รั้นรัก (วาระวารี)

รั้นรัก (วาระวารี)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715742
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 299.00 บาท 74.75 บาท
ประหยัด: 224.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

รั้นรัก

 

 

                     ในเช้าตรู่ของวันเสาร์ แสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องผ่านผ้าม่านลูกไม้

สีขาวเข้ามาถึงเตียงนอน สายลมอ่อน ๆ พัดผ้าม่านพลิ้วไหว อากาศเย็น

สบายเหมาะแก่การซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างเป็นสุข

                แต่ทั้งที่อากาศดีขนาดนี้ ฉันกลับหนาวยะเยือกไปทั้งตัว ขนลุกซู่

เหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางหิมะ แสงสว่างที่ควรจะสาดส่องไปทั่วห้อง

กลับจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ เพราะมีคนชุดดำทะมึนยืนตระหง่านอยู่

รอบเตียงถึงแปดคน

                ทว่าคนทั้งแปดยังไม่น่ากลัวเท่าหญิงวัยกลางคนที่ใส่ชุดกี่เพ้าแดง

ยืนเด่นตรงปลายเตียง เธอชี้นิ้วเรียวสวยมาที่ฉัน แล้วเป่ลงเสียงดัง

ฟังชัดว่า

                “พรากผู้เยาว์!”

                ชายฉกรรจ์ที่อยู่รอบด้านพากันขานรับคำพูดเธอ ทำให้เกิดเสียง

สะท้อนไปทั่วห้องราวกับมีระบบเซ็นเซอร์ราวนด์แบบที่ใช้ในโรงหนัง

                “พรากผู้เยาว์ๆ ๆ ๆ ๆ”

                เสียงเหล่านั้นดังกึกก้องในหู แล้วแปลงเป็นตัวอักษรวิ่งเล่นอยู่

ในสมอง

                ฉันกรี๊ดลั่น

                “ไม่นะ!ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะไม่ได้ตั้งใจ”

                โครม!

                ความเจ็บปวดทำให้ฉันลืมตาโพลง ตื่นจากฝันร้ายที่เกิดขึ้นจริง

เมื่อหนึ่งเดือนก่อน

                ประตูห้องนอนเปิดผางเข้ามาก่อนที่ฉันจะตั้งตัวติด เด็กหนุ่ม

ร่างสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรยืนตระหง่านอยู่กลางทางเข้า เขาอยู่ใน

ชุดนักเรียนที่ถูกระเบียบเรียบร้อย มือขวาถือตระหลิว มือซ้ายถือกะทะ

                เสียงห้าวเข้มดึกสติของฉันกลับมาเป็นปกติ

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

                ดูเหมือนเขาจะตกใจกับเสียงกรี๊ด จึงรีบวิ่งมา แต่คำถามกลับ

แสดงถึงความอ่อนใจ

                ฉันส่ายหัว

                เขาถามต่อว่า “อยากให้ผมช่วยฉุดไหม”

                ฉันส่ายหน้าอีกครั้ง เขาจึงเดินตึง ๆ กลับไปห้องครัว โดยไม่ลืม

เตะปิดประตูห้องนอนให้

                เหตุการณ์นี้คงไม่แปลก ถ้าเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีคนนี้จะเป็น

น้องชายหรือหลานชายที่มาขออาศัยในคอนโดฯ ของน้าสาวเพื่อเรียน

หนังสือ แต่ปัญหาคือเขาไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

                ฉันลากตัวเองขึ้นจากพื้น (หลังจากที่กรี๊ด แล้วดิ้นจนตกเตียง

ดังตึงใหญ่) มานั่งบนเตียงอีกครั้ง ซุกใบหน้าลงในอุ้งมือ แล้วถอนใจ

เป็นรอบที่สามสิบ (ทุกวัน วันละหนึ่งครั้ง สม่ำเสมอกว่ากินยาแก้ปวดหัว

เสียอีก)

