สิเน่หาซ่อนใจ (รวี)

สิเน่หาซ่อนใจ (รวี)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715377
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 257.00 บาท 64.25 บาท
ประหยัด: 192.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

รรยากาศภายในห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะยุโรป

คาบเรียนแรกคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาจำนวนเกือบครึ่งร้อย แต่ทว่าทุกคน

ต่างนั่งเงียบไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา นอกจากเสียงของอาจารย์หนุ่ม

ยืนพูดผ่านไมโครโฟนอยู่หน้าห้องเท่านั้น ในคาบเรียนแรกมักเป็นการอธิบาย

ถึงเค้าโครงรายวิชาก่อนที่จะเริ่มการสอน เพื่อให้นักศึกษาได้เข้าใจตรงกัน

ว่าระบบการเก็บคะแนนของวิชานี้จะเป็นอย่างไรตลอดหนึ่งเทอม

การเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านศิลปะของประเทศ

อังกฤษนั้น จะเน้นด้านทฤษฎีและด้านทักษะปฏิบัติควบคู่กันไป โดยจะ

ให้น้ำหนักด้านทักษะการปฏิบัติเสียเป็นส่วนมากเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์

แต่สำหรับวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะยุโรปสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี

แล้วค่อนข้างมีความท้าทายอย่างมาก หาใช่เพราะเนื้อหาที่ต้องท่องจำหรือ

หลักสูตรอันเข้มข้นไม่ แต่อุปสรรคชิ้นใหญ่คืออาจารย์สุดหล่อที่กำลัง

ยืนอธิบายอยู่หน้าห้องคนนั้นต่างหาก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดอกเตอร์อเล็กซานเดอร์ คามินอฟ อาจารย์

และผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ และศิลปินประเภทป๊อปอาร์ต1

หากมองเผินๆ เพียงรูปลักษณ์ภายนอก เขาคือรูปปั้นนักรบกรีกรูปงาม

ผู้มีลมหายใจ ใบหน้าอันหล่อเหลาคมคาย ปลายคางเหลี่ยมบึกบึน

ได้รูป คิ้วสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีฟ้าเทอควอยซ์ราวกับสีของน้ำทะเลลึก

จมูกโด่งเป็นสัน กับริมฝีปากหยักหนาตามแบบฉบับหนุ่มยุโรป ผม

สีบลอนด์ซอยสั้น รูปร่างสูงโปร่งกำยำกระชากใจสาว โดยเฉพาะบรรดา

นักศึกษาหญิงที่ต่างพากันลงเรียนวิชานี้เพื่อหวังจะได้เห็นใบหน้าหล่อเหลา

 

1 ป๊อปอาร์ต (Pop Art) เป็นขบวนการหนึ่งของศิลปะที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ประมาณ

พ.ศ. 2498 มีพลวัตทางศิลปะประมาณ 10 ปีเศษ ล้อไปกับรากฐานบริบทสังคมที่เป็นแบบบริโภคนิยม

ศิลปินกลุ่มนี้มีความเชื่อทางศิลปะว่า ศิลปะจะต้องสร้างความตื่นเต้นอย่างฉับพลันทันใดแก่ผู้พบเห็น ดังนั้น

เนื้อหาศิลปะของป๊อปอาร์ต จึงเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวเกี่ยวกับ

ผู้คนและสังคมในปัจจุบันที่กำลังได้รับความสนใจหรือวิพากษ์วิจารณ์ในขณะนั้น

 

 

 

 

ของอาจารย์หนุ่มมากกว่าจะมาศึกษาหาความรู้ ซึ่งทุกคนดูจะตั้งใจเรียน

เป็นพิเศษ แต่ก็คงเป็นได้เพียงคาบแรกคาบเดียวเท่านั้น

อเล็กซานเดอร์ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเรื่องของความตรงต่อเวลา

ความถูกต้อง และความยุติธรรม ด้วยบุคลิกนิ่งๆ สุขุม และตรงไปตรงมา

จึงทำให้นักศึกษารุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างขนานนามเขาว่า ‘อเล็กซ์ผู้ยิ้มยาก’

“สำหรับเค้าโครงการบรรยายที่แจกไปให้ หวังว่าพวกคุณจะ

เข้าใจกันดี การเก็บคะแนนของผมค่อนข้างยาก พวกคุณคงเคยได้ยิน

จากเพื่อน หรือรุ่นพี่ของคุณมาบ้างแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้โหดเหี้ยมขนาดนั้น

ถ้าพวกคุณตั้งใจและปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด”

อเล็กซานเดอร์เดินมายืนกอดอกพิงโต๊ะ แล้วค่อยๆ กระโดด

ขึ้นนั่ง ถึงแม้จะถูกท้วงติงหลายครั้งถึงความไม่เหมาะสมในการสอน แต่

เขาก็ไม่สนใจเก็บมาเป็นสาระให้รกสมอง เพราะถือว่าภายในคาบเรียน

คือชั่วโมงของเขา ดังนั้นจะทำอะไรก็ได้ จะสอนด้วยอิริยาบถใดก็ได้

ถ้าหากนักศึกษาจะได้รับความรู้อย่างเต็มที่

“เอาละ สำหรับกฎระเบียบที่ผมจะพูดถึง ผมอยากให้ทุกคน

ช่วยจำไว้ด้วยนะครับว่า ตลอดหนึ่งเทอมที่คุณต้องเรียนกับผมนั้นจะต้อง

ปฏิบัติตนอย่างไรบ้าง ข้อแรก...ตรงต่อเวลา จะไม่มีการเข้าห้องสายเด็ดขาด

เพราะผมจะเริ่มสอนตามเวลาทันที แล้วผมก็เกลียดมากกับ...”

