กนกลายโบตั๋น (ศรีฟ้าลดาวัลย์)

กนกลายโบตั๋น (ศรีฟ้าลดาวัลย์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786115000197
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 220.00 บาท 55.00 บาท
ประหยัด: 165.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

มือของคุณยายสั่นนิดหน่อยเมื่อไขกุญแจตู้ใบไม่ใหญ่นัก ตู้นี้ทำด้วยไม้มะเกลือสีดำเป็นมัน ทั้งหนาและหนัก ตามเชิงตู้ตลอดจนรอบหลังคาตู้สลักลวดลายนูนเป็นลายประแจจีน

ตู้ชั้นบนวางสิ่งของและหีบเล็กกล่องน้อยกระจุกกระจิก ชั้นล่างแบ่งออก เป็นลิ้นชัก คุณยายดึงลิ้นชักอันหนึ่งแล้วก็หยิบซองจดหมายเก่าจนกระดาษขาว ออกสีเหลืองๆ ขึ้นมา

มือคุณยายสั่นมากขึ้น จนกระทั้งวิภาดาต้องเอื้อมมือไปจับซอง และจับมือคุญยายเอาไว้ด้วย

“นี่เป็นจดหมายฉบับเดียวที่น้าเขาเขียนถึงยายเมื่อยี่สิบสามปีมาแล้ว เขา ฝากคนที่เดินทางเข้าไปมาให้ยาย”

นัยน์ตาฝ้าฟางสีขาวขุ่นของคุณยายมีน้ำตาคลอเต็มตา แล้วก็ค่อย ๆ ไหล ซึมชาบลงมาตามร่องของหางตาที่เหี่ยวย่นเอิบอาบไปทั่ว คุณยายยกผ้าขึ้นซับ ทั้งสองข้าง

ธรรมดาคุณยายไม่เคยร้องไห้ให้หลานเห็น ตอนนี้คงเกิดความกระเทือน ใจรุนแรงจนกลั้นไม่อยู่

วิภาดารู้สึกสงสารคุณยายจับใจ

คุณยายไม่เคยเล่ามาก่อนเลยว่า คุณยายมีลูกสาวสุดท้องอีกหนึ่งคน ถัดมาจากคุณน้ารักศรี วิภาดาคิดว่า คุณน้ารักศรีเป็นลูกคนสุดท้ายของคุณยาย สียอีก

คุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา คุณพี่ทั้งหลายที่มีอายุมาก ๆ ก็ไม่เห็นเคยเล่า ดูราวกับว่า คุณน้าหญิงริมทองคนนี้ไม่เคยมีตัวตน หรือมีฉะนั้น ทุกคน ก็พากันลืมเธอไปหมดแล้วกระนั้น

อยู่ ๆ พอรู้ว่าหล่อนจะไปทัศนาจรประเทศจีน คุณยายก็เรียกหล่อนมาแอบเล่าให้ฟังเพียงสองต่อสอง มิหนำซ้ำปิดประตูห้องเสียด้วย

คุณยายเกรงใจคุณแม่ของวิภาดามาก ตอนหลัง ๆ นี้แทบจะกลัวเอาเสีย ด้วยซ้ำไป คนแก่ก็เหมือนเด็ก ใครขู่บังคับมากๆ ก็กลัวเขา

“แม่เขาไม่ชอบให้ยายพูดถึงน้า คุณป้า คุณน้าของหนูเขาก็ไม่ชอบ เขาคงอายพี่ๆ น้องๆ คนละแม่ของเขากระมัง”

วิภาดาหยิบซองจดหมายขึ้นมา หน้าซองมีชี่อคุณยายเขียนเป็นภาษาไทย และจีน แล้วก็มีแผนที่บ้านเก่าของคุณยายตั้งแต่ครั้งหล่อนยังไม่เกิด กำกับเอาไว้

กระดาษสีขาวในซองเป็นกระดาษเกลี้ยงๆ ค่อนข้างหยาบ ออกสีเหลืองๆ เช่นเดียวกับซอง มีข้อความว่า