                ทำไมนะ ทำไมคินนั้นฉันถึงริอ่านกินเหล้าจนเมาเป็นครั้งแรก

ในชีวิต (ถามตัวเองอย่างนี้เป็นรอบที่สามสิบเช่นกัน) ถ้าคืนนั้นฉันไม่เมา

ชีวิตคงไม่ลงเอยแบบนี้หรอก

                คืนนั้น...เป็นคืนศุกร์สิบสาม เพื่อนสนิทของฉัน มนตราและ

หวันยิหวาชวนไปเลี้ยงฉลองที่เรียนจบ และหางานทำในมหาวิทยาลัย

แห่งหนึ่งได้ในที่สุด

                ปกติฉันไม่ดื่มเหล้า แต่มนกับหวันคะยั้ยคะยอเป็นการใหญ่

บอกว่าเรียนจบแล้วก็ถึงเวลาเข้าสู่ชีวิตแบบคนทำงาน ต้องลองดื่มให้เป็น

จะได้ไม่ถูกใครมอมเหล้าโดยไม่รู้ตัว...ตระกะจากโลกไหนก็ไม่รู้! มั่วซั่ว

ที่สุด

                แต่คุณเคยได้ยินไหม ‘พวกมากลากไป’ เมื่อเพื่อนสองคนช่วยกัน

รุมเซ้าซี้ โดยอ่อนข้อให้เหลือแค่ค็อกเทล ฉันเลยเผลอยอมตาม โดย

กะว่าจะลองสักจิบ พอให้เจ้าสองตัวนั้นเลิกคิดว่าฉันเป็นคุณหนูไม่รู้จัก

โลกเสียที (โลกเดียวที่ฉันมั่นใจว่ารู้จักดีกว่ามนและหวา คือโลกของ

นักเรียน เพราะเรียนนานกว่าเพื่อน)

                ตั้งใจไว้แค่จิบเดียว แต่สองคนนั้นเล่นสั่งค็อกเทลมาให้ชิมสิบชนิด

รวมเป็นสิบจิบ สติฉันเลยละล่อง ขาเคว้งคว้างเหมือนเดินอยู่บน

ก้อนเมฆ

                ดีที่มนยังรับผิดชอบอยู่บ้าง จึงมาส่งฉันถึงคอนโดฯ ในขณะที่

หวาเผ่นหนีไปทันทีที่แฟนโทร.มาตาม

                ฉันเดินโซซัดโซเซไปขึ้นลิฟต์คอนโดฯ และยังทำตัวเป็นคนดี

มีน้ำใจ ผลักไสมนตราให้กลับไปได้เลยเพราะดึกมาแล้ว

                “ไหวแน่นะกรอง” มนทำหน้าไม่สบายใจ “ฉันไปส่งแกถึงเตียง

ดีกว่า เดี๋ยวไปตกบันไดที่ไหน”

                “ม่ายตก” ฉันส่ายหัว “แค่นี้เอง...กดลิฟต์ ข้าววห้องง ซาบายมาก

ท้านช้านมีแค่สองห้อง ม่ายหลง”

                แล้วฉันก็ได้รับบทเรียนว่าคนเมาทำพลาดได้ทุกเรื่อง แม้จะเป็น

เรื่องง่ายอย่างการเข้าที่พักตัวเองในคอนโดฯ สุดหรู ณ ชั้นรองสูงสุด

ที่ทั้งชั้นมีแค่สองห้องก็ตาม

                ฉันมะงุมมะงาหราตรงไปหาที่นอนอย่างงง ๆ คิดแต่จะหลบ ลืม

ไปหมด ไม่ว่าจะเรื่องเปิดไฟ เก็บข้าวของ อาบน้ำล้างตัวให้สะอาด

ฉันขอแค่มีเตียงนุ่ม ๆ กับหมอนข้างคู่ใจก็พอแล้ว

                เหตุการณ์ในเช้าวันถัดมาเป็นเหมือนฝันร้ายของฉันเป๊ะ ๆ ต่างกัน

ก็ตรงที่...นอกจากขบวนการชายฉกรรจ์ชุดดำมาดเข้มกับหญิงชุดแดง

สุดโหดแล้ว ยังมีร่างเปลือยเปล่าขาวโพลนของเด็กหนุ่มคนหนึ่งอยู่ใต้

ผ้าห่มร่วมกับฉัน

                ฉันจำได้ว่าตัวเองกรี๊ดลั่นต่อเนื่องจนเสียงแหบแห้ง ทั้งอายที่

ร่ายเปลือยเปล่าของตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มต่อหน้าชายฉกรรจ์จำนวนมาก

