วิวาห์กามเทพ (ปารย์)

วิวาห์กามเทพ (ปารย์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167715445
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 297.00 บาท 74.25 บาท
ประหยัด: 222.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

แสงแฟลชวูบวาบขณะช่างภาพทุกสำนักพิมพ์รัวชัตเตอร์ถี่ขึ้น เมื่อร่างโปร่งในชุดเกาะอกรัดตึงสีแดงเพลิงเดินออกมาโพสท่าสุดเซ็กซี่เป็นคนสุดท้ายช่วงไฮไลต์ของงาน กระโปรงยาวพลิ้วผ่าตั้งแต่ต้นขาอ่อนไปถึงชายกระโปรงอวดเรียวขาขาวผ่องขณะย่างกรายไปจนสุดเวที กลีบปากอิ่มสีแดงสดยิ้มเพียงเล็กน้อย ดวงตากลมมนกรีดอายไลเนอร์เพิ่มเสน่ห์เย้ายวนบนใบหน้ารูปไข่เคลือบเครื่องสำอางสีเข้ม ผมยาวที่ถูกรวบเก็บอย่างเป็นระเบียบอวดลำคอระหงเข้ากันกับสร้อยเพชรหลายสิบกะรัตอย่างลงตัว เธอจิกปลายเท้าเดินกรีดกรายมาทางซ้ายแล้วย้ายไปทางขวาอย่างมีจริต ทุกๆ ท่วงท่านำมาซึ่งความน่าสนใจในตัวเธอ รวมไปถึงเครื่องเพชรครบชุดมูลค่าหลายสิบล้าน ดวงตะวันเดินมาโพสท่ากลางเวทีอีกครั้งเป็นจุดสุดท้าย ก่อนแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรจะจบลงด้วยการมอบช่อดอกไม้แก่แม่งาน เสียงปรบมือดังลั่นแสดงระดับความพึงพอใจต่องานในวันนี้

แม่งานเดินเข้ามาในห้องซึ่งจัดไว้ให้เหล่านางแบบใช้ในการแต่งหน้าทำผมโดยเฉพาะ หลังถ่ายรูปและให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนร่วมสองชั่วโมงเสร็จสิ้น หญิงสาวก็ไม่ลืมที่จะเข้ามาขอบอกขอบใจทีมงานรวมถึงผู้มีส่วนร่วมทุกคน ด้วยตระหนักดีว่าทุกอย่างคงจะไม่ออกมาราบรื่นเช่นนี้หากขาดบุคคลเหล่านี้ไป ประโยคแสดงความยินดีดังขึ้นสลับกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างต่อเนื่อง ชวนให้บรรยากาศในห้องที่คนเพลาลงแล้วเริ่มกลับมามีสีสันอีกครั้ง

ตลอดชีวิตการทำงานของนันทิดา เธอต้องผ่านอุปสรรคขวากหนามมากมายกว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ ธุรกิจที่เคยเกือบล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่งไม่ได้บั่นทอนกำลังแรงใจให้หญิงแกร่งรายนี้ทดท้อเลยสักกระผีก ตรงกันข้าม กลับยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เธอสู้จนยิบตา ฟันฝ่าวิกฤติทั้งดีและร้ายจนทำให้สาวใหญ่วัยสามสิบตอนปลายสัมผัสรสชาติของคำว่า ‘ความสำเร็จ’ ได้ลึกซึ้งกว่าใครๆ และเพราะเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน ซ้ำยังเป็นกันเอง ไม่ถือตัว จึงทำให้นันทิดามีเพื่อนมาก ทั้งเพื่อนร่วมวงการธุรกิจนางแบบ ตลอดจนลูกค้า เป็นต้องหลงรักเธอทุกคน

ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาโอบไหล่นางแบบรุ่นน้องที่นั่งลบเครื่องสำอางรอท่าอยู่หน้ากระจกด้วยความสนิทสนม ทั้งสองคนมอบยิ้มให้กันผ่านเงาสะท้อนก่อนที่รุ่นพี่จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ขอบใจมากนะตะวัน พี่ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่เลือกตะวันมาเดินฟินาเล่ให้”

