บัวหิมะ (วาระวารี)

บัวหิมะ (วาระวารี)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715094
ผู้แต่ง: ทักษาวารี
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 247.00 บาท 61.75 บาท
ประหยัด: 185.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 

ดยปกติลานกว้างหน้าตึกอำนวยการมักจะว่างเปล่าเสมอ

เพราะแดดจัดจ้า ไร้ต้นไม้ให้ร่มเงา หากในวันนี้ลานที่เคยร้างผู้คน

กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนจำนวนมหาศาลที่พร้อมใจกันไม่กลัวแดด

มากกว่าหนึ่งในสี่ของผู้คนทั้งหมดแต่งตัวคล้ายคลึงกันด้วย

ชุดผ้ากำมะหยี่หนาสีดำทิ้งตัวยาว แตกต่างกันเพียงแถบสีที่ปกและแขน

หมวกเหลี่ยมสีดำมีพู่ห้อยส่วนใหญ่วางอยู่ในมือ หากบางครั้งก็ถูกโยน

ขึ้นไปในอากาศ มีน้อยรายที่จะวางติดบนศีรษะอย่างเรียบร้อย

บรรยากาศเคร่งเครียดของวันซ้อมใหญ่ผ่อนคลายลงทันทีที่

การซ้อมสิ้นสุด...ช่วงเวลาหลังจากนั้นกลายเป็นมหกรรมการถ่ายรูป

ทั้งถ่ายรูปกับเพื่อนฝูงและกับเครือญาติ เนื่องจากในวันรับปริญญาจริง

มีเวลาไม่มากเท่าวันนี้ อีกทั้งสถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวยเท่า

บางกลุ่มกอดคอกันทำสีหน้าประหลาดถ่ายรูป บางกลุ่มยืน

ด้วยท่าทางราวนางแบบนายแบบบนปกนิตยสาร บ้างก็ทำท่าพิสดาร

กระโดดลอยฟ้ากางแข้งกางขา ทั้งแบบเดี่ยวและเป็นหมู่

ท่ามกลางผู้คนมากมาย บัณฑิตกลุ่มหนึ่งยืนหันหน้าเข้าหา

กันเป็นสี่เหลี่ยมที่ริมนอกของลาน ส่งเสียงถกเถียงกันไม่เบานัก แต่ก็

ถูกกลบลงด้วยเสียงคนรอบข้างที่ดังกว่า

“ไม่ดี” เสียงหวานนุ่มปฏิเสธ พร้อมกับส่ายหน้าสวยของ

ตัวเองไปด้วย จนผมหางม้ายาวถึงกลางหลังโบกตาม

“แต่จะได้ภาพสวยนะ” สาวร่างโปร่งชี้ไปที่กลุ่มอื่นเป็นการ

ยกตัวอย่าง

“แล้วก็ตกลงมาเหยียบขาตัวเองหรือคนอื่น เผลอๆ ขาแพลง

เอ็นฉีก มารับปริญญาจริงไม่ไหว ที่ซ้อมมาก็เท่ากับเสียเปล่า” อีกเสียง

จากสาวร่างเล็กขัดขึ้นอย่างจริงจัง

“บลว่าไง” คนนำเสนอหันไปมองทางซ้าย เมื่อมีเค้าว่า

ข้อเสนอกำลังตกไป หากคำตอบมีเพียงความเงียบ และรอยยิ้มอ่อนๆ

ที่แปลความยาก ดีแต่คนสนิทกันมานานอย่างอารทรามีความสามารถ

พอจะแปลความได้ จึงครางออกมาเบาๆ อย่างผู้แพ้

“ถึงรองเท้าจะส้นไม่สูง แต่ทิวาซุ่มซ่ามจะตายไป มีหวังได้

ลงเอยอย่างที่รุ้งว่าแน่ๆ เลย” ทิวารี...เจ้าของเสียงหวานเสริม ยิ่งย้ำ

ให้อารทรารู้สึกถึงความพ่ายแพ้

“สรุปว่าไม่มีการกระโดดถ่ายรูป” ไรเรือง...สาวร่างเล็กสรุป

ถือเป็นสิ้นสุดการเจรจา อารทรา...เจ้าของความคิดพยักหน้ายอมรับ

แต่ยังไม่วายบ่นให้วโรบลฟัง เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสาวคนนี้ไม่โต้แย้งใดๆ

ขืนบ่นกับไรเรือง มีหวังได้ถูกเทศนา และชักแม่น้ำแห่งเหตุผล

ทั้งห้าทิศมาอธิบายจนเธอหลับทั้งยืน

ถ้าบ่นกับทิวารี ก็คงได้ยินเสียงหวานๆ ปลอบประโลมไม่หยุด

สรุปแล้วบ่นกับวโรบลสบายที่สุด ไม่มีการขัด ไม่มีการโต้แย้ง

รับฟังลูกเดียว!

วโรบล...ซึ่งเป็นผู้ฟังที่ดีมาตลอดชีวิตนิ่งฟังเพื่อนสาวบ่น

ไม่หยุดว่ากลุ่มตัวเองเอาจริงเอาจังเกินไปแล้ว ไม่ค่อยยอมเสี่ยงเพื่อ

ความสนุกเลย...ซึ่งก็ไม่น่าตื่นตระหนก เพราะอารทราก็บ่นอย่างนี้มา

ตลอดสี่ปี

จะว่าไปกลุ่มของหล่อนก็เสมอต้นเสมอปลายดี ตั้งแต่วันแรก

ที่ได้พบหน้ากัน จนถึงวันสุดท้ายของปริญญาตรี

ทิวารี...สาวน้อยหน้าหวาน อดีตเชียร์ลีดเดอร์คณะ ยังคง

อ่อนหวานนุ่มนวล ใจเย็น ทำใจง่าย โก๊ะเป็นบางครั้ง และซุ่มซ่ามอย่าง

สม่ำเสมอ ทั้งที่เป็นคนนุ่มนิ่ม ทำอะไรเชื่องช้าตลอดแท้ๆ

ไรเรือง...ยังคงเป็นคนตรงเหมือนเดิม คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น

ทุกอย่างในโลกมีเหตุมีผล จริงจังได้ไม่เปลี่ยนแปลง

อารทรา...ยังซุกซน ขี้เล่น ไม่รู้จักทำตัวเป็นผู้ใหญ่เสียที...

ทั้งที่ความจริงเป็นคนที่คิดอะไรลึกซึ้งที่สุดในกลุ่มแท้ๆ

และหล่อน...วโรบลก็ยังคงฟังเพื่อนบ่นโดยไม่เคยเบื่อ

จะว่าไปตัวหล่อนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทั้งที่อยากเปลี่ยน

แทบขาดใจ...อย่างน้อยก็ขอให้เปลี่ยนใจตัวเองได้สักนิดก็ยังดี

ขณะกำลังนึกสงสารตัวเอง หางตาก็จับภาพบางอย่างได้

หล่อนหันขวับไปทันที ขาสองข้างขยับโดยอัตโนมัติ ลืมเสียงที่ดังข้างหู

ไปสิ้น แต่เดินได้ไม่เกินหนึ่งก้าว ชายเสื้อครุยก็ถูกดึงไว้อย่างรวดเร็ว

“อะไรกัน นี่ทราบ่นจนบลเดินหนีเลยหรือ” หล่อนตัดพ้อ แต่

นัยน์ตาตวัดมองตามสายตาวโรบล ก่อนรอยยิ้มจางๆ จะปรากฏขึ้นตรง

มุมปาก “ทราเลิกบ่นก็ได้ ไปเถอะ! ไปถ่ายรูปแบบธรรมดาสุดๆ กัน!”

ว่าแล้วอารทราก็จัดการจับจูงมือเพื่อนสาว แล้วเดินนำกลุ่ม

ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่วโรบลตั้งใจจะไปเมื่อครู่

ถ่ายรูปกันได้ไม่ถึงชั่วโมง ทิวารีก็โดนดึงออกไปเป็นคนแรก...

โดยเสียงโทรศัพท์

ใบหน้าหวานมุ่ยลงทันที ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ปากก็พึมพำ

 “ทิวาตายแน่...แม่บอกว่าตานั่นมาด้วยละ”

‘ตานั่น’ ของทิวารี คือคู่หมายที่จับจองกันไว้ตั้งแต่เด็ก ทั้งที่

ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเลยสักครั้ง จนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อน ฝ่ายชาย

เรียนจบและกลับเมืองไทย หลังจากนั้นชีวิตที่เคยเรียบง่ายของทิวารี

ก็เข้าข่ายที่เรียกว่า...หายนะมาเยือน

จากทิวารี...ก็เป็นไรเรืองที่จากไป แต่รายนี้ไปอย่างมีความ

สุข เพราะผู้มีพระคุณที่เคารพนับถือมาแสดงความยินดีด้วย

อารทราทำท่าจะ ‘ยึดติด’ อยู่กับวโรบล เพื่อป้องกันไม่ให้

เพื่อนสาวหลงทาง แต่เอาเข้าจริงก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะถูกใครบางคน

ในชุดครุยที่ยืนรออย่างใจไม่เย็นมานาน จนอดทนต่อไปไม่ไหว ต้องมา

ดึงตัวสาวเจ้าไป โดยขอโทษวโรบลสั้นๆ ว่า

“ที่บ้านผมมากันครบแล้ว ขอยืมตัวรายนี้สักสิบห้านาทีนะ”

วโรบลพยักหน้ารับคำขอโทษ พร้อมยิ้มให้อีกฝ่าย นัยน์ตา

ดำขลับมีแววขำขณะมองอารทราที่ถูกดึงตัวไป เสียงโวยวายของเพื่อน

ดังลั่น แต่ไม่มีใครสนใจ แม้กระทั่งเพื่อนสนิทของตนเอง

“ไม่ไป! พี่ชายเมฆเหม็นหน้าทราจะตายไป พ่อแม่เมฆก็บอก

ให้เราเลิกกันทุกครั้งที่เจอ ทราไม่อยากเห็นสายตาเย็นชาอย่างนั้นแล้ว”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า”

