เงารักร้าย (รายาเสน่ห์จันทร์)

เงารักร้าย (รายาเสน่ห์จันทร์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715506
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 217.00 บาท 54.25 บาท
ประหยัด: 162.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

ายลมที่โหมพัดพากลุ่มเมฆทะมึนกระจายตัวเปิดทาง

ให้ละอองทองโรยตัวลงเหนือยอดคลื่นตลอดแนวหาดใต้แสงจันทร์

ปรากฏฟองน้ำผุดพรายผืนทรายขาวสะอาดที่เห็นยามกลางวันในยาม

ค่ำคืนกลับกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับท้องสมุทรเมื่อชั้นเมฆเคลื่อนไปตาม

กระแสลมรัศมีจันทร์ก็ขยับขยายทาบทับแสงไฟวับแวมบนถนนอาบ

หลังคาบ้านเรือนที่แทรกระหว่างหมู่แมกไม้ก่อนจะค่อยๆไต่ขึ้นเนินเขา

สนามหญ้ากลางสวนและคืบผ่านชานระเบียงไม้ของเรือนไทยประยุกต์

ที่ตั้งอยู่เหนือชะง่อนผาข้ามกรอบหน้าต่างที่เปิดกว้างรับสายลมเข้าไป

จับผิวนวลลออของร่างแน่งน้อยเบื้องหลังโต๊ะอ่านหนังสือ

ดวงตาสีน้ำตาลปรือปรอยกวาดตามตัวอักษรยาวเป็นพรืด

ปลายขนตาที่ทาบทับผิวขยับระริกเสมือนปีกผีเสื้อมือจับดินสอขยับ

เขียนเป็นข้อสรุปสั้นๆออกมาส่วนมืออีกข้างพลิกหน้ากระดาษไป

เรื่อยๆกระทั่งสิ้นสุดตรงหน้าสุดท้ายเจ้าของร่างจึงเอนหลังอิงพนัก

เก้าอี้คิ้วเรียวโก่งผูกเป็นปมเครียด

ข้าวขวัญธีรกมลกำลังปวดหัวเอามากๆหลังจากทบทวน

บทเรียนติดต่อกันมาตั้งแต่เช้าตรู่จนมืดค่ำสายตาของเธออ่อนล้าพอๆ

กับร่างกายที่เรียกร้องให้พักผ่อนก่อนจะรีบตะปบมือทับกองกระดาษ

ไม่ให้ปลิวกระจายว่อนไปทั่วห้องเมื่อสายลมที่โชยพัดผ่านระเบียงห้อง

เปลี่ยนเป็นกระโชกแรงกะทันหันเด็กสาวคว้ากล่องดินสอใกล้มือขึ้น

มาวางทับลุกพรวดไปปิดประตูระเบียงแล้วงับหน้าต่างปิดสนิท

ท้องฟ้าข้างนอกเปลี่ยนเป็นสีดำมองแทบจะไม่เห็นแสงจาก

ดวงจันทร์บอกเค้าพายุที่ก่อตัวเหนือผืนน้ำหม่นมืดข้าวขวัญรวบผม

ที่ถูกลมพัดตีจนรุ่ยร่ายให้เรียบร้อยเดินกลับมาเก็บของใส่กระเป๋า

นักเรียนเตรียมตัวไปสอบในวันพรุ่งนี้เธอเอื้อมมือปิดโคมไฟบน

โต๊ะอ่านหนังสือก่อนจะล้มตัวลงนอนลืมตามองความมืดอยู่บนเตียง

ฟังเสียงลมกระแทกประตูกับบานหน้าต่างไม่นานก็ผล็อยหลับไปด้วย

ความอ่อนเพลีย

เด็กสาวนอนสะบัดร้อนสะบัดหนาวรู้ตัวว่าถูกไข้หวัดเล่นงาน

แล้วถึงได้พลิกตัวกระสับกระส่ายตื่นบ้างหลับบ้างแต่ไม่คิดจะลุกขึ้น

ไปรบกวนใครกลางยามวิกาลคิ้วโก่งเรียวขมวดแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึง

บางสิ่งที่ลากไล้ลงบนผิวนุ่มทิ้งรอยหนาวสะท้านค้างบนเนื้อตัวนัยน์ตา

ที่ขยับกระตุกค่อยๆปรือขึ้นมองภาพตรงหน้าแล้วสะดุ้งตกใจกับเงา

ดำทะมึนที่ตระหง่านเงื้อมเหนือร่าง

ข้าวขวัญอยากจะยกมือขึ้นผลักไสมันออกไปแต่ก็ขยับตัว

ไม่ได้เหมือนถูกผีอำดวงตาที่ลืมขึ้นอย่างสะลึมสะลือปิดลงใหม่เพื่อ

รวบรวมกำลังใจต่อสู้กับสิ่งที่คิดว่าเกิดจากจินตนาการก่อนจะสะดุ้ง

สุดกายเบิกตาโพลงทันทีที่มันทิ้งน้ำหนักลงมาทับ

ร่างกายที่กลายเป็นอัมพาตชั่วคราวขยับผวาคล้ายหลุดพ้น

พันธนาการริมฝีปากที่ปิดสนิทเปิดกว้างพร้อมหวีดร้องปลุกทุกคน

ในบ้านการเวกให้ตื่นขึ้นมาช่วยเหลือแต่มือหยาบใหญ่ก็ตะปบลงมา

ปิดครึ่งใบหน้าห้ามเสียงร้องดังลั่นของเด็กสาวจนเหลือแค่อู้อี้อยู่ใน

ลำคอ

ข้าวขวัญระดมฝ่ามือฝ่าเท้าทำร้ายร่างที่ยังทับอยู่บนตัวแต่

ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งทำให้ร่างนุ่มเนียนเบียดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งกระทั่งรู้สึกถึง

ความแตกต่างทางสรีระอย่างสิ้นเชิงเตือนให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย

และมัน...

เด็กสาวเบิกตากว้างเมื่อสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงใกล้ระเบียง

แสงที่สว่างวาบขึ้นเปลี่ยนให้ห้องสว่างไสวในพริบตาเธอได้แต่ตื่นตะลึง

จนลืมที่จะกรีดร้องยามที่ได้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดแจ้งว่าเป็นใคร

คนหนึ่งที่นับถือประหนึ่งพี่ชาย...

แม้ว่าไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน!

1

ถญี่ปุ่นสีเขียวยอดตองชะลอความเร็วลงเมื่อคนขับชะโงก

มองป้ายบอกทางผ่านกระจกหน้าก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเตือนยาน

พาหนะคันที่ขับตามมาข้างหลังมือเรียวขาวหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถ

เข้าถนนที่แคบลงจากทางหลวงจนกลายเป็นถนนลาดยางมะตอยที่แล่น

สวนทางกันได้โชคดีที่ถนนเรียบไม่มีหลุมบ่อให้ต้องนั่งหัวสั่นหัวคลอน

เช่นในอดีตจำนวนรถที่ใช้เส้นทางนี้ก็รับประกันอันดับยอดนิยมของ

สถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอเล็กๆที่เป็นปลายทางได้ดี

นิตยสารชื่อดังหลายฉบับเขียนบทความถึงอำเภอที่มีพื้นที่

ติดทะเลสวยและฟ้าใสกระจ่างแห่งนี้หลายต่อหลายหนเธอถูกเพื่อน

ชักชวนมาเที่ยวที่นี่ตั้งแต่สมัยเรียนกระทั่งทำงานแต่ไม่มีใครประสบ

ความสำเร็จเพราะไม่ว่างัดไม้ไหนๆขึ้นมาใช้หญิงสาวมักจะปฏิเสธ

หนักแน่นอย่างไม่ยอมบอกเหตุผลเสมอ

เสียงสูดลมหายใจเข้าดังขึ้นในความเงียบเมื่อภาพเวิ้งน้ำเริ่ม

ปรากฏให้เห็นรถยนต์เคลื่อนโค้งไปตามทางถนนที่ขยายกว้างขึ้นเป็น

สัญญาณบอกว่ากำลังเข้าถึงตัวอำเภอเล็กๆแห่งนี้แล้วสองข้างทางที่

เคยเต็มไปด้วยต้นไม้รกเรื้อสลับเรือกสวนไร่นาเปลี่ยนเป็นสิ่งปลูกสร้าง

จำพวกทาวน์เฮาส์รีสอร์ตและโรงแรมซึ่งต่างก็ตกแต่งให้เข้ากันกับ

บรรยากาศริมทะเลมีซอยเล็กซอยน้อยแยกย่อยอย่างที่เธอจะต้อง

หลงทางแน่ถ้าเผลอขับวนเข้าไป

รถยนต์ถูกบังคับให้ชะลอจอดทันทีที่สัญญาณไฟเปลี่ยนจาก

เขียวเป็นแดงนัยน์ตาเบื้องหลังแว่นกันแดดมองคนเดินริมทางที่เป็น

นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบ้างคนไทยบ้างบางคนก็มาแบบครอบครัว

บางคนก็มาเป็นกลุ่มเพื่อนหรือแค่สองต่อสองกับคนรักรอยยิ้มที่เต็ม

ไปด้วยความสุขของพวกเขาทำให้หญิงสาวเบือนหน้าหนีแววตาหม่น

ลงพอนึกถึงเหตุผลที่ต้องกลับมาทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่หวนมาอีกเลย

เมื่อสองวันก่อนมีสายเรียกเข้าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่เธอ

ไม่คุ้นเคยหลังจากรับสายด้วยความสงสัยแล้วสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเกือบ

ทำให้เผลอปล่อยมันร่วงหล่น

“สวัสดีครับคุณข้าวขวัญธีรกมลใช่ไหมครับผมชื่อศรุต

วิศวโกศลทนายประจำตัวคุณท่านใหญ่นะครับผมเสียใจที่ต้องเป็น

คนแจ้งข่าวให้คุณข้าวทราบผ่านทางโทรศัพท์แต่คุณท่านใหญ่กำชับ

กับผมก่อนจะเสียว่าให้ตามตัวคุณข้าวเพื่อร่วมฟังพินัยกรรมของท่าน

ให้ได้คุณข้าวจะสะดวกเมื่อไรครับ

หญิงสาวแทบจะตอบคำถามไม่ได้คล้ายสมองไม่รับรู้มัน

เอาแต่ย้ำอยู่กับประโยคที่ว่า‘กำชับกับผมก่อนจะเสีย...’ เธอยกมือ

ปิดปากไม่มีเสียงหลุดออกมาให้ใครได้ยินเมื่อสะเทือนใจไปกับความ

จริงที่ว่าคุณท่านใหญ่เสียแล้ว!

จากวันที่ตัดสินใจหันหลังให้บ้านการเวกก็เหมือนกับหันหลัง

ให้ประมุขของบ้านอย่างกนกกรวีกด้วยถึงเธอจะไปอย่างไม่คิดกลับ

มาหรือส่งข่าวคราวใดๆคุณท่านใหญ่ก็ยังโอนเงินเข้าบัญชีมาให้ใช้จ่าย

สม่ำเสมอเธอมั่นใจว่าท่านต้องรู้ว่าหลังจากเจ็ดปีที่ผ่านมาเธอเรียนจบ

ระดับมหาวิทยาลัยทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้แล้วแต่คุณท่านใหญ่ก็

ไม่หยุดโอนเงินมาทุกเดือนราวกับต้องการให้ไปบอกท่านด้วยตัวเอง

ในเมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่เหยียบไปที่บ้านการเวก

อีกหญิงสาวจึงโอนเงินก้อนนั้นกลับคืนไปให้คุณท่านใหญ่พร้อมกับ

ส่วนหนึ่งของเงินเดือนเพื่อทดแทนพระคุณที่ท่านส่งเสียเลี้ยงดูและ

ทำอย่างนั้นทุกเดือนจนกระทั่งบัดนี้คิดไม่ถึงเลยว่าคุณท่านใหญ่จะเสีย

แล้ว...

“คุณข้าวครับยังอยู่ในสายหรือเปล่าครับ”

เสียงเรียกกระชั้นจากปลายสายปลุกให้เธอกลับมารู้สึกตัว

ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อเหมือนจงใจดักทาง

“คุณท่านใหญ่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงมาปีกว่าๆแล้วครับ

อาการของท่านทรุดลงเรื่อยๆจนเมื่อสี่เดือนก่อนคุณท่านใหญ่เรียก

ผมเข้ามาจัดการเรื่องพินัยกรรมและก่อนที่ท่านจะเสียก็ยังไม่ลืมกำชับ

ผมอีกครั้งว่าต้องตามตัวคุณข้าวกลับมาถึงจะเปิดพินัยกรรมของท่าน

ได้เห็นแก่พระคุณของท่านเถอะนะครับคุณข้าวนี่เป็นโอกาสสุดท้าย

แล้วที่คุณข้าวจะทำให้คุณท่านใหญ่ได้

ข้าวขวัญเพิ่งเข้าใจเหตุผลที่คุณท่านใหญ่วางใจเลือกเขาเป็น

ทนายประจำตัวก็ในเวลานี้ระหว่างสนทนากันผ่านทางโทรศัพท์ศรุต

ละเว้นที่จะกล่าวถึงใครอีกคนหนึ่งให้เธอได้ยินตลอดและจำต้องกลืน

น้ำลายตัวเองยอมกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่งด้วยพระคุณที่ไม่มีโอกาส

ทดแทนอีกแล้ว

หญิงสาวดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ความคิดทันทีที่สัญญาณ

ไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแม้ตัวอำเภอจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญ

ที่ย่างกรายเข้ามาแต่สุดทางของถนนเส้นนี้ก็ยังเป็นเนินเขาสูงที่ตั้งของ

เรือนไทยหลังใหญ่ทาสีฟ้าใสเหมือนเดิมแล้วยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไร

แววตาของหญิงสาวก็ยิ่งแข็งกระด้างมากขึ้นเท่านั้น

พอมาถึงหน้าประตูรั้วใหญ่เธอก็แตะเบรกหยุดรถเลื่อน

กระจกลงคุยกับยามหนุ่มที่เดินออกจากป้อมเข้ามาสอบถามตามหน้าที่

“สวัสดีค่ะ”

ข้าวขวัญดึงแว่นกันแดดออกมาพับขาเสียบใส่ช่องวางของ

ก่อนจะมองยามหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าคิดว่าเขาคงไม่รู้จักเธอเหมือนกับ

คนเก่าคนแก่เลยแนะนำตัวพร้อมหยิบใบขับขี่ให้ดู

“ข้าวขวัญธีรกมลค่ะคิดว่าคุณศรุตคงจะ...”