“สำหรับคุณนัน ตะวันทุ่มสุดชีวิตอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นแหวนเพชรสักวงคงดีนะคะ”

นันทิดาค้อนปะหลับปะเหลือกให้ก่อนจะยิ้มออกมาในที่สุด ดวงตะวันเป็นแบบนี้เสมอ วางมาดนางพญาสุดเซ็กซี่ไว้บนแคตวอล์กกรีดยิ้มเย้ายวนชวนหลงใหลจนผู้ชายตาละห้อย คอยนั่งซับเลือดกำเดาเป็นทิวแถว แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ภาพหน้าฉาก เมื่อเธอสลัดคราบโฉบเฉี่ยวเปรี้ยวเข็ดฟันตั้งแต่ขาข้างหนึ่งก้าวพ้นขอบเวที เธอจะกลายเป็นผู้หญิงแก่นซน สดใสร่าเริง ใครอยู่ใกล้เป็นยิ้มได้ทุกครั้ง

“ให้หนุ่มรูปงามที่นั่งมองตะวันตาเยิ้มอยู่หน้าเวทีเป็นคนซื้อให้ดีกว่าไหมจ๊ะ” คนกระเซ้าหรี่ตาแซวเมื่อมองเห็นชัดเจนว่าผู้ชายผิวพรรณดี รูปร่างสมส่วน ใบหน้าสะอาดสะอ้านหล่อเหลานั่งอยู่แถวหน้าสุด แสดงว่าเป็นบุคคลระดับวีไอพี เขาจับจ้องดวงตะวันตั้งแต่แรกเห็นจนกระทั่งนางแบบสาวเดินหายเข้าไปในฉากหลัง นัยน์ตาคมระยับคู่นั้นพึงพอใจมากเพียงไหน มีหรือที่คนหูตากว้างไกลจะดูไม่ออก

“ใครกันคะ ตะวันไม่ยักเห็น” เป็นเพราะแสงไฟที่สาดลงมากอปรกับแสงแฟลชจากช่างภาพหลายสำนักลดทอนประสิทธิภาพการมองเห็นของเธอไปกว่าครึ่ง

“คุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์ เทพบุตรในฝันของพี่น่ะสิ” คนพูดยิ้มตาหยี แล้วยกมือขึ้นมาแนบพวงแก้มแดงปลั่งของตน ดูท่าทางกระดี๊กระด๊ายิ่งกว่าปลากระดี่ได้น้ำ

 “คุณชงคุณชายอะไรตะวันไม่รู้จักหรอกค่ะ” ดวงตะวันพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ สองมือยังคงสาละวนอยู่กับเครื่องประทินความงามบนโต๊ะเครื่องแป้งที่พกมาเอง ผิวบอบบางมักจะแพ้ได้ง่ายหากใช้ของสุ่มสี่สุ่มห้า “ถ้าเป็นจันทร์เสี้ยวก็ว่าไปอย่าง”

“ใครกันจันทร์เสี้ยว” สาวรุ่นพี่ถามงงๆ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินชื่อนี้จากปากดวงตะวันเลยสักครั้ง หญิงสาวปล่อยมือจากภารกิจ แล้วหันหน้ามายิ้มหวานหยด

“น้องสาวฝาแฝดของตะวันเองค่ะ”

“ตะวันมีฝาแฝดด้วยหรือ พี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย” นันทิดาตีสีหน้าแปลกใจคล้ายได้ฟังเรื่องประหลาดอย่างไรอย่างนั้น

ดวงตะวันหมุนเก้าอี้กลับมาหาคู่สนทนาที่ตอนนี้เดินไปหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมฝั่งตรงข้าม หลังจากนั้นก็เท้าความชีวประวัติแฝดคนน้องให้อีกฝ่ายคลายสงสัย

เมื่อสิบแปดปีก่อน บิดาและมารดาของแฝดหญิงตกลงเลิกรากันด้วยเหตุผลที่ต่างคนต่างมีใครใหม่ สองครอบครัวเกิดรอยร้าวที่ไม่อาจสานต่อให้เหมือนเดิม ต่างฝ่ายต่างกล่าวโทษกันไปมาว่าอีกคนคือฝ่ายผิด ผลกรรมทั้งหมดจึงจำต้องตกอยู่กับลูก ดวงตะวันกำพร้าพ่อ ส่วนพระจันทร์เสี้ยวกำพร้าแม่