“ไม่!” ถึงจะปฏิเสธ แต่ก็ถูกลากไปอยู่ดี

ในที่สุดวโรบลก็ได้อยู่ตามลำพัง หญิงสาวชั่งใจชั่วครู่ว่าจะ

กลับเลยดีไหม จะได้ไปพักผ่อน เตรียมตื่นเช้าวันพรุ่งนี้

วโรบลสูดลมหายใจเข้าปอดลึก...แต่ถึงจะรุ้ดีว่าสิ่งที่คิดไม่ก่อ

ให้เกิดประโยชน์อย่างใด แต่ไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็ยังอยากลองทำอยู่ดี

 ‘สักพัก’

คำคำนี้อยู่คู่กับชีวิตหล่อนมาสี่ปีแล้ว

วโรบลไม่รู้ว่า ‘สักพัก’ ควรจะหมายถึงระยะเวลานานแค่ไหน

หนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี แต่เท่าที่เคยได้ฟัง คำว่า ‘ห่างกันสักพัก’

ของคนอื่น มักใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็น่าจะหาบทสรุปของความรักได้แล้ว

ช่างแตกต่างจาก ‘สักพัก’ ที่เกิดในชีวิตหล่อนจริงๆ

ระยะเวลาที่ไม่ควรเกินหนึ่งปี กลับยืดเยื้อยาวถึงสี่ปี เพราะ

คนสองคนไม่เคยพูดคุยเพื่อหาบทสรุป และ...ไม่คิดจะยอมรับบทสรุป

ที่คนรอบข้างตัดสินให้

ทั้งที่โดยปกติแล้ว การห่างกันนานถึงสี่ปี แม้จะอยู่ใกล้แค่

มือเอื้อม ไม่ต่างกับการเลิกราโดยไม่พูดตัดขาดให้เสียน้ำใจเท่านั้น

หากถึงสมองจะรับรู้ วโรบลก็ยังเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ และ

กล่อมตัวเองเรื่อยไปว่า ตราบเท่าที่เขายังไม่ได้บอกเลิกราอย่างเป็น

ทางการ สายใยระหว่างหล่อนกับเขาก็ยังไม่ขาดลง

สายใจผูกพันอันยาวนานที่รัดรึงหล่อนไว้แน่นหนานับจาก

วันแรกที่ได้พบกันจนถึงวันนี้ นับเวลาได้เกินสิบปีแล้ว

หญิงสาวยังจำวันแรกได้ดี...วันนั้นเป็นวันที่แดดจัดที่สุด

วันหนึ่งในรอบปี อากาศร้อนจนเหงื่อแตกซิกๆ ทำให้ไม่มีนักเรียน

ชั้นประถมศึกษาลงไปเล่นในสนามหญ้ากลางแจ้งมากเหมือนปกติ

วันนั้นเด็กผู้ชายตัวกลม ผิวขาวจัด ย้ายโรงเรียนมาเรียนห้อง

เดียวกับหล่อน จริงๆ แล้วเด็กเรียนดีประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ห้า แต่

มนุษยสัมพันธ์ยอดแย่เพราะพูดน้อยอย่างวโรบล มีโอกาสสนิทสนมกับ

เด็กใหม่น้อยมาก หากเหมือนโชคชะตาชักนำ อาจารย์จึงเลือกให้หล่อน

เป็นคนแนะนำโรงเรียนให้เพื่อนใหม่

วโรบลยังจำครั้งแรกที่ต้องพูดกับเขาได้ดี...หลังจากอาจารย์

ส่งเขามาให้ ร่างป้อมๆ สองร่างก็ได้แต่มองกันปมองกันอยู่พักใหญ่

จนกระทั่งเด็กชายเป็นฝ่ายทนไม่ไหว จึงเริ่มต้นถามสิ่งที่ต้องการรู้ด้วย

ตัวเอง

“ชื่ออิศรางค์ เรียกว่าอิศก็ได้ เธอชื่ออะไร”

หลังจากนั้นเด็กชายตัวป้อมที่มนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ ก็เข้ากับ

เพื่อนร่วมชั้นทุกคนได้อย่างกลมกลืน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมลืมเสียที

ว่าวโรบลมีหน้าที่ดูแลเขา ดังนั้นเมื่อสงสัยใคร่รู้เรื่องใด เขาจึงมักพุ่ง

เข้าหาวโรบลเป็นคนแรกเสมอ ตั้งแต่ ป.5 ยัน ป.6 แม้ต้องย้ายไปเรียน

ชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนอื่น เขาก็ยังไม่เลิกนิสัยนี้

ความใกล้ชิดกับการยึดติดของเด็กชายที่กลายเป็นเด็กหนุ่ม

เริ่มมีคนสังเกตเห็น และเก็บมาล้อเลียน

วโรบลได้แต่ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ ในขณะที่อิศรางค์

เอาแต่ยิ้มขำ โดยไม่เคยปฏิเสธ ไม่ตอบรับ และยังคงทำตัวเหมือนเดิม

เวลาเรียนเขาจะมานั่งกับหล่อน

เมื่อไปเรียนพิเศษที่ไหนก็มักจะได้พบเขาที่นั่น จนทุกคน

ในห้องยอมรับกันหมดว่าอิศรางค์เป็นแฟนหล่อน

ครั้งนั้นก็เหมือนครั้งนี้ นั่นคือคนอื่นฟันธง แต่วโรบลยังคาใจ

เพราะอิศรางค์ไม่เคยพูดตกลงเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ต้องพูดถึงคำว่า

รักเลย แค่คำว่าชอบยังไม่เคยได้ยิน และหล่อนก็เจอเขาแค่เวลาเรียน

ไม่เคยไปเที่ยวเล่นสองต่อสองเหมือนคนเป็นแฟนกัน

จนกระทั่งขึ้น ม.4 แล้วต้องแยกห้องเรียน เด็กหนุ่มถึงถาม

ขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังเรียนพิเศษจบว่า

“บลว่ายังไง”

วโรบลงงอยู่พักหนึ่ง เขาถึงอธิบายต่อ

“หมายถึงเรื่องเป็นแฟนกันน่ะ”

แก้มขาวแดงระเรื่อขึ้นทันที หล่อนเปล่งเสียงตอบไม่ได้ อีก

ฝ่ายก็รู้จักหล่อนดี จึงตีขลุมสรุปหน้าตาเฉยว่า

“ถ้าเธอไม่ปฏิเสธ ก็ถือว่าตกลงนะ”

พูดสิ่งที่อยากพูดแล้ว อิศรางค์ก็เดินแยกไปอีกทาง หากไป

ได้ไม่กี่ก้าวก็หมุนตัวกลับมาบอกว่า

“อยู่กันคนละห้อง ห้ามมองคนอื่นล่ะ”

เด็กสาวเบิกตากว้าง ยังไม่มีเสียงพูดเหมือนเดิม และแม้ว่า

เขาจะลับสายตาไปแล้ว หล่อนก็ยังพูดไม่ออก

หลังจากนั้นทุกอย่างก็คงเดิม เพราะไม่ว่าจะตกลงหรือไม่

อิศรางค์ก็ยังพบหน้าหล่อนแค่เวลาไปเรียนพิเศษ หรือเดินสวนกันใน

โรงเรียนเท่านั้น จะมีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คือเขาขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งหล่อน

ที่บ้านหลังเรียนพิเศษ

ไม่มีกลิ่นอายของความหวานชื่น ไม่เคยทำตัวติดกัน หรือควง

ไปออกเดตเหมือนคนอื่นๆ

อย่างมากเขาก็แค่โทร.มาบ่นเรื่องราวรอบตัวให้ฟัง หรืออีกที

ก็ขอคุยกับพ่อหล่อน อิศรางค์ถูกคอกับพ่อมาก เพราะเป็นพวกคลั่งรถ

เหมือนกัน ประกอบกับครอบครัวของเขาทำธุรกิจขายรถ มีโชว์รูมใหญ่

ที่สุดในจังหวัด และศูนย์ดูแลเต็มรูปแบบ จึงมักมีข้อมูลใหม่ๆ มาแนะนำ

หรือถกเถียงกันได้ครั้งละสองสามชั่วโมง นานกว่าคุยกับหล่อนที่เป็น

แฟนเกือบสิบเท่าเลยทีเดียว

การคบกันดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างราบรื่น เขาและหล่อนไม่

เคยทะเลาะกัน อิศรางค์อาจมีคนเข้าหาบ้าง แต่เขาไม่เคยสนใจใคร

เป็นพิเศษ ทำให้ไม่มีมือที่สาม สี่ หรือห้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรัก

ของหล่อน

หัวใจของวโรบลอิ่มเอม หวามไหวกับรักแรกเงียบๆ ตาม

ประสาคนไม่ชอบแสดงออก หล่อนถึงกับวาดหวังว่าในอนาคตข้างหน้า

หล่อนจะได้ใส่ชุดเจ้าสาวยืนเคียงข้างอิศรางค์

แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่มี

เค้าลางมาก่อน ทำให้ภาพฝันของหล่อนแตกเป็นเสี่ยงในวันจบการ

ศึกษาระดับมัธยมปลาย

จริงๆ แล้ววันนั้นเป็นวันดี เพราะเป็นวันฉลองจบการศึกษา

ของโรงเรียน นักเรียนที่จบการศึกษาเริงร่าเป็นพิเศษ รวมถึงวโรบลด้วย

แต่เมื่องานฉลองจบสิ้น อิศรางค์ที่ยิ้มกว้างมาตลอดทั้งวันก็ตรงดิ่งมา

หาหล่อน แล้วบอกด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า

“เราห่างกันสักพักเถอะนะ”

ครั้งแรกวโรบลคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจัง

ของเขา หญิงสาวถึงขั้นช็อก พูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ได้ ลำตัวแข็งทื่อ

เหมือนหินไปพักใหญ่

หลังจากพูดจบ อิศรางค์ก็จ้องหน้าหล่อนเขม็ง ตัวเกร็ง รอ

ปฏิกิริยาตอบสนองจากหล่อน

หัวสมองของวโรบลว่างเปล่าไปชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้ จึง

พยายามทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น หล่อนมั่นใจว่าอิศรางค์ไม่มีท่าทีใดๆ

