วิมานพิศวาส (วาระวารี)

วิมานพิศวาส (วาระวารี)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786169103332
ของหมดถาวร (ต้องการสินค้า)
ราคา: 299.00 บาท 74.75 บาท
ประหยัด: 224.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่ 1

“นี่ขนุนอยู่บ้านเดียวกับวินจริง ๆ หรือ! ทำไมไม่เคยเล่าให้วิฟังเลย สรุปว่าวินเป็นอะไรกับขนุนกันแน่!”

เสียงแจ้วๆ แหลมสูงดังลั่นอยู่ข้างๆ จนฉันต้องยกมือขึ้นปิดหู โชคดีจริงๆ ที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่เราสองคนนั่งอยู่ตัวนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในซอกตึกของโรงเรียน ถึงไม่มีใครพลอยฟ้าพลอยฝนกับฉันไปด้วย รอจนหูหายชา แต่แขนเกือบหลุด เพราะวิวรณ์เขย่าไม่ยั้ง จึงตอบไปสั้นๆ แค่ว่า

“ญาติ!”

“แน่ล่ะ” วิวรณ์ เพื่อนสนิทที่สุดหนึ่งในสองของฉันแยกเขี้ยว

“ขอรายละเอียดมากกว่านั้นหน่อยได้ไหม”

ฉัน นางสาวม่านนที มนต์มนัส ถอนใจเฮือก เพราะการลำดับญาติกับนายชีวิน วิศรานันท์นั้นวุ่นวายสุดๆ

“เป็นหลานชายของน้องชายของตาขนุน” ฉันคิดดีแล้วจึงสรุปให้ฟังแบบง่ายที่สุด แต่วิวรณ์ไม่ยอมเข้าใจง่ายๆ ด้วย คุณเธอกระตุ้นจนฉันต้องมานั่งไล่เพดดิกรีของตระกูลฝั่งแม่ของฉัน ที่โชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้ ดันเหลือหลานชายอยู่แค่คนเดียวที่จะสืบทอดตระกูลได้ จนต้องเก็บมาฝึกเพื่อสืบสานงานของตระกูลต่อไป

“เริ่มตั้งแต่ยายแต่งงานกับตา แล้วก็มีแม่กับน้าสาว แม่มาแต่งงานกับพ่อแล้วได้ขนุนกับพี่ขาวออกมา น้า น้องสาวแม่ก็ แต่งงานกับคุณน้าผู้ชาย ได้น้องขิมออกมา วิก็รู้จักน้องขิมนี่”

“เป็นน้องขนุนไปได้ยังไงก็ไม่รู้” วิวรณ์เบ้ปาก จนฉันต้องแยกเขี้ยวให้ คำรามขู่เบาๆ

“หมายความว่ายังไง!”

“ก็น้องขิมน่ะน่ารักสุดๆ ดาวโรงเรียนที่ใครๆ ก็รัก ผิดกับพี่สาวลิบลับ”

“ขนุนทำไม!” ขู่ฟ่อๆ แต่แล้วก็หยุดเอง เพราะรู้ว่าคำตอบคงไม่น่าพึงพอใจนัก “ช่างเถอะ ถ้าวิอยากรู้ลำดับสายพันธุ์ต่อ ก็เลิกชักใบให้เรือเสียได้แล้ว”

“จ้าๆ แล้วไง ชีวินเป็น...”

“ตามีน้องชายหนึ่งคน ขนุนเรียกว่าคุณตาเล็ก คุณตาเล็กมีลูกหนึ่งคน เป็นผู้ชาย แต่งงานกับแม่ของนายวิน แล้วก็มีนาย  วินออกมาหนึ่งคน นั่นแหละ ลำดับความสัมพันธ์ของขนุนกับวิน หรือจะเรียกให้ง่ายที่สุด ก็คงเป็นลูกพี่ลูกน้อง” แค่เล่าก็เหนื่อยแล้ว

“แล้วทีนี้ พ่อแม่ของวินเสียแล้วจากอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อนตอนเราอยู่ ม.4 ได้ ตาเล็กก็เจ็บออดๆ แอดๆ ตาใหญ่ของขนุนเลยรับ

วินมาดูแลในบ้านใหญ่”

“งั้นบ้านขนุนก็คนเยอะน่าดู แล้วบ้านก็ต้องใหญ่น่าดูเลยสิ”

“ใช่”

ใหญ่สิ! อาณาเขตของบ้านครอบคลุมบ้าน 3 หลังขนาดมหึมา สวนกว้างใหญ่ สระว่ายน้ำรูปทรงยึกยือ ไม่รู้คุณตาจะขยันสร้างไปทำไม เพราะเอาเข้าจริงก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นานๆ จึงจะยอมเดินมาออกกำลังกายในสวนสักครั้ง

บ้านใหญ่ เป็นบ้านของคุณตา อยู่กับคุณตาเล็ก ส่วนคุณยายเสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็กมาก ช่วงสามปีให้หลังนี้มีชีวินเพิ่มเข้ามาอีกคน กลายเป็นสามหนุ่มสามวัย ก่อนหน้านี้ชีวินอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่พอพ่อแม่ของเขาเสีย คุณตาทั้งสองก็แทบคว้าหลานชายหัวแก้วหัวแหวนมาเก็บรักษา แต่จริงๆ ฉันว่ามาฝึกไว้ใช้งานมากกว่า เพราะธุรกิจของคุณตาใหญ่ คุณตาเล็ก มีไม่รู้เท่าไร ยังไม่รู้จะให้ใครดูแลต่อเลย พ่อฉันกับคุณน้าผู้ชายก็ถือเป็นคนนอก ทุกคนเลยคาดหวังไว้กับชีวินมากมาย

บ้านทางมุมซ้ายเป็นของครอบครัวฉัน มีพ่อ แม่ พี่ข้าว และตัวฉันเอง ส่วนบ้านทางมุมด้านหลัง เป็นบ้านของคุณน้า สามีคุณน้าและน้องขิม

 “น่าอิจฉา” วิวรณ์ทำตาลอย “อย่างนี้ขนุนก็ได้เห็นชีวินทุกวันละสิ โอ๊ย! อาหารตาอาหารใจแท้ๆ”

