บุพเพพรางใจ (มหานที)

บุพเพพรางใจ (มหานที)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715568
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 289.00 บาท 72.25 บาท
ประหยัด: 216.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1 นางซินฯ ส้มหล่น

 

เอี๊ยด!

เท้าเหยียบเบรกรถกะทันหัน จนหญิงสาวที่อยู่หลังพวงมาลัย

หัวคะมำเกือบโขกกับพวงมาลัยรถเสียเอง เส้นไหมสีนิลยาวเงาระยับที่

เจ้าของปล่อยตามสบายรุ่ยร่ายลงมาปรกหน้าตัดกับผิวสีนวลที่ตอนนี้

ซีดเผือด และทันทีที่ตั้งตัวได้ก็รีบเข้าเกียร์หยุดรถแล้วพาร่างเพรียว

ลงไปดูเหตุการณ์ระทึกเมื่อเสี้ยวนาทีก่อนหน้าพร้อมกับภาวนาในใจ

ว่าอย่ามีอะไรร้ายแรงเลย หล่อนเพิ่งออกจากงาน เงินเก็บก็ไม่ได้มี

มากมายอะไร ที่สำคัญ...หล่อนไม่อยากได้ชื่อว่าขับรถชนใคร เพราะ

แน่ใจว่าตนขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อครู่มัน

สุดวิสัยจริงๆ ที่อยู่ๆ ก็มีใครก็ไม่รู้ล้มตัดหน้ารถซะอย่างนั้น

ดวงตากลมดำขลับกวาดตาไปที่เกิดเหตุอย่างตระหนกและ

สิ่งแรกที่เห็นก็พอให้โล่งใจได้เปลาะหนึ่ง เพราะไม่เห็นรอยเลือดหรือ

รอยบุบที่รถเลย แสดงว่าหล่อนไม่ได้ชนใครอย่างที่กลัว จากนั้นก็มอง

ไปยังร่างที่หมดสติอยู่ห่างจากรถเกินครึ่งเมตรแล้วก็ได้ใจหายอีกรอบ

ด้วยเห็นชายสูงวัยร่างท้วม ผิวขาวจัด ผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะนอน

หงายแน่นิ่งอยู่ ดวงตากลมไล่ตรวจตราคร่าวๆ อย่างรวดเร็วก็ไม่พบว่า

มีแผลอะไร จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ คนที่อยู่แถวนั้นเองก็เริ่มเข้ามามุง

“คุณคะๆ ได้ยินฉันไหม” เสียงใสทดลองเรียกโดยที่ยัง

ไม่กล้าจับเพราะกลัวว่าอาจมีกระดูกหัก ไม่มีเสียงตอบรับจากร่างที่

นอนหมดสติอยู่ อารามตกใจทำให้ปีย์วราไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้

ควรจะทำอย่างไรก่อนดีระหว่างเรียกรถพยาบาลหรือตำรวจ แต่เสียง

วิจารณ์ของไทยมุงที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ดังเข้ามาทำลายสมาธิ

“เรียกตำรวจดีกว่าคุณ ลุงแกคงไม่เป็นอะไรหรอก ฉันเห็นว่า

ลุงแกกระโดดใส่รถเต็มสองตาเลย ไม่เชื่อดูสิ ห่างจากรถตั้งเยอะ”

คำพูดนั้นทำให้ตากลมมองตามและเริ่มเอนเอียงด้วยเห็นว่า

มีความเป็นไปได้ เพราะสมัยนี้โจรมาในหลากรูปแบบ ตัวหล่อนเองก็

มั่นใจว่าตนเองขับรถมาด้วยความระมัดระวัง ไม่มีทางที่จะไม่เห็นว่ามี

คนจะข้ามถนนแน่ แต่ร่างที่แน่นิ่งอยู่ก็ดูไม่เข้าลักษณะที่ว่าเลย ด้วย

การแต่งเนื้อแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณก็แตกต่างจากคนที่ต้อง

ปากกัดตีนถีบ ถ้าบอกว่าเป็นคนมีอันจะกินยังน่าเชื่อกว่าเลย

“ฉันว่าเรียกรถพยาบาลก่อนดีกว่า ลุงแกอาจเป็นลมวูบไป

ก็ได้ ฉันเห็นแกเดินเหมือนจะหมดแรงนะ การแต่งตัวท่าทางไม่น่าจะ

ใช่นา” อีกคนแย้ง

“โอ๊ย คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน ไม่เคยดูข่าวหรือไง”

“แต่นี่มันกลางวันแสกๆ นะ แถมคนก็อยู่เยอะ โจรมันไม่โง่

ทำหรอก”