มาก่อน ไม่เคยมีการทะเลาะกัน และตนเองไม่ได้ทำอะไรที่ขัดใจเขา

อย่างชัดเจน

หากคงเพราะกำลังตื่นตระหนกกับเรื่องไม่คาดฝัน หัวสมอง

จึงตื้อตันกว่าปกติ มีเพียงความน้อยใจ เสียใจที่พลุ่งพล่าน วโรบลคิด

ออกแค่ว่า เมื่อเขาต้องการอย่างนี้ หล่อนจะทำอะไรได้ เด็กสาวจึงได้แต่

กลั้นน้ำตาและพยักหน้า

เด็กหนุ่มที่เริ่มเป็นชายหนุ่มเม้มปากแน่น มือทั้งสองข้าง

กำหมัด ก่อนถามเสียงแปร่งว่า

“บลจะไม่ว่าอะไรเลยหรือ”

เด็กสาวส่ายหัวแรงๆ ฝืนพูดเสียงแผ่วว่า “บลยังไงก็ได้”

วโรบลหมายความตามนั้นจริงๆ หล่อนจะทำอะไรได้ ในเมื่อ

ไม่รู้กระทั่งว่าความผิดของตัวเองคืออะไร หากถึงหล่อนไม่ผิด เขาก็

เลิกรากับหล่อนได้อยู่ดี คนเราถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้ว ใครจะบังคับ

ได้

อย่างน้อยอิศรางค์ก็แค่ขอห่างสักพัก ไม่ได้ขอเลิกรา หล่อน

จึงอดหวังไม่ได้ว่าสักวันเขาจะเปลี่ยนใจ

น่าแปลก...ใบหน้าคมคายของคนขอถอยห่างบิดเบี้ยว เสียง

หัวเราะแปลกหู ฟังไร้ความสุขโดยสิ้นเชิง เหมือนเขาไม่พอใจที่หล่อน

ตอบรับข้อเสนอ หากเสียงตอบกระแทกกระทั้นบอกชัดว่าเขาได้ในสิ่ง

ที่ต้องการ

“ได้ อย่างนั้นก็ดี!”

ลังจากนั้นเส้นทางความรักของวโรบลก็เข้าสู่ช่วง ‘ห่างกัน

สักพัก’

ทั้งที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เดินสวนทางกันเป็นบ่อยๆ

อิศรางค์กลับไม่เคยทักทาย เขาทำเหมือนหล่อนไม่มีตัวตน วโรบลเคย

ฝืนยิ้มให้ เขาก็ไม่ยิ้มตอบ แถมยังมองเมินไปทางอื่น เล่นเอาหญิงสาว

ร้องไห้ทุกวันในปีแรก

ช่วงแรกหล่อนร่ำ ๆ จะพุ่ง ไปหาเขาหลายครั้ง ดีแต่ยั้งใจตัวเอง

ไว้ทันทุกครั้ง

เขาขอเวลา หล่อนก็ควรให้เวลาเต็มที่ อิศรางค์จะได้มีเวลา

ไตร่ตรอง

ครั้งหนึ่งเขายืนอยู่กับกลุ่มเพื่อนชายที่ซอยเล็กๆ ระหว่าง

คณะ วโรบลเห็นเขายิ้มกว้าง หัวเราะ ส่งเสียงหยอกเย้าคนเดินผ่าน

เหมือนเพื่อนที่ยืนอยู่ด้วยกัน หญิงสาวสองจิตสองใจอยู่นานว่าจะเข้า

ไปทักเขาหรือเดินอ้อมไปอีกทาง ดีแต่เพื่อนที่มาด้วยกันไม่ต้องการ

เดินลัด จึงผลักให้หล่อนเข้าซอยนั้น

วโรบลเดินตัวแข็ง หัวหูตื้อตึง ไม่ได้ยินเสียงอิศรางค์หรือเสียง

ใครทั้งนั้น หล่อนเอาแต่ก้มหน้างุด ซ่อนหน้าตัวเองไว้ แต่ถึงกระนั้น

ความเกร็งกลับทำให้สะดุดขาตัวเอง จนล้มถลาไปที่พื้น หากเข่ายัง

ไม่ทันกระแทก เอวหล่อนก็ถูกรวบไว้โดยแรงจนจุกเสียด หญิงสาว

กัดริมฝีปากแน่นระงับเสียงครางด้วยความเจ็บปวด ขณะร่างหล่อนถูก

จับยืนขึ้น

เสียงแซวดังกระหึ่ม แต่คนรั้งหล่อนไว้ช่วยแล้วก็ถอยห่างไป

คุยกับเพื่อนเขา แม้ว่าวโรบลจะหันไปมอง เขาก็ไม่ยอมมองตอบ

“ขอบใจ” หญิงสาวบอกเสียงแผ่วหวิว จากนั้นก็รีบจากมา

โดยไม่รู้ว่าเขาได้ยินหรือเปล่า

แค่หน้าหล่อนเขายังไม่ยอมมอง แล้วหล่อนจะฝืนอยู่ตรงนั้น

ไปทำไม

หลังจากเหตุการณ์นั้น วโรบลก็เก็บตัวร้องไห้อยู่ทั้งวันกว่า

จะสงบใจได้ หัวสมองย้ำเตือนว่าเขาไม่สนใจหล่อนแล้ว แต่...ขอรอ

อีกสักพักได้ไหม อีกไม่นาน...เผื่อเขาจะเปลี่ยนใจ

หากอิศรางค์ก็ไม่เคยหันมา

เวลาผ่านไปหนึ่งปี หญิงสาวเริ่มควบคุมตัว เองไม่อยู่ ห้ามใจ

ตัวเองไม่ได้ จึงตัดสินใจคุยให้ชัดเจนว่าเขาไม่พอใจเรื่องอะไร ต้องการ

ให้ปรับปรุงตรงไหน หรืออยากเลิกรากันจริงๆ ทุกอย่างจะได้เด็ดขาด

เสียที

ทั้งที่รวบรวมกำลังใจได้แล้ว แต่ความตั้งใจของหล่อนก็มี

อันพังทลายในพริบตา เมื่อข่าวนักกีฬาฟุตบอลหนุ่มหล่อคบหากับ

เชียร์ลีดเดอร์สาวสวยดาวมหาวิทยาลัยเริ่มกระจายไปทั่ว

ทิวารี...หนึ่งในเพื่อนสนิทของวโรบลเป็นเชียร์ลีดเดอร์และ

ได้เห็นเหตุการณ์วงใน ก็เอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมเล่าตรงๆ คงกลัวว่า

วโรบลจะเสียใจหนักขึ้นไปอีก

ผลสุดท้ายแผนการพูดคุยงอนง้อจึงยกเลิกไป วโรบลพยายาม

สั่งให้ตัวเองตัดใจ ไม่สนใจอิศรางค์อีกต่อไป แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะ

ในส่วนลึกหล่อนยังหวังว่าอิศรางค์จะแค่วอกแวกในช่วงที่ห่างกัน แต่

ท้ายที่สุดแล้วเขาจะกลับมา

หากการรอคอยของหล่อนเป็นแค่การหลอกตัวเองของคนโง่

ที่ไม่ยอมรับความจริง ว่าอนาคตของหล่อนกับเขาไร้ความหวังโดย

สิ้นเชิง

สี่ปี...เป็นระยะเวลาที่ทำให้เด็กเล็กกลายเป็นเด็กโตได้ แต่

วโรบลกลับยอมรับความจริงไม่ได้ว่าอิศรางค์หมดรักหล่อนแล้ว หัวใจ

หล่อนปิดตาย เปิดรับใครไม่ได้ แม้จะพยายามตัดใจครั้งแล้วครั้งเล่า

สี่ปีที่ไม่เคยพูดกัน สี่ปีแห่งความสิ้นหวัง แต่ความหวังกลับ

ไม่เคยหมดสิ้น แม้จะเหลืออยู่น้อยเต็มที และแม้ว่าการมีความหวังจะ

ทำให้เจ็บมากกว่าสุขก็ตาม

วโรบลเคยโกรธตัวเอง เกลียดตัวเองที่เป็นคนฝังใจและลืม

ยาก แต่หล่อนก็ทำอะไรไม่ได้และไม่อยากทำ จึงได้แต่เพียงปล่อยเวลา

ให้เดินไปเรื่อยๆ รักษาหัวใจตัวเองไว้โดยการหลีกห่าง ไม่พบหน้า และ

พยายามทำใจ แม้จะเศร้าอยู่ลึกๆ หากชีวิตการเรียนและสังคมของ

หล่อนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น

หลังเรียนจบ วโรบลหนีจากกรุงเทพฯ อย่างไม่เหลือรอย

อาลัย หล่อนเผ่นกลับไปทำงานที่บ้านเดิม แม้จะรู้ว่าอิศรางค์กลับมา

ทำงานที่บ้านเช่นกัน แต่หล่อนไม่เคยติดต่อไป และเขาก็ไม่เคยติดต่อ

มา

เมื่อมีเวลาว่าง หญิงสาวใช้เวลาเดือนกว่าที่บ้านในการครุ่นคิด

ไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้น การกลับมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ทำให้ภาพ

ความหลังเก่าๆ เดินขบวนเข้ามาย้ำเตือนอดีตอันแสนหวานที่จะไม่

เกิดขึ้นอีกแล้ว แม้ว่าจะอยู่ในถิ่นเดิมก็ตาม

วโรบลคิดแล้วคิดอีก จนตัดสินใจได้

วันรับปริญญา คือการจบชีวิตปริญญาตรี และควรจะเป็น

วันสิ้นสุดความรักเพ้อเจ้อของหล่อนในช่วงมหาวิทยาลัยเสียที

หากอิศรางค์ยังเหลือความอาลัย หากสายใยยังร้อยรัดเขาไว้

แน่นหนาเหมือนหล่อน เขาอาจยอมเริ่มต้นใหม่

แต่หากเขาไม่เหลือเยื่อใย...

