เงารักร้าย (รายาเสน่ห์จันทร์)
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 75.95 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
บทนำ
สายลมที่โหมพัดพากลุ่มเมฆทะมึนกระจายตัวเปิดทาง
ให้ละอองทองโรยตัวลงเหนือยอดคลื่นตลอดแนวหาดใต้แสงจันทร์
ปรากฏฟองน้ำผุดพรายผืนทรายขาวสะอาดที่เห็นยามกลางวันในยาม
ค่ำคืนกลับกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับท้องสมุทรเมื่อชั้นเมฆเคลื่อนไปตาม
กระแสลมรัศมีจันทร์ก็ขยับขยายทาบทับแสงไฟวับแวมบนถนนอาบ
หลังคาบ้านเรือนที่แทรกระหว่างหมู่แมกไม้ก่อนจะค่อยๆไต่ขึ้นเนินเขา
สนามหญ้ากลางสวนและคืบผ่านชานระเบียงไม้ของเรือนไทยประยุกต์
ที่ตั้งอยู่เหนือชะง่อนผาข้ามกรอบหน้าต่างที่เปิดกว้างรับสายลมเข้าไป
จับผิวนวลลออของร่างแน่งน้อยเบื้องหลังโต๊ะอ่านหนังสือ
ดวงตาสีน้ำตาลปรือปรอยกวาดตามตัวอักษรยาวเป็นพรืด
ปลายขนตาที่ทาบทับผิวขยับระริกเสมือนปีกผีเสื้อมือจับดินสอขยับ
เขียนเป็นข้อสรุปสั้นๆออกมาส่วนมืออีกข้างพลิกหน้ากระดาษไป
เรื่อยๆกระทั่งสิ้นสุดตรงหน้าสุดท้ายเจ้าของร่างจึงเอนหลังอิงพนัก
เก้าอี้คิ้วเรียวโก่งผูกเป็นปมเครียด
ข้าวขวัญธีรกมลกำลังปวดหัวเอามากๆหลังจากทบทวน
บทเรียนติดต่อกันมาตั้งแต่เช้าตรู่จนมืดค่ำสายตาของเธออ่อนล้าพอๆ
กับร่างกายที่เรียกร้องให้พักผ่อนก่อนจะรีบตะปบมือทับกองกระดาษ
ไม่ให้ปลิวกระจายว่อนไปทั่วห้องเมื่อสายลมที่โชยพัดผ่านระเบียงห้อง
เปลี่ยนเป็นกระโชกแรงกะทันหันเด็กสาวคว้ากล่องดินสอใกล้มือขึ้น
มาวางทับลุกพรวดไปปิดประตูระเบียงแล้วงับหน้าต่างปิดสนิท
ท้องฟ้าข้างนอกเปลี่ยนเป็นสีดำมองแทบจะไม่เห็นแสงจาก
ดวงจันทร์บอกเค้าพายุที่ก่อตัวเหนือผืนน้ำหม่นมืดข้าวขวัญรวบผม
ที่ถูกลมพัดตีจนรุ่ยร่ายให้เรียบร้อยเดินกลับมาเก็บของใส่กระเป๋า
นักเรียนเตรียมตัวไปสอบในวันพรุ่งนี้เธอเอื้อมมือปิดโคมไฟบน
โต๊ะอ่านหนังสือก่อนจะล้มตัวลงนอนลืมตามองความมืดอยู่บนเตียง
ฟังเสียงลมกระแทกประตูกับบานหน้าต่างไม่นานก็ผล็อยหลับไปด้วย
ความอ่อนเพลีย
เด็กสาวนอนสะบัดร้อนสะบัดหนาวรู้ตัวว่าถูกไข้หวัดเล่นงาน
แล้วถึงได้พลิกตัวกระสับกระส่ายตื่นบ้างหลับบ้างแต่ไม่คิดจะลุกขึ้น
ไปรบกวนใครกลางยามวิกาลคิ้วโก่งเรียวขมวดแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึง
บางสิ่งที่ลากไล้ลงบนผิวนุ่มทิ้งรอยหนาวสะท้านค้างบนเนื้อตัวนัยน์ตา
ที่ขยับกระตุกค่อยๆปรือขึ้นมองภาพตรงหน้าแล้วสะดุ้งตกใจกับเงา
ดำทะมึนที่ตระหง่านเงื้อมเหนือร่าง
ข้าวขวัญอยากจะยกมือขึ้นผลักไสมันออกไปแต่ก็ขยับตัว
ไม่ได้เหมือนถูกผีอำดวงตาที่ลืมขึ้นอย่างสะลึมสะลือปิดลงใหม่เพื่อ
รวบรวมกำลังใจต่อสู้กับสิ่งที่คิดว่าเกิดจากจินตนาการก่อนจะสะดุ้ง
สุดกายเบิกตาโพลงทันทีที่มันทิ้งน้ำหนักลงมาทับ
ร่างกายที่กลายเป็นอัมพาตชั่วคราวขยับผวาคล้ายหลุดพ้น
พันธนาการริมฝีปากที่ปิดสนิทเปิดกว้างพร้อมหวีดร้องปลุกทุกคน
ในบ้านการเวกให้ตื่นขึ้นมาช่วยเหลือแต่มือหยาบใหญ่ก็ตะปบลงมา
ปิดครึ่งใบหน้าห้ามเสียงร้องดังลั่นของเด็กสาวจนเหลือแค่อู้อี้อยู่ใน
ลำคอ
ข้าวขวัญระดมฝ่ามือฝ่าเท้าทำร้ายร่างที่ยังทับอยู่บนตัวแต่
ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งทำให้ร่างนุ่มเนียนเบียดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งกระทั่งรู้สึกถึง
ความแตกต่างทางสรีระอย่างสิ้นเชิงเตือนให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย
และมัน...