ที่จริงหญิงสาวควรอ้างอีกชื่อหนึ่งที่กลายมาเป็นเจ้าของบ้าน

การเวกแทนคุณท่านใหญ่แต่เธอรังเกียจแม้กระทั่งจะเอ่ยชื่อนั้น

“เชิญเลยครับคุณข้าวขวัญ”

ยามยิ้มกว้างแล้วส่งใบขับขี่คืนทันทีที่ได้ยินชื่อของหญิงสาว

ประตูโลหะขยับเลื่อนเปิดหลังจากเขาโบกมือไปที่ป้อมแสดงว่าไม่ได้

เฝ้าประตูใหญ่อยู่เพียงลำพังเธอยิ้มหวานขอบคุณก่อนจะขับรถเข้าไป

ด้านใน

ทุกคนในอำเภอต่างรู้จักกนกกรวีกดีเขาประกอบธุรกิจ

หลายประเภทควบคุมเงินตราส่วนใหญ่ที่ไหลเวียนเข้าออกไว้ในกำมือ

คล้ายกับเป็นเจ้าของอำเภอเล็กๆแห่งนี้ที่ใครๆก็ต่างเกรงใจไม่เว้น

แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ราชการแต่กนกไม่เคยใช้อิทธิพลที่มีข่มเหงรังแก

คนในอำเภอนอกจากใช้ปกป้องพวกเขาจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ

ของคนนอกเขาจึงเป็นที่รักมากกว่าที่ชัง

ข้าวขวัญมองเรือนไทยหลังใหญ่ที่ปรากฏตรงหน้าหลังคา

สีน้ำเงินเข้มสะท้อนประกายแดดสดใสไม่แพ้ท้องฟ้าข้างหลังตอนเช้า

พระอาทิตย์จะส่องจากหน้าผาเข้าสู่สวนด้านหลังบ้านการเวกยามสาย

จึงให้ร่มเงาแก่ลานน้ำพุใหญ่หน้าเรือนสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่พักพิง

ของเธอเมื่อเจ็ดปีก่อนทุกหนทุกแห่งมีภาพความทรงจำในวัยเยาว์...

และถึงวันนี้แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปรถยนต์แล่นช้าๆบนทาง

ปูอิฐสีฟ้าเข้าไปจอดนิ่งสนิทหน้าตัวบ้าน

หญิงสาวไม่ได้ดับเครื่องยนต์เพราะเห็นชายวัยกลางคนรีบวิ่ง

มาจากโรงรถที่อยู่ไม่ไกลพอเขาเข้ามาใกล้จนไม่ต้องตะโกนคุยกันแล้ว

เธอก็ยิ้มแย้มทักทายเสียงสดใส

“สวัสดีค่ะลุงตู้”

“คุณข้าวคุณข้าวจริงๆเหรอขอรับ”

ลุงตู้ร้องอย่างดีใจจนลืมว่าเขาวิ่งมาต้อนรับแขกของบ้านตาม

หน้าที่ก่อนจะพูดซ้ำๆเหมือนประกาศให้ใครที่อยู่ใกล้ตัวได้ยินแล้ว

เข้ามาร่วมแสดงความยินดีด้วย

“คุณข้าวกลับมาบ้านแล้ว...คุณข้าวกลับบ้านแล้ว...ไอ้ตู้

ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยขอรับ”

“ลุงตู้คะข้าวอยากจะคุยกับลุงตู้นะคะว่าเป็นยังไงบ้างแต่

ข้าวคิดว่าคุณศรุตคงจะรอข้าวมาสักพักใหญ่แล้วละค่ะ”

ข้าวขวัญยิ้มเจื่อนหลังจากเหลือบดูหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเธอ

นัดทนายความมือเก๋าของคุณท่านใหญ่เอาไว้ตอนเก้าโมงเช้าแต่ตอนนี้

ก็เกือบจะสิบโมงเข้าไปแล้ว

“เชิญเลยขอรับคุณข้าว”

เขายื่นมือรับกุญแจรถจากหญิงสาวก่อนจะเข้าไปนั่งประจำที่

คนขับแทนข้าวขวัญเดินเข้าบ้านการเวกและชะงักเท้าเมื่อเห็นสาวสวย

หน้าตาคมขำผิวสองสีเนียนละเอียดจนเหมือนสีทองยืนรออยู่ข้างๆ

ตู้กระจกโบราณเธอเดาว่าคงเป็นหนึ่งในคนรับใช้ใหม่ของบ้านแม้ว่า

จะคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก

“เชิญทางนี้ค่ะคุณ”

น้ำเสียงนั้นอาจจะฟังสุภาพแต่แววตาที่มองมาประกาศความ

เป็นศัตรูโจ่งแจ้งจนข้าวขวัญงุนงงครุ่นคิดอย่างงงงันว่าเคยพบปะผู้หญิง

คนนี้และเผลอไปเหยียบหางคุณเธอเข้าที่ไหนถึงได้ผูกใจเจ็บต่อกัน

ไม่ยอมลืมพลางเดินตามหลังอีกฝ่ายไปแล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้าง...