หญิงสาวถอนใจ คงถึงเวลาแล้วที่หล่อนจะขุดรากถอนโคน

รักแรกที่ฝังลึกให้สิ้นซาก แม้ว่าหัวใจที่เคยถูกฝังรากไว้จะยับเยินจาก

การรื้อถอนก็ตาม

นวันรับปริญญา หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนสนิทแล้ว วโรบล

ก็ตั้งหลัก สูดลมหายใจเข้าปอดลึก

เมื่อตัดสินใจว่าจะไปพบอิศรางค์ก็ต้องรีบไป ก่อนความกลัว

จะทำให้เปลี่ยนใจเหมือนทุกครั้ง

หญิงสาวเร่งฝีเท้าในช่วงแรก หากแล้วก็ค่อยๆ ช้าลง ด้วย

ความกลัวที่ฝังรากลึกผุดพรายขึ้นเป็นระยะ คำพูดเตือนสติของคนรอบ

ตัวตลอดสี่ปีทยอยทะลักขึ้นมาในหัว

“เขาคงคิดว่าบลรู้ตัวแล้วละมั้ง ผ่านมานานขนาดนี้แล้วนะ

บลไม่ยอมรับเองหรือเปล่า

แต่อิศรางค์ไม่เคยบอกเลิก เขาแค่ขอห่าง ถึงจะห่างนานตั้ง

สี่ปีก็เถอะ และเขาก็ไม่เคยประกาศว่ามีแฟนใหม่ มีแค่ข่าวลือว่าเขามี

ใครเท่านั้น

“ก็แค่นิสัยเจ้าชู้ของผู้ชาย ไม่ยอมรับว่าคบหากับใคร จะได้

จีบสาวไปได้เรื่อยๆ ไงล่ะ

ไม่จริง! อิศรางค์ไม่ใช่คนอย่างนั้น ครั้งที่คบหากันสมัยมัธยม

เขายังประกาศให้ใครต่อใครรู้

“แต่ไม่ได้คุยกันตลอดสี่ปีนี่นะ มาหาก็ไม่มา คนรักกันไม่

ทำกันอย่างนี้หรอก

ฉันไม่รู้! อย่าทำให้ฉันคิดได้ไหม ฉันไม่อยากรับรู้ ไม่อยาก

จะหาเหตุผลอะไรทั้งนั้น!

ขาที่ก้าวช้าๆ ของวโรบลชะงักกึก เมื่อสายตาจับภาพของคนที่

หัวใจเรียกหามาตลอดสี่ปี่ได้ อศิรางค์โดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย

และกำลังกระทำในสิ่งที่ช่วยยืนยันความคิดของ...คนอื่น

หญิงสาวมองมือใหญ่ที่โอบรอบเอวเล็กของผู้หญิงคนหนึ่ง

ก่อนช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคมคายล้อมรอบด้วยผมสลวยของสาวสวย

คนเดิม หน้าตาของผู้หญิงคนนั้นงดงามหมดจด รอยยิ้มเจิดจรัสอย่าง

คนที่มีความสุขเต็มเปี่ยม โดดเด่นจับตาแม้จะอยู่ในชุดครุยที่เหมือน

คนอื่นๆ เหมาะสมแล้วที่เคยได้รับเลือกเป็นดาวมหาวิทยาลัย

ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

นัยน์ตาของวโรบลหลุบต่ำ ขาแข็งทื่อจนก้าวต่อไปไม่ไหว

ขอบตาแห้งผาก ไม่มีแม้แต่หยดน้ำ...มันจะมีได้อย่างไร ในเมื่อหล่อน

ร้องไห้มามากแล้ว ร้องมาตลอดสี่ปี

หากถึงหัวใจจะรับรู้ แต่สมองไม่เคยยอมรับ

แต่วันนี้หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะจบก็ต้องจบให้ได้ สิ่งที่เห็น

ชัดเจนจนไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร คนรักกันก็ต้องแสดงออกแบบที่เขาทำ

กับผู้หญิงคนนั้น ไม่มีทางที่จะไม่พูดคุย ไม่เข้าใกล้นานนับสี่ปีเหมือน

อย่างที่ทำกับหล่อน

หล่อนควรไปบอกเลิกเขาอย่างเป็นทางการไหม...คงไม่ต้อง!

ใจเขาคงคิดว่าเลิกกับหล่อนไปนานแล้ว ต่อให้หล่อนเดินผ่านหน้า ก็

ไม่มีทางอยู่ในสายตาคมกล้าคู่นั้นอีกต่อไป

ขืนหล่อนบอกเลิก เขาคงหัวเราะเยาะที่หล่อนยังโง่งมไม่เลิก

หล่อนอยากหลอกตัวเองต่อไป แต่หญิงสาวตัดสินใจแล้วว่า

วันนี้ควรเป็นวันสิ้นสุด ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ดังนั้นหล่อนต้อง

ตัดใจให้ได้

วโรบลหันหลังกลับ เดินตัวแข็งทื่อราวไร้ชีวิต โดยไม่สนใจ

อีกต่อไปว่าจะมีใครสังเกตเห็นหล่อนหรือไม่

ากหญิงสาวเดินไปได้ไม่ไกล ไม่ทันถึงป้ายรถเมล์ด้วยซ้ำ

เพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลายที่จบมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่อยู่คน

ละคณะก็โทร.มาตามไปถ่ายรูปร่วมกัน

วโรบลปฏิเสธได้ไม่กี่ประโยค เพื่อนเก่าก็เล่นไม้ตาย ฟูมฟาย

จนหญิงสาวยอมแพ้ ต้องเดินย้อนกลับไปที่ประตูมหาวิทยาลัยอีกครั้ง

จุดนัดหมายคือหน้าป้ายมหาวิทยาลัย มีบัณฑิตหลายกลุ่ม

เข้าคิวเพื่อถ่ายรูปกับป้าย เพื่อนของหล่อนร่วมสิบคนกำลังถ่ายรูปกัน

จ้าละหวั่น บ้างก็รูปคู่ รูปสาม หรือไม่ก็กรูกันเป็นกลุ่มใหญ่

“บลมาแล้ว ครบเสียที มา...มาถ่ายรูปหมู่ได้แล้ว!”

เพื่อนที่โทร.ตามหล่อนเป็นตัวตั้งตัวตีในการจับฝูงลิงค่างให้

เข้าที่ วโรบลฝืนยิ้มให้ทุกคน แล้วเดินไปยืนอยู่ริมด้านหนึ่ง ปล่อยให้

เพื่อนๆ แย่งกันอยู่แถวหน้า

ทุกคนถูกไล่มาเข้าที่ กล้องถูกนำไปยัดเยียดให้ช่างถ่ายรูป

เป็นสิบตัว

วโรบลตัวแข็งทื่อ เมื่อคนที่เดินไปคุยบางอย่างกับช่างภาพ

เดินกลับมาเข้ากลุ่ม โดยยืนเยื้องไปด้านหลังหล่อนเล็กน้อย

กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ลอยเข้าจมูก ไอร้อนจากร่างกายแผ่กระจาย

จนรู้สึกได้ หากไม่มีเสียงทักทาย ไม่แม้แต่จะสบตา รอยยิ้มของ

หญิงสาวเฝื่อนลง ความน้อยใจทะลักขึ้นเต็มอก แม้จะพยายามย้ำกับ

ตัวเองว่าหล่อนไม่มีสิทธิ์น้อยใจเขาอีกต่อไป

วโรบลไม่รู้ว่าถูกถ่ายรูปไปกี่สิบครั้ง หากทันทีที่การถ่ายรูป

หมู่เสร็จสิ้น หล่อนก็รีบเอ่ยปากขอตัว แล้วเผ่นออกมาอย่างรวดเร็ว

เรื่องนี้ควรจะจบเสียที จบตั้งแต่วันนี้นี่แหละ

โรบลกลับบ้านที่ต่างจังหวัดในอีกสองวันต่อมา และเริ่ม

ช่วยงานที่บ้านอย่างเป็นทางการ

ครอบครัวหล่อนทำรีสอร์ตขนาดกลาง โดยใช้พื้นที่ริมทะเล

ติดหาดที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง วโรบลจึงไม่ต้องไปยื้อแย่งสมัครงานกับ

คนอื่น ตรงกันข้าม งานบัญชีจำนวนมหาศาลถูกพี่ชายโยนโครมมาให้

จนแทบฝังร่างเล็กๆ ของหล่อนมิดตั้งแต่วันแรกที่กลับบ้าน

วรงค์...พี่ชายคนเดียวของวโรบลเรียนจบด้านบริหารธุรกิจ

และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในการดูแลกิจการของทางบ้าน ในขณะที่

น้องชายคนเล็ก วัสนะ ยังเรียนมัณฑนศิลป์ไม่จบ แต่สามารถจัดสวน

ของรีสอร์ตให้งดงามจนมีคนไถ่ถามถึง แต่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่

เชียงใหม่ จะกลับบ้านเฉพาะช่วงปิดเทอมเท่านั้น

ถึงวโรบลจะรักบ้าน และมีความสุขกับการอยู่กับครอบครัว

หากบรรยากาศสงบสุขริมทะเลไม่เหมาะกับคนอกหักเป็นอย่างยิ่ง

ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะมีคู่รักมากมายมาเสพบรรยากาศ

โรแมนติกที่รีสอร์ตน่ะสิ และถึงจะรู้แก่ใจว่าไม่มีใครรู้เรื่องของหล่อน

แต่คนอกหักก็พาลได้อยู่ดี

“บล”

พี่ชายที่ยุ่งจนหัวปั่นกับการต้อนรับแขกจำนวนมากโผล่หน้า

มาด้านหลังจนวโรบลสะดุ้งโหยง

“มานั่งเหม่ออะไรตรงนี้”

“ปะ...เปล่าค่ะ” น้องสาวถอนสายตาจากคู่รักหวานแหววที่

กำลังเล่นน้ำทะเลมามองหน้าถมึงทึงของวรงค์ “บลเคลียร์งานเสร็จแล้ว

เลยพักแค่...แป๊บเดียวเอง”

“หายเหนื่อยแล้วหรือยัง” เสียงห้าวถามดุๆ จนวโรบลต้อง

รีบตอบ

“หายแล้วค่ะ”