เพื่อนสนิททำตาลอย แต่ฉันอยากทำตาเหลือกกลับ

ดีตายละ! ตั้งแต่นายชีวินเข้ามา เขาก็คว้าตำแหน่งคนโปรดของพ่อแม่ฉันไปครอง อะไรๆ ก็นายวินว่าอย่างนั้น นายวินว่าอย่างนี้ พ่อน่ะไม่แปลกหรอก เพราะอยากมีลูกชายมาเล่นด้วยนานแล้ว ส่วนแม่ชอบเพราะนายวินเป็นเด็กดี ฉลาด ขยันขันแข็ง แถมยังช่างเอาใจกว่าลูกสาวตัวเองทั้งคู่อีก ฉันรู้ว่านี่คืออารมณ์อิจฉา แต่ก็ไม่วายหาข้อแก้ตัวให้ตนเองว่า นั่นพ่อแม่ฉันนะ ฉันจะหวงก็ไม่เห็นเป็นไรเลย

พี่ข้าวเป็นคนเดียวที่รู้ว่า ฉันหงุดหงิดกับการเข้ามาอยู่ของชีวิน ไม่นับเจ้าตัวที่คงระแคะระคายอยู่บ้าง แต่พี่ข้าวก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอเฉยกับเรื่องนี้ เหมือนนิสัยที่เฉยชากับทุกเรื่องได้จนน่ากลัว จนฉันอยากรู้นักว่า ต้องเป็นเรื่องใหญ่โตระดับไหนถึงจะทำให้พี่ข้าวร้อนรนอย่างหนักได้ แต่ก็ไม่กล้าลองหาเรื่องใส่ตัว แต่ที่ร้ายที่สุด ที่ฉันเพิ่งระแคะระคายเร็วๆ นี้ คือแผนของตาเล็กที่ว่า

“ถ้าเป็นไปได้ ตาอยากให้วินแต่งงานกับขนุนหรือขิมนะ”

โอ๊ย! ไม่มีทางเป็นฉันแน่ๆ ปล่อยน้องขิมซวยไปคนเดียวเถอะ ส่วนพี่ข้าวน่ะพ้นไป เพราะแก่กว่าวินถึงสี่ปี ไม่รู้ตาคิดอะไรทำนองนี้ได้อย่างไร ญาติโกโหติกากันแท้ๆ ถึงจะแค่ลูกพี่ลูกน้องก็เถอะ แต่เท่าที่เรียนมา ฉันว่า เอาพันธุกรรมไปผสมกับเพดดิกรีอื่นน่าจะดีกว่ามารวมกันเอง

เฮ้อ! เลิกคิดดีกว่า รีบเก็บยายวิเข้าห้องเรียนเร็วๆ ง่ายกว่ามานั่งตอบคำถามอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นหูฉันคงได้อื้อไปทั้งวันแน่

“ขนุน!”

สิ้นคำเรียก เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มก็โผล่หน้าผ่านประตูห้องเรียนของฉันเข้ามา เล่นเอาสาวๆ หรือบรรดาหนุ่มน้อยที่ย่อมาจากเหลือความหนุ่มอยู่น้อย หันขวับจนคอแทบเคล็ดเป็นแถว แต่ชีวินไม่สนใจใครเลยนอกจากฉันซึ่งเป็นเป้าหมาย

“เย็นนี้ ต้องอยู่ทำอะไรหรือเปล่า”

ฉันส่ายหน้า เขาก็บอกทันทีว่า

“งั้นกลับไปก่อนนะ ผมจะรอรับน้องขิมกลับ วันนี้น้องขิมมีซ้อมรำ”

ฉันพยักหน้าลง เขาก็หันกลับ แล้วหายวับไปทันทีอย่างไม่มีอาลัยอาวรณ์ ด้วยความเร็วสูงพอๆ กับการหายตัวของเพื่อนสาวหลายคนที่จองกลับบ้านพร้อมฉันไว้ในตอนแรก

“นี่ ขนุน” ถูกสะกิดอีกล่ะ “วินกับน้องขิมคนสวยนี่มีซัมทิงรองกันหรือเปล่า”

“ถ้าจะมีคงเป็นออลเวส์ไรต์มากกว่าละมั้ง” ฉันตอบอย่างเซ็งในอารมณ์เต็มที ฉันไม่ชอบชีวินที่เขามาแย่งความสนใจของพ่อแม่ไป ในขณะเดียวกัน ฉันก็เกลียดมาก เวลาเขาเมินฉัน เหอะ! เป็นคนเข้ามาอาศัยแท้ๆ เฮ้อ! ฉันรู้ว่าคิดอย่างนี้ถือว่าใจแคบมาก แต่ก็อดไม่ได้น่ะ ค่อยไปสารภาพบาปทีหลังแล้วกัน

น้องขิม หรือ ปิ่นปฐวี เรียนอยู่ม.4 ปีนี้ เป็นดาวโรงเรียนในทันทีที่เข้ามา ด้วยนิสัยน่ารัก หน้าตาสะสวย กิริยาน่าเอ็นดู ส่วนชีวินเป็นหนุ่มหล่อ หน้าสวย ที่รุ่นพี่รุ่นน้องกรี๊ดกร๊าดตั้งแต่ย้ายมาเรียนตอนกลางม.4 เพราะตาอยากให้เรียนใกล้บ้าน เขาเล่นกีฬาเก่ง แต่ไม่เป็นนักกีฬา ทำกิจกรรมเยี่ยม แต่ไม่ทำนอกเวลาเรียน เพิ่งมีช่วงปีนี้ ตั้งแต่น้องขิมเข้ามาเรียนและทำกิจกรรมด้วย

เขาถึงยอมทำงานนอกเวลาบ้าง เพื่อรอรับน้องขิมกลับบ้าน จนกลายเป็นคู่หวานของโรงเรียนในขณะนี้

แน่ล่ะ! ชีวินรักและเอ็นดูน้องขิมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะน้องขิมเป็นลูกพี่ลูกน้องคนเดียวที่เขาสนิทใจด้วย และสบายใจที่จะอยู่ใกล้ น้องขิมจะชอบเข้ามาเล่นด้วย มาอ้อน ให้ความสำคัญกับพี่วิน ในขณะที่พี่ข้าวเงียบเฉย ไม่เอาใจและไม่กลั่นแกล้ง ส่วนฉัน ชอบโวยวายกับเขารวมทั้งขี้อิจฉาด้วย แย่จัง