เขาพูดได้เท่านี้ก็ต้องหยุดกะทันหัน เมื่อเสียงประตูห้องดังขึ้น

สายตาเกือบห้าสิบคู่ต่างจ้องมองไปที่หญิงสาวผู้มาใหม่ทันที

“ขออนุญาตค่ะ” เอมิกา สาวสวยรูปร่างค่อนข้างสูง ผมซอยสั้น

ดวงตากลมโต กล่าวขออนุญาตใบหน้าเลิ่กลั่กสลับกับหอบหายใจฮัก เธอ

รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาผิดปกติบางอย่าง โดยเฉพาะสายตาของอาจารย์หนุ่มที่

นั่งถือไมโครโฟนอยู่หน้าห้องมองมาราวกับว่าเธอเป็นนักโทษแหกคุก

“เชิญ” อาจารย์หนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายไม่พอใจ

แล้วหันกลับไปมองนักศึกษาคนอื่นโดยไม่สนใจเธออีก เอมิกากล่าว

ขอบคุณแล้วรีบสาวเท้าไปนั่งข้างๆ เพื่อนสาวแท้และสาวเทียมอีกสองคน

ซึ่งนั่งประจำแถวหลังสุดด้วยความรีบร้อน

 

 

 

 

 

“ขอโทษที่ฉันมาสายนะ” เอมิกาวางกระเป๋าสะพายหลังพร้อมกับ

กล่าวกับเพื่อนทั้งสองคน แต่ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะสัมผัสได้ถึงสายตา

อันดุดันของอาจารย์หนุ่มที่ส่งมาจึงสะกิดเรียกเอมิกาทันที พอหญิงสาว

หันไปเห็นดวงตาดุคู่นั้นก็ต้องทำตัวลีบด้วยความรู้สึกผิด อเล็กซานเดอร์

เห็นดังนั้นจึงมองไปทางอื่นแล้วเริ่มบรรยายต่อ

“แล้วผมก็เกลียดมากกับพวกที่ไม่ตรงต่อเวลา” คำพูดของ

อเล็กซานเดอร์ยิ่งทำให้นักศึกษาชาวไทยอย่างเอมิกาต้องสะดุ้งเล็กน้อย

พร้อมกับแอบชำเลืองมองสายตาคู่โหดอย่างหวั่นๆ

“แล้วผมก็ไม่ชอบพวกที่คุยไม่รู้จักกาลเทศะ กรุณาอย่าเอา

นิสัยจากการเรียนที่ประเทศคุณมาใช้กับผม”

คราวนี้เอมิกาคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ รู้ดีว่าคนที่

อาจารย์กำลังพูดถึงคือตัวเอง เพราะเธอเป็นนักศึกษาชาวเอเชียเพียง

คนเดียวในบรรดาเพื่อนพ้องซึ่งหน้าตากระเดียดไปทางฝรั่งผิวขาวและ

ผิวดำเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่หญิงสาวก็ทำได้เพียงสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ

ไว้ภายในใจเท่านั้น

หลังจากนั้นอเล็กซานเดอร์ก็พูดถึงกฎระเบียบอีกหลายข้อ

ที่นักศึกษาจะต้องจำให้ขึ้นใจ ซึ่งแต่ละข้อนั้นทำเอาทุกคนต่างผ่อน

ลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย บรรดานักศึกษาสาวๆ ทั้งหลาย

ก็เริ่มจะเห็นเค้าลางอนาคตของตัวเองแล้วว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้า

พวกเธอทำได้ก็อยากจะถอนวิชานี้ตั้งแต่บัดนี้ กฎเหล็กที่อเล็กซานเดอร์

ตั้งเอาไว้แต่ละข้อนั้นเคร่งครัดมาก เช่น นักศึกษาต้องส่งงานตรงตามเวลา

ที่กำหนดไว้ หากมาส่งเกินเวลาก็จะถือว่าไม่ได้ส่ง โดยไม่สามารถต่อรอง

และไม่สามารถยกข้ออ้างใดๆ มาอธิบายได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ถ้านักศึกษา

คนใดถูกเรียกตอบแล้วไม่อยู่ในห้องจะถือว่าขาดเรียน โดยคะแนนจะ

ติดลบครั้งละห้าคะแนน รวมถึงเรื่องการแต่งกาย ต้องแต่งชุดสุภาพ

เรียบร้อย เสื้อเชิ้ต เสื้อคอกลม กับกางเกงยีนขายาวเท่านั้น ส่วนรองเท้า

ต้องเป็นรองเท้าหุ้มส้น หรือรองเท้าผ้าใบเช่นกัน และที่สำคัญห้าม

โทรศัพท์ภายในห้องเรียน ถ้าหากได้ยินเสียงโทรศัพท์แม้แต่ครั้งเดียว

 

 

 

 

เขาจะหยุดสอนทันที

จากการฟังการอธิบายถึงกฎเหล็กของวิชานี้ นักศึกษาทุกคน

ต่างทำหน้าเบ้ พ่นลมหายใจออกด้วยความเหนื่อยหน่าย โดยเฉพาะ

เอมิกา

เมื่ออเล็กซานเดอร์อธิบายกฎระเบียบของเขาเสร็จเรียบร้อย

ก็กระโดดลงมายืน แล้วเดินไปบริเวณหน้าห้องเพื่อเริ่มเข้าสู่เนื้อหาบทแรก

ทันที

“สำหรับวันแรก ผมจะเริ่มจากคำถามพื้นฐานก่อน...ศิลปะ

คืออะไร”

นักศึกษาในห้องต่างพร้อมใจกันเงียบ อเล็กซานเดอร์จึง

สอดส่ายสายตามองหาเหยื่อทันที แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นเอมิกากำลัง

ซุบซิบกับเพื่อนจึงชี้นิ้วเรียกเธอตอบ หญิงสาวถึงกับสะดุ้งและยืนขึ้น

ด้วยความตกใจ

“เอ่อ ขอคำถามอีกครั้งได้ไหมคะ” เธอกล่าวด้วยใบหน้าเหยเก

อาจารย์หนุ่มได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา

“ผมเพิ่งอธิบายกฎอยู่เมื่อกี้ คุณก็ปฏิบัติมันซะแล้ว ช่างเป็น

นักศึกษาที่ดีเยี่ยมอะไรเช่นนี้ ผมไม่นึกเลยนะว่าจะต้องมาสอนนักศึกษา

ที่มีพฤติกรรมไม่เอาไหนอย่างคุณ คุณคงเป็นคนเอเชียคนเดียวสินะที่

เป็นแบบนี้ เอาละ ผมจะไม่ถือสาอะไรมาก เพราะนักศึกษาชาวเอเชียก็

มักได้รับการสั่งสอนมาแบบนี้กันหมด”

คำพูดแดกดันของเขาทำให้เอมิกาโกรธมาก ตั้งแต่เกิดมาเธอ

ไม่เคยถูกใครดูถูกขนาดนี้มาก่อน มือทั้งสองข้างกำแน่น ก่อนจะระเบิด

อารมณ์ออกมาชุดใหญ่

“แล้วอาจารย์เป็นอาจารย์ที่ดีเยี่ยมนักหรือไงคะ ตั้งกฎอะไร

ขึ้นมาก็ไม่รู้ ถ้าให้อาจารย์ทำ ดิฉันก็เชื่อว่าอาจารย์ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