“งั้นดีแล้ว! เอาเจ้ากระป๋องเขียวไปศูนย์ซ่อมให้พี่หน่อย มัน

เร่งความเร็วไม่ค่อยได้”

คนฟังทำหน้างง เพราะพี่ชายมีลูกน้องให้ไหว้วานได้มากมาย

ไม่จำเป็นต้องใช้หล่อนเสียหน่อย

“ไปที่ศูนย์ซ่อมบำรุงบ้านนายอิศไง อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก”

แค่ได้ยินชื่อวโรบลก็เสียวแปลบในอก “ให้ลูกน้องพี่หวายไป

ก็ได้นี่คะ”

“ไม่! เรานั่นแหละว่างอยู่คนเดียว ไปซะ อย่าเรื่องมาก!” แค่

นั้นยังพอรับไหว ถ้าพี่ชายตัวดีจะไม่งึมงำต่อว่า “เผื่อได้ส่วนลด”

วโรบลอยากกรี๊ดดังๆ ถึงหล่อนจะไม่เคยบอกพี่ชายเรื่อง

อกหักรักคุด แต่การที่อิศรางค์ไม่โผล่หน้ามาที่บ้านตลอดสี่ปี ทั้งที่สมัย

มัธยมเขารับส่งหล่อนแทบทุกวัน ร่วมกับการที่หล่อนซึมเศร้าลงตั้งแต่

เข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้ทำให้พี่ชายรู้เลยหรือว่าน้องสาวกำลังอกหัก

ดูเหมือนว่าอิศรางค์จะไม่ได้บอกใครเรื่องเลิกรากับหล่อน

เช่นกัน ไม่อย่างนั้นข่าวลือคงกระจายไปทั่วเมืองแล้ว และพี่ชายหล่อน

คงไม่พลาดข่าวประเภทนี้อย่างแน่นอน

‘แปลกจริง อิศรางค์ไม่เคยแนะนำแฟนใหม่ของเขากับที่

บ้านเลยหรือ

ช่างเถอะ! หญิงสาวบอกตัวเอง คิดไปหัวใจก็มีแต่เจ็บมากขึ้น

ดังนั้นไม่คิดดีกว่า

ทั้งที่ห้ามตัวเองคิดอย่างดิบดี แต่เมื่อมาถึงอู่ซ่อมรถ วโรบล

ยังไม่วายมองแล้วมองอีก จนแน่ใจว่าไม่เห็นอิศรางค์ในศูนย์ซ่อมบำรุง

หล่อนจึงเคลื่อนรถเข้าไปในตัวอาคาร

ช่วงแรกทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เหมือนหล่อนเป็นลูกค้า

ขาจรทั่วไป ทำให้หญิงสาวหายใจเต็มปอดขึ้น หล่อนรอจนช่างตรวจพบ

ว่ารถผิดปกติตรงไหน และต้องซ่อมอย่างไร จะได้จดจำไปบอกพี่ชาย

ชนิดตรงเป๊ะทุกคำและรูปประโยค

หากฐานะลูกค้าทั่วไปของหล่อนเปลี่ยนอย่างกะทันหัน เมื่อ

ถึงเวลาจ่ายเงินมัดจำ “คนนี้ไม่ต้องเก็บมัดจำ”

ลูกจ้างชายหันไปตามเสียงทันที แล้วพยักหน้าหงึกๆ รีบส่ง

บัตรรับรถให้วโรบล ก่อนจะผละไป

หญิงสาวรีบยกมือไหว้เจ้าของเสียง ซึ่งเป็นคนคุ้นเคยในอดีต

“สวัสดีค่ะ พี่พาย”

“ดีจ้ะ เป็นไง ไม่เห็นหน้ากันตั้งนาน”

อนุช...พี่สาวของอิศรางค์ยังงดงามเฉิดฉาย แม้จะอยู่ในชุด

เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนก็ตาม สมแล้วที่ได้รับตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่ง

ของจังหวัดสิบปีซ้อน

 “สบายดีค่ะ”

“เราน่ะขี้เกรงใจจนติดเป็นนิสัย ความจริงโทร.มาบอกก็ได้

เดี๋ยวตานั่นก็แล่นไปดูให้ถึงบ้านเองนั่นแหละ ไม่ต้องทำตัวเป็นทางการ

อย่างนี้หรอก”

วโรบลชะงัก

โทร.บอกหรือ...อิศรางค์ใช้เบอร์อะไร หล่อนยังจำไม่ได้เลย

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะที่หนักกว่าคือหล่อนไม่ได้พูดจากับเขา

มานานเหลือเกินแล้ว นานจนนึกไม่ออกว่าประโยคแรกควรจะเริ่มคุย

กันอย่างไร

“ให้บลจ่ายมัดจำดีกว่าค่ะ พี่พาย” เพราะหล่อนไม่ควรได้

สิทธิพิเศษใดๆ

“ไม่ได้!” อนุชเสียงสูงทันที “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ

เรากับเจ้าอิศเรียนจบทั้งคู่แล้ว ยังไงอีกไม่นานก็ไม่พ้นเป็นครอบครัว

เดียวกัน”

คนฟังตีหน้าไม่ถูก นี่หมายความว่าอิศรางค์ไม่เคยเล่าเรื่อง

ความรักของตัวเองให้ที่บ้านฟังใช่ไหม

“ยิ่งไม่ได้ใหญ่ค่ะ เพราะตอนนี้บลไม่ได้...”

แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง!

เสียงวัตถุหนาหนักกระทบพื้น ทำให้สองสาวสะดุ้งโหยง

วโรบลหันขวับไปมองด้านหลังทันที

เมื่อเห็นชัดว่าต้นกำเนิดเสียงมาจากใคร หล่อนถึงกับตัวแข็ง

ทื่อ ร่างกายเย็นยะเยือกเหมือนมีลมหนาวพัดผ่าน ทั้งที่แดดด้านนอก

ยังแรงจัด ความรู้สึกคุกคามแผ่กระจายจากร่างสูงใหญ่ในชุดช่างที่

เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมัน ทำให้หล่อนรู้สึกว่าร่างใหญ่นั้นคับเต็มประตู

ทางเข้า ท่อนเหล็กยาวกลิ้งกระจายอยู่ข้างประตู...ซึ่งคงเป็นของที่ถูก

โยนทิ้งเมื่อครู่

 “ซ่อมรถนอกสถานที่เสร็จแล้วหรือ” อนุชทักน้องชายยิ้มๆ

“ดูสิว่าใครมา”

“อะไหล่ไม่มี เลยลากกลับมา” เสียงห้าวห้วนจัดตอบเฉพาะ

คำถามแรก นัยน์ตาคมตวัดมองวโรบล ตาต่อตาสบกันวูบเดียว แต่

ความว่างเปล่าที่ได้เห็นก็ทำให้คนถูกมองแน่นอก

อิศรางค์ถอนสายตามามองพี่สาว แล้วบอกสั้นๆ

“ผมจะไปล้างตัว”

ว่าแล้วร่างนั้นก็ก้าวผ่านหล่อนไปเหมือนคนแปลกหน้า ไม่

แม้จะทักทายอย่างลูกค้าทั่วไป วโรบลก้มหน้าชิดอก พยายามควบคุม

อารมณ์เต็มที่

“ทะเลาะกันหรือ”

อนุชรอจนน้องชายลับหายจึงถามฝ่ายถูกเมิน คิ้วสวยขมวด

มุ่น “นายอิศนิสัยแย่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร ให้ทะเลาะกันขนาดไหนก็

ไม่ควรทำตัวเย็นชาอย่างนี้ บลไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพี่ตำหนิให้เอง”

วโรบลส่ายหน้า รีบส่งเงินให้อนุช

“พี่พายรับเงินไว้เถอะค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ไว้ใจบล แต่

ทำกับบลเหมือนลูกค้าทั่วไปเถอะค่ะ บลไม่มีสิทธิ์อะไรมากกว่านั้น

ขอบคุณนะคะ”

ว่าแล้วหล่อนก็รีบหนีออกมาก่อนจะถูกอนุชซักไซ้ไล่เลียง

คนที่จะให้คำตอบอนุชได้มีเพียงอิศรางค์คนเดียวเท่านั้น

เพราะถึงทุกวันนี้วโรบลยังไม่รู้เลยว่าตัว เองทำอะไรผิด เขาถึงได้เย็นชา

ด้วยขนาดนี้

ายน้ำจากก๊อกไหลผ่านช่องว่างระหว่างมือที่กำแน่น ชะล้าง

คราบน้ำมันบางส่วนให้ไหลตามน้ำไป กรามแกร่งขบเม้มจนกล้ามเนื้อ

ที่หน้าสั่น ริมฝีปากเม้มแน่น ด้วยเจ้าของร่างกายกำลังควบคุมอารมณ์

อย่างเต็มที่

ครั้งนี้เขาไม่ได้ประชิดตัวหล่อนจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือน

ครั้งที่แล้ว จึงไม่ต้องหักห้ามใจตัวเองเท่าครั้งก่อน แต่ทั้งที่ระยะห่าง

มากกว่า หากการพบกันครั้งนี้กลับบีบเค้นหัวใจเขายิ่งกว่า

ในวันรับปริญญา อิศรางค์คาดหวังว่าอย่างน้อยที่สุดวโรบล

คงมองมาที่เขาบ้าง หรือถ้าหล่อนมีหัวใจสักนิด หล่อนคงยิ้มให้เขาใน

วันพิเศษวันนั้น แต่ไม่เลย วโรบลก้มหน้างุดตลอด หรือไม่ก็เมินมอง

ไปทางอื่น ขนาดเขายืนประชิดติดหลังแท้ๆ หล่อนยังไม่สนใจ

การขอถอยห่างของเขาได้ผลสำเร็จดียิ่ง! หล่อนตั้งอกตั้งใจ

ถอยห่างเขาจริงๆ โดยไม่มีแม้แต่รอยอาลัย

รอยยิ้มขื่น ๆ ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา...ขนาดวันนั้นอยู่ห่าง