ไทยมุงยังคงทุ่มเถียงกัน โดยมีปีย์วรามองอย่างชั่งใจ สุดท้าย

หล่อนเชื่อตามความรู้สึก อาจจะเพราะหล่อนนึกไปถึงบิดาตัวเอง ด้วย

ดูแล้ววัยใกล้ๆ กันถึงได้สงสารมากกว่าจะคิดว่าชายผู้นี้เป็นโจร หล่อน

ลองเรียกอีกครั้ง

“คุณคะๆ ได้ยินฉันไหม” คราวนี้ร่างที่นอนนิ่งขยับเขยื้อน

สูดหายใจแรง พร้อมกับพยายามปรือตา หล่อนเห็นว่าพอจะรู้สึกตัว

จึงรีบถาม “รู้สึกเจ็บตรงไหนไหมคะ”

“ฉันไม่เป็นไร...แค่หน้ามืด” ตุลธรตอบเสียงพร่า พยายาม

ลุกขึ้นแม้หัวจะยังหมุนคว้างก็ตาม เมื่อครู่เขาหน้ามืดถึงได้หลับตานิ่ง

แต่ก็ได้ยินทุกบทสนทนา

“คุณลุกไหวไหมคะ” ถามอย่างห่วงใยพร้อมค่อยๆ พยุงให้

ลุกพาไปนั่งริมทางเท้าและเรียกหายาดมให้ ทำให้ตุลธรค่อยๆ ดีขึ้น

จนมองเห็นคนที่พยุงและจ่อยาดมได้ถนัด หญิงสาวคราวลูกหน้าตา

หมดจด ผมดำยาวเงาระยับ ตัดผิวขาวออกเหลืองนวลของเจ้าของยิ่ง

ทำให้ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาดูผุดผาดงามละมุน ดวงตากลมใสเต็มไปด้วย

แววกังวลส่งตรงมาที่เขา รอยยิ้มเซียวๆ จึงถูกส่งกลับไปเชิงบอกว่า

ไม่เป็นไร แต่เมื่อสำรวจตัวเองถึงได้รู้ว่ากระเป๋าสตางค์หายไปแล้ว มอง

หารอบๆ บริเวณก็ไม่เจอ สงสัยว่าจะเรียบร้อยไทยมุงไปแล้ว ยังดีที่

โทรศัพท์ยังอยู่ทำให้พอจะติดต่อที่บ้านให้มารับได้ แต่ยังไม่ทันได้

โทร.หญิงสาวผู้มีน้ำใจก็เอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวหนูพาไปโรงพยาบาลใกล้ๆ นะคะ”

“ฉันไม่เป็นไรหรอกหนู ขอบใจมาก”

“ไปตรวจดูสักหน่อยดีกว่า โรงพยาบาลอยู่ไม่กี่ป้ายเอง เรื่อง

ค่าหมอเดี๋ยวหนูดูให้เอง”

ตุลธรจะปฏิเสธด้วยกลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นอย่างที่ไทยมุงว่า

แต่ความเป็นห่วงอย่างแท้จริงที่ส่งมาจากดวงตากลมใสนั้นทำให้เขา

ปฏิเสธไม่ออก ไปก็ไป...ไหนๆ ก็หาเรื่องออกมาแก้เบื่อและเพิ่มพลัง

ให้กับตัวเองอยู่แล้ว น้ำใจข้างถนน...ก็ดูน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะ

ในสังคมเมืองที่มีแต่คนขับปาดหน้า แซงคิวกันอย่างไม่รู้สึกละอาย

ในสมัยนี้

ปีย์วราพาชายสูงวัยไปโรงพยาบาลใกล้ๆ ให้หมอตรวจเช็ก

อาการอีกทีเพื่อความสบายใจ อีกอย่างหล่อนรู้ว่าชายสูงวัยไม่มีเงิน

ติดตัวอีก จะไม่ดูดำดูดีเลยก็กระไรอยู่ ไม่สนว่าพวกไทยมุงจะพูดว่า

อะไร และคิดว่าถ้าเป็นบิดาหล่อนเกิดเป็นลมอยู่ข้างทางแบบนี้บ้างล่ะ

ฟ้าอาจส่งบททดสอบนี้ให้หล่อนชดเชยที่ไม่เคยได้ดูแลท่านเลยก็ได้

คิดอย่างนั้นจึงจัดแจงให้หมอตรวจรักษาอย่างดีที่สุด แม้จะทดแทน

ความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจไม่ได้เลยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ทำให้หล่อน

สบายใจขึ้น เหมือนกับการได้ตักบาตรทำบุญนั่นแหละ

การพูดคุยแนะนำตัวกันเล็กน้อยก่อนจะไปพบกับหมอทำให้

คนแปลกหน้าสองคนรู้จักชื่อกัน หญิงสาวรอชายสูงวัย นอนให้น้ำเกลือ

ไปหนึ่งถุง และเมื่อเรียบร้อยก็พากันมานั่งรอรับยา ซึ่งส่วนใหญ่เป็น

ยาบำรุง ด้วยอาการของตุลธรเป็นเพราะอากาศร้อนและโรคอ่อนเพลีย

ตามวัย

ระหว่างที่รอรับยา ปีย์วราก็ยื่นธนบัตรสีเทาที่ติดกระเป๋าอยู่

ใบสุดท้ายให้ ส่วนตัวเองเก็บใบสีม่วงไว้ใบเดียวและกันค่ารักษาที่ต้อง

จ่ายไว้แล้ว ซึ่งตุลธรทันได้เห็นจำนวนธนบัตรในกระเป๋าใบเล็กพอดี แต่

ทำเป็นไม่เห็น ยามธนบัตรนั้นถูกวางบนมือจึงทำท่าแปลกใจจนคนให้

ต้องรีบอธิบาย

“ลุงคะ...อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ตอนนี้หนูมีติดตัวอยู่