เด็กสาวเบิกตากว้างเมื่อสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงใกล้ระเบียง
แสงที่สว่างวาบขึ้นเปลี่ยนให้ห้องสว่างไสวในพริบตาเธอได้แต่ตื่นตะลึง
จนลืมที่จะกรีดร้องยามที่ได้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดแจ้งว่าเป็นใคร
คนหนึ่งที่นับถือประหนึ่งพี่ชาย...
แม้ว่าไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน!
1
รถญี่ปุ่นสีเขียวยอดตองชะลอความเร็วลงเมื่อคนขับชะโงก
มองป้ายบอกทางผ่านกระจกหน้าก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเตือนยาน
พาหนะคันที่ขับตามมาข้างหลังมือเรียวขาวหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถ
เข้าถนนที่แคบลงจากทางหลวงจนกลายเป็นถนนลาดยางมะตอยที่แล่น
สวนทางกันได้โชคดีที่ถนนเรียบไม่มีหลุมบ่อให้ต้องนั่งหัวสั่นหัวคลอน
เช่นในอดีตจำนวนรถที่ใช้เส้นทางนี้ก็รับประกันอันดับยอดนิยมของ
สถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอเล็กๆที่เป็นปลายทางได้ดี
นิตยสารชื่อดังหลายฉบับเขียนบทความถึงอำเภอที่มีพื้นที่
ติดทะเลสวยและฟ้าใสกระจ่างแห่งนี้หลายต่อหลายหนเธอถูกเพื่อน
ชักชวนมาเที่ยวที่นี่ตั้งแต่สมัยเรียนกระทั่งทำงานแต่ไม่มีใครประสบ
ความสำเร็จเพราะไม่ว่างัดไม้ไหนๆขึ้นมาใช้หญิงสาวมักจะปฏิเสธ
หนักแน่นอย่างไม่ยอมบอกเหตุผลเสมอ
เสียงสูดลมหายใจเข้าดังขึ้นในความเงียบเมื่อภาพเวิ้งน้ำเริ่ม
ปรากฏให้เห็นรถยนต์เคลื่อนโค้งไปตามทางถนนที่ขยายกว้างขึ้นเป็น
สัญญาณบอกว่ากำลังเข้าถึงตัวอำเภอเล็กๆแห่งนี้แล้วสองข้างทางที่
เคยเต็มไปด้วยต้นไม้รกเรื้อสลับเรือกสวนไร่นาเปลี่ยนเป็นสิ่งปลูกสร้าง
จำพวกทาวน์เฮาส์รีสอร์ตและโรงแรมซึ่งต่างก็ตกแต่งให้เข้ากันกับ
บรรยากาศริมทะเลมีซอยเล็กซอยน้อยแยกย่อยอย่างที่เธอจะต้อง
หลงทางแน่ถ้าเผลอขับวนเข้าไป
รถยนต์ถูกบังคับให้ชะลอจอดทันทีที่สัญญาณไฟเปลี่ยนจาก
เขียวเป็นแดงนัยน์ตาเบื้องหลังแว่นกันแดดมองคนเดินริมทางที่เป็น
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบ้างคนไทยบ้างบางคนก็มาแบบครอบครัว
บางคนก็มาเป็นกลุ่มเพื่อนหรือแค่สองต่อสองกับคนรักรอยยิ้มที่เต็ม
ไปด้วยความสุขของพวกเขาทำให้หญิงสาวเบือนหน้าหนีแววตาหม่น
ลงพอนึกถึงเหตุผลที่ต้องกลับมาทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่หวนมาอีกเลย
เมื่อสองวันก่อนมีสายเรียกเข้าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่เธอ
ไม่คุ้นเคยหลังจากรับสายด้วยความสงสัยแล้วสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเกือบ
ทำให้เผลอปล่อยมันร่วงหล่น
“สวัสดีครับคุณข้าวขวัญธีรกมลใช่ไหมครับผมชื่อศรุต
วิศวโกศลทนายประจำตัวคุณท่านใหญ่นะครับผมเสียใจที่ต้องเป็น
คนแจ้งข่าวให้คุณข้าวทราบผ่านทางโทรศัพท์แต่คุณท่านใหญ่กำชับ
กับผมก่อนจะเสียว่าให้ตามตัวคุณข้าวเพื่อร่วมฟังพินัยกรรมของท่าน
ให้ได้คุณข้าวจะสะดวกเมื่อไรครับ”
หญิงสาวแทบจะตอบคำถามไม่ได้คล้ายสมองไม่รับรู้มัน
เอาแต่ย้ำอยู่กับประโยคที่ว่า‘กำชับกับผมก่อนจะเสีย...’ เธอยกมือ
ปิดปากไม่มีเสียงหลุดออกมาให้ใครได้ยินเมื่อสะเทือนใจไปกับความ
จริงที่ว่าคุณท่านใหญ่เสียแล้ว!