ปักกิ่ง

เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘

กราบเท้าคุณแม่ที่รักและเคารพ

เป็นเวลาห้าหกปีแล้ว ที่ลูกไม่มีโอกาสติดต่อกับคุณแม่เลย พอดีมีคณะคนไทยเดินทางมาถึงนี่ ลูกจึงได้ฝากจดหมายมากราบเท้า ลูกไม่ทราบว่าคุณแม่ได้ข่าวเรื่องน้ารุ่งตายหรือเปล่า ล้ายังไม่ทราบ ลูกก็ขอเรียนให้ทราบเสียเลย น้ารุ่งตายแล้วค่ะ ตอนนั้นเกิดวุ่นวาย มีการต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา บังเอิญกระสุนปืนมาถูกน้ารุ่งเข้า นั่นเลยเป็นเหตุให้ลูกกลับมาเมืองไทยไม่ได้ แต่ถึงกลับได้ ลูกก็คงไม่สมัครใจกลับอยู่ดีนั่นแหละค่ะ

ลูกต้องรีบเขียนจดหมายฉบับนี้ เพราะกว่าจะได้พบท่านที่ลูกฝากจดหมายมานี้ ก็เป็นวันสุดท้ายพอดี และทางนี้ก็กวดขันไม่ให้ติดต่อด้วย ขอกราบเรียนในสุดท้ายนี้ว่า ลูกแต่งงานแล้ว ลูกเขยของคุณแม่ชื่อ วูซูเหลียง และเวลานี้ คุณแม่กำลังมีหลานตัวเล็ก ๆ ชื่อ วูซูหลิน ค่ะ

ลูกขอกราบมาแทบเท้า หากไม่ตายเสียก่อน คงได้มีโอกาสกราบเท้าคุณแม่จริง ๆ

ริมทอง

(ลูกมีชื่อจีนว่า จูหลาน)

“น้าหญิงริมทอง เขาเป็นลูกสาวคนเล็กของยาย ตอนสงครามโลกสงบ ใหม่ๆได้สักปีสองปีกระมัง เขาก็ตามน้าชายที่เป็นน้องของยายไปเมืองจีน แล้วก็เลยไม่กลับ ก็อย่างที่หนูอ่านในจดหมายนั่นแหละ เขาไปแต่งงานกับเจ๊ก เลยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงเป็นคนจีน”

นัยน์ตาค่อนข้างผ้าฟางของคุณยายจ้องมองดูหลานสาว ริมฝีปากเหี่ยว ย่นยิ้มน้อยๆ ทว่าเพราะความย่นยู่จึงดูไม่ออกว่า คุณยายยิ้มด้วยความรู้สึก อย่างใด แต่คุณยายปรารภว่า

“เมื่อคุณเตี่ยของยายได้กับผู้หญิงไทย แม่ของยาย คุณเตี่ยท่านเปลี่ยน ชื่อเป็นไทย ตั้งชื่อยายเป็นไทย แต่หลานของคุณเตี่ย ไปๆ มาๆ กลับเปลี่ยนชื่อเป็นจีน”

“หนูไม่ยักทราบมาก่อนเลยว่า หนูยังมีน้าอีกคนหนึ่ง”

นัยน์ตาของคุณยายมีนํ้าตาคลอมากกว่าปกติ

“แม่ของหนูเขาไม่อยากให้พูดถึงน้าคนเล็กของหนู เขาเป็นคนรั้นด้วย พวก พี่ ๆ ไม่มีใครรักเขาเท่าไหร่หรอก ยิ่งรู้ว่าไปแต่งงานกับเจ๊กทางโน้น เขาก็ยิ่งรังเกียจ ทั้งๆ ที่คุณก๋งของเขา ท่านก็เป็นจีนแท้ๆ”

“แต่คุณก๋งของคุณแม่ท่านเป็นคุณพระนี่คะ ส่วนสามีน้าหญิงริมทอง คงเป็นคอมมิวนิสต์ คนไทยเราไม่ชอบคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะคนไทยอย่างคุณพ่อ คุณแม่ คุณน้าๆ ทั้งหลาย”