เท่านี้”

ตุลธรมองหน้าเด็กสาวรุ่นลูกแล้วเอ่ยเสียงเรียบ แม้จะรู้ว่า

หล่อนไม่ได้มีเจตนาอย่างที่ตนพูดก็ตาม

“ลุงไม่ได้เป็นลมเพื่อรีดไถใครนะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ...” หญิงสาวรีบแก้ “หนูแค่อยากช่วยเท่าที่

ทำได้ ลุงกระเป๋าสตางค์หายด้วยไม่ใช่หรือคะ ไม่มีเงินจะกลับบ้านยังไง

อีกอย่าง...เห็นลุงแล้วคิดถึงพ่อ ถ้าพ่อหนูเป็นลมและกระเป๋าสตางค์

หายคงแย่หากไม่มีใครเห็นใจ”

คำสารภาพซื่อๆ ทำให้ตุลธรนึกเอ็นดู ด้วยจับกระแสความ

เศร้าในเสียงนั้นได้ “พ่อหนูหล่อเท่าลุงเลยหรือ”

“พ่อหนูหล่อกว่านิดหน่อยค่ะ” ตอบกลับยิ้มๆ แต่ดวงตาเจือ

ความเศร้าจนคนมองดูออก “ตอนพ่ออยู่ หนูไม่ได้ดูแลพ่อให้ดีเลย

มัวแต่มาถางป่าคอนกรีตในเมือง อยากให้พ่อภูมิใจ แต่มันก็ไปได้ไม่ดี

เท่าไร” สิ้นประโยคก็มีน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ทัน อาจเพราะความ

รู้สึกผิดที่อยู่ในใจจึงทำให้หล่อนเผลอเปิดเผยตัวเองกับคนแปลกหน้า

อย่างนี้ จึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง “หรือลุงจะให้ลูกมารับคะ”

คำบอกเล่าราวเผลอไผลยิ่งทำให้ตุลธรถูกชะตาด้วย “ลูกชาย

ลุงไม่อยู่หรอก แต่ถึงอยู่ก็คงไม่รู้จะติดต่อยังไง เพราะกว่าจะเจอกันที

ก็เมื่อชาติต้องการ” พูดอย่างพยายามทำให้คนฟังหัวเราะ ปีย์วรายิ้ม

จางๆ ออกมา หากนึกขึ้นได้...

“แล้วลุงหายมานานขนาดนี้ป้าจะไม่ห่วงแย่หรือคะ หรือว่า

ลุงโทร.บอกป้าแล้ว”

สีหน้าอิดโรยหม่นลงแม้จะยิ้ม “ป้าเขาไปสบายได้หลายปีแล้ว

ลุงอยู่กับลูกแค่สองคน แต่ก็นั่นแหละ...”

“หนูขอโทษที่ถามอะไรก็ไม่รู้”

ตุลธรรีบโบกมือห้าม “ไม่เป็นไร ป้าเขาอยู่ในหัวใจลุงเสมอ

แหละ ส่วนเจ้าตัวดี...ลุงก็รู้ว่าเขารักลุง แต่ชีวิตคนหนุ่มก็ต้องเดินทาง

เป็นธรรมดา ลุงก็เลยมีเวลามาเดินเล่นจนเป็นลมไง”

แม้จะพูดกลั้วหัวเราะ แต่ท่าทางเหงาๆ แผ่ออกมาจนปีย์วรา

รับรู้ได้

“สักวันเขาจะเสียใจเหมือนหนูที่ไม่ได้อยู่ดูแลลุงให้ดีแบบนี้”

มือเรียวรีบยกปาดน้ำตาที่ซึมออกมาเร็วๆ แล้วฝืนยิ้มแห้งๆ

ให้ “รับไว้นะคะ หนูคงช่วยได้เท่านี้”

ตุลธรมองเงินและคนให้ จำนวนไม่มาก แต่น้ำใจที่ได้รับจาก

คนเพิ่งรู้จักกันก็มากพอที่จะทำให้คนรับซาบซึ้ง “พ่อหนูคงจะภูมิใจใน

ตัวหนูนะ มีลูกเป็นคนดีแบบนี้”

“ถ้ารับรู้ได้...ก็คงพูดว่า...ดีแล้วลูก ดีแล้ว” คราวนี้ปีย์วรา

ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่พอดีกับที่มีเสียงเรียกให้รับยาทำให้เลี่ยง

ออกไปจ่ายเงินกลบเกลื่อนได้ และเมื่อชำระทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินมา

หาชายสูงวัยอีกครั้ง พร้อมยื่นถุงยาและเงินที่คนรับยังไม่ยอมรับไปให้

อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ชายชรารับไว้อย่างไม่อิดออดอีก

“ไปค่ะ เดี๋ยวหนูเรียกแท็กซี่ให้”

“หนูรีบไปไหนไหม เลี้ยงข้าวลุงอีกสักมื้อสิ”

ปีย์วราชะงัก ก่อนว่ายิ้มๆ ไม่จริงจัง “คุณลุงได้คืบจะเอาศอก

นะคะเนี่ย”

ร้านอาหารที่ถูกเลือกเป็นเพิงเล็กๆ ข้างโรงพยาบาลนั่นเอง

แต่ดูสะอาดสะอ้านพอสมควร ทั้งสองคนสั่งอาหารพื้นๆ มาสามอย่าง

ระหว่างรอปีย์วราจัดยาที่ต้องรับประทานก่อนอาหารให้ตุลธร แล้วเริ่ม

คุยกันไปเรื่อยอย่างถูกใจถูกคอในเวลาอันรวดเร็ว จนไม่รู้ตัวว่าเผลอ

เล่าสิ่งที่อยู่ในใจให้ฟัง ลืมไปเลยว่าเพิ่งรู้จักชายสูงวัยตรงหน้าหล่อนได้

ไม่ถึงครึ่งวัน

“คนเป็นเจ้าคนนายคนนี่ต้องเห็นแก่ตัวทุกคนเลยนะคะ”

หญิงสาวตักอาหารให้ผู้สูงวัยพร้อมกับพูดอย่างวิเคราะห์ไปด้วย

“ทำไมหนูคิดแบบนั้น”

“ก็...เท่าที่เห็นนะคะ เราทุ่มเทให้งานจนตายก็ได้แค่คำชม...

ที่เลี้ยงเราไว้ใช้งานเท่านั้น พอเราหมดประโยชน์ก็กลายเป็นแค่ฝุ่นผง

ที่เข้าตาเขาให้รำคาญ”

“ไม่เสมอไปหรอก...”

คนฟังเพียงยักไหล่ เมื่อคิดตามและเป็นจริงอย่างที่ถูกแย้ง

อารมณ์กรุ่นๆ จึงเย็นลง “ก็คงจริงอย่างที่ลุงว่าละค่ะ โลกนี้มีสองอย่าง

คู่กันเสมอนี่นา โชคดีก็คู่กับโชคร้าย”

“มีปัญหาเรื่องงานหรือ” ตุลธรถามเรื่อยๆ หากสังเกตท่าทาง

คนพูดตลอดเวลา

“ก็นิดหน่อย...หนูไม่อยากพูดหรอกนะ” คนไม่อยากพูด

จีบปากจีบคอ เผลอใส่อารมณ์ไปอีก “เงินเดือนนี่เรตมาตรฐาน ขึ้นที

ครั้งละสองสามร้อย แต่ให้หนูทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอน มันก็ไม่ไหว

พอไปลาออก เจ้านายที่เคยยิ้มให้เราดีๆ ก็เปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยวให้แทน

ก็เลยแค้นนิดหน่อยเท่านั้น นี่ไม่ได้โม้นะคะลุง แค่อวยตัวเองนิดหน่อย”

หญิงสาวกล่าวทีเล่นทีจริง อมยิ้มน้อยๆ “แต่ก็นั่นแหละค่ะ เจ้าของ

บริษัทก็ต้องอยากทำกำไรให้ได้มากที่สุดอยู่แล้ว ถ้าหนูมีโอกาสได้เป็น

บ้างก็อาจจะกลายเป็นคนแบบนี้ไปก็ได้ คิดแล้วไม่เป็นดีกว่า คิกๆ”

 

ตุลธรมองหญิงสาวรุ่นลูกยิ้มๆ ด้วยความเอ็นดู จนคนที่โดน

มองรู้ตัวว่าพูดมากจึงเปลี่ยนเรื่อง

“ชวนลุงคุยอะไรไม่รู้ ขอโทษนะคะ นานๆ จะเจอคนคุยถูกคอ

เลยลืมเก็บอาการ”

“พูดมาเถอะ จะได้สบายใจ หน้าหนูเหมือนคนแบกโลกไว้

ทั้งโลก”

“เลิกแบกแล้วค่ะ จะว่าไป...พอเลิกแบกปุ๊บก็เจอลุงปั๊บ เลย

ได้แบกลุงไปหาหมอแทน”

จบประโยคก็หัวเราะพร้อมกันอย่างชอบใจ ชวนกันคุยนั่นนี่

ไปเรื่อยจนจานอาหารทุกอย่างว่างเปล่า ตุลธรไม่ได้เจริญอาหารแบบนี้

มานานมากแล้ว ทั้งๆ ที่มีแค่อาหารพื้นๆ อาจเพราะได้คนคุยด้วยถูกคอ

และความร่าเริงช่างพูดช่างคุยของปีย์วราก็ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น