จากวันที่ตัดสินใจหันหลังให้บ้านการเวกก็เหมือนกับหันหลัง
ให้ประมุขของบ้านอย่างกนกกรวีกด้วยถึงเธอจะไปอย่างไม่คิดกลับ
มาหรือส่งข่าวคราวใดๆคุณท่านใหญ่ก็ยังโอนเงินเข้าบัญชีมาให้ใช้จ่าย
สม่ำเสมอเธอมั่นใจว่าท่านต้องรู้ว่าหลังจากเจ็ดปีที่ผ่านมาเธอเรียนจบ
ระดับมหาวิทยาลัยทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้แล้วแต่คุณท่านใหญ่ก็
ไม่หยุดโอนเงินมาทุกเดือนราวกับต้องการให้ไปบอกท่านด้วยตัวเอง
ในเมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่เหยียบไปที่บ้านการเวก
อีกหญิงสาวจึงโอนเงินก้อนนั้นกลับคืนไปให้คุณท่านใหญ่พร้อมกับ
ส่วนหนึ่งของเงินเดือนเพื่อทดแทนพระคุณที่ท่านส่งเสียเลี้ยงดูและ
ทำอย่างนั้นทุกเดือนจนกระทั่งบัดนี้คิดไม่ถึงเลยว่าคุณท่านใหญ่จะเสีย
แล้ว...
“คุณข้าวครับยังอยู่ในสายหรือเปล่าครับ”
เสียงเรียกกระชั้นจากปลายสายปลุกให้เธอกลับมารู้สึกตัว
ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อเหมือนจงใจดักทาง
“คุณท่านใหญ่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงมาปีกว่าๆแล้วครับ
อาการของท่านทรุดลงเรื่อยๆจนเมื่อสี่เดือนก่อนคุณท่านใหญ่เรียก
ผมเข้ามาจัดการเรื่องพินัยกรรมและก่อนที่ท่านจะเสียก็ยังไม่ลืมกำชับ
ผมอีกครั้งว่าต้องตามตัวคุณข้าวกลับมาถึงจะเปิดพินัยกรรมของท่าน
ได้เห็นแก่พระคุณของท่านเถอะนะครับคุณข้าวนี่เป็นโอกาสสุดท้าย
แล้วที่คุณข้าวจะทำให้คุณท่านใหญ่ได้”
ข้าวขวัญเพิ่งเข้าใจเหตุผลที่คุณท่านใหญ่วางใจเลือกเขาเป็น
ทนายประจำตัวก็ในเวลานี้ระหว่างสนทนากันผ่านทางโทรศัพท์ศรุต
ละเว้นที่จะกล่าวถึงใครอีกคนหนึ่งให้เธอได้ยินตลอดและจำต้องกลืน
น้ำลายตัวเองยอมกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่งด้วยพระคุณที่ไม่มีโอกาส
ทดแทนอีกแล้ว
หญิงสาวดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ความคิดทันทีที่สัญญาณ
ไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแม้ตัวอำเภอจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญ
ที่ย่างกรายเข้ามาแต่สุดทางของถนนเส้นนี้ก็ยังเป็นเนินเขาสูงที่ตั้งของ
เรือนไทยหลังใหญ่ทาสีฟ้าใสเหมือนเดิมแล้วยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไร
แววตาของหญิงสาวก็ยิ่งแข็งกระด้างมากขึ้นเท่านั้น
พอมาถึงหน้าประตูรั้วใหญ่เธอก็แตะเบรกหยุดรถเลื่อน
กระจกลงคุยกับยามหนุ่มที่เดินออกจากป้อมเข้ามาสอบถามตามหน้าที่
“สวัสดีค่ะ”
ข้าวขวัญดึงแว่นกันแดดออกมาพับขาเสียบใส่ช่องวางของ
ก่อนจะมองยามหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าคิดว่าเขาคงไม่รู้จักเธอเหมือนกับ
คนเก่าคนแก่เลยแนะนำตัวพร้อมหยิบใบขับขี่ให้ดู
“ข้าวขวัญธีรกมลค่ะคิดว่าคุณศรุตคงจะ...”