กันไม่กี่ก้าว ตาต่อตาสบกัน หล่อนยังหลบหน้าหลบตาเขา ทำเหมือน

เขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่แม้แต่จะยิ้มให้

ถึงเวลาที่เขาควรหยุดได้แล้วใช่ไหม หยุดก่อนที่จะทรมาน

ตัวเองนานไปกว่านี้

เขารู้ตั้งแต่วันที่ขอ ‘ห่าง’ หล่อนแล้ว ว่าความหวังของเขา

เลือนรางมากแค่ไหน ซึ่งวโรบลก็ย้ำคำตอบนั้นให้ชัดเจนมากขึ้น แต่

ถึงกระนั้นเขาก็ยังรอ...หวังพียงเวลาจะทำให้หล่อนรู้สึกว่ามีบางอย่าง

ขาดหาย บางอย่างที่สำคัญกับหล่อน...แม้น้อยนิดก็ยังดี หากความหวัง

ของเขาเป็นได้เพียงหมอกจาง ที่นานๆ ครั้งจะลอยมาใกล้ แต่แล้วก็

หายไป

แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน พยายามตัดใจ ยอมรับความ

สิ้นหวังนับครั้งไม่ถ้วน เขาก็ยังพูดคำนั้นไม่ได้อยู่ดี

‘เลิกกันเถอะ’

เขายอมเป็นคนที่ใจร้าย เป็นผู้ชายนิสัยไม่ดี ขอเพียงยังคง

สถานภาพ ‘ห่างกันสักพัก’ ไว้เท่านั้น เผื่อจะยังเหลือโอกาสที่เขาจะ

สมหวังอยู่บ้าง แม้จะน้อยนิด เขาก็ยังอยากจะรอ

อย่างน้อย...วโรบลก็ยังไม่คบผู้ชายอื่น

แต่วันนี้...เมื่อพบหน้ากันจะจะ อารมณ์และความอดกลั้นของ

เขาร้าวเป็นเสี่ยงๆ จวนเจียนจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ขนาดกลับมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมและความทรงจำเก่าๆ

หล่อนก็ยังไม่มองเขา...ไม่สนใจเขา

ถ้าเขารอคอยต่อไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา จะมีสิ่งใด

เปลี่ยนแปลงได้อีกหรือไม่ สี่ปีน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ที่นานพอแล้ว

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก...ไม่มีใครที่ได้ทุกอย่างตาม

ต้องการ เขาคงต้องยอม...ตัดใจ...จากบางสิ่ง อย่างน้อยก็ดีกว่าต้อง

เสียทุกอย่างไป

าการซึมและเหม่อลอยของน้องสาวเริ่มหนักขึ้น แต่คน

เป็นพี่ชายกลับไม่รับรู้ หรืออีกอย่างก็ไม่สนใจ จึงขับไสไล่ส่งให้วโรบล

ไปรับรถที่ซ่อมเสร็จแล้วคืน

“บลออกค่าซ่อมให้” น้องสาวตอบดื้อๆ “พี่หวายส่งคนไป

รับได้เลย”

คนเป็นพี่ว้ากลั่น

“คนอื่นเขามีงานมีการทำ เรานั่นแหละที่มีเวลามานั่งเหม่อ

ดังนั้นไปซะ!”

น้องที่แพ้พี่จนชินลงท้ายก็สู้ไม่ได้อีกตามเคย

อีกครั้งที่วโรบลมองจนแน่ใจว่าคนน่ากลัวไม่อยู่แน่ๆ จึง

เดินเข้าอาคารซ่อมบำรุง

นายช่างตัวเล็กคนเดิมเดินไปหยิบกุญแจรถ แล้วตั้งท่าจะออก

ไปทดสอบรถกับหล่อน หากเมื่อคว้ากุญแจที่อยู่ในลิ้นชักได้ มือใหญ่

ผิดรูปร่างกลับถูกตะปบ

“ฉันเป็นคนซ่อม เดี๋ยวฉันไปเอง”

คนถูกแย่งงานแค่พยักหน้าอย่างเนือยๆ แล้วส่งกุญแจให้

ลูกเจ้านายอย่างว่าง่าย ในขณะที่คนยืนรออยู่ข้างรถตัวแข็งทื่อ

‘งาน...นี่เป็นงาน

สาเหตุที่ทำให้เขายุ่งเกี่ยวกับหล่อนก็เพียงเพราะงานเท่านั้น

หญิงสาวท่องถี่รัวในใจ ขณะลอบมองอิศรางค์

ใบหน้าคุ้นตา หากร่างกายสูงใหญ่กำยำอย่างชายฉกรรจ์กลับ

ไม่คุ้นใจเท่าร่างโปร่งเพรียวของเด็กหนุ่มคนเดิม แม้กระทั่งน้ำเสียงที่

ห้าวห้วนและเย็นยะเยียบ ไม่คล้ายเสียงทุ้มนุ่ม อบอุ่นจากคนเคยใกล้

แม้สักน้อย

“ขึ้นรถสิ”

นี่คือคำแรก หลังจากที่ไม่ได้พูดกันนานปี

วโรบลกลั้นใจ ระงับอารมณ์น้อยใจเต็มที่ ยามตอบว่า

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องลองรถหรอก ถ้ามีอะไรค่อยเอามาใหม่”

“เอามาใหม่ ก็คิดเงินใหม่” เสียงห้าวห้วนหนักขึ้นไปอีก “ถ้า

ลองตอนนี้แล้วมีอะไรผิดพลาดไม่คิดเงินเพิ่ม”

วโรบลอ้าปากเตรียมค้าน แต่อีกฝ่ายไม่ให้โอกาส เขาเปิด

ประตูด้านคนขับ แล้วดันร่างหล่อนเข้าไป ก่อนจะเดินไปนั่งข้างคนขับ

“ออกรถ! อย่าให้ฉันเสียเวลามากกว่านี้ งานอื่นยังต้องทำ”

ทำไมต้องใช้เสียงห้วนสั้นอย่างนี้ด้วย ถึงจะเลิกกันแล้วก็ยัง

มีโอกาสเป็นเพื่อนกันได้ หล่อนทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือ เขาอยาก

เลิก หล่อนก็ไม่เคยตื๊อ ไม่เคยกวนใจ ทำไมเขาถึงดูรังเกียจเดียดฉันท์

หล่อนนักเล่า

คำค้านถูกกลืนลงคอ อารมณ์ประชดประชันชนะความมี

เหตุผล...รู้ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา อย่างไรเขาก็ไม่เหลือใจให้หล่อน

แล้ว รีบๆ ลองให้มันเสร็จ นับจากนี้ไปไม่ต้องพบหน้ากันอีก

แต่ทั้งที่สั่งตัวเองให้รีบเร่ง แขนขากลับแข็งทื่อจนเคลื่อนไหว

ไม่ได้ตามปกติ ดังนั้นรถจึงออกตัวอย่างกระตุก

ตึก! ตึก! ตึง!

รถกระตุกสามจังหวะ ก่อนเงียบนิ่ง

วโรบลสตาร์ตรถอีกครั้ง พยายามถอนคลัตช์ช้าๆ แต่เพราะ

เกร็งจึงลงเอยด้วยเหตุการณ์แบบเดิม

“เหลือเชื่อนะ ที่เมื่อวานเธอขับรถมาถึงอู่ได้”

เสียงห้าวเอ่ยลอยๆ ก่อนมือใหญ่จะวางทับมือเล็กที่อยู่บน

เกียร์

วโรบลเกร็งหนักขึ้นไปอีก อิศรางค์ปรายตามองหล่อนอย่าง

หงุดหงิด

“สตาร์ตรถอีกครั้งสิ ค่อยๆ ถอนเท้าจากคลัตช์ช้าๆ เหยียบ

คันเร่งทีละนิด เรื่องแค่นี้ต้องบอกด้วยหรือ”

จากที่เคยแข็งแค่แขนขา คอของหล่อนเลยพานแข็งไปด้วย

คำแก้ตัวติดแน่นอยู่เต็มคอจนเปล่งเสียงไม่ได้ หากโชคดดีที่รถเจ้ากรรม

คงกลัวอิศรางค์พอๆ กับหล่อน ครั้งนี้มันจึงไม่กระตุก

“เหยียบคันเร่ง แล้วเปลี่ยนเกียร์ได้” ท่าทางเขาใกล้เหลืออด

เต็มที “ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าไม่มีเวลามากนัก”

ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น นัยน์ตาหลุบต่ำ ก่อนเหยียบคันเร่งแรง

ตามคำสั่ง

ก่อนหน้านี้เขาไม่แยแสก็ทำให้หล่อนเจ็บช้ำเหลือเกินแล้ว แต่

วันนี้มันหนักหนายิ่งกว่า...คนที่เคยอ่อนโยน ขี้เล่น กลับพูดจาห้วนสั้น

ไม่มีน้ำใจ ไม่สนว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร หล่อนทำ อะไรให้เขาโกรธแค้น

โดยไม่รู้ตัวหรือไร เท่าที่จำได้เขาเป็นคนขอแยกห่าง เป็นคนที่เมิน

หล่อนด้วยตัวเอง แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาทำตัวใจร้ายกับหล่อนอย่างนี้

ขอบตาร้อนผ่าวขึ้น จนต้องกะพริบตาถี่ๆ

ช่างมันเถอะ ช่างมัน! ทดสอบรถให้เสร็จ แล้วต่างคนต่างอยู่

เหมือนเดิม อย่าคิดมากเลย

รถเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลไปช้าๆ ได้สักกิโลเมตร วโรบลก็

ตั้งท่าจะวกรถกลับ แต่เสียงห้าวดักคอไว้ก่อน

“ไปวนที่ถนนริมทะเล แล้วค่อยกลับ จะได้ลองขึ้นเนินด้วย”

‘ไม่อยากไป!