ภาพวันเก่าๆที่หวนคืนมาในความทรงจำคือเด็กชายสองคน

กับเด็กหญิงหนึ่งคนแล้วก่อนที่ข้าวขวัญจะอุทานชื่อของอีกฝ่ายออกมา

สาวเจ้าก็หมุนตัวมามองคล้ายกับไม่พอใจที่แขกของบ้านเว้นระยะห่าง

ระหว่างกันมากเกินไปหรืออีกนัยหนึ่งก็แปลได้ว่ารำคาญที่เธอเดินช้า

เกินไป

“ช่วยรีบหน่อยนะคะคุณบุณย์เธอรอคุณนานแล้ว” สาวสวย

คมขำเตือนแล้วสะบัดหน้าเดินต่ออย่างรวดเร็ว

หญิงสาวเกือบทำหน้าล้อเลียนใส่หลังที่เหยียดตึงของคน

นำทางหากไม่สะดุดกับชื่อที่อีกฝ่ายพูดถึงเข้าเสียก่อนและรู้ว่าได้เวลา

ที่ต้องเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้วข้าวขวัญกำมือแน่น

สูดลมหายใจเข้าลึกบอกตัวเองให้เข้มแข็งไว้มาทำให้มันจบๆกันไป

ในวันนี้!

แต่เธอก็ยังสะดุ้งไปตามเสียงเคาะประตูที่ดังทิ้งช่วงสามครั้ง

ก่อนอีกฝ่ายจะเปิดประตูกว้างหันมาพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เชิญค่ะ”

ข้าวขวัญก้าวผ่านกรอบประตูเข้าด้านในดวงตากลมโตจ้อง

ร่างสูงผอมของคนที่เธอรู้จักดีว่าเป็นทนายความประจำตัวคุณท่านใหญ่

แต่ไม่ยอมมองร่างสูงใหญ่ของอีกคนหนึ่งที่อยู่ภายในห้องราวกับเขา

ปราศจากตัวตนสำหรับเธอ

“คุณข้าวเดินทางมาเรียบร้อยดีนะครับ” ชายสูงวัยเจ้าของ

ใบหน้าเรียวตอบเห็นกระดูกโหนกแก้มผมสีดอกเลาแต่งทรงเรียบร้อย

สวมชุดสูทสีดำที่ยิ่งเน้นความผอมบางของร่างกายทักทายยิ้มๆ

“สวัสดีค่ะคุณศรุตขอโทษที่ข้าวมาสายมากนะคะกะเวลา

ขับรถจากกรุงเทพฯมาถึงที่นี่พลาดไปเยอะเลย”

หญิงสาวพนมมือไหว้ซึ่งศรุตก็รับไหว้ไม่ได้มีสีหน้าโกรธ

เคืองเธอที่ผิดเวลาไปเกือบชั่วโมงให้เห็น

“เชิญนั่งเลยครับคุณข้าว...รบกวนคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป

ด้วยนะครับ”

ศรุตจ้องไปทางหญิงสาวอีกคนที่ยังยืนอยู่หน้าประตูห้อง

ทำงานสาวงามพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะปิดประตูจนได้ยินเสียงลูกบิด

ลั่นเบาๆในความเงียบเมื่อเขาแน่ใจว่าพ้นการรู้เห็นของบุคคลภายนอก

แล้วก็ยกกระเป๋าเอกสารที่ตั้งไว้ข้างตัวขึ้นมาพลางพูด

“ผมจะเปิดพินัยกรรมของคุณท่านใหญ่แล้วนะครับ”

พอไม่ได้ยินเสียงใครคัดค้านทนายความก็ดึงพินัยกรรม

ขึ้นมาอ่านเสียงดังฟังชัด

“ข้าพเจ้านายกนกกรวีกขอรับรองว่าณขณะที่ข้าพเจ้าทำ

การเขียนพินัยกรรมฉบับนี้ด้วยตัวเองนั้นข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะ

แจ่มใสดีหลังจากข้าพเจ้าตระหนักถึงสุขภาพร่างกายที่เสื่อมทรุดไป

ตามกาลเวลาข้าพเจ้าก็คิดว่าถึงเวลาสมควรแล้วที่ต้องจัดสรรทรัพย์สิน

ที่มีสืบทอดตกแก่ลูกหลานของข้าพเจ้าโดยเหมาะสมทั้งนี้เมื่อข้าพเจ้า

ได้ล่วงลับไปแล้วข้าพเจ้าย่อมไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเองจึงขอ

แต่งตั้งนายศรุตวิศวโกศลทนายความประจำตัวของข้าพเจ้าเป็นผู้เก็บ

รักษาพินัยกรรมฉบับนี้ไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรและเป็นผู้จัดการ

พินัยกรรมให้เป็นไปตามประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะกล่าวถึงดังนี้...