ที่จริงหญิงสาวควรอ้างอีกชื่อหนึ่งที่กลายมาเป็นเจ้าของบ้าน
การเวกแทนคุณท่านใหญ่แต่เธอรังเกียจแม้กระทั่งจะเอ่ยชื่อนั้น
“เชิญเลยครับคุณข้าวขวัญ”
ยามยิ้มกว้างแล้วส่งใบขับขี่คืนทันทีที่ได้ยินชื่อของหญิงสาว
ประตูโลหะขยับเลื่อนเปิดหลังจากเขาโบกมือไปที่ป้อมแสดงว่าไม่ได้
เฝ้าประตูใหญ่อยู่เพียงลำพังเธอยิ้มหวานขอบคุณก่อนจะขับรถเข้าไป
ด้านใน
ทุกคนในอำเภอต่างรู้จักกนกกรวีกดีเขาประกอบธุรกิจ
หลายประเภทควบคุมเงินตราส่วนใหญ่ที่ไหลเวียนเข้าออกไว้ในกำมือ
คล้ายกับเป็นเจ้าของอำเภอเล็กๆแห่งนี้ที่ใครๆก็ต่างเกรงใจไม่เว้น
แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ราชการแต่กนกไม่เคยใช้อิทธิพลที่มีข่มเหงรังแก
คนในอำเภอนอกจากใช้ปกป้องพวกเขาจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ
ของคนนอกเขาจึงเป็นที่รักมากกว่าที่ชัง
ข้าวขวัญมองเรือนไทยหลังใหญ่ที่ปรากฏตรงหน้าหลังคา
สีน้ำเงินเข้มสะท้อนประกายแดดสดใสไม่แพ้ท้องฟ้าข้างหลังตอนเช้า
พระอาทิตย์จะส่องจากหน้าผาเข้าสู่สวนด้านหลังบ้านการเวกยามสาย
จึงให้ร่มเงาแก่ลานน้ำพุใหญ่หน้าเรือนสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่พักพิง
ของเธอเมื่อเจ็ดปีก่อนทุกหนทุกแห่งมีภาพความทรงจำในวัยเยาว์...
และถึงวันนี้แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปรถยนต์แล่นช้าๆบนทาง
ปูอิฐสีฟ้าเข้าไปจอดนิ่งสนิทหน้าตัวบ้าน
หญิงสาวไม่ได้ดับเครื่องยนต์เพราะเห็นชายวัยกลางคนรีบวิ่ง
มาจากโรงรถที่อยู่ไม่ไกลพอเขาเข้ามาใกล้จนไม่ต้องตะโกนคุยกันแล้ว
เธอก็ยิ้มแย้มทักทายเสียงสดใส
“สวัสดีค่ะลุงตู้”
“คุณข้าวคุณข้าวจริงๆเหรอขอรับ”
ลุงตู้ร้องอย่างดีใจจนลืมว่าเขาวิ่งมาต้อนรับแขกของบ้านตาม
หน้าที่ก่อนจะพูดซ้ำๆเหมือนประกาศให้ใครที่อยู่ใกล้ตัวได้ยินแล้ว
เข้ามาร่วมแสดงความยินดีด้วย
“คุณข้าวกลับมาบ้านแล้ว...คุณข้าวกลับบ้านแล้ว...ไอ้ตู้
ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยขอรับ”
“ลุงตู้คะข้าวอยากจะคุยกับลุงตู้นะคะว่าเป็นยังไงบ้างแต่
ข้าวคิดว่าคุณศรุตคงจะรอข้าวมาสักพักใหญ่แล้วละค่ะ”
ข้าวขวัญยิ้มเจื่อนหลังจากเหลือบดูหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเธอ
นัดทนายความมือเก๋าของคุณท่านใหญ่เอาไว้ตอนเก้าโมงเช้าแต่ตอนนี้
ก็เกือบจะสิบโมงเข้าไปแล้ว
“เชิญเลยขอรับคุณข้าว”
เขายื่นมือรับกุญแจรถจากหญิงสาวก่อนจะเข้าไปนั่งประจำที่
คนขับแทนข้าวขวัญเดินเข้าบ้านการเวกและชะงักเท้าเมื่อเห็นสาวสวย
หน้าตาคมขำผิวสองสีเนียนละเอียดจนเหมือนสีทองยืนรออยู่ข้างๆ
ตู้กระจกโบราณเธอเดาว่าคงเป็นหนึ่งในคนรับใช้ใหม่ของบ้านแม้ว่า
จะคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก
“เชิญทางนี้ค่ะคุณ”
น้ำเสียงนั้นอาจจะฟังสุภาพแต่แววตาที่มองมาประกาศความ
เป็นศัตรูโจ่งแจ้งจนข้าวขวัญงุนงงครุ่นคิดอย่างงงงันว่าเคยพบปะผู้หญิง
คนนี้และเผลอไปเหยียบหางคุณเธอเข้าที่ไหนถึงได้ผูกใจเจ็บต่อกัน
ไม่ยอมลืมพลางเดินตามหลังอีกฝ่ายไปแล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้าง...
