆ บอก

“ลุกเถอะ” เสียงบอกนั้นยังคงระดับราบเรียบไว้ หากแต่

ความอ่อนโยนจากสองมือต่างหากที่ทำให้ต้อยติ๊ดริดลืมตาขึ้นเพื่อพบ

ว่าตัวเองนั่งมุดอยู่ใต้โต๊ะอาหาร เธอใช้สองมือปิดหูตัวเองไว้ ร่างกาย

สั่นเทิ้มและเกร็งแน่น ไม่กล้าคิดเหมือนกันว่าหากเสียงพลุทอดยาวไป

อีกสักห้านาทีตนเองจะสติแตกวิ่งหนีเข้าป่าหรือกระโดดลงน้ำหรือไม่

แต่ที่แน่ๆ มือที่โอบประคองและลูบหลังเบาๆ นั้นช่วยรั้งสติเธอกลับ

คืนมาได้ และต้อยติ๊ดริดก็ตระหนักในวันนั้นว่าคนหน้าดุ ปากร้าย บางที

หัวจิตหัวใจเขาก็ไม่ได้ร้ายนักหรอก

จากนั้นเมื่อต่างฝ่ายต่างโตขึ้น ฆนัตว์ก็ลดมาดดุของเขาลงไป

บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ต้อยติ๊ดริด อยากเข้าใกล้อยู่ดี คือ เวลา

คุณจอมใจพาต้อยติ๊ดริดไปเที่ยวหาเจ้าสัวชนินทร์และคุณหยกมณีที่

บ้าน ฆนัตว์ไม่เคยต่อว่าหรือขับไล่ก็จริง แต่อาการหงุดหงิดบ้าง ถอนใจ

ออกหนักๆ บ้างก็ฟ้องว่าเขารำคาญเด็กผู้หญิงนุ่มนิ่มที่เอาแต่มองเขา

ตาแป๋วอย่างเธอไม่น้อย

“มองอะไรนักหนา สงสัยอะไรก็ถามมา” คนผมยาวในช่วง

อายุสิบเจ็ดเงยหน้าจากกีตาร์ที่เขากำลังแกะคอร์ดเพื่อมองเธอเต็มตา

ดวงตาของฆนัตว์สวยและรูปร่างเขาก็ดีมาก ต้อยติ๊ดริดจึงตอบตามตรง

“พี่แมนรู้ตัวไหมว่าพี่แมนมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบมาก”

บอกเขาจากใจจริงทั้งหมด ซึ่งดวงตาประกายแสงแห่งความ

หวังของเธอคงแรงกล้ามากเกินไป ฆนัตว์จึงไม่ปลื้มกับสิ่งที่ได้ยินนัก

คนหน้าเคร่งทำตาดุใส่และเสียงของเขาก็เข้มขึ้นสักสิบเท่า

“รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไร แล้วคิดยังไงถึงพูดแบบนี้ ฮึ!”

เขาถามเธอนะ แต่ดูจะไม่สนใจคำตอบเมื่อร่างสูงทำท่าจะ

ลุกเดินหนี ซึ่งต้อยติ๊ดริดปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เธอต้องการเขา

เขาเท่านั้นที่จะช่วยเธอได้

“ติ๊ดริดขอร้องนะพี่แมน นะคะช่วยถอดเสื้อหน่อย ไม่นาน

หรอก แค่ให้...” มือเล็กเผลอรั้งเสื้อเขาไว้เพื่อจะเอ่ยขอในสิ่งที่ต้องการ

ฆนัตว์ปรายตามองชายเสื้อที่ถูกกำไว้แล้ววางกีตาร์ลงก่อนจะหันมา

เผชิญหน้ากับเธอเต็มตา ร่างสูงของเขาขยับเข้ามาชิด ชิดจนต้อยติ๊ดริด

ต้องขยับเท้าหนี

“พี่แมน...” ต้อยติ๊ดริดกำลังจะชี้เก้าอี้กลางห้องอยู่แล้วเชียว

แต่เขากลับดันเธอไปจนชิดผนังแล้วบอกด้วยเสียงเข้มดุดัน

“คลั่งคำสัญญาขึ้นมาอีกคนหรือไง” คำถามลอยๆ นั้นสร้าง

คำถามในหัวต้อยติ๊ดริดมากมาย คลั่งอะไร สัญญาอะไร อีกคนก็แปลว่า

มีหลายคนแล้วเหรอที่คลั่งมาก่อน

“เลิกคิดบ้าๆ ซะ ถึงเธอจะเก่ง จะมีมันสมองอัจฉริยะกว่า

เด็กวัยเดียวกันก็จริง แต่กับพี่ เธอก็แค่เด็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องเร่งวัน

เร่งคืนอยากเป็นสาวด้วยวิธีนี้หรอก”