“ข้าพเจ้ามีผู้สืบสันดานที่ถูกต้องเป็นทั้งทายาทโดยธรรมและ

ทายาทโดยพินัยกรรมอยู่หนึ่งคนคือนายบุณย์กรวกีในฐานะหลานชาย

แท้ๆของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าปรารถนาจะระบุทายาทโดยพินัยกรรม

เพิ่มอีกหนึ่งคนคือนางสาวข้าวขวัญธีรกมลแต่นางสาวข้าวขวัญจะ

มีสิทธิ์ในทรัพย์สินของข้าพเจ้าก็เมื่อบรรลุเงื่อนไขที่ข้าพเจ้าตั้งเอาไว้

มิเช่นนั้นทรัพย์สินทั้งหมดของข้าพเจ้าจะเป็นของนายบุณย์แต่เพียง

ผู้เดียว

“และเงื่อนไขดังกล่าวของข้าพเจ้าคือนางสาวข้าวขวัญจะต้อง

จดทะเบียนสมรสกับนายบุณย์...”

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ข้าวขวัญก็ยกมือขึ้นขัดเหมือนไม่ต้องการ

จะฟังต่อ

“ขอโทษนะคะคุณศรุตข้าวไม่ต้องการอะไรจากคุณท่านใหญ่

แม้แต่ชิ้นเดียวข้าวคงทำตามเงื่อนไขของคุณท่านใหญ่ไม่ได้หรอกค่ะ”

“คุณข้าวอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเลยนะครับ” ศรุตยิ้มสีหน้า

อ่อนโยนเอ็นดู

“ข้าวขอโทษจริงๆค่ะคุณศรุตแต่ข้าวไม่ได้ต้องการอะไร

ไม่ว่าคุณท่านใหญ่ตั้งใจจะมอบอะไรให้ข้าวข้าวก็รับไม่ได้หรอกค่ะ

ปล่อยให้เป็นของ...”

หญิงสาวโบกมืออย่างรู้กันเพราะไม่ต้องการออกชื่อของใคร

อีกคนที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกันและต่อให้นั่งไกลจนไม่ต้องเหลือบมอง

ให้เสียสายตาแต่ต้องมาทนใช้อากาศหายใจร่วมกันเธอก็อึดอัดใกล้

จะทนไม่ไหวแล้ว

คับที่อยู่ง่ายคับใจอยู่ยาก...จริงแท้!

ทนายความสูงวัยผ่อนลมหายใจออกแต่ยังยิ้มอยู่เหมือนเดิม

บอกต่อคล้ายไม่รับฟังคำปฏิเสธจากข้าวขวัญ

“คุณท่านใหญ่สั่งผมเอาไว้ว่าหากคุณข้าวปฏิเสธเด็ดขาดก็

อนุญาตให้ผมพูดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมรดกส่วนที่ท่านจะมอบให้แก่

คุณข้าวหากทำตามเงื่อนไขได้สำเร็จคุณท่านใหญ่ตั้งใจจะยกเกาะ

และธุรกิจรีสอร์ตบนเกาะที่เคยเป็นของคุณพิไลวรรณคุณแม่ของ

คุณข้าว...”

“ว่าอะไรนะคะคุณศรุต!” เธอถึงกับหลุดปากอุทานอย่าง

ตกใจราวกับไม่อยากเชื่อว่าไม่ได้ฟังผิด

“ลำพังแค่น้ำหนักคำพูดของผมไม่น่าจะมากพอคุณท่านใหญ่

จึงสั่งให้ผมเตรียมเอกสารที่ท่านซื้อธุรกิจรีสอร์ตและพื้นที่เกาะจาก

คุณพิไลวรรณอย่างถูกกฎหมายมาในวันนี้ด้วย”

ศรุตยื่นซองเอกสารอีกฉบับที่หยิบออกมาจากกระเป๋าให้เธอ

ข้าวขวัญยื่นมือไปรับแล้วแกะดูทันทีขณะที่เขาอธิบายในฐานะผ้จัดการ

พินัยกรรม

“คุณท่านใหญ่เจตนาจะคืนทรัพย์สินส่วนนี้ให้คุณข้าวตามที่

คุณพิไลวรรณปรารถนานะครับแต่ท่านต้องทำสัญญาซื้อขายเด็ดขาด

ไม่ให้ญาติฝ่ายคุณชนินทร์สามีของคุณพิไลวรรณเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง

กับเกาะและรีสอร์ต...”

หญิงสาวอ่านเอกสารที่ระบุชัดเจนถึงการซื้อของคุณท่านใหญ่

จากคุณแม่ของเธอก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าพูดไม่ออกเมื่อหวนคิดถึง

เงื่อนไขที่ต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเดิมของคุณพ่อคุณแม่            

แต่งงาน!