“คอมมิวนิดคอมมัวหน่อยอะไร ยายไม่เข้าใจ” คุณยายยกผ้าเช็ดปากขึ้น

ซับปากด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย “ยายเป็นแม่ ถึงลูกไปอยู่ที่ไหน ไกลแค่ไหน ยายก็ไม่เคยลืม น้าหญิงริมทองของหนูไปอยู่ทางโน้นยี่สิบกว่าปีแล้ว จะเป็นยังไงบ้าง ก็ไม่รู้ ยายไม่หวังให้หนูไปสืบหาเขาให้พบหรอก เมืองจีนมันกว้างใหญ่ไพศาลนัก แต่ถ้าหนูมีโอกาส บางทีโชคเหมาะเคราะห์ดีอาจได้พบกันโดยบังเอิญ ของพรรค์นี้มันไม่แน่หรอก หนูเอ๋ย”

วิภาดาก้มลงดูกระดาษเหลืองแทบกรอบในมืออย่างพิจารณา

ขณะเดียวกัน คุณยายก็พิจารณาดูหล่อนด้วยดวงตาอันผ้าฟาง หลาน คนนี้ดูละม้ายคล้ายคลึงกับลูกสาวคนเล็กของคุณยายนัก โดยเฉพาะปลายจมูกที่ค่อนข้างรั้นเชิดขึ้น

นิสัยใจคอก็ละม้ายแม้น อ่อนไหวและหัวดื้อ ถือเอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่

หล่อนเพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้ปีเดียว กำลังเตรียมเดินทางไป เรียนต่อต่างประเทศ ตามแบบลูกคนมั่งคั่งส่วนมาก

หน้าตาของวิภาดาเป็นอย่างที่คนสมัยนี้เรียกกันว่า ‘เฉี่ยว’ หล่อนมักแต่งกายแปลกๆ เข้ามาหาคุณยายให้คุณยายทึ่ง ทัก ถาม แล้วหล่อนก็หัวเราะชอบใจเมื่อคุณยายบ่นว่า เวียนหัวกับแบบพิสดารและสีเสื้อผ้าใสๆ แสบๆ ของ หล่อน

แต่หล่อนก็เป็นหลานคนเดียวที่ไม่เคยลืมคุณยาย ไม่เห็นคุณยายเป็น เพียงแค่ 'สิ่งหนึ่ง’ ในบ้าน ประดุจเดียวกันกับเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งแม้จะสูงค่า สูงราคา ทว่าก็เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่ง

หลานอื่นๆ อย่างมากก็แค่โผล่เข้ามากราบหรือทักคุณยายนานๆ ครั้งแต่วิภาดาชอบเข้ามาหา เข้ามายั่วหรือแหย่คุณยายเล่นเป็นประจำ

เรื่องน้าหญิงริมทอง ลูกสาวของคุณยาย ถึงจะมีตัวตนจริงๆ แต่วิภาดา ไม่หวังเลยแม้สักเปอร์เซ็นต์เดียวที่จะได้พบ

ไปเมืองจีนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ ก่อนเมืองจีนเป็นคอมมิวนิสต์แค่สองปี พอเป็นคอมมิวนิสต์กันทั้งประเทศ จะไปเหลืออะไร ป่านนี้อาจตายไปแล้วก็ได้ แต่หล่อนก็ไม่อยากพูดให้คุณยายใจเสีย คุณยายแก่มากแล้ว อายุเกือบ เก้าสิบ ที่ยังไม่หลงเหมือนคนแก่บางคน อาจเป็นเพราะคุณยายยังมีความหวังบางอย่างอยู่ ความหวังนั้นคือ ความหวังที่จะได้ข่าวจากลูกสาวคนเล็กอีกครั้งหนึ่ง

                ก็ดูเถิด...เพียงแค่คุณยายรู้ว่าหล่อนจะไปเที่ยวเมืองจีน คุณยายก็ดูกระฉับกระเฉง มีหน้าตาสดใสขึ้นกว่าปกติธรรมดาทันที