หา! ต้อยติ๊ดริดเพิ่งรู้เลยนะว่าการวาดภาพผู้ชายทำให้เป็น

สาวเร็วขึ้น ฮึ่ย! เรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับฮอร์โมนเอสโตรเจนแน่ๆ

ใบหน้าเรียวเล็กภายใต้แว่นกรอบหนาสีน้ำตาลพยักหน้า

เร็วๆ แสดงการรับรู้แต่ไม่วายต่อรองว่า “แต่มันจำเป็นนะพี่แมน ติ๊ดริด

ต้องทำให้ได้เพราะมันคือหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้ติ๊ดริดสำเร็จในขั้น

ที่หนึ่งนี้”

ใครสักคนคงเคยบอกฆนัตว์ว่าต้อยติ๊ดริดเป็นอัจฉริยะด้าน

การท่องจำ แต่ใครคนนั้นคงไม่ได้บอกเขาว่าเธอมีปัญหาในการเรียง

ลำดับการพูด เรื่องง่ายๆ เธอมักพูดให้มันฟังยากเสมอ อย่างตอนนี้ที่

เธอกำลังจะบอกเขาว่าเธอต้องการส่งงานวาดภาพวิชาศิลปะที่เธอไม่

ถนัดให้กับอาจารย์เพื่อต้องการเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง แต่เธอ

กลับพูดวกวนและกำกวมจนเขาเข้าใจผิดจนได้

สายตาคมกริบของฆนัตว์กวาดมองทั่วร่างต้อยติ๊ดริดที่สวม

ชุดเดรสสีฟ้าแขนตุ๊กตาก่อนเสยผมยาวอย่างหงุดหงิด

“เด็กบ้าเอ๊ย! ถ้าไม่เลิกเซ้าซี้ พี่จะบอกให้อาปายกเลิก

การแต่งงานมันเดี๋ยวนี้เลย รู้ไว้นะ พี่ไม่มีทางเอาเด็กอย่างเธอมาเป็น

แฟนแน่ๆ”

ต้อยติ๊ดริดจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องเอ๋! ร้องหือ! หรืออาจไม่ได้

ร้องอะไรสักอย่างก็ได้ มันงงๆ นะว่าการวาดภาพของเธอไปเกี่ยวกับ

งานแต่งงานตรงไหน สุดท้ายต้อยติ๊ดริดก็ต้องยอมแพ้จริงๆ

“พี่แมนจะให้วาดภาพงานแต่งงานหรือคะ ยากไปค่ะ แค่

ภาพคนติ๊ดริดยังวาดได้ไม่ดีเลย และงานนี้อาจารย์ก็ให้วาดภาพคน

เดี่ยวๆ ด้วย เอาไว้ถ้าติ๊ดริดวาดได้เก่งแล้ว ติ๊ดริดค่อยวาดภาพคู่ให้

พี่แมนได้ไหม” ไม่มีคำตอบ ฆนัตว์เงียบไปนาน นานมาก ดวงตาสีสนิม

ของเขาจับจ้องที่ดวงตาของเธอเหมือนจะวิเคราะห์เจาะให้ลึกลงไปถึง

แก่น ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นพร้อมกับพร่ำคำสรรเสริญเธอว่า

“ยายเด็กบ๊อง!”

นานต่อจากนั้นอีกหลายปีเชียวละกว่าต้อยติ๊ดริดจะรู้ว่าทำไม

ฆนัตว์ถึงได้พูดเรื่องแต่งงาน ซึ่งพอถึงตอนนั้นต้อยติ๊ดริดก็ไม่ได้รู้สึก

เสียหน้าที่ถูกปฏิเสธแล้ว แต่สมองช่างจดจำก็บอกกับเธอเสมอว่า เขา

ไม่มีทางเอาเด็กอย่างเธอมาเป็นแฟนแน่ๆ สิ่งที่รู้นั้นทำให้ต้อยติ๊ดริด

ใช้ชีวิตเรียบเรื่อยต่อไปโดยไม่เสียเวลากังวลใดๆ ทั้งสิ้น เธอเชื่อสุดใจ

ว่า...สักวันฆนัตว์จะลุกขึ้นมาประกาศอิสรภาพ เขาต้องเป็นฝ่ายดิ้นรน

หนีการหมั้นโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไร แค่ทำตัวดีๆ เชื่อฟังที่คุณจอมใจ

บอก แล้วสักวัน ‘การหมั้น’ ก็จะยุติลงเอง แต่แล้ววันหนึ่งต้อยติ๊ดริดก็

ได้รู้ว่าสิ่งที่เธอคิดมันง่ายไป ภายใต้ความเรียบง่ายนั้น มีปัญหาและคนที่

เป็นปัญหาก็คือ...ตัวเธอเอง

วันนั้นเป็นวันหนึ่งในฤดูหนาวของชีวิตปีที่สิบเก้า ต้อยติ๊ดริด

ถูกทักจากด้านหลัง โดยพี่ผู้หญิงผิวขาว ผมยาว รูปร่างสูงโปร่งที่จำได้ดี

ว่าเธอคือดาวคณะเภสัชศาสตร์

“พี่ชื่อลูกอมนะ น้องชื่อต้อยใช่ไหม”