(พูดเหมือนอยู่นอกผ้าห่มดีกว่างั้นแหละ) ทั้งกลัวสายตาดุดันทุกคู่ และ

คำประณามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกพอ ๆ กับหิมะขั้วโลกเหนือ

                และที่ร้ายที่สุดคือข้อกล่าวหาร้ายกาจซึ่งฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่า

จะเจอในชีวิตอันแสนเรียบง่ายของตัวเอง

                “พรากผู้เยาว์”

                “แมวขโมย!ปล้นชิงความบริสุทธิ์ของคุณหนู!”

                ฉันนี่นะ! เกิดมาฉันไม่เคยนอนกับผู้ชายสักคน (หมายเหตุ : กับ

ผู้หญิงก็ไม่เคย) แล้วจะไปปล้นพรหมจรรย์จากผู้ชายไดอย่างไร คุณหนู

ของพวกนายก็กำยำล่ำสัน หุ่นนักกีฬา (แม้ไม่อยากมอง แต่ฉันก็อด

สังเกตเห็นกล้ามแขนของเขาไม่ได้ เพราะมันอยู่ใกล้จนแทบงับเล่นได้)

ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฉันจะเอาแรงที่ไหนไปปลุกปล้ำ

                ฉันงงจนพูดไม่ออก ครั้นมุดใต้ผ้าห่มไปดูหลักฐาน (โดยห้ามใจ

ไม่มองของขาวโพลนข้างๆ) ก็ไม่พบคราบเลือดพรหมจรรย์ของตัวเอง

แต่ก็ใช่ว่าจำเป็นต้องมี เพราะเคยได้ยินมาว่าสาว ๆ สมัยนี้ไม่มีเยื่อบาง ๆ

นั้นเหลือแล้ว เพราะโลนโผนโจนทะยานกันเหลือเกิน

                ครั้นขยับขาดูว่าเจ็บปวด เมื่อยขา เมื่อยสะโพกเหมือนนางเอก

นิยามโรมานซ์หรือเปล่า...มันแต่ขัด ๆ เมื่อยสะโพกเล็กน้อย ตรงหว่างขา

ก็ไม่มีสิ่งแปลกปลอม

                “เอ่อ!แน่ใจหรือคะ”

                “ทำแล้วไม่กล้ารับหรือ” น้ำเสียงของหญิงชุดแดงเย็นชาอย่างที่สุด

เล่นเอาฉันขนลุกขนชัน รีบส่ายหน้า

                “ปะ...เปล่านะคะ ฉันแค่ไม่แน่ใจว่าทำลงไปหรือเปล่า ก็แค่...ยะ...

อยากแน่ใจ”

                “ปล้ำเด็กอายุสิบเก้า แล้วยังมาทำหน้าชื่อได้ เห็นทีเราต้องไปพบ

ตำรวจกันหน่อยละ”

                ฉันสะดุ้งเฮือก นึกอยากบอกว่า ‘เปล่านะ ไม่ได้ทำแน่นอน’ แต่

เมื่อคืนฉันดันเมามากจนไม่กล้าพูดเต็มปาก

                “เอ่อ...ไปพบหมอก่อนไดไหมคะ”

                จะฝืนให้หมอตรวจภายในครั้งแรกในชีวิตได้สำเร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้

แต่อย่างไรก็ดีกว่าข้อหาพรากผู้เยาว์ เอ...อายุไม่ถึงยี่สิบนี่ ยังจัดเป็น

ผู้เยาว์อยู่ใช่ไหม

                ตูม!