ภาพวันเก่าๆที่หวนคืนมาในความทรงจำคือเด็กชายสองคน
กับเด็กหญิงหนึ่งคนแล้วก่อนที่ข้าวขวัญจะอุทานชื่อของอีกฝ่ายออกมา
สาวเจ้าก็หมุนตัวมามองคล้ายกับไม่พอใจที่แขกของบ้านเว้นระยะห่าง
ระหว่างกันมากเกินไปหรืออีกนัยหนึ่งก็แปลได้ว่ารำคาญที่เธอเดินช้า
เกินไป
“ช่วยรีบหน่อยนะคะคุณบุณย์เธอรอคุณนานแล้ว” สาวสวย
คมขำเตือนแล้วสะบัดหน้าเดินต่ออย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเกือบทำหน้าล้อเลียนใส่หลังที่เหยียดตึงของคน
นำทางหากไม่สะดุดกับชื่อที่อีกฝ่ายพูดถึงเข้าเสียก่อนและรู้ว่าได้เวลา
ที่ต้องเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้วข้าวขวัญกำมือแน่น
สูดลมหายใจเข้าลึกบอกตัวเองให้เข้มแข็งไว้มาทำให้มันจบๆกันไป
ในวันนี้!
แต่เธอก็ยังสะดุ้งไปตามเสียงเคาะประตูที่ดังทิ้งช่วงสามครั้ง
ก่อนอีกฝ่ายจะเปิดประตูกว้างหันมาพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เชิญค่ะ”
ข้าวขวัญก้าวผ่านกรอบประตูเข้าด้านในดวงตากลมโตจ้อง
ร่างสูงผอมของคนที่เธอรู้จักดีว่าเป็นทนายความประจำตัวคุณท่านใหญ่
แต่ไม่ยอมมองร่างสูงใหญ่ของอีกคนหนึ่งที่อยู่ภายในห้องราวกับเขา
ปราศจากตัวตนสำหรับเธอ
“คุณข้าวเดินทางมาเรียบร้อยดีนะครับ” ชายสูงวัยเจ้าของ
ใบหน้าเรียวตอบเห็นกระดูกโหนกแก้มผมสีดอกเลาแต่งทรงเรียบร้อย
สวมชุดสูทสีดำที่ยิ่งเน้นความผอมบางของร่างกายทักทายยิ้มๆ
“สวัสดีค่ะคุณศรุตขอโทษที่ข้าวมาสายมากนะคะกะเวลา
ขับรถจากกรุงเทพฯมาถึงที่นี่พลาดไปเยอะเลย”
หญิงสาวพนมมือไหว้ซึ่งศรุตก็รับไหว้ไม่ได้มีสีหน้าโกรธ
เคืองเธอที่ผิดเวลาไปเกือบชั่วโมงให้เห็น
“เชิญนั่งเลยครับคุณข้าว...รบกวนคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
ด้วยนะครับ”
ศรุตจ้องไปทางหญิงสาวอีกคนที่ยังยืนอยู่หน้าประตูห้อง
ทำงานสาวงามพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะปิดประตูจนได้ยินเสียงลูกบิด
ลั่นเบาๆในความเงียบเมื่อเขาแน่ใจว่าพ้นการรู้เห็นของบุคคลภายนอก
แล้วก็ยกกระเป๋าเอกสารที่ตั้งไว้ข้างตัวขึ้นมาพลางพูด
“ผมจะเปิดพินัยกรรมของคุณท่านใหญ่แล้วนะครับ”
พอไม่ได้ยินเสียงใครคัดค้านทนายความก็ดึงพินัยกรรม
ขึ้นมาอ่านเสียงดังฟังชัด
“ข้าพเจ้านายกนกกรวีกขอรับรองว่าณขณะที่ข้าพเจ้าทำ
การเขียนพินัยกรรมฉบับนี้ด้วยตัวเองนั้นข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะ
แจ่มใสดีหลังจากข้าพเจ้าตระหนักถึงสุขภาพร่างกายที่เสื่อมทรุดไป
ตามกาลเวลาข้าพเจ้าก็คิดว่าถึงเวลาสมควรแล้วที่ต้องจัดสรรทรัพย์สิน
ที่มีสืบทอดตกแก่ลูกหลานของข้าพเจ้าโดยเหมาะสมทั้งนี้เมื่อข้าพเจ้า
ได้ล่วงลับไปแล้วข้าพเจ้าย่อมไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเองจึงขอ
แต่งตั้งนายศรุตวิศวโกศลทนายความประจำตัวของข้าพเจ้าเป็นผู้เก็บ
รักษาพินัยกรรมฉบับนี้ไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรและเป็นผู้จัดการ
พินัยกรรมให้เป็นไปตามประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะกล่าวถึงดังนี้...