อีกทั้งตัวตนที่เขาสัมผัสได้ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้เขาประทับใจในตัว

แม่หนูคนนี้เหลือเกิน นี่ถ้าเขามีลูกสาวน่ารักและจิตใจดีแบบนี้คงจะ

ดีไม่น้อย แต่เป็นลูกไม่ได้ เป็นอย่างอื่นก็ได้นี่...และเขาเชื่อว่าดูคน

ไม่ผิด คิดได้ดังนั้นก็เอ่ยปากชวนออกไปด้วยรู้ว่าหล่อนเพิ่งลาออกจาก

งานตามที่เผลอคุยให้ฟังก่อนหน้านี้

“มาเป็นผู้ช่วยให้ลุงไหม”

คนฟังเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ หากก็ตอบตามที่ตั้งใจไว้จริงๆ

“หนูตั้งใจจะกลับไปอยู่บ้านแล้วค่ะลุง คิดถึงอากาศบริสุทธิ์ที่บ้าน คิดถึง

บ้าน”

“ที่เก่าให้เท่าไร ลุงให้สามเท่าเลยเอ้า” ตุลธรยังเสนออย่าง

ใจป้ำ

ปีย์วราหัวเราะอย่างไม่ปิดบังด้วยคิดว่าชายสูงวัยพูดเล่น

“หนูเคยทำแต่บัญชี เป็นผู้ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ”

“ที่ปรึกษาก็ได้” อีกฝ่ายยังเสนอตัวเลือก หากคำถามก็มีต่อ

ทันทีเช่นกัน

“เรื่องอะไรคะ”

“ทั่วไป”

คราวนี้หญิงสาวอมยิ้ม แกล้งหรี่ตามองตุลธรเหมือนไม่ไว้ใจ

“หน้าตาโหลๆ อย่างหนูเนี่ยไม่เหมาะจะเป็นกิ๊กเป็นน้อยหรอกนะคะ

คุณลุง”

 

“เฮ้ย ไม่ใช่แบบนั้น ลุงแค่อยากได้คนคุยด้วย” ตุลธรรีบแก้

แข็งขัน แต่เมื่อเห็นสายตาซุกซนก็รู้ว่าถูกเด็กแกล้งเสียแล้ว เสียงหัวเราะ

น้อยๆ อย่างสมใจที่ได้เย้าคนแก่ดังออกมา ก่อนจะเอ่ยจริงจัง

“งั้นก็ไม่ต้องจ้างหรอกค่ะ หนูให้เบอร์ไว้ก็ได้หรือที่อยู่เอาไว้

เขียนจดหมายก็ได้ค่ะ

“กลัวลุงจะเป็นเหมือนตอนที่ไทยมุงว่าหรือ” ถามเรื่องที่ยัง

รู้สึกกังขานิดๆ ซึ่งคนตอบก็ตอบยิ้มๆ อย่างตรงไปตรงมา

“แอบคิดนิดหน่อย แต่พอได้คุยกับลุงแล้วหนูกลับรู้สึกนับถือ

ลุงเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งแทน แล้วถ้าหากหนูกลัวลุงเป็นพวกโจร

อย่างที่ว่า หนูคงไม่พาลุงไปหาหมอแถมเลี้ยงข้าวแบบนี้หรอกค่ะ”

ท่าทางซื่อๆ จริงใจ และสดใสของสาวรุ่นลูกยิ่งทำให้ตุลธร

ประทับใจ จึงเอ่ยออกมาอย่างชื่นชม “ลุงไม่เคยเจอคนแบบหนูเลย”

ปีย์วรายิ้มแฉ่งรับ แม้จะไม่แน่ ใจว่าเป็นคำชมหรือเปล่า เพราะ

หล่อนเองก็ไม่แน่ใจในเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เหมือนกัน เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเอง

ไว้ใจคนง่ายขนาดนี้ “หนูก็บ้าๆ บอๆ แบบนี้ละค่ะ”

“ลุงก็บ้าๆ บอๆ เหมือนกัน ถึงได้คุยกันรู้เรื่องไง”

เพื่อนต่างวัยต่างหัวเราะให้กันอย่างถูกคออีกครั้ง จวบจนเมื่อ

เห็นว่าจะหกโมงเย็นแล้ว ปีย์วราจึงจ่ายเงินกะว่าจะแยกย้ายกันตรงนี้

เลย แต่ด้วยความผูกพันเล็กๆ ทำให้หล่อนเปลี่ยนใจ

“บ้านลุงอยู่แถวไหนคะ หนูไปส่งดีกว่า จะได้เก็บเงินไว้ใช้

อย่างอื่นได้”