อย่างนี้ เป็นคุณ คุณจะเลือกรักและสนิทสนมกับใครล่ะ

อาหารเย็นวันนั้นตั้งโต๊ะประมาณทุ่มครึ่ง และตั้งที่บ้านใหญ่เพราะเป็นวันนัดรวมญาติประจำสัปดาห์ทุกวันพุธ เมื่อฉันมาถึงห้องรับแขกของบ้านใหญ่ ก็พบพี่ข้าวนั่งรออยู่คนเดียว

“คนอื่นยังไม่มาอีกหรือคะ”

“อืม” พี่ข้าว นางสาวมนสิการ มนต์มนัส ทำเสียงตอบในลำคอ ก่อนอธิบายต่อเมื่อเห็นฉันนิ่วหน้าว่า “พ่อโทรมาว่าจะช้าสักสามสิบนาที กินนี่ก่อน” ว่าแล้ว พี่สาวฉันก็ยื่นโถขนมที่เธอกำลังล้วงอยู่มาให้ ก่อนเสริมหลังจากฉันจัดการเอาขนมเข้าปากแล้วว่า “คนอื่นรู้หมดแล้ว”

น้ำเสียงของพี่ข้าวราบเรียบ ยากจะบอกว่า โกรธหรือน้อยใจหรือไม่ ที่เราสองคนรู้เป็นคู่สุดท้ายตามเคย แม่โทษว่า เป็นเพราะฉันกับพี่ข้าวเป็นพวกโลว์เทค มือถือมีไว้เป็นนาฬิกาปลุก แถมยังไม่ยอมเปิดโทรศัพท์อีก

“แล้วชีวินล่ะ” อยู่ๆ เธอก็ถามขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ ซึ่งหมายถึงสองปีก่อน ชีวินจะไปกลับพร้อมฉันโดยตลอด และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ทำกิจกรรมหลังเลิกเรียน ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

“รอกลับพร้อมน้องขิมค่ะ น้องขิมซ้อมรำเลยเลิกช้า”

คราวนี้ พี่สาวฉันมีรอยยิ้มน้อยๆ “งั้นแผนตาเล็กก็ระบุตัวได้แล้วสิ”

ฉันยักไหล่ “งั้นมั้งคะ”

พี่ข้าวถึงกับเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างนานๆ ครั้งจะทำ ไม่รู้เธอขำอะไร หัวเราะแล้ว เธอก็เอื้อมมือมาโอบไหล่ฉันให้พิงไปทางตัวเธอ ลูบหัวเบาๆ คล้ายกำลังปลอบประโลม ฉันมีอะไรให้ต้องปลอบใจหรือ ไม่เข้าใจพี่ข้าวจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ปล่อยตัวเต็มที่ อุตส่าห์ได้อ้อนพี่สาวทั้งที ทำไมจะไม่ล่ะ!

ฉันรู้ พ่อแม่รักฉัน พี่ข้าวก็รักฉัน ตาใหญ่ ตาเล็กรักฉัน อานิล แม่ของน้องขิมก็รักฉัน แต่ฉันกลับไม่มีโอกาสได้อ้อนใครมากนัก เพราะ...ไม่รู้สิ มันยากนะ พ่อแม่ก็งานยุ่ง ตากับตาเล็กช่วงหลังๆ ก็วุ่นอยู่แต่กับชีวิน

จะว่าไป ทุกคนไปรุมที่ชีวินกันหมดเลย พ่อชอบชวนวินไปเล่นกอล์ฟบ้าง ตีเทนนิสบ้าง ตา ตาเล็ก พยายามพาเขาไปฝึกงาน เรียนรู้งานเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน ดังนั้นจึงใช้เวลากับเขามากกว่าฉันเยอะเลย

ขณะกำลังปล่อยตัวอ้อนพี่สาวเพลินๆ ก็เกือบสะดุ้งโหยง เมื่อรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมาไม่ห่างนัก เจ้าของดวงตาคมสวยยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องรับแขก แววตาเหมือนกำลังประหลาดใจระคนสงสัยปนกับกังวลน้อยๆ

 พี่ข้าวจับอาการฉันได้เลยมองตามสายตาไป

“อ้าว! กลับมาแล้วหรือ ไม่ได้มาพร้อมกับขิมหรือ วิน”

ชีวินไหว้พี่สาวฉัน แล้วตอบว่า “แยกกันเมื่อกี้นี้เองครับ น้องขิมไปเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อน”

ฉันดึงตัวลุกขึ้นนั่งให้เรียบร้อย เพราะนึกอายสายตาของนายชีวินที่มองเหมือนฉันเป็นเด็กๆ ตาบ้า! เพราะนาย! ทำให้ฉันอ้อนพี่ได้แค่แป๊บเดียว ฉันเอ่ยปากขอตัวกับพี่ข้าวเบาๆ เพื่อไปล้างปากที่เปื้อนขนม พอก้าวผละออกมา ขึ้นบันไดไปห้องของตัวเองที่ชั้นสอง หลานๆ ทุกคนมีห้องส่วนตัวที่บ้านใหญ่ เผื่อคุณตาเรียกมาค้าง ขณะกำลังจะเปิดประตูห้องก็มีเสียงเรียกจากด้านหลัง

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า” ฉันตอบสั้นห้วน โดยไม่หันไปดู ผลักประตูเข้าห้อง แล้วปิดงับหนีชีวินเสียดื้อๆ สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูเบาๆมาจากห้องของเขาที่อยู่ข้างๆ เหอะ! ไม่อยากพูดด้วย

เมื่อลงมาข้างล่างอีกครั้ง ทุกคนก็พร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารแล้ว

“ขนุนสมัครเรียนอะไรนะลูก” ตาใหญ่เริ่มเรื่องวันนี้ง่ายๆ หลังจากอาหารบางส่วนเข้าไปอยู่ในท้องแล้ว

“อักษรค่ะ ขนุนจะเรียนการแปล” ฉันคิดอนาคตไว้นานแล้วเลยตอบได้ทันที ฉันชอบอ่านนิยายแปลมาแต่ไหนแต่ไร เลยนึกอยากเรียนให้เป็นเรื่องเป็นราว

พ่อถอนใจเฮือก เพราะลูกสาวแต่ละคน ไม่มีใครยอมรับช่วงต่อบริษัทเล็กๆ ของพ่อสักคน แต่ที่ร้ายกว่า คือบริษัทมหึมาของตาก็ยังไม่มีผู้สืบทอด ส่วนบริษัทของตาเล็กนั้นรอดตัวไป เพราะชีวินคงหนีไปไหนไม่รอด เพราะตอนนี้เขาก็ถูกจับไปฝึกงานเกือบทุกเย็นแล้ว

“วินล่ะ”

“บริหารครับ” ตานี่ก็คิด หรือถูกบังคับให้คิดไว้นานแล้วเหมือนกัน คำตอบของเขาเล่นเอาตา ตาเล็ก และพ่อถอนใจอย่างโล่งอกถ้วนหน้า “ผมกะจะลงเรียนบัญชีมหาวิทยาลัยเปิดไปด้วย”

เชอะ! เด็กดี!