                เก้าอี้ตัวหนึ่งถูกหนึ่งในชายชุดดำเตะกระเด็นไปชนผนัง

                ฉันสะดุ้งโหยง ในขณะที่หญิงชุดแดงแค่ปรายตามองลูกน้อง

แล้วพูดกับฉันต่อด้วยเสียงดุดันขึ้น

                “หลักฐานคาตาว่าเธอทำมิดีมิร้ายลูกชายสุดที่รักของฉัน ยังีหน้า

มาพูดมากอีกหรือ ถ้าไม่อยากพบตำรวจก็ตามใจ ใช้วิธีการของพวกเรา

ก็ได้!”

                พวกเรา...ฉันกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก มองดูชายชุดดำกับอะไร

ตุง ๆ ตรงเอวของคนเหล่านั้นแล้วชักสงหรณ์ไม่ดี

                “เอ่อ...เล่นปืนผาหน้าไม้ให้เด็กเห็น ไม่ดีมั้งคะ”

                “คุณหนูถูกเธอทำเสียเด็กไปแล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก!” ชาย

วัยกลางคนหนึ่งในชายชุดดำตะโกนลั่น ก่อนดึงวัตถุสีดำมะเมื่อมออก

จากเอว “อย่างนี้มันต้อง...”

                ใจฉันตกลงไปที่กระเพราะ (รวมถึงสมองที่คิดหาเหตุผลและ

คำค้านด้วย) ตอนนี้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่รอดชีวิตไปได้เป็นพอ

                “ขอโทษค่ะ ขอโทษ เมื่อคืนฉันเมา ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะคะ”

                “ยอมรับแล้วสินะ” คุณชุดดำใจเย็นขึ้นเล็กน้อย แปลว่าคำขอโทษ

ของฉันได้ผล

                “หน้าตาเธอคุ้น ๆ นะ” อยู่ ๆ หญิงชุดแดงก็เปรยขึ้นแล้วก้าวเข้ามา

ประชิดเตียง “เหมือนฉันเคยเห็นที่ไหน เธอชื่ออะไร”

                ฉันจ้องกลับอย่ากล้า ๆ กลัว ๆ สักพักก็รู้สึกคุ้นอย่างน่าประหลาด

                “ร้อยกรอง รัชรักษ์ ค่ะ”

                “ร้อยกรอง?อ๋อ! บ้านข้าง ๆ ที่พ่อเป็นพนักงานบริษัทใช่ไหม”

                เอ๋!

                ความตกใจทำให้ฉันกล้าเบิกตามองหญิงชุดแดงชัด ๆ ตาเรียวสีดำ

คิ้วโก่งสูง จมูกโด่งผิดคนไทย ผิวขาวจัด ท่าทางสง่าผิดจากชาวบ้าน

แถวนั้น ดูยากกว่าไทย จีน หรือแขก

                ผู้หญิงลักษณะนี้ที่ฉันรู้จักมีแค่คนเดียวเท่านั้น...เจ้าของบ้านข้าง ๆ

                เอ่อ! ไม่สิ ต้องบอกว่าเจ้าของคฤหาสน์หลังข้าง ๆ ต่างหาก และจะ

ใช้คำว่าข้าง ๆ ก็ไม่ค่อยตรงเท่าไร เพราะบ้านฉันขนาดแค่ห้าสิบตารางวา

ด้านขวาเป็นกำแพงของคฤหาสน์หรูในเนื้อที่ร่วมสิบไร่เกือบใจกลางเมือง

ให้ชะเง้อชะแง้อย่างไรก็เห็นแค่ต้นไม้ไหว ๆ ที่ขอบกำแพง

                ฉันเคยเห็นคุณนายของบ้านนั้นแต่ปีละสองสามครั้ง

                ส่วนคุณหนู...ฉันเคยเจอแค่ไม่กี่ครั้ง ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กผู้ชาย