ต้อยติ๊ดริดอยากจะแก้ว่าเธอชื่อต้อยติ๊ดริด แต่คิดแล้วว่าการ

พยักหน้าน่าจะดีกว่า เพราะคนบางคนเขาก็หัวเราะเมื่อรู้ชื่อเล่นเต็มๆ

ของเธอ ซึ่งเมื่อเธอพยักหน้ารับฝ่ายนั้นก็ซักต่อ

“น้องรู้จักกับพี่แมนไหม แล้วเขาเป็นอะไรกับน้อง”

ต้อยติ๊ดริดขมวดคิ้วค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด

คู่หมั้นหรือ...ขืนบอกแล้วเขารู้เข้า สายตาคมๆ คู่นั้นคงหั่น

ร่างเธอไม่มีเหลือ

พี่ชายเหรอ เอ่อ...คงจะฟังดูสนิทสนมเกินไป เขาไม่เคย

แสดงออกว่าเอ็นดูหรือคิดจะรับเธอเป็นน้องสักหน่อย

เพื่อน...ยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะคนเป็นเพื่อนอย่างน้อยต้องเคย

ยิ้มให้กันบ้าง ไม่รอให้ต้อยติ๊ดริดตอบ อีกฝ่ายก็ยื่นทางเลือกให้เสียก่อน

“มีคนบอกกับพี่ว่าน้องเป็นคู่หมั้นของพี่แมน ไม่จริงใช่ไหม”

ต้อยติ๊ดริดไม่รู้ตัวหรอกว่าดวงตากลมโตที่เบิกกว้างของเธอ

เป็นคำตอบอย่างดีแค่ไหน และนั่นก็เพียงพอให้ใบหน้าสวยหมองลง

อย่างเห็นได้ชัด

“ไม่เป็นไร พี่ได้คำตอบแล้ว ขอบคุณนะที่ทำให้พี่ตาสว่าง

เสียที”

สุดท้ายต้อยติ๊ดริดก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ และคงจะลืม

มันไปถ้าวันเสาร์ต่อมาฆนัตว์ไม่มาหาเธอถึงบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ออกไปข้างนอกด้วยกันหน่อย” ทันทีที่เขาชวนต้อยติ๊ดริดก็

มองปฏิทินทันที ไม่ใช่วันครบรอบวันตายของพ่อหรือแม่ วันพระใหญ่

หรือวันไหว้บรรพบุรุษเสียหน่อย เขาจะพาเธอไปทำบุญที่ไหน

“ติ๊ดริดกำลังจะไปสอบสัมภาษณ์ค่ะ คงไปด้วยไม่ได้” บอก

เขาอย่างเกรงใจ ปกติแล้วฆนัตว์มักจะมารับในวันสำคัญต่างๆ ตามแต่

คุณหยกมณีจะสั่ง ซึ่งทุกครั้งคุณหยกมณีจะนัดหมายก่อนเสมอ ดังนั้น

การที่เขามารับในวันที่เธอต้องไปสอบสัมภาษณ์เพื่อเรียนต่อปริญญาโท

ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลนี้ เขาคงไม่ได้คุยกับคุณหยกมณีมาก่อนแน่ๆ

“งั้นพี่ไปส่ง” วันนั้นน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาแทนตัวเองว่า

พี่ เพราะหลังจากที่นั่งรถไปกับเขาแล้วและฆนัตว์เริ่มบทสนทนาต่อว่า

ตักเตือน ปรามไม่ให้เธออ้างตัวว่าเป็นคู่หมั้นอีก ต้อยติ๊ดริดก็รู้ตัวว่า

เธอคงไม่มีทางมีเขาเป็นพี่ชายได้...แค่คนรู้จักยังอาจจะมากไปด้วยซ้ำ

คำสั้นๆ ของเขาที่ย้ำว่า ‘อย่าล้ำเส้น’ ไม่ทำให้ต้อยติ๊ดริดเข้าใจสิ่งที่เขา

คิดได้ทั้งหมดก็จริง แต่มันก็มีผลต่อการตัดสินใจไปเรียนต่ออย่าง

ฉับพลัน สมองอัจฉริยะบอกกับตัวเองตอนนั้นว่า ถ้าห่างมากพอ...ก็จะ

ไม่มีวันเข้าไปล้ำเส้นของใครได้ แล้วสองเดือนหลังจากนั้นต้อยติ๊ดริดก็

เลือกไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นโดยการสนับสนุนของเจ้าสัวชนินทร์

และฆนนาท

‘ระยะทางครึ่งฟ้ากับเวลาอีกสี่ปี...หวังว่าคงห่างพอแล้วนะ’


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024