ตุลธรยอมบอกทางกลับบ้านอย่างไม่อิดออด ตอนแรกที่เห็น

รั้วบ้านอันใหญ่โตกว้างขวาง ปีย์วรานึกว่าโดนอำ แต่เมื่อชายสูงวัยให้

ขับรถไปหน้าบ้านและเห็นยามที่เฝ้าลนลานเปิดประตูให้ก็เริ่มขำไม่ออก

ยิ่งภาพหญิงชายหลายคนวิ่งมารับหน้าตาตื่น ถามไถ่อย่างร้อนรนด้วย

แล้ว ยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง และ

พอที่จะจับใจความได้เลาๆ ว่าผู้เป็นนายหายไปโดยไม่บอกไม่กล่าว

เหล่าลูกน้องถึงได้ร้อนรนกันขนาดนั้น

“ถึงบ้านลุงแล้ว ลงไปดื่มน้ำดื่มท่าก่อนนะ” เสียงอบอุ่นของ

เจ้าบ้านเอ่ยชวนอย่างมีไมตรีจิต แต่อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่าง

ไม่รู้สาเหตุ กวาดตามองออกไปนอกรถก็ได้แต่ตกใจ นี่ขนาดแค่เห็น

ด้วยสายตา หล่อนยังประมาณไม่ได้เลยว่าบ้านหรือคฤหาสน์ แค่เสา

แบบโรมันที่มุขหน้าบ้านก็ทำให้รถญี่ปุ่นคันเล็กๆ ของหล่อนเหมือน

หลงมาอยู่ในพิพิธภัณฑ์เสียแล้ว สายตาเหลือบไปเห็นโรงรถที่มีรถจอด

อยู่เกือบสิบคันก็ได้แต่อึ้ง แล้วประตูรถด้านที่หล่อนนั่งก็ถูกเปิดออก

ทำลายความอึ้งด้วยชายฉกรรจ์หุ่นล่ำสันหน้าตาค่อนไปทางดุ ถึงแม้ว่า

ตอนนี้จะยิ้มให้หล่อนอยู่ก็ตาม

“เชิญครับ”

ปีย์วรากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ กะพริบตาปริบๆ อย่าง

ไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น หล่อนค่อยๆ ออกมาจากรถด้วยท่าทางที่

หวาดๆ มองชายสูงวัยที่ตัวเองถูกชะตายืนนิ่งเอามือไขว้หลังพร้อมทั้ง

มองหล่อนยิ้มๆ แล้วยิ่งไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร ไม่รู้เป็นเพราะเหล่าชาย

เครื่องแบบเดียวกันรายล้อมเหมือนเป็นการ์ด หรือเพราะความใหญ่โต

หรูหราของสถานที่ หล่อนจึงเห็นชายที่ดูซื่อๆ ท่าทางใจดีกลายเป็น

ราชสีห์เฒ่าผู้น่าเกรงขามแทน รัศมีแห่งอำนาจบารมีแผ่ออกมาเสียจน

หล่อนเริ่มหงอ เพราะแทบจะเป็นคนละคนที่ได้นั่งคุยกันที่โรงพยาบาล

ตกลงหล่อนช่วยใครไว้นี่...เขาจะหัวเราะน้ำใจกระจอกๆ ที่หล่อนเผลอ

เสนอตัวไปช่วยเขาไหมหนอ...และเมื่อร่างมากวัยเดินเข้าบ้าน แขกจึง

ต้องเดินเข้าตามไปโดยปริยายด้วยท่าทางเกร็งสุดชีวิต

เจ้าของบ้านบอกว่าให้ทำตัวตามสบายและขอไปเปลี่ยน

เสื้อผ้าก่อน หากหญิงสาวนั่งตัวลีบอยู่ในห้องรับแขกอันโอ่อ่าหรูหรา

ที่สุดเท่าที่เคยพบในชีวิต และแม้ไม่รู้ว่าของตกแต่งอันสวยงามวิจิตรนี้

จะมาจากไหน ราคาเท่าไร แต่หล่อนก็รู้ได้ว่าทุกอย่างต้องสูงค่าสมกับ

บารมีของเจ้าของแน่นอน แล้วคนไม่เคยสัมผัสอะไรแบบนี้อย่างหล่อน

จะทำตัวตามสบายได้อย่างไร

ผ่านไปสักครู่ ตุลธรก็ลงมายังห้องรับแขกอีกครั้งด้วยเสื้อผ้า

ชุดใหม่ที่ส่งให้ราศีเปล่งประกายออกมาจนคนที่เคยเจื้อยแจ้วนั่งตัวลีบ

เล็กลงๆ ชายสูงวัยมองหน้าเป๋อเหลอนั้นด้วยความเอ็นดู ก่อนจะนั่งลง

ตรงข้ามแล้วส่งยิ้มน้อยๆ อย่างเก่า พร้อมยื่นกระดาษใบเล็กที่เพิ่งตวัด

หมึกลงไปสดๆ ร้อนๆ วางตรงหน้า

“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะหนู ลุงอยากช่วยเท่าที่ช่วยได้

เห็นหนูแล้วคิดถึงลูก ช่วยรับไว้ด้วยเถอะ”