“ขิมจะเรียนคอม จะเป็นโปรแกรมเมอร์ค่ะ” น้องขิมรีบบอกเสียงใส โดยที่ตาไม่ต้องถาม จนตาหัวเราะ

“อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจเลย ขิมยังมีเวลาคิดอีกปีสองปีน่ะไม่เหมือนพี่ๆ ที่อยู่ม.6 กันแล้ว ว่าแต่ขนุนกับวินจะเลือกมหาวิทยาลัยอะไร”

ฉันไล่อันดับที่จะไปสอบให้ฟังสามสี่อันดับแรก ส่วนชีวินบอกสั้นๆ ว่า “มหาวิทยาลัยเดียวกับขนุนครับ”

ฉันเผลอหันไปแยกเขี้ยวให้ “อย่ามาเลียนแบบนะ”

“ไม่ได้เลียน” เขานิ่วหน้า “แต่ถ้าไปที่เดียวกัน ขนุนจะสบายขึ้นนะ ขนุนขับรถเป็นที่ไหน” พูดง่ายๆ คือ ตานี่มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว เลยตั้งใจจะเป็นสารถีให้ฉันไปในตัว

เหอะ! คนดีของตา ของพ่อแม่ ที่ทำนี่ก็เพื่อเอาใจพ่อแม่หรอก ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นประโยชน์ให้ฉันสักนิด

“เออ!” พ่อ อุทานเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “วินไปสอบใบขับขี่รถยนต์สิ อายุถึงแล้วไม่ใช่หรือ แล้วลุงจะยกเจ้าน้ำเงินให้”

ฉันตาโต เจ้าน้ำเงินของพ่อ คือรถสปอร์ตสีน้ำทะเลสวยที่แม้จะอายุห้าหกปีแล้ว ก็ยังดูดี

“งั้นขนุนไปเรียนขับรถเอง”

พ่อส่ายหัวทันที!

“ไม่ดี พ่อไม่อยากให้เจ้าน้ำเงินกลายเป็นเจ้าอัดก๊อปปี้ พ่อยังรักมันอยู่ ให้วินขับดีแล้วล่ะ”

“ไม่ยุติธรรมเลย” ฉันโวยลั่น “พี่ข้าวได้รถ วินได้รถ แล้วขนุนได้อะไรล่ะ”

“พี่ขนุนได้เยอะกว่าใครๆ เลยค่ะ” น้องขิมรีบบอกพร้อมรอยยิ้มน่ารัก “ได้รถพร้อมคนขับไงคะ”

ผู้ใหญ่เลยหัวเราะเสียงดัง แม้แต่ ‘คนขับของแถม’ ก็อดอมยิ้มน้อยๆ ไม่ได้เหมือนกัน สายตาที่ทอดมองน้องขิมมีแววเอ็นดูอ่อนหวาน

ฉันพูดไม่ออก แน่นอัดในอก บอกไปไม่ได้ว่า คนขับคนนี้ก็คงอยู่กับฉันแค่ 2 ปีเท่านั้น พอคนเสนอความคิดเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไรเขาก็คงไปเป็นสารถีให้ทันที แล้วปล่อยให้ฉันไปกลับเอง เหมือนที่เขาทำอยู่ในสมัยม.ปลาย เหมือนที่ทิ้งฉันในตอนนี้

ฉันงอนพ่อไปก็เท่านั้น เพราะพ่อก็คงแค่ขำๆ ฉันเลยหันไปโกรธนายวินแทน

พอชีวินปรายยิ้มเผื่อแผ่มาถึงฉันก็สะบัดหน้าหนีทันที เขาจะรู้ตัวว่าฉันเกลียดหน้าก็ช่างเขาสิ! แต่ที่แน่ๆ คือเขารู้ว่าฉันไม่พอใจ ดังนั้น เมื่อผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยออก ซึ่งแน่นอนว่าได้ตามต้องการอยู่แล้ว ร่วมกับเขาสอบใบขับขี่ได้ ชีวินก็มาบอกกึ่งง้อ ด้วยคำพูดง่ายๆ ว่า

“แล้วผมจะสอนขนุนขับรถนะ”

ดอกไม้ช่อโต สีขาวบริสุทธิ์ตรงหน้าที่ยื่นส่งจากมือน้องรหัสที่อยู่ม.5 ทำให้ฉันยิ้มหวานออกมาทันที ก่อนจะหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อรุ่นน้องตัวดีเสริมว่า

“แลกกับกระดุมเม็ดที่สองของพี่วินนะ พี่หนุน”

โอ๊ย ! คนที่สี่ของวันนี้แล้วนะ แล้วฉันจะทำอย่างไรล่ะ ไปกระชากจากเสื้อนักเรียนนายวินตอนนี้ แล้วนำมาหั่นเป็นสี่ส่วนอย่างนั้นหรือ ดอกไม้ช่อที่สองมาจากน้องขิม ที่พอให้แล้วก็ถอนใจเฮือก บ่นกับฉันว่า

“พี่ขนุนเห็นพี่วินบ้างไหม ขิมจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย ใครๆ ก็มาขอให้ขิมเอากระดุมเม็ดที่สองของพี่วินไปให้ เอาไงดีล่ะคะ”