“หนูเก็บเอาไว้ให้ดีนะลูก อย่าให้หายเป็นอันขาด”

คุณยายกำชับให้รักษาจดหมายของน้าหญิงริมทอง

“น้าเขาชื่อ จูหลาน ผัวชื่อ วูซูเหลียง ลูกชายเขาชื่อ วูซูหลิน จำเอาไว้ให้

แม่นๆ”

“หนูจะพยายามสืบหาดูค่ะ คุณยาย” วิภาดาปลอบคุณยายของหล่อน “แต่ คงกลับมาหาคุณยายไม่ได้หรอกนะคะ เมืองจีนตอนนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนโน้น เขาไม่ยอมให้คนของเขาออกนอกประเทศ นอกจากหนีกันออกมาเอง”

“แค่ได้ข่าว ยายก็ดีใจแล้ว”

คุณยายเล่าถึงน้าหญิงริมทองหลายอย่าง ดูกระปรี้กระเปร่า ราวกับแน่ใจ ว่าวิภาดาต้องได้พบกับน้าหญิงริมทอง

วิภาดาฟังคุณยายอย่างเอาใจกึ่งหนึ่ง อยากรู้เรื่องกึ่งหนึ่ง คุณยายก็ เหมือนคนแก่ทั้งหลาย มักเล่าซ้ำซากถึงเรื่องราวในอดีต โดยเฉพาะเมื่อสวามีของคุณยายสิ้นพระชนม์ ขณะที่ริมทอง หรือ ม.ร.ว. ริมทอง อายุเพียงสามขวบ

ท่านตาของวิภาดาเป็นพระองค์เจ้า แต่เป็นพระองค์เจ้าชั้นสอง อย่างที่เรียกกันว่า พระองค์เจ้าตั้ง คือ ตั้งขึ้นจากหม่อมเจ้า เพราะฉะนั้นมารดาของวิภาดา ตลอดจนน้องๆ จึงมียศกำเนิดเป็นหม่อมราชวงศ์

ธิดาคนโตคือป้าหญิงทับทิม มารดาของวิภาดาเป็นธิดาคนที่สอง ชื่อขลิบทอง แล้วก็คุณน้าชายกองฤกษ์ คุณน้าชายเกริกศักดิ์ และคุณน้าหญิงรักศรี

เพิ่งรู้ว่ามีอีกหนึ่ง คือคุณน้าหญิงริมทอง

วิภาดาคุยกับคุณยายอีกพักใหญ่ จึงได้กราบลาคุณยายออกมาจากห้อง นอนของคุณยาย ซึ่งเป็นเรือนชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ มีระเบียงทางเดินหลังคาคลุม เชื่อมกับตึกใหญ่

เสียงคุณยายกำชับว่า

“อย่าให้แม่หนูกับพวกน้า ๆ เขารู้เป็นอันขาดเชียวนะ”

คุณยายช่างเกรงใจแม่กับพวกน้า ๆ อย่างน่าสงสาร คนแก่เป็นอย่างนี้เอง

แม้ลูกหลานจะได้ดีมีเงินทอง หากตัวเองไม่มี ‘สมบัติ’ ก็จำเป็นต้องเกรงใจ ลูกหลานที่เขาเลี้ยงดู

แต่จะว่าคุณยายไม่มีสมบัติใดๆ เสียเลยก็ไม่ได้ ในห้องของคุณยาย วิภาดาเห็นตู้และหีบบรรจุของกระจุกกระจิก พวกถ้วย ชาม และเสื้อผ้า แพรพรรณตั้งหลายอย่าง ซึ่งมารดาของหล่อนกับพวกน้า ๆ ผู้หญิงเรียกอย่าง ล้อ ๆ ว่า พวกกระเบื้องถ้วยกะลาแตก