พวกเราเป็นนักศึกษาวิชาศิลปะ ไม่ใช่นักศึกษากฎหมาย บริหาร หรือ

รัฐศาสตร์ จะได้เคร่งครัดกับเรื่องกฎระเบียบบ้าๆ ของอาจารย์ แล้ว

อาจารย์เคยถามพวกเราบ้างไหมว่าพวกเราอยากจะทำตามหรือเปล่า ถ้า

 

 

 

 

 

 

 

ทุกคนตอบว่าใช่ ดิฉันจะไม่เป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน”

เอมิกาโพล่งออกมาจนทุกคนในห้องต่างอ้าปากค้าง เช่นเดียวกับ

อาจารย์อเล็กซานเดอร์ที่ยืนกำไมโครโฟนแน่นด้วยความโกรธจัด แล้ว

เธอก็คว้ากระเป๋าเดินออกไปทันที แต่ก่อนที่จะจากไปก็หันกลับมาพูด

กับเขาอีกครั้งหนึ่ง

“อ้อ แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าอาจารย์ยังอยากเป็นอาจารย์

ที่ดีเยี่ยมก็กรุณาให้เกียรตินักศึกษาด้วย เพราะถึงฉันจะเป็นคนเอเชีย

แต่ก็ไม่ได้มีนิสัยชอบพูดประชดแดกดันเหมือนชาวตะวันตกอย่างใคร

บางคนแน่นอน”

ประโยคสุดท้ายของเอมิกาทำเอาทุกคนถึงกับรีบเอามือปิดปาก

ด้วยความตกใจในความกล้าบ้าบิ่นของเธอ โดยเฉพาะอเล็กซานเดอร์ที่

ยืนมองตามประตูที่เพิ่งปิดลงด้วยความโกรธ ตั้งแต่สอนมายังไม่เคยมี

นักศึกษาคนไหนกล้าพูดกับเขาแบบนี้เหมือนที่เอมิกาทำเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1

อมิกาเดินสะพายกระเป๋าใบเขื่องคู่ใจ หอบหิ้วหนังสือและ

แฟ้มเอกสารต่างๆ ออกจากห้องเรียนด้วยความหงุดหงิด หลังจากปะทะ

คารมกับอาจารย์อเล็กซานเดอร์ผู้ที่ใครๆ ต่างพากันชมเปาะว่าหล่อ

อย่างนั้นเก่งอย่างนี้ แต่ถ้าใครได้มาเจอกับตัวเองเช่นเดียวกับเธอก็คงจะ

รีบเปลี่ยนความคิด อยากจะเดินไปยื่นคำร้องขอถอนวิชานี้ออกไปให้พ้น

เสีย แต่มันก็เป็นได้แค่ความคิดที่ประท้วงอยู่ในหัวเท่านั้น ซึ่งความจริง

แล้วเธอไม่สามารถทำได้ เพราะกฎของมหาวิทยาลัยคือห้ามนักศึกษา

ถอนวิชาบังคับไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องจำใจเรียนต่อ

อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เอมิกาเป็นนักศึกษาชาวไทยที่มีพรสวรรค์และพรแสวงเรื่อง

การวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ เธอมีศิลปินระดับโลกเป็นแรงบันดาลใจใน

การดั้นด้นฟันฝ่าเพื่อมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านศิลปะของ

ประเทศอังกฤษ หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบกับเขา และได้มีโอกาสทำงาน

ร่วมกันสักครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของศิลปินคนนี้มาก่อน

นอกจากผลงานของเขาก็ตาม

เธอเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปตามทางเดินระหว่างทางไปห้องสมุด

กับโรงอาหาร บริเวณทางซ้ายมือเป็นสวนภายในมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่

ที่นักศึกษาสามารถนั่งพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย สวนแห่งนี้เป็นสวน

เปิดโล่งซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงผลงานของนักศึกษาอีกแห่งหนึ่ง โดยมี

สถาปัตยกรรมหลายชิ้นถูกจัดวางอยู่ รอบๆ ยังมีม้านั่งหลายตัวจัดวาง

ไว้ให้ทั้งนักศึกษา เจ้าหน้าที่ และบุคคลภายนอกเข้ามานั่งเล่นได้ เอมิกา

เดินลัดเข้ามาบริเวณสวนแล้วนั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่ง พร้อมกับทิ้งกระเป๋า

และสัมภาระของเธอวางลงข้างๆ ด้วยความหงุดหงิด

โอ๊ย! อีตาอาจารย์บ้า” เธอกล่าวออกมาด้วยความโกรธและ

แค้นใจ ก่อนจะกระทืบเท้าลงบนพื้นหญ้าอย่างเต็มแรง “โธ่เว้ย นึกว่า

 

 

 

 

ตัวเองวิเศษวิโสมาจากไหน กฎบ้ากฎบออะไรกันคิดออกมาได้ ไอ้คนนิสัย

ไม่ดีชอบดูถูกคนอื่น ไอ้บ้า!”

เอมิการะบายความคับข้องใจออกมาด้วยภาษาบ้านเกิด ทว่า

กลับมีเสียงของชายสูงวัยคนหนึ่งแทรกขึ้น ขณะนอนไขว่ห้างอยู่บน

พื้นหญ้าสีเขียวอย่างสบายอารมณ์ โดยมีหมวกใบหนึ่งปิดหน้าอยู่

“เธอจะบ่นไปทำไมกัน บ่นไปก็เท่านั้น กระทืบเท้าซะเต็มแรง

ไม่เจ็บหรือไง”

หญิงสาวหันมองตามเสียงด้วยความสงสัย พร้อมกับกลอกตา

ไปมาด้วยความระอา เมื่อมีคนแอบฟังเธออยู่

‘แต่เอ๊ะ...เธอบ่นเป็นภาษาไทย แล้วเขารู้เรื่องได้ยังไง หรือ

เขาจะเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด!

“คุณเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดด้วยเหรอคะ” เอมิกาถามเป็นภาษา

อังกฤษ

“ฉันไม่เข้าใจหรอก แต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก ด้วยน้ำเสียง

และอากัปกิริยาของเธอที่แสดงออกมา ก็เดาได้ว่าคงโกรธใครสักคนหนึ่ง

อยู่ แต่ทำอะไรเขาไม่ได้”

“คุณเก่งจังเลยค่ะ ขนาดนอนเอาหมวกปิดหน้ายังรู้อีกว่าหนู

กำลังโกรธใครอยู่”

“ทำไมเธอไม่ระบายลงบนงานศิลปะล่ะ ฉันว่าน่าสนใจนะ

อารมณ์โกรธแบบนี้อาจจะได้งานศิลปะที่น่าสนใจมากทีเดียว”

“คุณรู้ด้วยเหรอคะว่าหนูเรียนศิลปะ”

“ไม่หรอก ฉันก็พูดเดาไปเรื่อยนั่นแหละ”

ชายสูงวัยยกหมวกออกจากใบหน้า และค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง

บนพื้นหญ้าเพื่อจะได้เห็นเด็กสาวอย่างถนัดถนี่ เอมิกาเห็นแล้วก็ยิ้มให้

พยายามนึกว่าเหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน ชายผู้นี้น่าจะอายุราวๆ

เกือบเจ็บสิบปี ผมสีบลอนด์น้อยเส้นบนศีรษะถูกหวีเรียบไปด้านหลัง

เป็นทางเดียวกัน ใบหน้าของเขาหย่อนคล้อยตามกาลเวลา แต่ด้วยสไตล์

การแต่งตัวยังคงดูทันสมัยหากเทียบกับคนในวัยเดียวกัน เพราะคุณตา

 

 

 

 

 

สวมเสื้อเชิ้ตลายสกอตทับด้วยแจ็กเก็ตสีดำกับกางเกงยีนสีซีด เขาสวม

รองเท้าหุ้มข้อทำจากผ้าสักหลาดสีดำ ในมือถือหมวกสีน้ำตาล

“คุณตาคะ หนูเหมือนเคยเจอคุณตาที่ไหนมาก่อน แต่หนูก็

นึกไม่ออก” เอมิกาพูดพลางลงมานั่งบนพื้นหญ้าข้างๆ เขา

“อย่างนั้นเหรอ เธอคงตาฝาดแล้วละแม่หนู” ชายสูงวัยหัวเราะ

ร่วน

“ไม่นะคะคุณตา หนูเคยเห็นคุณตาที่ไหนสักที่ แต่หนูนึก

ไม่ออก”

“โอเคๆ เอาละ ไหนหนูลองบอกมาซิว่าเป็นอะไรทำไมถึงต้อง

โกรธขนาดนั้น” คำพูดของคุณตาทำเอาเอมิกาหน้าหงิกขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

“หนูก็แค่ไม่ชอบใจที่อาจารย์ตั้งกฎการเรียนอะไรขึ้นมา

เยอะแยะก็ไม่รู้ เขาลืมไปแล้วหรือเปล่าคะว่าหนูเรียนศิลปะ ไม่ได้เรียน

บริหารธุรกิจ รัฐศาสตร์การปกครอง หรือกฎหมาย แล้วเขาก็ยังพูด

กระทบกระเทียบว่าอย่าเอาพฤติกรรมการเรียนในประเทศของหนูมา

ใช้กับที่นี่ แค่หนูหันไปกระซิบกับเพื่อนแค่เพียงประโยคเดียวเท่านั้นเอง

ค่ะคุณตา มันยุติธรรมแล้วเหรอคะ”

“เนี่ยแหละครูสมัยใหม่กับสังคมสมัยใหม่ ทุกอย่างต้องมี

กฎระเบียบเสมอ เอาเถอะน่าถือซะว่าเป็นการเรียนแบบใหม่ที่อาจจะ

เป็นประสบการณ์ให้กับเธอก็แล้วกันนะ”

“ถ้ามีประสบการณ์แบบนี้หนูขอลาออกตอนนี้ได้ไหมคะ

คุณตา” ชายสูงวัยหัวเราะอีกครั้งกับพฤติกรรมของหญิงสาวที่ไม่ต่างจาก

เด็กน้อยถูกแย่งขนม

“เอ...ว่าแต่หนูชื่ออะไร แล้วมาจากประเทศไหน ดูจากลักษณะ

หน้าตาแล้ว น่าจะมาจาก...เอเชีย”

“ใช่แล้วค่ะ หนูมาจากประเทศไทยค่ะ คุณตารู้จักไหมคะ”

“ไทยแลนด์เหรอ เอ...ใช่เมืองที่มีช้างเยอะๆ ไหม ฉันก็มีเพื่อน

อยู่ที่นั่นนะ”

 

 

 

 

 

“ใช่แล้วค่ะ บ้านของหนูมีช้างเป็นสัตว์ประจำประเทศ”

“อย่างนี้บ้านของเธอก็มีช้างเต็มไปหมดเลยสิ”

“ใช่ค่ะ บ้านของหนูมีช้างเยอะมาก”

“แล้วอย่างนี้เธอเลี้ยงไว้กี่ตัว แล้วต้องขี่ช้างไปเรียนด้วย

หรือเปล่า” เขาเลิกคิ้วอย่างสงสัย เอมิกาหัวเราะกับคำถามของคุณตา

ทำเอาคนถามต้องเอียงคอมองด้วยความสงสัย เธอจึงรีบแก้ความเข้าใจผิด

ทันที

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะคุณตา ที่บ้านของหนูไม่ได้เลี้ยงช้าง หรือ

ขี่ช้างไปเรียนเหมือนอย่างสารคดีที่เผยแพร่ทั่วไป ที่บอกว่ามีช้างเยอะก็

เพราะว่าช้างเป็นสัตว์ประจำชาติที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแล้วค่ะ พวกเรา

จึงให้ความสำคัญกับช้างเป็นพิเศษ ประเทศไทยก็เหมือนอังกฤษ หรือ

ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่มีรถยนต์ไว้เป็นพาหนะ ไม่ได้ล้าหลังขนาดนั้น

หรอกค่ะ”

“โอ้ ฉันขอโทษทีที่เข้าใจผิดไปแบบนั้น” ชายสูงวัยหัวเราะ

อีกครั้ง “แล้วเราชื่ออะไรนะ”

“หนูชื่อเอมิกาค่ะ แต่คุณตาเรียกหนูว่าเอมีก็แล้วกันค่ะ” เธอ

ยิ้มให้คุณตาอย่างเป็นมิตร “แล้วคุณตาล่ะคะ ชื่ออะไร หนูจะได้เรียก

ถูก”

“ฉันชื่อโอลิเวอร์จ้ะ” คุณตาพูดไปก็ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบ

กระเป๋าเงินออกมา เพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะยื่นนามบัตรใบหนึ่ง

ให้แก่เธอ “เอาไว้ติดต่อฉัน ถ้าเธออยากเรียนเกี่ยวกับศิลปะโรแมนติกซิสม์2

และศิลปะก่อนหน้ายุคแปดศูนย์”

เอมิการับนามบัตรมาพร้อมกับกวาดสายตาอ่านนามบัตรของ

 

2 ศิลปะจินตนิยม หรือ ศิลปะโรแมนติกซิสม์ (Romanticism) เริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังของคริสต์ศตวรรษ