ฉันเลยถอนใจไปกับน้องขิมอีกคน

ว่าแต่ชีวินหายไปไหน ถึงปล่อยให้คนตามหาเขาทั่วไปหมด แม้แต่น้องขิม สักพัก ฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างดีใจมาจากด้านหลัง หันกลับไปก็เห็นว่า ท่ามกลางกลุ่มรุ่นน้องมีชีวินที่อุ้มช่อดอกไม้หลายช่อเต็มมือ ตรงกลางมีตุ๊กตาหมีหัวขาวปุกปุย ดูไม่เข้ากับเจ้าตัวสุดๆ อยู่หนึ่งตัว ไม่รู้ใครให้มา เห็นแล้ว ฉันก็อดอิจฉาไม่ได้ ตานี่ทำบุญมาด้วยอะไรนะ ทำไมใครๆ ถึงได้หลงเสน่ห์เขากันนัก กว่าขบวนดอกไม้กับถ่ายรูปจะซาลง ก็เมื่อมีเสียงประกาศเรียกเข้าห้องประชุม เพื่อทำพิธีจบการศึกษาอย่างเป็นทางการ โรงเรียนอื่น เขาทำกันอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ฉันว่าโรงเรียนเราเว่อร์พอสมควร แค่จบม.6 ก็ต้องทำพิธีอย่างเป็นทางการ เปลืองทั้งค่าใช้จ่าย คือซื้อดอกไม้ให้พี่รหัส แล้วยังค่าจัดงาน ยังดีที่ไม่ต้องใส่ครุยเลียนแบบฝรั่ง แค่ใส่ชุดนักเรียนธรรมดา มารับใบจบในห้องประชุมก็พอ

อาจารย์พูดแสดงความยินดี แจกประกาศ ตัวแทนนักเรียนขึ้นพูด แล้วก็จบพิธีการเล็กๆ พร้อมให้แยกย้ายกันไปเตรียมตัวมางานฉลองจบที่ทำเลียนแบบงานพรอมของฝรั่ง ว่ากันว่า รุ่นพี่ที่เป็นต้นคิดเมื่อหลายปีก่อน กลายมาเป็นอาจารย์ของโรงเรียน เลยดูแลให้จัดงานนี้ในโรงเรียนได้ทุกปี เหมือนเป็นการฉลองที่ส่งนักเรียนให้จบๆไปได้เสียที

พอหลุดจากห้องประชุมได้ บางกลุ่มจะจับกลุ่มกันถ่ายรูปบางกลุ่มก็แตกกระจายรีบกลับบ้าน ฉันอยู่ในกลุ่มหลัง แต่แทนที่

จะกลับบ้านได้เลย ฉันต้องรอชีวินก่อน เลยเดินกลับไปห้องเรียนที่เป็นห้องประจำตอนม.6 นั่งหลับตาลง แล้วย้อนนึกถึงเหตุการณ์ความประทับใจทั้งดีและไม่ดีตลอดสามปีที่ผ่านมาเงียบๆ เดาว่าน่าจะหวนรำลึกได้ครบทุกเรื่อง เพราะกว่าชีวินจะหนีจากขบวนแสดงความยินดีมาได้ ก็คงอีกนาน

ฉันรักที่นี่ รักช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ก็เป็นความทรงจำที่ดี

ภาพแรกที่เห็นยามลืมตาขึ้น คือเงาตะคุ่มตรงหน้า ฉันถึงกับสะดุ้งโหยง แทบจะหวีดร้องออกมา แต่เมื่อตั้งสติได้ทัน แล้วมองดีๆก็เห็นเป็นตุ๊กตาหมีสีขาวปุยกำลังจ้องตาฉันอยู่ ตามด้วยเสียงดังมาจากด้านหลังของหมีน้อยว่า

“ยินดีที่เรียนจบนะ ขนุน”

เวลาปกติ ฉันอาจจะประชดว่า วินคิดว่าขนุนจะเรียนไม่จบหรือไง แต่วันนี้ หัวใจกลับพองโตอย่างประหลาด อึ้งไปชั่วครู่ก่อนถามอย่างไม่แน่ใจว่า

“วินให้ขนุนหรือ”

“อืม”

“ไปเอาของใครมา” ถามอย่างลังเล เอื้อมมือไปสัมผัสขนนุ่มมือเบาๆ

ชีวินยิ้มเฝื่อนๆ

“ทำไมต้องเอาของใครมาด้วย เงินค่าขนมของผมตั้งครึ่งเดือนเลยนะ”

 “พูดเว่อร์” ฉันว่าเบาๆ ก่อนรั้งตุ๊กตาหมีมากอดแน่น ความรู้สึกบางอย่างล้นทะลักในอก อย่างนี้นี่เอง ใครๆ ในบ้านถึงหลงตานี่กันนัก

“วินได้ค่าช่วยงานตาเล็กตั้งเยอะ”

ชีวินยักไหล่ ตัดบทง่ายๆ ว่า “งั้นผมไปละ เดี๋ยวหาน้องขิมเจอเมื่อไร จะโทรมาตามแล้วกัน”

“อ๊ะ! เดี๋ยว!”

น้องขิมอีกแล้ว! อะไรๆ ก็น้องขิม ชีวินหันมามอง ฉันเลยต้องเริ่มพูดสิ่งที่คิดจะพูด แต่ก็ยากเย็นเหลือเกิน

“เอ่อ...เอ่อ...วินเอาเสื้อนักเรียนมากี่ตัว!”

เขาเลิกคิ้ว ฉันเลยต้องอธิบายว่า

“มีคนขอกระดุมเม็ดที่สองของวิน ผ่านทางขนุน” คำหลังเน้นหนัก เพราะกลัวว่าเขาจะคิดไปไกลว่า ฉันอยากได้ไว้เอง กระดุมเม็ดที่สอง กระดุมที่อยู่ใกล้หัวใจที่สุด การขอมันก็ไม่ต่างไปจากการขอหัวใจเขาไว้เป็นที่ระลึก เฮอะ! เรื่องน่าอายอย่างนั้น ฉันไม่มีทางทำหรอก! ชีวินยิ้มแปลก

ก่อนบอกสั้นๆ ได้ใจความว่า “ให้น้องขิมไปแล้ว”

อ๋อ!