คำพูดที่เหมือนเดจาวูทำให้คนฟังอึ้ง ก้มมองกระดาษแผ่น

เล็กในมือ พอเห็นตัวเลขแปดหลักยิ่งทำให้คนรับแทบเป็นลมและเริ่ม

กลัวขึ้นมา หรือมหาเศรษฐีผู้นี้เอาคืนหล่อนที่บังอาจเอาเนื้อหนูไปปะ

เนื้อช้าง มิน่าตอนที่หล่อนให้ตรวจถึงได้ไม่ยอม ก็นะ...โรงพยาบาลรัฐ

เตียงก็เตียงทั่วไป แถมยังพาไปร้านอาหารข้างทางอีก ซึ่งคนระดับนี้

ไม่มีทางได้สัมผัสอะไรแบบนั้นแน่ แต่เขาก็ควรเข้าใจเจตนาว่าหล่อน

หวังดีไม่ใช่หรือ...ตากลมจึงมองเช็คสลับคนให้ไปมา ก่อนจะตัดสินใจ

พูดอย่างที่คิด

“ถ้าคุณลุงอยากคืน ก็คืนเท่าที่หนูเสียไปก็แล้วกัน ค่าหมอ

ค่ายา ค่าอาหาร ประมาณสามพันห้า” ปากคนฟังยังแย้มออกเหมือน

ยิ้มเช่นเคย แต่ดวงตานิ่งเรียบจนคนเสนอใจเสีย จึงคิดราคาเพิ่ม “รวม

ค่าน้ำมันอีกหนึ่งร้อยก็ได้ค่ะ เป็นสามพันหกพอดี”

“เห็นลุงเหมือนล้อเล่นหรือหนู” คำพูดเรียบๆ แต่ทำให้คนฟัง

เย็นวาบที่สันหลังไปถึงกระดูก

ปีย์วรารีบยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม หากเอ่ยด้วยท่าทาง

แน่วแน่ “ทุกอย่างที่หนูทำไปไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรนะคะ ขอบคุณ

สำหรับค่าตอบแทน แต่หนูรับไว้ไม่ได้จริงๆ ถึงจะอยากได้มากก็ตาม”

คิ้วคนฟังเลิกขึ้นนิดๆ ในความตรงไปตรงมาของคนปฏิเสธ...

อยากได้แต่รับไว้ไม่ได้หรือ มีที่ไหนกัน จึงลองอ้างเหตุผลที่น่าจะไร้

ข้อโต้แย้งอีกครั้ง

“ถือว่าเป็นค่าน้ำใจงามของหนูไง”

“น้ำใจหนูไม่มีต้นทุน ให้เท่าไรก็ไม่มีขาดทุน ดังนั้นไม่ต้อง

ตอบแทนก็ได้”

คราวนี้ตุลธรหัวเราะในคออย่างชอบใจกับคำตอบที่ได้รับ ยิ่ง

มั่นใจในการมองคนของตัวเอง จึงยืนยันหนักแน่น

“ไม่รับเงินก็ออกไปจากบ้านนี้ไม่ได้นะ เพราะคนอย่างลุง

บุญคุณต้องทดแทนอย่างดีที่สุด หนูคงไม่คิดว่าลุงจะยอมเสียสัจจะ

ที่ถือมาทั้งชีวิตหรอกใช่ไหม”

หญิงสาวเบิกตาอย่างตกใจขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินประโยคง่ายๆ

แต่เหมือนคาดคั้นอยู่ในตัว แต่ถึงจะกลัว อะไรบางอย่างกลับทำให้

หล่อนกล้าที่จะต่อรอง ยืนยันจุดยืนของตัวเอง เพราะเชื่อว่าโลกนี้ไม่มี

อะไรได้มาฟรีๆ แน่นอน ยิ่งเป็นเงินตั้งสิบล้าน จะไม่ให้หล่อนระแวง

ได้อย่างไร

 

“ยังไงหนูก็รับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

เมื่อเห็นว่าการต่อรองจะไม่จบสิ้น ตุลธรก็เลือกใช้พระเดช

เข้ามาจัดการ “หนูเลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาเงินก้อนหรือเงินเก็บ”

“ไม่มีสามพันหกหรือคะ” ปีย์วรากลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ

ต่อรองเสียงอ่อยๆ อีกนิด

ใบหน้ามากวัยยิ้มอย่างผู้ใหญ่ ใจดีเช่นเดิมแล้วส่ายหน้าน้อยๆ

คนลอบมองกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ ดูท่าแล้วหล่อนจะเดินออกไป

เฉยๆ ไม่ได้แน่ คุณลุงดูใจดีก็จริง แต่ก็ดูเป็นคนพูดจริงทำจริงเสียด้วย

เหลือบตามองท่าทางของคนที่ยกน้ำจิบอย่างสบายอารมณ์อีกครั้ง...