ที่ 18 ในยุโรปตะวันตก เป็นการเปลี่ยนแปลงของแนวคิดทางปรัชญา วรรณกรรม และศิลปกรรม อันนำ

มาซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป กำเนิดของศิลปะจินตนิยมมีส่วนมาจากการต่อต้านแนวคิดทาง

สังคมและการเมืองแบบเก่าของยุคแสงสว่าง รวมถึงปฏิกิริยาต่อต้านการศึกษาวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ

ธรรมชาติ โดยมากแนวคิดของศิลปะในยุคนี้จะสะท้อนออกมาในงานศิลปะแบบภาพวาด ดนตรี และ

วรรณกรรม ตัวอย่างศิลปินผู้มีชื่อเสียงในยุคจินตนิยม ได้แก่ เบโทเฟิน โชแปง วิลเลียม เบลก เป็นต้น

 

 

 

 

คุณตาท่านนี้ก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนนามบัตร

ของคุณตาวัยเกือบเจ็ดสิบคนนี้คือ ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานระดับโลก

จนได้รางวัลผู้มีอิทธิพลในวงการศิลปะเมื่อหลายสิบปีก่อน และเขายัง

เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะอีกหลายร้อยชิ้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่

มนุษยชาติ ‘โอลิเวอร์ ทอม เรนัลด์!’

“คะ...คะ...คุณตาเป็นจิตรกรระดับโลก!” เอมิกาพูดตะกุกตะกัก

ด้วยความตกใจ เพราะหญิงสาวไม่คิดว่าคนที่นอนเล่นอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียว

และกำลังนั่งสนทนากับเธออยู่ตอนนี้คือจิตรกรระดับโลกในยุคเจ็ดศูนย์

ผลงานของเขาเคยได้รับรางวัลมากมาย และถูกสนนราคาสูงถึงหลักสิบล้าน

รวมถึงภาพวาดบางภาพยังถูกซื้อโดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง

โดยถูกนำไปประดับที่พระราชวังบักกิงแฮมอีกด้วย

“มันนานมาแล้ว ฉันเป็นแค่คนที่รักในงานศิลปะเท่านั้น ไม่ได้

โด่งดังอย่างที่เธอคิดหรอก” คุณตาโอลิเวอร์ลุกขึ้นยืน พร้อมๆ กับหญิงสาว

ที่ลุกขึ้นตาม

“ฉันต้องไปแล้ว ถ้าหนูว่างก็แวะไปหาฉันได้นะ อ้อ...หนูชื่อ

อะไรนะ” ชายสูงวัยถามเธออีกครั้ง

“เอมีค่ะ”

“ใช่ๆ เอมี คนแก่ก็อย่างนี้แหละความจำเริ่มไม่ดีแล้ว”

“ถ้าหนูไปหาคุณตาตามที่อยู่ในนามบัตรก็จะเจอคุณตาใช่ไหม

คะ”

“ใช่จ้ะ ฉันอยู่ที่บ้านทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ว่างๆ ก็แวะไปคุยเล่น

ได้นะ บางทีฉันก็เหงาเหมือนกัน”

“คุณตาอยู่คนเดียวเหรอคะ”

“ก็อยู่คนเดียวมานานแล้ว ตั้งแต่ภรรยาฉันเสียชีวิตลง”

“แล้วลูกหลานของคุณตาล่ะคะ”

คุณตาโอลิเวอร์ส่งยิ้มแห้งๆ ให้เธอ นัยน์ตาเจือไปด้วยความ

เศร้า

“ลูกสาวของฉันกับสามีของเขาเสียชีวิตแล้ว ก็จะมีเพียงหลานชาย

 

 

 

 

คนเดียวเท่านั้น”

“เอ่อ หนูเสียใจด้วยนะคะคุณตา” เอมิกาพูดเสียงเศร้า “แล้ว

หลานของคุณตาล่ะคะ”

“เขาก็แวะไปหาบ่อยๆ”

ขณะที่เอมิกากำลังคุยกับโอลิเวอร์อยู่นั้น แพทริเซียและโจลีก็

ส่งเสียงเรียกมาแต่ไกล คุณตาโอลิเวอร์จึงบอกลาเธอทันที

“ฉันไปก่อนนะเอมี แล้วเราคงได้เจอกันเร็วๆ นี้”

“ค่ะคุณตา เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัยนะคะ”

เอมิกายิ้มให้ผู้สูงวัย พร้อมยืนมองเขาเดินจากไปด้วยความ

เป็นห่วงไม่น้อย

“เธอคุยกับใครอยู่น่ะเอมี” โจลี ชายหนุ่มผู้แลดูจะเป็นหญิงสาว

เสียมากกว่า เอ่ยถามด้วยเสียงที่ถูกดัดให้แหลมเล็ก หลังเห็นเพื่อนชาวเอเชีย

ยืนคุยอยู่กับชายชราคนหนึ่ง

“คุยกับคุณตาคนหนึ่งน่ะ พอดีแกนั่งอยู่แถวนี้”

“เอมี ฉันยังตกใจไม่หายกับเหตุการณ์ในห้องเรียนเมื่อกี้เลย

เธอรู้ไหมว่าหลังจากที่เธอเดินออกจากห้องไป อาจารย์อเล็กซ์เขาโกรธ

มาก” แพทริเซียรีบพูดให้เพื่อนฟังด้วยสีหน้าหวั่นใจเล็กน้อย

“เขาคงด่าฉันซะเละเลยสินะ” เอมิกาทิ้งตัวลงบนม้านั่งอย่าง

เอือมระอา เมื่อต้องพูดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ โจลีและแพทริเซียจึง

ทรุดตัวนั่งตาม ก่อนจะพูดต่อ

“ไม่ เขาไม่ด่าหล่อนเลย แต่เขาแค่ขรึมจนน่าหลงใหลต่างหาก”

ใบหน้าเคลิ้มฝันของโจลีทำเอาเอมิกากลอกตาไปมา

“แต่แค่สอนๆๆ และสั่งงานเยอะมาก แถมยังสั่งให้พวกเรา

ทั้งห้องวาดรูปอะไรก็ได้แนวโรแมนติกซิสม์บนผ้าใบขนาดสองเมตรครึ่ง

คูณหนึ่งเมตรด้วย โทษฐานที่ทำให้บรรยากาศการเรียนในห้องแย่ลง”

เฮ้ย! บ้าหรือเปล่า โจทย์บ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย” เอมิกาพูด

ด้วยความไม่พอใจที่อาจารย์อเล็กซานเดอร์สั่งงานที่ค่อนข้างยากเช่นนี้

และที่สำคัญเธอก็เป็นต้นเหตุให้เพื่อนทั้งห้องต้องลำบาก

 