ริมฝีปากอิ่มเม้มจนแดงก่ำ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างโต้แย้งกัน

แล้วเจ็บใจมากขึ้นเพราะเถียงไม่ชนะ กับทำตามสั่งให้เสร็จสิ้นเร็วๆ

หญิงสาวเลือกอย่างหลัง

เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนริมทะเล ลมทะเลเค็มๆ ก็พัดเข้ามาใน

ตัวรถ เนื่องจากช่วงเย็นรถเยอะ วโรบลจึงต้องไปอย่างเชื่องช้า จนตัว

หล่อนอึดอัดไม่ใช่น้อย

ภาพความทรงจำในอดีตย้อนทวนเข้ามาในหัวตลอดเส้นทาง

อันยาวนานของถนนสายนี้

อิศรางค์คงจำไม่ได้ เขาถึงนั่งนิ่ง ตีหน้าเรียบเฉยตลอด ต่าง

จากหล่อนที่ความทรงจำโหมกระแทกใส่จนแน่นอก

ตอนขึ้น ม.ปลายปีสุดท้าย อายุครบสิบแปดปี หล่อนพบว่า

เพื่อนๆ ในห้องขับรถเป็นเกือบหมดแล้ว วโรบลจึงกระตือรือร้นอยาก

เรียนขับรถบ้าง แต่ช่วงนั้นพ่อยังวุ่นกับการสร้างรีสอร์ตให้มั่นคง แม่ก็

ขับรถไม่เป็น ส่วนพี่ชายซึ่งน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดปฏิเสธ

ชัดเจน

“ไปขอให้เจ้าอิศมันสอนไป๊! มีแฟนทั้งทีไม่รู้จักใช้ประโยชน์

บ้าง!

วโรบลได้แต่กะพริบตาปริบๆ ให้กับความใจร้ายของพี่ชาย

คนเดียว ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากรบกวนอิศรางค์ ดังนั้นกว่าจะได้

เรียนขับรถ ก็เมื่อวรงค์ทนความขี้เกรงใจของน้องสาวไม่ไหว จนเอ่ย

ปากกับอิศรางค์ด้วยตัวเอง

แน่นอนว่าอิศรางค์ไม่ปฏิเสธ...จนกระทั่งวโรบลพุ่งเข้าชน

รั้วต้นไม้เป็นรอบที่ห้า

“ฉันคงไม่มีความสามารถ” เขางึมงำซ้ำแล้วซ้ำอีก ความมั่นใจ

ในตัวเองพังระเนระนาดไปพร้อมกับรั้ว

“เราย้ายที่เรียนกันดีกว่า มีถนนสายเล็ก เลียบทะเลฝั่งเหนือ

ตรงนั้นคนน้อยดี และไม่มีรั้วให้เธอพุ่งชนด้วย อย่างมากก็แค่พุ่งลง

ทะเล!

ถือว่าโชคดีที่อิศรางค์รู้ฝีมือหล่อนแล้ว เขาเลยระมัดระวังมาก

ขึ้น ผลลัพธ์คือแม้ลูกศิษย์จะยังไม่เอาไหน แต่ก็ไม่ถึงขั้นพาอาจารย์ลง

ไปนอนแช่น้ำทะเลเล่น

ความทรงจำช่วงนั้นทั้งหวาน ทั้งขำ...จากเดิมที่ไม่ค่อยได้พบ

หน้ากันนอกโรงเรียน เขาเลยมีนัดกับหล่อนทุกวันอังคาร พฤหัสบดี

เสาร์ ครั้งละหนึ่งชั่วโมง เพื่อไปฝึกขับรถ และบ่อยครั้งที่ลงเอยด้วยการ

แวะซื้อขนมจากรถเข็นข้างทางมากินเล่นที่ชายหาด ถือเป็นการออกเดต

เล็กๆ ที่ทำให้หล่อนใจสั่น หวามไหวได้ทุกครั้ง

วโรบลเคยคิดว่าเรื่องราวระหว่างเขากับหล่อนไปได้ด้วยดี

จนกระทั่งถึงวันที่เขาขอเพิ่มระยะห่าง หล่อนถึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดพลาด

โดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อน

และเมื่อไม่รู้ ประกอบกับความน้อยใจ ทำให้ปากหนักเกิน

จะถาม จึงไม่สามารถแก้ไขได้

ถตีโค้งที่วงเวียน ก่อนวกเข้าทางลาดขึ้นภูเขาเตี้ยๆ ซึ่ง

เป็นส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะ วโรบลเหยียบคันเร่งอย่างช้าๆ จนถึง

จุดยอดได้อย่างไม่มีปัญหา จนกระทั่งขาลง...

แสงอาทิตย์พริบพรายสะท้อนแผ่นป้ายจนตาพร่าไปชั่วขณะ

หล่อนต้องกะพริบตาถี่ๆ จึงเริ่มเห็นชัด หากเงาบางอย่างก็ตัดหน้าอย่าง

กะทันหัน ทำให้หญิงสาวต้องเหยียบเบรกสุดแรง แล้วหักพวงมาลัย

อย่างลืมตัว

“อย่าหักเลี้ยวมากไป!”

เสียงคำรามของอิศรางค์ดังกระหึ่มอยู่ข้างหู แต่ใช่ว่าวโรบล

จะทำตามได้ทันที ดีแต่ชายหนุ่มยื่นมือมาช่วยควบคุมพวงมาลัยไว้ รถ

ซึ่งส่ายเข้าหาสวนจึงไม่พุ่งชนต้นไม้ แค่ตกลงไปในคูน้ำตื้นๆ ข้างทาง

เท่านั้น

รถหยุดแล้ว แต่หัวใจวโรบลยังเต้นระรัวด้วยความเร็วยิ่งกว่า

รถเมื่อครู่เสียอีก ไม่เพียงหัวใจ มือไม้หล่อนยังสั่นระริก เมื้อจินตนาการ

ต่อไปว่า ถ้ารถพุ่งชนต้นไม้แล้วเซไปอีกด้าน จะเกิดอะไรขึ้น ด้วยทิศทาง

ที่จะพุ่งเข้าไปในสวนมีสนามเด็กเล่นตั้งอยู่

“บล...วโรบล!” เสียงเรียกของอิศรางค์ดังก้องข้างหู แต่คน

ถูกเรียกเอาแต่ก้มหน้างุด ตัวสั่นระริก ไม่ยอมตอบสนอง

“บ้าชิบ ! เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มยิ่งร้อนรน ร่างเล็ก

ถูกกระตุกให้หันหน้ามาทางซ้ายอย่างเร็วแรง อิศรางค์กวาดตามอง

ตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อไม่เห็นร่องรอยบาดแผล เขาก็ผ่อนลมหายใจอย่าง

โล่งอกไปหนึ่งเปลาะ

หากแขนเรียวที่เขาจับกุมไว้สั่นระริกเป็นริ้วๆ จนอิศรางค์

ขมวดคิ้ว ถอนสายตาจากลำตัวหล่อนขึ้นไปมองด้านบน แล้วเชยคาง

มนเพื่อให้เห็นหน้าชัดๆ

ใบหน้าเรียวซีดเผือด ปากอิ่มเม้มไว้แน่น นัยน์ตาแดงก่ำ มี

หยาดน้ำหล่อรื้นฉาบ

หัวใจเขากระตุกแรง!

ปกติผู้หญิงตรงหน้ามักจะนิ่งเฉย ไร้อารมณ์ ไม่ว่าเหตุการณ์

จะรุนแรงแค่ไหน ไม่มีอาการอะไรทั้งนั้น! แม้กระทั่งยามเขาขอถอยห่าง

หล่อนยังทำหน้าเรียบเฉย พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ไม่มีน้ำตาสักหยด

แต่ตอนนี้วโรบลกลับแสดงอาการกลัวอย่างชัดเจน บ่งบอก

ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด

หญิงสาวพยายามดึงหน้าออกจากอุ้งมือใหญ่ ร้อนวาบไป

ทั้งตัวกับสัมผัสจาบจ้วง ไร้มารยาท สัมผัสนี้ไม่ได้ทำให้หล่อนอุ่นใจ

ขึ้นเลย มีแต่จะทำให้ร่างเล็กบางสั่นระริกหนักขึ้นกว่าเก่า และหญิงสาว

ไม่รู้ว่าจะหยุดอาการสั่นนี้ได้อย่างไร

ถ้ารู้ว่ากิริยาของตัวเองกำลังสั่นสะเทือนกำแพงหนาหนักของ

อีกฝ่าย วโรบลคงพยายามควบคุมเต็มที่ แต่เมื่อไม่รู้ และไม่สามารถ

หยุดมันได้ ผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการจึงเกิดขึ้น

นัยน์ตาฉ่ำชื้นเบิกกว้างขึ้น เมื่อใบหน้าของคนนั่งข้างๆ เคลื่อน

เข้ามาประชิด

หญิงสาวผงะไปด้านหลังด้วยความตกใจ แต่มือใหญ่ของ

อีกฝ่ายเอื้อมมาตรึงท้ายทอยไว้ แล้วบังคับให้รับสัมผัสหนักหน่วงที่

กดลงบนกลีบปากนุ่ม

“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว” เสียงทุ้มกระซิบแนบปาก ก่อน

กลืนกินลมหายใจของหล่อน

เนื้อตัวที่สั่นเทาหยุดสั่นโดยไม่รู้ตัว ด้วยคนถูกรุกรานต้อง

รวบรวมแรงผลักไสร่างหนาหนักให้ถอยห่าง หากเรี่ยวแรงที่ออกไป

กลับเหมือนแรงมด ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร กลับกลายเป็นการ

สัมผัสร่างแกร่งกำยำตอบด้วยซ้ำ

ริมฝีปากร้อนผ่าวที่บดขยี้บังคับให้กลีบปากของหล่อนเผยอ

ออก ก่อนจะทำการกลืนกินลึกเข้าในช่องปาก ร่างที่เพิ่งหยุดสั่นถึงกับ

สะท้านเฮือกอีกครั้ง อารมณ์ที่ไม่รู้จักผุดพรายขึ้นในส่วนลึก ทำให้ทั้ง

กลัวทั้งหวามไหว

ใช่ว่าไม่เคยถูกจูบ...สมัยเป็นแฟนกัน อิศรางค์เคยฉวยโอกาส

หอมแก้มหล่อนบ่อยครั้ง

นานๆ ครั้ง นับครั้งได้ไม่เกินนิ้วมือ ที่เขาแตะริมฝีปากลง

บนปากหล่อนอย่างแผ่วผิว แล้วผละออกอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นวโรบล