“ข้าพเจ้ามีผู้สืบสันดานที่ถูกต้องเป็นทั้งทายาทโดยธรรมและ
ทายาทโดยพินัยกรรมอยู่หนึ่งคนคือนายบุณย์กรวกีในฐานะหลานชาย
แท้ๆของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าปรารถนาจะระบุทายาทโดยพินัยกรรม
เพิ่มอีกหนึ่งคนคือนางสาวข้าวขวัญธีรกมลแต่นางสาวข้าวขวัญจะ
มีสิทธิ์ในทรัพย์สินของข้าพเจ้าก็เมื่อบรรลุเงื่อนไขที่ข้าพเจ้าตั้งเอาไว้
มิเช่นนั้นทรัพย์สินทั้งหมดของข้าพเจ้าจะเป็นของนายบุณย์แต่เพียง
ผู้เดียว
“และเงื่อนไขดังกล่าวของข้าพเจ้าคือนางสาวข้าวขวัญจะต้อง
จดทะเบียนสมรสกับนายบุณย์...”
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ข้าวขวัญก็ยกมือขึ้นขัดเหมือนไม่ต้องการ
จะฟังต่อ
“ขอโทษนะคะคุณศรุตข้าวไม่ต้องการอะไรจากคุณท่านใหญ่
แม้แต่ชิ้นเดียวข้าวคงทำตามเงื่อนไขของคุณท่านใหญ่ไม่ได้หรอกค่ะ”
“คุณข้าวอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเลยนะครับ” ศรุตยิ้มสีหน้า
อ่อนโยนเอ็นดู
“ข้าวขอโทษจริงๆค่ะคุณศรุตแต่ข้าวไม่ได้ต้องการอะไร
ไม่ว่าคุณท่านใหญ่ตั้งใจจะมอบอะไรให้ข้าวข้าวก็รับไม่ได้หรอกค่ะ
ปล่อยให้เป็นของ...”
หญิงสาวโบกมืออย่างรู้กันเพราะไม่ต้องการออกชื่อของใคร
อีกคนที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกันและต่อให้นั่งไกลจนไม่ต้องเหลือบมอง
ให้เสียสายตาแต่ต้องมาทนใช้อากาศหายใจร่วมกันเธอก็อึดอัดใกล้
จะทนไม่ไหวแล้ว
คับที่อยู่ง่ายคับใจอยู่ยาก...จริงแท้!
ทนายความสูงวัยผ่อนลมหายใจออกแต่ยังยิ้มอยู่เหมือนเดิม
บอกต่อคล้ายไม่รับฟังคำปฏิเสธจากข้าวขวัญ
“คุณท่านใหญ่สั่งผมเอาไว้ว่าหากคุณข้าวปฏิเสธเด็ดขาดก็
อนุญาตให้ผมพูดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมรดกส่วนที่ท่านจะมอบให้แก่
คุณข้าวหากทำตามเงื่อนไขได้สำเร็จคุณท่านใหญ่ตั้งใจจะยกเกาะ
และธุรกิจรีสอร์ตบนเกาะที่เคยเป็นของคุณพิไลวรรณคุณแม่ของ
คุณข้าว...”
“ว่าอะไรนะคะคุณศรุต!” เธอถึงกับหลุดปากอุทานอย่าง
ตกใจราวกับไม่อยากเชื่อว่าไม่ได้ฟังผิด
“ลำพังแค่น้ำหนักคำพูดของผมไม่น่าจะมากพอคุณท่านใหญ่
จึงสั่งให้ผมเตรียมเอกสารที่ท่านซื้อธุรกิจรีสอร์ตและพื้นที่เกาะจาก
คุณพิไลวรรณอย่างถูกกฎหมายมาในวันนี้ด้วย”
ศรุตยื่นซองเอกสารอีกฉบับที่หยิบออกมาจากกระเป๋าให้เธอ
ข้าวขวัญยื่นมือไปรับแล้วแกะดูทันทีขณะที่เขาอธิบายในฐานะผ้จัดการ
พินัยกรรม
“คุณท่านใหญ่เจตนาจะคืนทรัพย์สินส่วนนี้ให้คุณข้าวตามที่
คุณพิไลวรรณปรารถนานะครับแต่ท่านต้องทำสัญญาซื้อขายเด็ดขาด
ไม่ให้ญาติฝ่ายคุณชนินทร์สามีของคุณพิไลวรรณเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง
กับเกาะและรีสอร์ต...”
หญิงสาวอ่านเอกสารที่ระบุชัดเจนถึงการซื้อของคุณท่านใหญ่
จากคุณแม่ของเธอก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าพูดไม่ออกเมื่อหวนคิดถึง
เงื่อนไขที่ต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเดิมของคุณพ่อคุณแม่
แต่งงาน!
แล้วแต่งงานกับใครไม่แต่ง…ต้องมาจำเพาะเจาะจงว่าเป็น
หลานชายคนเดียวของคุณท่านใหญ่คนที่เธอเกลียดมากที่สุดคนที่
ทำให้เธอต้องระเห็จออกจากบ้านการเวกด้วยความตั้งใจว่าจะไม่กลับ
มาอีก!