 

 

 

“หล่อนรู้ไหม ไอ้รูปวาดนั่น เขาสั่งให้เอามาโชว์ที่สวนภายใน

สองเดือนนี้”

เอมิกาถอนหายใจออกมาแรงๆ เมื่อได้ฟังที่โจลีพูดถึง แต่นั่น

ก็ไม่ได้ทำให้เธอหนักใจเท่ากับการทำให้เพื่อนทั้งห้องเกือบห้าสิบชีวิต

ต้องมาลำบากเพราะเธอเพียงคนเดียว

“อาจารย์เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย เป็นเพราะฉันแท้ๆ

เพื่อนๆ ถึงต้องมาลำบากด้วย”

“เพื่อนๆ ก็บ่นกันใหญ่เลย เออ...อาจารย์สั่งให้เธอไปพบเขา

ที่ห้องพักอาจารย์ด้วยนะหลังพักเที่ยง”

พอแพทริเซียพูดขึ้น เอมิกาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความ

เหนื่อยใจ ไม่อยากไปเผชิญหน้าต่ออาจารย์คู่กรณีสองต่อสอง ไม่ใช่

เพราะตื่นเต้นที่ได้อยู่กับอาจารย์สุดหล่อ ทว่าสิ่งที่หญิงสาวกำลังกังวล

คือ เธอจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอกับเขาจะไม่ปะทะคารมกันอีก ด้วย

ความเป็นคนปากไวและไม่ยอมใคร เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ก็ยิ่งกลัวว่าจะ

ทำให้อาจารย์คู่กรณีเกลียดขี้หน้ามากขึ้น หากเป็นเช่นนั้นจริงผลการเรียน

ที่จะได้ก็คงไม่พ้นเกรดเอฟแน่ แต่จะให้เธอสวมหน้ากากแสร้งทำเป็น

ออเซาะฉอเลาะเพื่อขอแก้ตัว เอมิกาก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน ฉะนั้นทางเดียว

ที่จะทำให้เรื่องนี้ดีขึ้นนั่นก็คือ เธอต้องคุมสติเอาไว้ไม่ให้หลุดอีกเป็น

คำรบสอง

 

ลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ อเล็กซานเดอร์ก็

เดินกลับมายังห้องพักของเขาซึ่งอยู่ชั้นหกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ไม่ใช่เพราะ

อาหารไม่อร่อย หรือต้องเดินไปมาระหว่างตึก แต่หากเหนื่อยใจกับ

พฤติกรรมของนักเรียนสาวที่เขาเพิ่งปะทะคารมด้วยเมื่อเช้านี้ต่างหาก

อาจารย์หนุ่มวางกระเป๋าแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เบาะหนังสีดำ

พร้อมกับพักสายตาสักครู่ แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ชวนให้หัวเสีย

ใบหน้าของเอมิกาลอยมาแต่ไกล ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธที่เด็กสาวผิวเหลืองคนนั้น

 

 

 

 

กล้าเถียงและขัดคำสั่ง แถมยังแสดงกิริยาก้าวร้าวอีก ทันใดนั้นเสียง

เคาะประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มแน่ใจว่าต้องเป็นนักศึกษาคู่กรณี จึงรีบ

เปลี่ยนอิริยาบถให้อยู่ในลักษณะกำลังนั่งทำงาน และปรับอารมณ์ให้

เป็นปกติดังเดิม

เมื่อประตูเปิดออก สายตาของเอมิกาก็มองอาจารย์หนุ่มด้วย

ความแข็งกร้าวเล็กน้อย ส่วนอีกฝ่ายก็มองเธอราวกับฝุ่นผงเช่นกัน

“อาจารย์เรียกฉันมามีอะไรเหรอคะ” แม้ว่าปากจะพูดอย่าง

สุภาพ แต่สายตากับน้ำเสียงของเอมิกาก็ทำเอาคนฟังรู้สึกได้ว่าเธอคง

ไม่พอใจเท่าไรนัก

“นั่งก่อนสิ”

“ไม่เป็นไรค่ะ อาจารย์รีบพูดธุระมาเถอะค่ะ พอดีว่าฉันมีเรียน

ต่อ”

เขาแบะปากให้กับความถือดีของเด็กสาว ในเมื่อไม่อยากนั่งก็

ไม่ต้องนั่ง

“โอเค คุณคงจะได้ยินเพื่อนของคุณพูดถึงสิ่งที่ผมสั่งแล้ว

โดยเฉพาะการวาดรูปบนผืนผ้าใบนั่น ซึ่งผมสั่งให้เป็นงานของพวกคุณ

ทั้งห้อง ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องจากใครคนหนึ่งก็ตาม”

คำพูดของอเล็กซานเดอร์ยิ่งทำให้เอมิกาฉุนกึก เธอพยายาม

จะไม่พลั้งปากออกมา เพราะกลัวว่าจะทำให้เรื่องยิ่งแย่มากไปกว่านี้ จึง

พยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้

“ที่ผมสั่งทั้งห้องก็เพราะว่าพวกคุณอยู่ห้องเดียวกัน เมื่อ

คนหนึ่งทำให้บรรยากาศในห้องเรียนแย่ ทุกคนก็ต้องมีส่วนร่วมในการ

รับผิดชอบด้วย”

“แต่อาจารย์คะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้เพื่อนคนอื่นทำ

ด้วย ในเมื่อเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าอาจารย์

อยากจะลงโทษฉัน ก็ควรเป็นฉันแค่คนเดียว อย่าเหมารวมคนอื่นด้วย

เพราะพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด”

อเล็กซานเดอร์ยิ้มมุมปาก ลุกจากเก้าอี้ แล้วก้าวเท้าเดินออก

 

 

 

 

จากโต๊ะทำงาน “เธอเคยได้ยินเรื่องปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก3ไหม”

“เคยได้ยินค่ะ และก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของอาจารย์มาว่า

อาจารย์ค่อนข้างเป็นคนมีเหตุผลมากที่สุดคนหนึ่ง แต่จากคำพูดของ

อาจารย์เมื่อสักครู่ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่คนอื่นพูดกับความจริงนั้น

ไม่ตรงกันเลยสักนิด ถ้าอาจารย์มีเหตุผลมากพอก็ควรจะเข้าใจดีว่า

เพื่อนคนอื่นในห้องไม่เกี่ยว จะลงโทษก็ควรเป็นฉันคนเดียว กรุณาอย่า

เหมารวมหรือดึงคนอื่นมาเกี่ยวด้วย แต่ถ้าอาจารย์ยังไม่หายโกรธก็ควร

บอกสิ่งที่ต้องการมาเถอะค่ะ แต่อย่าหวังว่าจะเป็นคำขอโทษของฉัน”