ทั้งอาย ทั้งเขิน แต่ไม่ได้รู้สึกแปลกๆ ในตัวถึงขนาดนี้

อาจเพราะที่ผ่านมาเขาแค่จูบหยอกล้อ ไม่ได้กลืนกิน เรียก

ร้องอย่างบ้าคลั่งเหมือนขณะนี้

หญิงสาวพยายามดึงหน้าหนี แต่ก็ไม่หลุดพ้นจากการรัดรึง

ลมหายใจของหล่อนถูกสูบไปเรื่อยๆ จนต้องเพิ่มอัตราการหายใจ และ

พยายามดึงอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด แต่ทำได้ไม่นาน กล้ามเนื้อก็

เริ่มอ่อนแรง เหนื่อยหอบจนหายใจไม่ทัน

ไม่เพียงเท่านั้น ในกายหล่อนเหมือนมีบางอย่างหมุนวน

พยายามดิ้นรนหาทางออกอย่างบ้าคลั่ง จนกลายเป็นความทรมานที่

เกินจะทานทน

ขณะคิดว่าจะขาดใจแล้ว ริมฝีปากร้อนผ่าวก็ผละออก

วโรบลรีบอ้าปากสูดอากาศให้ได้มากที่สุด เนื้อตัวหล่อนยัง

สั่น แต่เป็นสั่นคนละแบบกับตอนแรก

อศิรางค์ไม่พูดอะไร หากเขาดูหงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่พอใจอย่าง

เห็นได้ชัด จนวโรบลไม่กล้าต่อว่าที่เขาลวนลามหล่อน

ไม่...แม้แต่จะถามว่าจุมพิตเมื่อครู่แย่มากจนเขาต้องโมโห

เลยหรือ

เมื่อผละจากหล่อนแล้ว ชายหนุ่มก็เปิดประตูรถ แล้วเดินลง

ไปสำรวจความเสียหาย ก่อนจะกระชากประตูด้านคนขับออก

 “ลงมา!”

หญิงสาวเบิกตากว้าง

“บอกให้ลงมาไง!” แขนถูกจับแล้วดึง จนร่างเล็กเซหลุนๆ

ไปชนแผงอกกว้าง ความใกล้ชิดทำให้วโรบลหวั่นเกรงว่าเขาจะจุมพิต

หล่อนอีกครั้ง แต่โชคดีที่อิศรางค์ไม่คิดอย่างนั้น

เขาดันหล่อนให้เดินอ้อมรถ

“ไปนั่งฝั่งนั้น! เดี๋ยวฉันขับเอง”

ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เพราะหล่อนสั่นจนไม่รู้จะขับอย่างไร

ไม่ให้ไถลออกนอกเส้นทางแล้ว

วโรบลก้มหน้างุดสลับกับมองเมินไปนอกหน้าต่าง จึงไม่ทัน

สังเกตอาการของคนด้านข้าง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะถ้าหล่อนเห็น

ว่าเขาสั่นสักแค่ไหน คงสงบจิตใจไม่ได้อย่างแน่นอน

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึก พยายามจดจ่อกับเส้นทาง

แต่รสสัมผัสที่ค้างคาบนริมฝีปากกับปลายลิ้นยังทำให้กายเขาสะท้าน

ไม่หยุด

นานแค่ไหนที่เขาไม่ได้สัมผัสผิวนุ่มเนียน สูดกลิ่นหอมของ

แชมพูและครีมอาบน้ำเด็กอ่อนบนตัวหล่อน วโรบลไม่รู้จักเปลี่ยนกลิ่น

เลยหรือไร

การสัมผัสแค่น้อยนิดไม่ต่างจากเข็มเล่มจิ๋วที่จิ้มลูกโป่งที่แน่น

ตึงให้แตกออก และทำให้ความต้องการที่เก็บกดไว้หลายปีรั่วทะลัก...

ชายหนุ่มไม่สงสัยตัวเองเลยสักนิดเมื่อพบว่าเขาต้องการมากกว่านี้ แค่

จูบเดียวไม่เพียงพอกับความปรารถนานานปี

อยากได้รับรอยยิ้มอ่อนหวาน ต้องการเสียงพูดคุยหยอกล้อ

อยากเห็นหน้าแดงก่ำของคนที่อายนิดอายหน่อยก็ก้มหน้าหนี

และ...อยากสัมผัสผิวกายขาวนวล

ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของหล่อนมาตลอด จาก

เด็กสาวกลายเป็นหญิงสาวเต็มวัย เหมือนดอกไม้ที่บานสะพรั่งงดงาม

อยู่กลางสวน ปล่อยกลิ่นหอมละมุนเย้ายวนให้ภมรเข้าใกล้

อิศรางค์อยากประกาศไม่รู้กี่ครั้งว่าเขาเป็นเจ้าของสวน และ

เป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์เด็ดดอกไม้ดอกนี้ได้

แต่ปัญหาคือตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์ เพราะเขาลิดรอนสิทธิของ

ตัวเองตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน เพื่อแลกกับบางสิ่งที่เขาต้องการมากกว่า แต่

ถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้มันมา

ความเงียบเข้าครอบงำตลอดเส้นทางที่เหลือ จนวโรบลแทบ

กลืนน้ำลายไม่ลง ริมฝีปากยังระบมจนยากจะลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ หาก

การพูดคุยทำได้ยาก เพราะอิศรางค์แผ่รังสีคุกคามน่ากลัว จนหญิงสาว

ต้องบอกตัวเองว่าพูดให้น้อยที่สุดน่าจะปลอดภัยกว่า

แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตอนนี้ตนเองกับเขาอยู่ในฐานะอะไร

กันแน่ หรือผู้ชายสมัยนี้นึกอยากจูบใครก็จูบได้ตามใจ

เพราะคิดหนักจนลืมตัว ทำให้ไม่ได้ดูเส้นทาง รู้สึกตัวอีกทีก็

เมื่อรถจอดที่หน้าบ้านตนเองแล้ว

“ขอบคุณค่ะ”

หล่อนบอกเสียงแผ่วพร่า ก่อนเดินไปเปิดรั้ว เตรียมให้อีก

ฝ่ายขับรถเข้าไปจอด

“มะรืนนี้ เธอไปเอารถคืนได้ตอนหัวค่ำ”

หญิงสาวเบิกตากว้าง ไม่ใช่ว่ารับรถคืนได้แล้วหรือ

“รอยถลอกเกิดขึ้นระหว่างลองรถ ถือเป็นความรับผิดชอบ

ของฉัน มะรืนนี้น่าจะเสร็จ” เสียงห้าวห้วนบอกชัดว่าเขาไม่อยากพูด

มากความ

“เธอไปสักทุ่มสองทุ่มแล้วกัน”

ว่าแล้วอิศรางค์ก็ขับรถออกไปทันที

วโรบลยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูเนิ่นนาน

‘อีกครั้งหรือ...ไม่ดีกว่า...

อ้อมแขนแข็งแกร่งที่โอบรัดทำให้ใจหล่อนสั่นไหว จากที่เคย

คิดว่าใกล้จะตัดใจจากเขาได้แล้ว กลายเป็นมีความหวังขึ้นรำไร

แต่หวังแล้วก็ต้องเจ็บปวด เป็นบทสรุปที่หล่อนใช้เวลาสี่ปี

ในการเรียนรู้

ขืนต้องไปพบหน้าเขาอีกครั้ง จากที่เคยทำใจได้ อาจจะปะทุ

ขึ้น...ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีกับหล่อนเลย

สียงกระแทกประตูห้องทำงานหนักๆ ทำให้อนุชชะโงกหน้า

ออกมาดู แต่แล้วก็รีบผลุบหัวกลับเข้าห้องไปแทบไม่ทัน ด้วยสีหน้าของ

น้องชายคนเดียวในขณะนี้ตึงเครียดและน่ากลัวเป็นที่สุด

‘ทะเลาะกันแน่นอน!คนเป็นพี่สรุปในใจ เพราะมีไม่กี่เรื่อง

ที่ทำให้น้องชายหลุดการควบคุม แต่ถึงอยากรู้ว่าเป็นเรื่องแบบไหน หล่อน

ก็ไม่กล้าเข้าหน้าอิศรางค์ในเวลาที่เขาเป็นอย่างนี้

รับรองได้เลยว่าพื้นที่งานด้านหน้าจะต้องโล่งโจ้ง ด้วยลูกน้อง

ทุกคนรู้ดีพอๆ กับหล่อนว่าเวลาแบบไหนที่อิศรางค์จะน่ากลัวมากๆ

เสียงโทรศัพท์มือถือดังลั่น เบี่ยงเบนความสนใจของอนุชไป

ได้ ทันทีที่เห็นเบอร์ หญิงสาวก็เบ้ปาก ปล่อยให้โทรศัพท์ดังต่อไปจน

หยุดเอง ก่อนจะกดปิดมือถือดื้อๆ

ความที่เป็นคนสวยติดอันดับของจังหวัด ทำให้มีพวกบ้าๆ

ผ่านเข้ามาเป็นระยะ แต่ส่วนใหญ่มักล่าถอยไปเอง เพราะอนุชไม่ใช่แค่

สวย หล่อนยังเป็นลูกคนรวยที่มีอิทธิพลติดอันดับด้วย

ช่วงหลังๆ จึงมีแค่รายนี้...ชานนท์ ลูกชายเศรษฐีใหญ่ เจ้าหนี้

ของคนมากมายในอำเภอที่เข้ามาจุ้นจ้านกับหล่อนไม่ยอมหยุด ฝ่ายนั้น

กร่างไปทั่ว มีลูกน้องมากมาย และถือดีว่าตัวเองก็เป็นหนึ่ง จึงไม่ยอมรับ

ฟังคำปฏิเสธของหล่อน อนุชรำคาญมาก หากที่ยังอดทนอดกลั้นก็

เพราะไม่อยากให้พ่อกับน้องโมโหจนต้องเปิดสงครามกับฝ่ายนั้น

หวังแค่ว่าระยะเวลาจะทำให้อีกฝ่ายหน่ายกับการตื๊อหล่อน

และยอมรามือไปในเร็ววัน


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (94 รายการ)

www.batorastore.com © 2024