ไม่...สมองข้าวขวัญส่งเสียงกรีดร้องทันทีที่จินตนาการไปว่า
สามีที่เธอต้องจำใจร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยตามกฎหมายคือบุณย์กรวีก!
เธอทำไม่ได้...เธอทนไม่ได้แน่...หญิงสาวพึมพำอยู่คนเดียว
ก่อนจะมองลายเซ็นของแม่บนเอกสารฉบับนั้น
“แต่งงานและอยู่ร่วมห้องนอนเดียวกันเป็นระยะเวลาแค่
หกเดือนเท่านั้นนะครับคุณข้าว”
เสียงทนายความประจำตัวคุณท่านใหญ่กล่าวย้ำมาทำให้
ข้าวขวัญเงยหน้าขึ้นปรายตาค้อนคนที่ไม่ต้องถูกบังคับแต่งงานแบบ
เขาก็พูดได้สิ...นี่มันไม่ต่างอะไรกับถูกมัดติดกับฆาตกรโรคจิตสักนิด
เธอเชื่อว่าคนสติดีๆร้อยทั้งร้อยก็ไม่มีใครอยากกลั้นใจทนสักวินาที
“ไม่มีทางอื่นแล้วหรือคะคุณศรุต”
หญิงสาวถามทั้งที่รู้แก่ใจว่าต่อให้ไปฟ้องศาลที่ไหนก็ไม่มีใคร
รับฟังเมื่อจนด้วยหลักฐานและสถานะที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งญาติที่
ห่างที่สุดของคุณท่านใหญ่ปลายนิ้วเรียวลูบลงบนลายเซ็นความโหยหา
ถึงพ่อแม่อัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกไออุ่นประหลาดๆจากลายเซ็น
ที่เห็นลายเส้นชัดต่อให้ผ่านมาแล้วถึงสิบเก้าปีก็ทำให้ดวงตาแสบร้อน
“ผมเสียใจด้วยครับคุณข้าว...ด้วยหลักฐานในมือคุณข้าว
กฎหมายรับรองแล้วว่าพื้นที่เกาะและธุรกิจรีสอร์ตเป็นของคุณท่านใหญ่
อย่างถูกต้องท่านมีสิทธิ์ที่จะยกให้ใครก็ได้ที่ท่านระบุไว้ในพินัยกรรม
ฉบับนี้...”
ข้าวขวัญเงยหน้าขึ้นมองศรุตที่ส่งยิ้มเห็นใจมาให้
“ข้าวพอเข้าใจค่ะคุณศรุตดีเท่าไรแล้วที่คุณท่านใหญ่ชุบเลี้ยง
ข้าวส่งเสียให้ข้าวจนมีทุกวันนี้ได้...”
หญิงสาวกักก้อนสะอื้นที่เกือบจะหลุดออกมาให้คนฟังได้ยิน
ละนิ้วจากลายเซ็นของแม่อย่างอ้อยอิ่งบางทีท่านอาจจะไม่ได้ต้องการ
ให้เธอครอบครองรีสอร์ตและเกาะจึงตัดสินใจขายให้กับคุณท่านใหญ่
เธอแค่เก็บความทรงจำถึงอ้อมกอดอุ่นๆของคุณแม่ไว้ก็พอแล้วนี่...
ใช่ไหม
“ก่อนที่คุณข้าวจะตัดสินใจผมขออธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติม
นิดหน่อยนะครับ...” ศรุตเรียก
ข้าวขวัญเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างสนใจว่ายังมีเรื่องอะไร
แอบแฝงระหว่างคุณท่านใหญ่กับแม่อีกเธอจำได้แค่ว่าหลังจากที่แม่
เสียแล้วคุณท่านใหญ่ก็เข้ามารับอุปการะเธอในวัยเจ็ดขวบโดยที่ไม่มี
ญาติคนไหนคัดค้านจากตอนนั้นจนถึงวันที่ออกจากบ้านการเวกไป
เธอไม่เคยคิดสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองคนกระทั่งถูก
สะกิดขึ้นมาเอาเดี๋ยวนี้
“หลังจากสิ้นคุณชนินทร์คุณพ่อของคุณข้าวคุณพิไลวรรณ
ต้องเผชิญหน้ากับญาติๆของคุณชนินทร์ที่ไม่ค่อยชอบสะใภ้อย่างท่าน
มากนักพวกเขาต้องการถอนตัวจากธุรกิจรีสอร์ตทันทีทั้งที่มันกำลัง
เติบโตและต้องการเงินทุนก้อนใหญ่เข้ามาสนับสนุนคุณพิไลวรรณจึง
หันมาพึ่งพิงคุณท่านใหญ่เสนอขายธุรกิจรีสอร์ตกับพื้นที่บนเกาะเพื่อ