เอมิกาจ้องตาเขาอย่างเอาเรื่อง อเล็กซานเดอร์ได้ยินดังนั้นก็

หัวเราะในลำคอกับเหตุผลและความถือดีของหญิงสาว ก่อนจะเดินมา

หยุดตรงหน้า แต่เธอพยายามมองไปทางอื่นไม่สนใจนัยน์ตาคู่สวยของ

เขา

“ผมก็ไม่ได้อยากได้ยินหรอกนะ ไอ้คำขอโทษจากคุณ”

คำพูดของอเล็กซานเดอร์ทำให้เอมิกาหัวเสีย แต่เธอก็ทำได้แต่

ยืนกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ

“แต่ถ้าคุณคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับเพื่อนคนอื่นๆ คุณก็ทำ

คนเดียวสิ แล้วผมก็ไม่เชื่อด้วยว่าคุณจะทำมันได้ ถึงทำได้ก็ทำไม่ได้ดี

นักหรอก”

“นั่นก็เป็นความคิดของอาจารย์ ยังไงก็รอดูตอนงานเสร็จก็

แล้วกันค่ะ ว่าจะใช้ได้หรือไม่”

เอมิกาเถียงกลับด้วยความมั่นใจ สายตาของทั้งคู่จ้องกัน

อย่างไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายหนึ่งจ้องมาด้วยความมีอำนาจเหนือกว่าทั้ง

คุณวุฒิและวัยวุฒิ ส่วนอีกฝ่ายก็จ้องกลับด้วยแววตามุ่งมั่นและจริงจัง

อเล็กซานเดอร์ยิ้มมุมปาก แล้วเดินไปรื้อกองหนังสือเล่มหนาสิบกว่าเล่ม

ที่วางอยู่ตรงชั้นออกมา ก่อนจะหอบมาวางกระแทกไว้บนโต๊ะตรงหน้า

 

3 ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก (butterfly effect) โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับ

การรบกวนเพียงเล็กน้อย อย่างการกระพือปีกของผีเสื้อ สามารถชักนำให้เกิดผลต่อเนื่องที่ตามมาใหญ่โตได้

เช่นเดียวกับคำพังเพยทำนอง “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว”

 

 

 

 

ของนักเรียนสาวดังสนั่น

“ผมกลัวว่าคนเก่งอย่างคุณจะทำเสร็จภายในวันเดียว เลย

อยากให้คุณช่วยผมพิมพ์งานหน่อยด้วยหนังสือพวกนี้ แล้วผมจะคิด

ซะว่าเป็นการไถ่โทษที่คุณเข้าห้องเรียนสาย จะไม่มีการหักคะแนนจิตพิสัย

ถ้าคุณทำเสร็จภายในสองอาทิตย์”

“สองอาทิตย์! ฉันทำไม่ทันหรอก”

“ใช่ สองอาทิตย์ ถ้าคุณทำไม่เสร็จ คะแนนจิตพิสัยของคุณจะ

หายไปทันที และวิชานี้ก็ดูเหมือนจะเป็นวิชาบังคับที่ต้องทำเกรดให้ดี

ด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าวิชานี้คะแนนไม่ดี วิชาอื่นๆ ของคุณก็คงจะเรียนต่อ

ไม่ได้นะ...คุณนักศึกษาคนเก่ง”

เอมิกายืนฟังด้วยความโกรธ เธอพยายามไม่ตอบโต้ เพราะ

รู้ตัวดีว่าตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง

อะไรได้ทั้งนั้น นอกเสียจากจำใจทำตามอย่างไม่อาจขัดขืนได้  ส่วนอาจารย์

นัยน์ตาสวยก็ยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ ที่ทำให้นักศึกษาปากเก่ง

หมดฤทธิ์ลงได้ เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับอเล็กซานเดอร์ เธอคิดผิด

แล้วยัยนักศึกษาตัวแสบ

“งั้นอาจารย์ก็รอรับไฟล์ทั้งหมดภายในสองอาทิตย์ได้เลยค่ะ”

“ดี ผมจะคอยดู” เขาหัวเราะในลำคออีกครั้งกับความปากกล้า

ไม่ยอมใครของเธอ

สายตาของอาจารย์อเล็กซานเดอร์จ้องเอมิกาอย่างปรามาส

แต่หญิงสาวก็จ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอกำลัง

ตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบทุกทางก็ตาม แต่คนอย่างเอมิกามีหรือจะ

ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ชายจอมเผด็จการคนนี้...มีแต่ในฝันเท่านั้นแหละ!

 

อมิกาเดินออกจากห้องของอเล็กซานเดอร์พร้อมหอบหิ้ว

หนังสือเล่มหนาจำนวนหลายสิบเล่มอย่างทุลักทุเล เธอเดินตรงไปยัง

ห้องสมุด โดยมีแพทริเซียและโจลีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อทั้งสองเห็นก็

 

 

 

 

รีบเดินไปช่วยเพื่อนทันที

“ทำไมมันเยอะขนาดนี้วะเนี่ย” โจลีบ่น หลังจากวางหนังสือ

เล่มหนาลงบนโต๊ะ ส่วนเอมิกาก็นั่งหอบอย่างหมดแรงอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ก็อีตาอาจารย์ขี้เก๊กนั่นน่ะสิ เรื่องมากชะมัด เขากลัวว่าฉันจะ

วาดรูปเสร็จเร็วเกินไป เลยสั่งให้ฉันพิมพ์งานเพิ่มให้เขา และที่สำคัญคือ

ต้องพิมพ์ให้เสร็จภายในสองอาทิตย์ บ้ามาก!”