หล่อนยังคงเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองว่าชายสูงวัยตรงหน้าไม่ได้

มุ่งร้าย เท่ากับเหลือทางเลือกให้หล่อนแค่สองทาง

คือหนึ่ง รับเงินสิบล้านไปสบายๆ โดยไม่ต้องทำอะไร แต่

ทำให้หล่อนไม่สบายใจด้วยไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีของฟรี ถ้าถูกลอตเตอรี่

ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่อยู่ๆก็มีคนมาให้เงินสิบล้าน คนอื่นอาจจะรีบรับ แต่

หล่อนคนหนึ่งละที่ไม่กล้า...เพราะมันไม่มีเหตุผลพอที่จะรับ

สอง คือทำงานผู้ช่วยซึ่งเป็นงานที่หล่อนไม่เคยทำเลย แถม

เงินเดือนสูงลิบลิ่ว ยังฟังดูดีกว่าข้อแรก อย่างน้อยหล่อนก็ได้ลองใช้

ความสามารถแลกเงินมา ทำให้สบายใจที่จะรับกว่าเยอะ แต่ถ้าหล่อน

ทำงานไม่ผ่านล่ะ เพราะคนระดับนี้งานผู้ช่วยคงไม่ใช่หมูๆ หรอกมั้ง

“เอ่อ...ถ้าหนูไม่ผ่านงาน หรือเผลอทำงานเสียหาย จะเสีย

ค่าปรับอะไรไหมคะ” หญิงสาวถามไว้เพื่อป้องกันตัวเอง ตุลธรหัวเราะ

อย่างพอใจในความรอบคอบแล้วตัดบทเสียเลย

“ถามกับทนายลุงก็แล้วกันนะ”

จากนั้นก็มีชายผมดอกเลาอีกคนเดินมายื่นสัญญาพร้อมกับ

คำอธิบายให้ ก็เหมือนสัญญาว่าจ้างปกติหากจะไม่มีหมายเหตุตัวเล็กๆ

กำกับตอนท้าย ถ้าไม่สังเกตคงไม่เห็น และทำให้หล่อนถึงกับครางโหย

ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่...ผู้ช่วยหรือสัญญาทาสนี่ ต้องเรียกใช้ได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง

“คือว่า...หมายเหตุข้างล่าง” ปีย์วราถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

ในเจตนาของผู้ว่าจ้าง เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าหล่อนกำลังคิดมาก ถึงได้

เอ่ยออกมาหลังจากที่ปล่อยให้หล่อนได้ทบทวนอยู่คนเดียว

“ลุงไม่สู้ผู้หญิงมานานแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก”

ปีย์วราหน้าเหวอ สมใจคนแกล้งจนหัวเราะออกมาเสียงดัง

คนคิดมากจึงรู้ว่าถูกแกล้งและผ่อนคลายลง รู้สึกเหมือนตอนที่คุยกับ

ลุงที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม

“ลุงไม่แกล้งแล้ว ฮาๆ ลุงห่วงหรอก เป็นผู้หญิงอยู่คนเดียว

อันตราย บ้านลุงก็ว่าง นะ ช่วยมาอยู่ให้มันไม่เหมือนบ้านร้างหน่อย

เถอะ อีกอย่างลุงอยากมีเพื่อนคุย เพื่อนกินข้าว”

คราวนี้จึงพากันหัวเราะครืนทั้งบ้านจนหญิงสาวหัวเราะไป

ด้วย

หลังจากนั้นตุลธรก็พูดคุยอีกนิดหน่อยพร้อมกับให้คนไปส่ง

หล่อนกลับบ้าน โดยยึดรถญี่ปุ่นคันเล็กๆ ไว้เป็นตัวประกันและให้

เก็บของมาเลย พร้อมทั้งแนะนำหล่อนกับทุกคนอย่างเป็นทางการ แล้ว

ส่งหล่อนต่อให้น้ำนวล หรือป้านวล สตรีวัยกลางคนร่างท้วมที่เป็น

คนเก่าคนแก่รับใช้ตระกูลมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า

น้ำนวลยิ้มให้หล่อนอย่างใจดีและดูแลหล่อนราวเจ้านายของ

บ้านถึงแม้ว่าหล่อนจะปฏิเสธก็ตาม นางบอกเล่าเรื่องราวในบ้านคร่าวๆ

รวมถึงแนะนำบ้านไปด้วย ท่าทางใจดีและเป็นมิตรทำให้ในคืนแรก

หล่อนจะเนียนนอนในส่วนของแม่บ้านด้วย เพราะห้องที่ได้รับคำบอก

กล่าวว่าเป็นของหล่อนดันอยู่ชั้นเดียวกันกับเจ้านายใหญ่โตหรูหราฟู่ฟ่า

จนหล่อนเกร็ง แต่น้ำนวลกลับขึ้นไปนอนบนห้องที่จัดไว้ให้หล่อนแทน

แถมยังเอาผ้ามาปูนอนที่พื้นจนหล่อนเกรงใจ และต้องยอมนอนห้องนั้น

คนเดียวในท้ายที่สุด...พร้อมกับความอึ้งๆ งงๆ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ในวันนี้ทั้งวัน

เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของหล่อนกันนี่...


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024