อายุเก้าขวบอยู่เลย ตัวเล็กป้อม ผิวขาวอมชมพู นัยน์ตากลมโตดำขลับ

เหมือนลูกแก้ว ต่างจากตาตี่ ๆ ของคนเป็นราวฟ้ากับดิน

                ครั้งแรกที่เจอกันคือตอนที่เขาปีนต้นไม้ข้ามกำแพงออกมา แล้ว

ตกปุกลงที่บ้านฉัน

                แน่นอนว่าฉัน...ซึ่งตอนนั้นอายุสิบห้าปี...ถึงขั้นตาเหลือก พุ่งเข้าไป

รับเด็กชายไว้แทบไม่ทัน

                ส่วนครั้งที่สองและครั้งถัด ๆ มาเจ้าหนูนั่นฉลาดขึ้น สั่งคนใช้

ในบ้านให้พาดบันไดที่กำแพงทั้งทางขึ้นทางลง เลยไม่หล่นปุกลงมาอีก

                โชคดีที่ฉันหนีไปเรียนต่อต่างประเทศก่อน จึงไม่รู้ว่าหลังจากนั้น

เจ้าหนูตัวดีจะถึงขั้นใช้ระเบิดทำลายกำแพะเลยหรือเปล่า (คิดว่าคงไม่

เพราะสัปดาห์ก่อนฉันยังเห็นกำแพงบ้านปกติดี...หรืออาจซ่อมแซมได้

แนบเนียน?)

                ฉันเว่อร์หรือเปล่าที่คิดถึงขันระเบิด! แน่นอนว่าไม่เว่อร์ค่ะ!

                พ่อแม่เคยเล่าว่าเจ้าของบ้านข้าง ๆ เป็นผู้มีอิทธิพล หรือเรียก

อีกอย่างว่ามาเฟีย ห้ามฉันยุ่งด้วยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะตายศพไม่สวย...

ซึ่งตอนนี้ฉันก็เริ่มเห็นลางอยู่รำไร

                คำสอนของพ่อแม่คือสิ่งที่ละเมิดไม่ได้จริง ๆ

                “คนคุ้นเคยสินะ” หญิงชุดแดงเอ่ยเปรย ๆ

                จริง ๆ คือไม่คุ้น แต่นอนนอนว่าฉันไม่กล้าเถียง

                “ถ้าอย่างนั้นต้องอ่อนให้สักนิด เธอจะรับผิดชอบลุกชายฉันยังไง”

                เงียบ!

                “ว่ายังไง เธอจะรับผิดชอบคุณหนูยังไง!” เสียงชายชุดดำ...ซึ่ง

ฉันไม่รู้ว่าตัวไหนเป็นโคลนต้นแบบกันแน่...ตะคอกตามมา

                หญิงชุดแดงเอียงคอ ก่อนหันไปมองคนที่นั่งยืดขาบนเตียงนิ่ง ๆ

มาตลอด แล้วถามเสียงเอื่อย ๆ

                “ว่าไง เสือ จะให้รับผิดชอบแบบไหนดีลูก”

                ใช่แล้ว! ฉันนึกออกแล้ว เจ้าตัวเล็กเคยแยกเขี้ยวแหลม ๆ ให้

ตอนตกปุกลงมา เมื่อฉันหาว่าเขาเป็นนกอ้วน บินไม่ไหว เสือน้อย

ก็ประกาศตัวลั่น ๆ พร้อมคำรามว่า

                “เสือคือเสือแฮ่ๆ ไม่ใช่นักอ้วน!”

                เสือตัวใหญ่ (ที่ตัวไม่อ้วนอีกต่อไป) หันมองมองฉันวูบหนึ่ง ก่อน

กลับไปมองแม่ตัวเอง และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไร้อารมณ์

                “จดทะเบียนคงไม่ได้ เพราะมหาวิทยาลัยไม่น่าจะยอม”

                จดทะเบียน! ฉันถึงขั้นตาเหลือก โชคดีจริง ๆ ที่จดไม่ได้

ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนถ้าต้องแต่งงานกับเด็กอายุน้อย

กว่าตั้งหกปี

                ขณะที่ฉันกำลังจะถอนใจอย่างโล่งอก เขาก็พูดต่อ

                “คงทำได้แค่จัดพิธีแต่งงานเงียบ ๆ ระหว่างสองบ้าน รอให้ผม

เรียนจบแล้วค่อยจดทะเบียน จัดงานเลี้ยง”

                และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันฝันร้ายจนดิ้นตกเตียงมาตลอด

หนึ่งเดือนเต็ม ๆ

             (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

 

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024