เมื่อเข้าหูคุณยาย คุณยายเคยบ่นกับวิภาดาว่า

“ใช่ซี่ ของที่เหลือนี่มันพวกผ้าขี้ริ้ว เครื่องกระเบื้องถ้วยกะลาแตกทั้งนั้น ไอ้ที่มันเป็นเงินเป็นทอง เป็นราคาค่างวด ยายยกให้พวกเขาไปหมดแล้วนี่ โฉนดเป็นตั้งๆ เครื่องเพชรเครื่องทอง ทำไมถึงไม่พูดบ้าง”

‘เครื่องกระเบื้องถ้วยกะลาแตก’ และ ‘ผ้าขี้ริ้ว’ เหล่านี้ คุณยายรักของคุณ ยายนักหนา โดยเฉพาะชามกระเบื้องมีฝาปิด ตั้งแต่ใบใหญ่ ขนาดชามโคมเป็น เถาเรียงกันไปเจ็ดใบ ถึงใบเล็ก...ที่เหลืออยู่เถาเดียว

เป็นชามเมืองจีน ตีตราช่างเมืองจีน เป็นชามประเภทลายคราม ไม่ถึงกับดีวิเศษนัก

ทว่าลวดลายชามเถาชุดนี้แปลกนัก วิภาดาไม่เคยเห็นที่ไหน เขียนเป็นดอกโบตั๋น แต่ลวดลายแทนที่จะเป็นกิ่งก้านใบของโบตั๋น ไพล่เป็นลายกนก

วิภาดาว่าจะถามคุณยายหลายหนแล้ว แต่แล้วก็ลืมทุกทีเพราะไม่ได้ สนใจจริงจังนักหนาอะไร

วิภาดาค่อย ๆ เปิดประตูโผล่ออกไป คิดว่าจะไม่มีใครเห็นหล่อนแล้วทีเดียว แต่อุตส่าห์เหลือบไปเห็นมารดากำลังยืนจ้องมองมาจากตึกใหญ่จนได้

เพราะฉะนั้น พอเข้านั่งโต๊ะกินข้าวเย็น หล่อนก็ตกเป็นจำเลยของมารดา

ทันที

“คุณยายให้หาแกไปทำไม ยายดา”

“ก็...คุณ...คุณยายเขา...”

“คุณยายท่าน พูดถึงผู้หลักผู้ใหญ่...เขา...ได้ยังไงกัน สมัยใหม่เสียจนไม่รู้ อะไรแล้ว ท่าน...เธอ...พูดไม่เป็น...เขา...กับทุกคน พ่อแม่ ปูย่าตายาย”

วิภาดาแอบทำจมูกย่นนิดหน่อย

“เอา ท่านก็ท่าน”

บิดาผู้รักลูกสาวคนเล็กเหมือนแก้วตา อมยิ้มเล็กน้อย เมื่อลูกสาวบ่นว่า   “เลยลืมเลยว่าจะพูดอะไร แม่มาเทศน์ขัดจังหวะเสียย้าวยาว”

โปรดติดตามต่อในฉบับ....

 

 

รายละเอียด

เขาและเธอแตก ต่างกันทั้งเชื้อชาติและฐานะ อยู่ในประเทศที่มีระบอบการปกครองคนละขั้ว 
 
แต่โชคชะตาก็บันดาลให้ทั้งคู่ได้มาพบกัน 
 
วิภาดา หญิงสาวที่มีเลือดศักดินาเต็มตัว ได้รับการขอร้องจากยายให้ติดตามหาน้าหญิง...ม.ร.ว. ริมทอง ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจีนแล้วขาดการติดต่อกันไปหลายสิบปี 
 
วูซูหลิน ชายหนุ่มที่มีเลือดครึ่งหนึ่งเป็นศักดินาไทย อีกครึ่งเป็นจีนคอมมิวนิสต์ เขาเป็นลูกชายของคนที่หญิงสาวตามหา และทำให้เธอรู้จักกับความรัก 
 
หากเนื้อแท้ที่แตกต่างและพันธะที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ก็ทำให้วิภาดาและวูซูหลินห่างไกลกันออกไปทุกที 
 
จะมีหนทางใดหนอ ที่ลายกนกกับดอกโบตั๋นจะผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024