กลางวันเป็นงานทางการ กลางคืนเป็นงานฉลองเลียนแบบงานพรอม ดังนั้น จึงต้องมีคู่ควง แต่จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ไม่มีข้อห้าม แล้วคู่ควงของฉันน่ะหรือ ก็สารถีของฉันน่ะสิ! เหตุผลง่ายนิดเดียว คือ ชีวินขี้เกียจขับรถไปรับสาวที่บ้าน ฉันเองก็ขี้เกียจวิ่งหาคู่ควง เราเลยมาลงเอยที่ว่า ทำไมไม่จับคู่กันเองล่ะ โดยมีน้องขิมเป็นคนต้นคิด

ฉันใส่แซกสีครีม ตัวเสื้อแนบตัว ไม่มีแขน ก่อนทอดพลิ้วเป็นกระโปรงคลุมเข่า ปล่อยผมยาวเคลียไหล่ มีเปียถักเป็นที่คาดผม ชีวินแต่งสูทสีเข้ม เน้นผิวขาวเนียนน่าอิจฉาของเขาให้เด่นขึ้น ทำให้ร่างสูงเพรียวดูปราดเปรียวได้รูป จนถูกสมาชิกในบ้านดึงตัวไปถ่ายรูปกันอย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็ถูกแม่จับมาถ่ายรูปคู่กับฉัน

ตาเล็กถึงกับเอ่ยปาก “นี่ถ้านายวินแต่งขาว ตาคงนึกว่า จะไปเข้าพิธีแต่งงาน”

ฉันเกือบหลุดเสียงกรี๊ดอย่างขัดใจ แต่ไม่รู้ว่า อารมณ์ของชีวินกำลังระรื่นขนาดไหนจากการที่น้องขิมมาเกาะแขนเกาะตัวถ่ายรูปด้วย เขาถึงอารมณ์ดีพอจะล้อเลียนตาเล็กโดยการจับมือซ้ายฉันขึ้นมาแล้วสวมกำไลดอกไม้ให้ แล้วบอกอย่างไม่รู้จักตายว่า

“แล้วนี่ก็เท่ากับสวมแหวนใช่ไหมครับ ปู่”

ฉันได้กรี๊ดออกมาจริง แต่เบาๆ พอได้ยินกันแค่สองคน เพราะฉันยังเกรงใจตาเล็กอยู่ ถูกแล้ว! ตาของฉัน แต่ปู่ของเขา

หากเอาเข้าจริง ฉันก็ได้เป็นแค่คู่ควงมางานเท่านั้น เพราะเมื่อเข้างาน ชีวินก็ถูกฉุดถูกลากไปสนุกกับเพื่อนเขา ฉันเองก็ปลีกตัว

ไปหาเพื่อนฉัน แล้วเราก็เริ่มขั้นตอนตระเวนกินกัน

เมื่อฟลอร์เปิด หนิงก็พยายามลากฉันไปเต้นรำกันเอง เพราะ ‘แฟน’ หนิงมัวแต่หมกอยู่กับเพื่อนสนิทของเขา แต่ตลอดเวลาที่เต้นกัน ฉันก็ต้องยิ้มรับเสียงบ่นของหนิง โดยฟังผ่านหูซ้ายไปขวา ขณะกำลังเต้นกันเรื่อยๆ ก็มีคนเข้ามาตัดหนิงไป โดยทิ้งหนึ่งหนุ่มไว้ตรงหน้าฉัน คนที่เพิ่งทำให้ฉันโกรธก่อนออกจากบ้าน บอกด้วยเสียงทุ้มๆ ว่า

“ไอ้คมมันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า มันควรเต้นรำกับหนิงก่อน”

ว่าแล้วเขาก็จับตัวฉัน แล้วรั้งให้ขยับเท้าไปตามจังหวะ เนื่องจากทุกคนเต้นรำเป็นหมด เพราะอาจารย์ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ต้นคิดงานนี้ในอดีตบังคับให้เรียนเพื่อให้งานออกมาตามธีมสมใจ และเพราะเขาพูดอย่างนั้นฉันเลยย้อนไปว่า

“แล้ววินไม่คิดได้บ้างหรือว่าควรเทกแคร์คู่ควงวันนี้บ้าง”

เขาเลิกคิ้ว เฮ้อ! ตานี่ทำอะไรก็ดูเท่จนน่าแค้นใจ

“ผมคิดว่า ขนุนไม่ต้องการเสียอีก” ว่าแล้วเขาก็ก้มหน้าเข้ามาใกล้ “อยากได้อะไรบ้างล่ะ”

“แน้! จะฟ้องอาจารย์”ฉันโวยไปอีกเรื่อง เมื่อได้กลิ่นลมหายใจกรุ่นไอแอลกอฮอล์ของเขา “งานนี้อนุญาตแค่พั้นช์ไม่ใช่หรือ”

“ก็พั้นช์น่ะสิ” ชีวินว่ายิ้มๆ ตาสวยของเขาปรือปรอย หากมีแววขำๆ “ขนุนยังไม่ได้ลองหรือ”

“ใส่อะไรลงไปในพั้นช์” ฉันแหวใส่เสียงเบา

“แชมเปญผสมน้ำผลไม้ ไอ้กฤตมันลักของพ่อมา” กฤตหรือกฤตธี คือเพื่อนสนิทของชีวิน ฝ่ายนั้นเป็นหนุ่มหล่อไม่แพ้กันเลย แต่กฤตธีจะดูกะล่อนเจ้าเล่ห์กว่าชีวินมาก

ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

“อย่าให้ถึงขั้นเมานะ วิน เดี๋ยวกลับไม่ไหว”

“ผมเคยทำให้ขนุนลำบากด้วยหรือ” ชีวินย้อนยิ้มๆ แต่แววตาเห็นแล้วใจคอไม่ดีเลย รู้สึกเหมือนวินกำลังเย้ยหยันอะไรบางอย่าง

“วินน่ะเป็นเด็กดีเกินไปแล้ว” พี่ข้าวเคยพูดลอยๆ “ทำทุกอย่างตามที่ครอบครัวต้องการจนไม่คิดถึงตัวเอง คนดีแบบนี้ ถ้า

มีสักวันที่ถึงขีดสุดแล้วดีแตก น่ากลัวมากเลยนะ ขนุน” พูดอย่างกับฉันจะทำอะไรได้

“ก็พอได้” พี่ข้าวกลับรู้ใจอีก เธอพูดทีเล่นทีจริงว่า “ถึงเวลานั้นแค่พูดว่า ขนุนจะตามใจวินทุกอย่าง” เธอดัดเสียงเหมือนฉันจนชวนให้เบ้หน้า “ก็พอแล้วล่ะ”