แล้วแต่งงานกับใครไม่แต่ง…ต้องมาจำเพาะเจาะจงว่าเป็น

หลานชายคนเดียวของคุณท่านใหญ่คนที่เธอเกลียดมากที่สุดคนที่

ทำให้เธอต้องระเห็จออกจากบ้านการเวกด้วยความตั้งใจว่าจะไม่กลับ

มาอีก!

ไม่...สมองข้าวขวัญส่งเสียงกรีดร้องทันทีที่จินตนาการไปว่า

สามีที่เธอต้องจำใจร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยตามกฎหมายคือบุณย์กรวีก!

เธอทำไม่ได้...เธอทนไม่ได้แน่...หญิงสาวพึมพำอยู่คนเดียว

ก่อนจะมองลายเซ็นของแม่บนเอกสารฉบับนั้น

“แต่งงานและอยู่ร่วมห้องนอนเดียวกันเป็นระยะเวลาแค่

หกเดือนเท่านั้นนะครับคุณข้าว”

เสียงทนายความประจำตัวคุณท่านใหญ่กล่าวย้ำมาทำให้

ข้าวขวัญเงยหน้าขึ้นปรายตาค้อนคนที่ไม่ต้องถูกบังคับแต่งงานแบบ

เขาก็พูดได้สิ...นี่มันไม่ต่างอะไรกับถูกมัดติดกับฆาตกรโรคจิตสักนิด

เธอเชื่อว่าคนสติดีๆร้อยทั้งร้อยก็ไม่มีใครอยากกลั้นใจทนสักวินาที

“ไม่มีทางอื่นแล้วหรือคะคุณศรุต”

หญิงสาวถามทั้งที่รู้แก่ใจว่าต่อให้ไปฟ้องศาลที่ไหนก็ไม่มีใคร

รับฟังเมื่อจนด้วยหลักฐานและสถานะที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งญาติที่

ห่างที่สุดของคุณท่านใหญ่ปลายนิ้วเรียวลูบลงบนลายเซ็นความโหยหา

ถึงพ่อแม่อัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกไออุ่นประหลาดๆจากลายเซ็น

ที่เห็นลายเส้นชัดต่อให้ผ่านมาแล้วถึงสิบเก้าปีก็ทำให้ดวงตาแสบร้อน

“ผมเสียใจด้วยครับคุณข้าว...ด้วยหลักฐานในมือคุณข้าว

กฎหมายรับรองแล้วว่าพื้นที่เกาะและธุรกิจรีสอร์ตเป็นของคุณท่านใหญ่

อย่างถูกต้องท่านมีสิทธิ์ที่จะยกให้ใครก็ได้ที่ท่านระบุไว้ในพินัยกรรม

ฉบับนี้...”

ข้าวขวัญเงยหน้าขึ้นมองศรุตที่ส่งยิ้มเห็นใจมาให้

“ข้าวพอเข้าใจค่ะคุณศรุตดีเท่าไรแล้วที่คุณท่านใหญ่ชุบเลี้ยง

ข้าวส่งเสียให้ข้าวจนมีทุกวันนี้ได้...”

หญิงสาวกักก้อนสะอื้นที่เกือบจะหลุดออกมาให้คนฟังได้ยิน

ละนิ้วจากลายเซ็นของแม่อย่างอ้อยอิ่งบางทีท่านอาจจะไม่ได้ต้องการ

ให้เธอครอบครองรีสอร์ตและเกาะจึงตัดสินใจขายให้กับคุณท่านใหญ่

เธอแค่เก็บความทรงจำถึงอ้อมกอดอุ่นๆของคุณแม่ไว้ก็พอแล้วนี่...

ใช่ไหม

“ก่อนที่คุณข้าวจะตัดสินใจผมขออธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติม

นิดหน่อยนะครับ...” ศรุตเรียก

ข้าวขวัญเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างสนใจว่ายังมีเรื่องอะไร