นำเงินไปคืนให้ญาติๆของคุณชนินทร์
“คุณท่านใหญ่รับซื้อไว้แค่ในนามและให้เงินทุนคุณพิไลวรรณ
ไปพัฒนารีสอร์ตขณะที่เงินส่วนต่างที่เป็นส่วนของคุณพิไลวรรณเหลือ
จากการคืนทุนให้ญาติๆคุณชนินทร์คุณพิไลวรรณก็ไม่ยอมรับจาก
คุณท่านใหญ่เพราะถือว่าช่วยเหลือท่านมามากแล้วคุณท่านใหญ่จึง
เก็บเงินก้อนนี้ไว้ในบัญชีที่ท่านจะมอบให้คุณข้าวพร้อมธุรกิจรีสอร์ตกับ
พื้นที่เกาะเมื่อคุณข้าวโตพอจะดูแลกิจการได้ด้วยตนเอง
“แต่คุณพิไลวรรณก็ชิงประสบอุบัติเหตุก่อนที่จะได้สอนวิธี
บริหารรีสอร์ตให้คุณข้าวคุณท่านใหญ่จึงเข้าไปดูแลกิจการจนเข้าที่
ท่านจึงถอยมาคอยดูแลห่างๆแทนผมเชื่อว่าทั้งคุณพิไลวรรณและ
คุณท่านใหญ่ต่างก็อยากให้คุณข้าวบริหารธุรกิจรีสอร์ตกับเกาะต่อไป
ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่เก็บเอาไว้เรียกได้ว่านี่คือมรดกที่คุณข้าวควรจะ
ได้จากคุณชนินทร์และคุณพิไลวรรณเลยนะครับถ้าหากไม่เกิดเรื่อง
กับคุณชนินทร์จนญาติๆคุณชนินทร์สบโอกาสแกล้งคุณพิไลวรรณ
เสียก่อน”
หญิงสาวเกือบหลุดปากถามคุณทนายที่ขยันโน้มน้าวใจว่าถ้า
คุณท่านใหญ่ต้องการให้จริงๆทำไมถึงไม่ให้เธอโดยปราศจากเงื่อนไข
ไปเสียเลยล่ะแต่ก็คิดได้ว่าท่านเองลงทุนไปมากกับการรักษาธุรกิจ
รีสอร์ตไม่ว่าเจตนาของคุณท่านใหญ่คืออะไรเธอไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถาม
เพราะทรัพย์สินเหล่านั้นไม่ใช่ของครอบครัวเธอแล้ว
ข้าวขวัญเผลอขยุ้มเอกสารที่อยู่ในมือเธอไม่ได้ต้องการอะไร
จากคุณท่านใหญ่ไม่ใช่หรือก็ตัดใจปล่อยให้มันเป็นของคนที่ควรจะ
ได้ไป...คนอย่าง...เขา!
หญิงสาวสั่งตัวเองให้คลายมือจากกระดาษแต่นิ้วกลับไม่ยอม
กระดิกตามคำสั่งรีสอร์ตบนเกาะ...แต่งงานจดทะเบียนกัน...แค่หก
เดือน...ข้างในหัวเอาแต่ย้ำคำพวกนั้นซ้ำๆราวกับแผ่นเสียงตกร่อง
ความต้องการรักพี่เสียดายน้องกำลังอาละวาดอย่างรุนแรงในใจทำให้
ละล้าละลัง...ตัดสินใจไม่ได้สักที
ข้าวขวัญมองศรุตที่รักษาสีหน้าอ่อนโยนรอคำตอบแบบ
ใจเย็นแววตาฉายแต่ประกายเอ็นดูคล้ายเห็นเธอเป็นเด็กน้อยเวลา
สับสนไม่รู้ว่าควรจะเลือกเดินไปทางซ้ายหรือทางขวาดี
สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่เคยเป็นของคุณพ่อคุณแม่เธอมีโอกาสที่
จะเอามันกลับคืนแล้วจะคว้าไว้หรือจะปล่อยให้หลุดมือไปคนฉลาด
ควรรีบฉวยผลประโยชน์ที่มีคนหยิบยื่นให้โดยไม่ต้องลำบากขวนขวาย
แย่งชิงมาเองแต่ทำไมเธอถึงอยากเป็นคนโง่ที่สุดในเวลานี้
หญิงสาวจับกระดาษในมือแน่นก้มลงดูลายเซ็นของคุณแม่
พลางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพยายามเชิดหน้าขึ้นเมื่อหันไปทาง
ใครอีกคนหนึ่งที่ไม่คิดเลยว่าวันที่ต้องมองหน้าเขาอีกครั้งมาถึงเร็วกว่า
คำว่า ‘ชาติหน้าตอนสายๆ’ ประสานสายตากับดวงตาดำคมบนใบหน้า
ได้รูปที่เปี่ยมไปด้วยรอยท้าทายกระตุ้นให้เธอหุนหันตัดสินใจ
“คุณจะเอายังไง!”