น่าแปลก ที่อยู่ๆ บทสนทนากับชีวินก็ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดพี่ข้าวขึ้นมา

ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเขานิ่งๆ คิดดูแล้ว ฉันไม่เคยทำอะไรให้ชีวินเลยสักอย่าง มีแต่เขาที่ ‘เคย’ ไปรับไปส่ง หาของขวัญวันเกิดหาตุ๊กตาหมีมาให้ตอนเรียนจบ

“ไม่!” ตอบคำถามของเขา “วินไม่เคยทำ” โดยรู้ตัวว่าทำประโยคหลังแอบต่อท้ายอยู่ในใจ เพราะส่วนใหญ่ที่หงุดหงิด ก็เพราะไปอิจฉาเขาเอง ฉันทิ้งช่วงไปพักหนึ่ง ก่อนถามต่อไปว่า “เรียนจบม.ปลายแล้ว อยากได้อะไรเป็นของขวัญ”

นัยน์ตาคมโตเบิกกว้างขึ้น เสียงถามล้อเลียนแต่ต่ำพร่ากว่าปกติ

“ผมหูฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่เอาก็ตามใจ!” ฉันบิดข้อมือออก ตั้งท่าจะถอยห่าง แต่เขากลับรัดเอวฉันเข้ามาใกล้ขึ้น

“อย่าใจร้อนสิ ขอเวลาผมคิดหน่อย”

‘หน่อย’ ของเขา นานกว่าที่คิด เราเต้นกันไปเรื่อยๆ จบเพลงแรกแล้ว เข้าเพลงที่สอง ที่สามก็แล้ว ชีวิตก็ยังจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง จนกระทั่งกฤตธีพาคู่เต้นของเขาวนเข้ามาใกล้ แล้วถามขึ้นว่า

“แกลืมไปแล้วหรือเปล่าว่ามีคนจองจะเต้นกับแกอีกเป็นโขลง”

คู่เต้นของฉันกะพริบตาปริบๆ เหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์

“อะไรนะ!”

“ยายพิ้งค์ตาเขียวแล้วเขียวอีก แทบจะเหยียบเท้าไอ้รามหักอยู่รอมร่อแล้วนะโว้ย” กฤตธีว่าเสียงขำๆ ก่อนปรายตามาที่ฉัน แล้วกระเซ้าวินต่อว่า

“ค่อยไปเต้นต่อกันที่บ้านก็ได้นี่หว่า ยังไงขนุนก็นอนบ้านเดียวกับแกอยู่แล้ว”

ฉันคอแข็ง กระตุกมือออกจากการจับกุมของชีวิน พูดเสียงราบเรียบว่า “จะกลับเมื่อไร มาเรียกขนุนด้วย”

“เดี๋ยวสิ” ชีวินไม่ยอมให้ฉันผละไปง่ายๆ “ผมยังคิดไม่ออกเลยขนุน”

“คิดออกว่าอยากได้อะไรเมื่อไรค่อยมาบอก ยอมให้ติดไว้ได้สิบปี” ฉันว่าห้วนๆ ก่อนเดินหนีกลับไปที่นั่งของกลุ่มตัวเอง

“สัญญานะ ขนุน” เขาย้ำเตือน

ฉันพยักหน้าให้ หลังจากนั้นฉันก็นั่งอยู่ติดโต๊ะกับเพื่อนๆ ไม่ได้ออกไปเต้นรำกับใครอีก ให้นึกอยากกลับบ้านก็ยังกลับไม่ได้ ต้องรอเวลาประกาศผลคิงกับควีนประจำงานก่อน

เพราะฉันรู้ดีว่า ฉันคงถูกยำและฝังไว้แน่ๆ ถ้าเอาแต่ใจลาก ‘คิง’ของงานกลับก่อนเวลาประกาศผล

หลังจากกลับบ้านแล้ว คืนนั้น ฉันนอนที่บ้านใหญ่ เพราะตกลงกันแล้วว่า จะไม่ไปเรียกให้พ่อแม่ต้องตื่นมาเปิดบ้านให้ อาบน้ำอาบท่าเสร็จสักพัก ชีวินก็มาเคาะประตูห้องนอน ฉันงงงันชั่วครู่ เมื่อเขาหยิบเสื้อนักเรียนยื่นมาให้ห้าตัว ในใจคิดว่า ทำไมต้องขนเสื้อเก่าๆ พวกนี้มาให้ฉันด้วย

จวบจนชีวินเอ่ยขึ้นว่า “ขนุนต้องการกี่เม็ด”

“อะไร”

ชีวินเลิกคิ้ว ก่อนชี้ไปที่กระดุม ฉันจึงถึงบางอ้อ เขายังจำได้อีกหรือว่า ฉันขอไว้

“น้องขิมเอากี่เม็ดล่ะ”

“สอง”

คำว่าสี่เกือบหลุดจากปาก แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ฉันถึงตอบไปว่า “ห้า”

วินเบิกตากว้าง “เม็ดอื่นที่ไม่ใช่เม็ดที่สองได้ไหม ผมมีเสื้อแค่ห้าตัว ตอนนี้เหลือสามเม็ด”

“ให้พวกนั้นไปจับสลากกันเอง” ฉันสรุปให้ ชีวินยื่นเสื้อมาให้ทั้งชุด แต่ฉันส่ายหน้า บอกว่า “ต้องเอาออกตอนวินใส่”

“อะไรนะ” ถามเสียงหลงทันที

“ถอดเสื้อนอนออก แล้วใส่เสื้อนักเรียนสิ” ฉันสั่ง จนเขาบ่นอุบ “คิดอะไรกันแปลกๆ”

ฉันเป็นคนคิดที่ไหน คนอื่นต่างหากที่คิดแล้วสั่งฉันมา และฉันก็อธิบายไปตามที่ถูกสั่งความมา

“เขาว่ากันว่า กระดุมเม็ดที่สองอยู่ใกล้หัวใจมากที่สุดจึงมีความสำคัญ เพราะฉะนั้นก็ควรเอาออกขณะอยู่ติดหัวใจมากที่สุดเช่นกัน” ฉันร่ายทฤษฎีมั่วซั่ว ทั้งที่ตัวเองก็เห็นว่า ไม่เข้าท่าเอาเสียเลยเหมือนกัน