“สองอาทิตย์! โอ้ มาย ก็อด...อาจารย์อเล็กซานเดอร์สุดหล่อ

ไม่น่าจะใจร้ายใจดำขนาดนี้เลย ทำไมเขาไม่อ่อนโยนเหมือนเทพบุตรกรีก

คนอื่นๆ ล่ะ ฉันผิดหวังจริงๆ อุตส่าห์ตั้งใจจะให้เขามาเป็นพ่อของลูก

ในท้องฉันนะ” โจลีทำหน้าเคลิ้มฝันเพ้อเจ้อ จนเอมิกากับแพทริเซีย

มองหน้ากันแล้วพยักพเยิด ก่อนจะผลักหัวเรียกให้โจลีตื่นจากภวังค์

“เพ้อแล้วค่ะคนสวย เทพบงเทพบุตรอะไรของแก เขาคือ

อสุรกายในคราบมนุษย์ชัดๆ” เอมิกาบ่นขรม

“เอาเถอะน่า ถึงยังไงเธอก็ต้องทำตามที่เขาสั่งอย่างหลีกเลี่ยง

ไม่ได้ เพราะฉะนั้นรีบทำให้เสร็จน่าจะดีกว่า” แพทริเซียรีบเรียกสติเพื่อนๆ

ให้กลับมา

“โอเค งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”

แล้วทั้งสามคนก็เปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาเพื่อคัดลอกหนังสือที่วาง

อยู่ตรงหน้าให้เสร็จสิ้น ทั้งสามคนต่างตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์กระทั่งเวลา

ล่วงเลยเกือบหกโมงเย็น

ตั้งแต่เอมิกาเดินทางมาถึงอังกฤษเมื่อหลายเดือนก่อนเพื่อ

เรียนภาษาก่อนจะเข้าเรียนจริงตอนเปิดเทอม เธอก็เจอกับแพทริเซีย

และโจลีในวันรายงานตัว ทั้งสามคนจับพลัดจับผลูมาเป็นเพื่อนกันด้วย

ความบังเอิญจากการนั่งติดกัน และถูกอาจารย์ท่านหนึ่งวานให้ทั้งสาม

ไปช่วยยกของ ด้วยความที่ยังเป็นเด็กใหม่ไม่มีเพื่อน ทั้งสามคนจึงแลก

เบอร์โทรศัพท์กัน หลังจากนั้นก็เริ่มโทร.หา และออกไปเที่ยวด้วยกัน

จนกลายเป็นเพื่อนสนิท ถึงแม้ว่าเอมิกาจะมาจากต่างที่ต่างถิ่น แต่เธอก็

สามารถปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนได้เป็นอย่างดี

 

 

 

 

หญิงสาวเป็นคนมีความมั่นใจ ออกจะปากร้ายไปสักหน่อย

แต่เฉพาะเรื่องที่เห็นว่าไม่ถูกต้องเท่านั้น และสิ่งที่เป็นเสน่ห์ของเอมิกา

คือความใจดี ความมีน้ำใจ และชอบช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าเพื่อนทั้งสอง

จะมีปัญหาอะไร เธอก็สามารถให้คำปรึกษาและเป็นที่พึ่งได้ดีจนแพทริเซีย

และโจลีไว้ใจ

ความเมื่อยล้าจากการนั่งหลังขดหลังแข็งหลายชั่วโมง

ประกอบกับการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็เริ่มทำให้สามสาว

ปวดเมื่อยไปทั้งตัว เอมิกาจึงให้แพทริเซียและโจลีกลับไปก่อน เพราะ

วันนี้พวกเธอเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว

“แล้วเธอล่ะเอมี” โจลีถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“ฉันยังโอเคอยู่ อยากนั่งทำงานก่อนน่ะ อีกอย่างยังไม่อยาก

กลับบ้านด้วย”

“งั้นก็ตามใจนะ เธอก็ดูแลตัวเองดีๆ ก็แล้วกัน ไว้เดี๋ยวฉันกับ

โจลีจะเอาหนังสือไปช่วยพิมพ์ต่อเอง” แพทริเซียพูดจบก็หยิบหนังสือ

อีกคนละเล่มให้ตัวเองและโจลี

“ขอบใจเธอสองคนมากๆ เลยนะ ถ้าไม่ได้เธอสองคนฉันตาย

แน่ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกย่ะ เรามันเพื่อนกันนี่นา” โจลีส่งยิ้มให้ทั้งสองคน

ที่ต่างมองหน้ากันด้วยความซาบซึ้งใจ

เมื่อแพทริเซียและโจลีเดินออกจากห้องสมุดไปแล้ว เอมิกาก็

นั่งพิมพ์งานต่อจนกระทั่งห้องสมุดปิดให้บริการในเวลาเกือบสามทุ่ม

เธอเดินหอบหิ้วสัมภาระกลับหอพักด้วยความทุลักทุเล ถึงแม้แพทริเซีย

กับโจลีจะช่วยเอาไปพิมพ์หลายเล่ม แต่มันก็ยังเยอะสำหรับเธออยู่ดี

เอมิกาเดินหอบหิ้วสัมภาระและหนังสือจำนวนมากกลับหอพัก

ในเขตเวสมินสเตอร์ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ใช้

เวลาเดินเพียงสิบนาทีเท่านั้น หอพักของเอมิกาเป็นหอพักสำหรับ

นักศึกษาต่างชาติ จัดอยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยโดยแยกระหว่าง

ชายหญิง เป็นห้องพักเล็กๆ แต่อำนวยความสะดวกด้วยอุปกรณ์ต่างๆ

 

 

 

 

ครบครัน ยกเว้นแต่อุปกรณ์ทำครัวเท่านั้น เพราะที่นี่มีนโยบายให้ใช้

ห้องครัวร่วมกันซึ่งจัดอยู่ในโถงกลางของชั้น โดยมีอุปกรณ์ทำครัวต่างๆ

อำนวยความสะดวกอยู่

เมื่อไขกุญแจเข้าห้องมาก็เอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟที่อยู่บริเวณ

ด้านขวาของกำแพงห้อง แล้วนำสัมภาระต่างๆ ไปกองไว้บนเตียงนอน

ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตามอย่างเหนื่อยล้า สายตาก็มองไปยังกองหนังสือ

ที่วางอยู่ข้างๆ ด้วยความอ่อนระโหยโรยรา เพราะขนาดตัวเล่มที่หนา

และมีจำนวนหลายเล่ม จะให้เธอพิมพ์อย่างไรให้เสร็จภายในสองสัปดาห์

แถมยังต้องวาดรูปส่งอีก เอมิกาพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเจ็บใจ

เธอนอนลำดับเหตุการณ์ตลอดทั้งวันแล้วก็ทำให้นึกอะไรบางอย่างขึ้นมา

ได้ จึงเด้งตัวจากเตียงนอนอย่างกระปรี้กระเปร่า ก่อนจะเอื้อมมือไป

หยิบนามบัตรของใครคนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย

“เยส! ในที่สุดก็หาที่ปรึกษาได้แล้ว คุณตาช่วยหนูด้วยนะคะ”

เอมิกายิ้มอย่างมีความหวัง เมื่อรู้แล้วว่าคนที่พอจะช่วยเหลือ

เธอในการวาดรูปแนวโรแมนติกซิสม์ได้ก็คือ คุณตาโอลิเวอร์ ทอม เรนัลด์

จิตรกรระดับโลกคนนี้นี่เอง!


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (94 รายการ)

www.batorastore.com © 2024