แอบแฝงระหว่างคุณท่านใหญ่กับแม่อีกเธอจำได้แค่ว่าหลังจากที่แม่

เสียแล้วคุณท่านใหญ่ก็เข้ามารับอุปการะเธอในวัยเจ็ดขวบโดยที่ไม่มี

ญาติคนไหนคัดค้านจากตอนนั้นจนถึงวันที่ออกจากบ้านการเวกไป

เธอไม่เคยคิดสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองคนกระทั่งถูก

สะกิดขึ้นมาเอาเดี๋ยวนี้

“หลังจากสิ้นคุณชนินทร์คุณพ่อของคุณข้าวคุณพิไลวรรณ

ต้องเผชิญหน้ากับญาติๆของคุณชนินทร์ที่ไม่ค่อยชอบสะใภ้อย่างท่าน

มากนักพวกเขาต้องการถอนตัวจากธุรกิจรีสอร์ตทันทีทั้งที่มันกำลัง

เติบโตและต้องการเงินทุนก้อนใหญ่เข้ามาสนับสนุนคุณพิไลวรรณจึง

หันมาพึ่งพิงคุณท่านใหญ่เสนอขายธุรกิจรีสอร์ตกับพื้นที่บนเกาะเพื่อ

นำเงินไปคืนให้ญาติๆของคุณชนินทร์

“คุณท่านใหญ่รับซื้อไว้แค่ในนามและให้เงินทุนคุณพิไลวรรณ

ไปพัฒนารีสอร์ตขณะที่เงินส่วนต่างที่เป็นส่วนของคุณพิไลวรรณเหลือ

จากการคืนทุนให้ญาติๆคุณชนินทร์คุณพิไลวรรณก็ไม่ยอมรับจาก

คุณท่านใหญ่เพราะถือว่าช่วยเหลือท่านมามากแล้วคุณท่านใหญ่จึง

เก็บเงินก้อนนี้ไว้ในบัญชีที่ท่านจะมอบให้คุณข้าวพร้อมธุรกิจรีสอร์ตกับ

พื้นที่เกาะเมื่อคุณข้าวโตพอจะดูแลกิจการได้ด้วยตนเอง

“แต่คุณพิไลวรรณก็ชิงประสบอุบัติเหตุก่อนที่จะได้สอนวิธี

บริหารรีสอร์ตให้คุณข้าวคุณท่านใหญ่จึงเข้าไปดูแลกิจการจนเข้าที่

ท่านจึงถอยมาคอยดูแลห่างๆแทนผมเชื่อว่าทั้งคุณพิไลวรรณและ

คุณท่านใหญ่ต่างก็อยากให้คุณข้าวบริหารธุรกิจรีสอร์ตกับเกาะต่อไป

ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่เก็บเอาไว้เรียกได้ว่านี่คือมรดกที่คุณข้าวควรจะ

ได้จากคุณชนินทร์และคุณพิไลวรรณเลยนะครับถ้าหากไม่เกิดเรื่อง

กับคุณชนินทร์จนญาติๆคุณชนินทร์สบโอกาสแกล้งคุณพิไลวรรณ

เสียก่อน”

หญิงสาวเกือบหลุดปากถามคุณทนายที่ขยันโน้มน้าวใจว่าถ้า

คุณท่านใหญ่ต้องการให้จริงๆทำไมถึงไม่ให้เธอโดยปราศจากเงื่อนไข

ไปเสียเลยล่ะแต่ก็คิดได้ว่าท่านเองลงทุนไปมากกับการรักษาธุรกิจ

รีสอร์ตไม่ว่าเจตนาของคุณท่านใหญ่คืออะไรเธอไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถาม

เพราะทรัพย์สินเหล่านั้นไม่ใช่ของครอบครัวเธอแล้ว

ข้าวขวัญเผลอขยุ้มเอกสารที่อยู่ในมือเธอไม่ได้ต้องการอะไร

จากคุณท่านใหญ่ไม่ใช่หรือก็ตัดใจปล่อยให้มันเป็นของคนที่ควรจะ

ได้ไป...คนอย่าง...เขา!

หญิงสาวสั่งตัวเองให้คลายมือจากกระดาษแต่นิ้วกลับไม่ยอม

กระดิกตามคำสั่งรีสอร์ตบนเกาะ...แต่งงานจดทะเบียนกัน...แค่หก

เดือน...ข้างในหัวเอาแต่ย้ำคำพวกนั้นซ้ำๆราวกับแผ่นเสียงตกร่อง

ความต้องการรักพี่เสียดายน้องกำลังอาละวาดอย่างรุนแรงในใจทำให้

ละล้าละลัง...ตัดสินใจไม่ได้สักที

ข้าวขวัญมองศรุตที่รักษาสีหน้าอ่อนโยนรอคำตอบแบบ

ใจเย็นแววตาฉายแต่ประกายเอ็นดูคล้ายเห็นเธอเป็นเด็กน้อยเวลา

สับสนไม่รู้ว่าควรจะเลือกเดินไปทางซ้ายหรือทางขวาดี

สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่เคยเป็นของคุณพ่อคุณแม่เธอมีโอกาสที่

จะเอามันกลับคืนแล้วจะคว้าไว้หรือจะปล่อยให้หลุดมือไปคนฉลาด

ควรรีบฉวยผลประโยชน์ที่มีคนหยิบยื่นให้โดยไม่ต้องลำบากขวนขวาย

แย่งชิงมาเองแต่ทำไมเธอถึงอยากเป็นคนโง่ที่สุดในเวลานี้

หญิงสาวจับกระดาษในมือแน่นก้มลงดูลายเซ็นของคุณแม่

พลางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพยายามเชิดหน้าขึ้นเมื่อหันไปทาง

ใครอีกคนหนึ่งที่ไม่คิดเลยว่าวันที่ต้องมองหน้าเขาอีกครั้งมาถึงเร็วกว่า

คำว่า ‘ชาติหน้าตอนสายๆ’ ประสานสายตากับดวงตาดำคมบนใบหน้า

ได้รูปที่เปี่ยมไปด้วยรอยท้าทายกระตุ้นให้เธอหุนหันตัดสินใจ

“คุณจะเอายังไง!”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024