ชีวินถอนใจเฮือก ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อนอนตัวเองออกสองเม็ด แล้วถอดออกทางหัว เผยให้เห็นแผ่นอกกว้างที่มีกล้ามเนื้อแน่น กับหน้าท้องที่ไร้ไขมัน ผิวเขาขาวเนียนละเอียดยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ฉันหลุบตาลงต่ำ พยายามไม่แสดงความสนใจให้เขารู้สึกตัว

เขาคว้าเสื้อตัวแรกสวม โดยติดกระดุมแค่เม็ดที่สอง

“อย่างนี้โอเคไหม หยิบกรรไกรให้หน่อยสิ”

“ต้องดึงออก”

ชีวินทำหน้าพิลึก “อีกแล้วหรือ”

ฉันพยักหน้า รู้สึกแย่เหมือนกันแหละ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วจึงขยับตัวเข้าใกล้ มือหนึ่งจับตัวเสื้อดึงไว้แนบอกเขา อีกมือพยายามกระชากกระดุมเม็ดนั้นให้หลุดออก ใจอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมฉันต้องทำให้ผู้หญิงอื่นถึงขนาดนี้ด้วย สมมุติว่าเป็นเรื่องของตัวเอง ฉันยังไม่ลงทุนขนาดนี้เลย

แต่มันยากกว่าที่ฉันคิด ฉันปลุกปล้ำดึงเข้าดึงออกอยู่นานทีเดียวจนสุดท้าย ชีวินก็คว้ามือฉันไว้ ถามเสียงแหบพร่าว่า

“มีกฎอะไรอีกหรือเปล่าว่า ขนุนต้องเป็นคนเอาออกเอง”

“ไม่! เป็นใครก็ได้ จริงสิ วินดึงเองก็ได้นี่นา”

ชีวินถอนใจเบาๆ ปลดมือฉันออกจากตัวเขา ก่อนกระตุกแรงๆสองครั้ง กระดุมก็หลุดออกมา

“เสร็จไปหนึ่งตัว”

เขาดูเหนื่อย เพราะฉันรู้สึกว่าลมหายใจเขาหอบถี่ขึ้น วินโยนเสื้อตัวนั้นลงไปทางประตูห้องเขา ก่อนหยิบตัวต่อไปออกมา

“ตัวที่สอง” เขาจัดการอย่างรวดเร็ว

“ตัวที่สาม” เขาจะคว้าอีกหนึ่งตัว ในขณะที่ฉันว่างเลยมีเวลามองซ้ายมองขวา แล้วเผลอพูดออกมาว่า

“หน้าท้องวินราบดีจัง”

ชีวินสะดุ้งนิดๆ หน้าเขาดูแดงขึ้น อาจเพราะกำลังหอบเหนื่อย

“วินซิทอัพวันละกี่ครั้ง”

จากแผงอกกว้างลาดลงไปยังหน้าท้องแบนราบ ฉันไม่เห็นต่ำกว่านั้น เพราะกางเกงผ้าของเขาเกาะอยู่สูงระดับสะดือ แผงกล้ามเนื้อดูเป็นมัดๆ แข็งแรง สวยดีเหลือเกิน

“ร้อยครั้ง” เสียงเขาแหบพร่าเบาลง ก่อนดังขึ้นเล็กน้อยยามบอกว่า “เสร็จแล้ว ผมไปนอนละ”

“อ๊ะ! ขอบคุณ” รับกระดุมสามเม็ดมา ส่วนอีกสองเม็ดชีวินเก็บไว้ให้น้องขิม “ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์” เขาตอบ ก่อนคว้าเสื้อที่กองกับพื้น เดินเร็วๆเข้าห้องไป

สุดท้าย กระดุมที่ได้มาอย่างยากเย็น ก็ตกถึงมือรุ่นน้องสองเม็ดส่วนอีกเม็ด ฉันทำหล่นหายไว้ที่ใดที่หนึ่งของห้อง หาเท่าไรก็ไม่เจอ

เล็กๆ น้อยๆ จากสมุดบันทึกของชีวิน

ผู้หญิงนี่ก็แปลก เอากระดุมไปเกี่ยวโยงกับหัวใจได้อย่างไรก็ไม่รู้ แทนที่จะขอของที่ระลึกเป็นกระดุมหนึ่งเม็ด สู้ขอเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมล์ผมไปไม่เข้าท่ากว่าหรือ

ถึงใครจะคิดอย่างไร แต่สำหรับผมแล้ว กระดุมเม็ดที่สองก็แค่กระดุมเม็ดหนึ่ง ผมไม่สนใจเลยสักนิดว่า มันจะไปอยู่กับใคร แม้จะรู้สึกเสียดายเสื้อเล็กน้อยก็ตาม เพราะแทนที่จะได้บริจาคเสื้อที่ดีๆสักตัว กลายเป็นต้องบริจาคเสื้อกระดุมหลุดแทน

แต่ช่างเถอะ! แค่ขนุนพอใจ ผมก็สบายใจแล้วเพราะมันไม่คุ้มเลยจริงๆ ถ้าทำให้ขนุนโกรธด้วยเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้

วันนี้ขนุนน่ารัก ร่างเล็กๆ ในชุดราตรีสีครีมดูบอบบาง งดงามเหมือนตุ๊กตาแก้ว ตราบเท่าที่เธอยังไม่วีนใส่ผม แถมยังดูอารมณ์ดี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ขนุนน่ารักถึงขีดสุดในวันนี้

“วินอยากได้อะไรเป็นของขวัญ”

เธอคงไม่รู้ว่า แค่คำสั้นๆ คำเดียว ทำให้หัวใจผมกระตุกรุนแรงได้สักเพียงไหน และแน่นอนละว่า ผมไม่มีวันยอมให้เธอรู้เด็ดขาด เพราะเธอจะเอาเรื่องนี้มาปั่นหัวผมแน่นอน ผมยังไม่อยากเจ็บตัวและปวดใจไปมากกว่านี้

ไม่! ผมไม่ได้รักขนุน! ผมยืนยันได้ในข้อนั้น

แต่ไม่รู้ทำไม ความรู้สึกของผมถึงได้แปรปรวนไปตามพฤติกรรมของเธอได้มากกว่าเรื่องใดๆ ทั้งนั้น


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (94 รายการ)

www.batorastore.com © 2024