ตั้งแต่พ่อและแม่มีครอบครัวใหม่ ดวงตะวันก็เติบโตมาได้ด้วยความรักจากยาย เธอถูกเลี้ยงดูอย่างมีอิสระเสรีที่ตีกรอบเอาไว้ด้วยความถูกต้อง ผิดกับพระจันทร์เสี้ยวที่ต้องไปอยู่กับย่าในวังทางเมืองเชียงใหม่เพื่อจะเรียนรู้กิริยามารยาท สร้างความเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งสองคนไม่เคยเจอกันอีกเลยนับจากวันนั้น

จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน ดวงตะวันไปเที่ยวทางเหนือเพื่อฉลองการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ ไม่รู้ว่าเพราะความ      บังเอิญหรือโชคชะตาที่พาให้พบเจอกับแฝดคนน้อง หากมองอย่างผิวเผินทั้งสองก็คล้ายคลึงกันชนิดเป็นพิมพ์เดียว แต่ทว่าเมื่อพินิจดูดีๆ จะเห็นว่าพระจันทร์เสี้ยวนั้นมีผิวขาวผุดผาด เครื่องหน้าหวานละมุนกว่าคนพี่ที่นิยมออกแดดเที่ยวสนุกกับเพื่อนๆ หากกระนั้นดวงตะวันกลับดูมีน้ำมีนวล มีรอยยิ้มกระจ่างสดใสมากกว่าคนน้อง หลังจากนั้นแฝดหญิงก็เริ่มติดต่อกัน จะมีพักหลังมานี้ที่ดวงตะวันงานยุ่งจนไม่มีเวลาติดต่อและอีกฝ่ายก็ยังไม่ติดต่อมา จนตอนนี้ก็สามเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้น้องสาวหัวอ่อนจะใช้ชีวิตด้วยความเบื่อหน่ายสักแค่ไหน

เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามาทำให้สองสาวชะงัก เมื่อหันขวับไปมองอย่างพร้อมเพรียงกันก็พบหนุ่มวัยรุ่นในชุดยูนิฟอร์มสีแดงสลับดำ ในมือถือกุหลาบช่อโตสวยสะพรั่งเข้ามาด้วย

“ดอกไม้ของคุณผู้หญิงครับ”

“จากใครคะ” ดวงตะวันถามทั้งที่ยังลังเล สองจิตสองใจว่าควรรับเอาไว้หรือปฏิเสธดี เมื่อก่อนหน้านี้มีแต่พวกเฒ่าหัวงู หรือไม่ก็พวกผู้ชายรักสนุกส่งมาให้ พอรับไว้ก็หาว่าเล่นด้วย กว่าจะไล่ออกไปจากชีวิตได้ก็เล่นเอาเพลียใจไปเป็นเดือน เพราะฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้นั่นละดีที่สุด

เด็กหนุ่มไม่ตอบว่าอะไร เขาเอาแต่ผายมือไปยังโบที่ผูกเอาไว้ตรงปลายช่อเพื่อให้เห็นการ์ดใบเล็กซึ่งคงจะตอบได้ทุกข้อสงสัยเพื่อนรุ่นพี่เข้ามากระแซะพลางพยักพเยิดให้รับไว้ ดวงตะวันยิ้มแห้งๆก่อนจะทำตามอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก เมื่อเซ็นชื่อรับของเรียบร้อยพนักงานส่งดอกไม้ก็จากไป

‘ยินดีที่ได้รู้จักครับ จากคุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์’

“ว่าแล้วไง” นันทิดาตบมือฉาดใหญ่ ดีใจยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง

“คนระดับนั้นจะมาสนใจอะไรในตัวตะวันคะ ขี้คร้านพอได้แล้วก็เขี่ยทิ้ง”

สาวรุ่นพี่หน้าง้ำอย่างขัดใจกับการมองโลกเลวร้ายเกินกว่าเหตุ “คุณชายไม่ใช่คนประเภทนั้นเสียหน่อย พี่ติดตามทุกคอลัมน์ของท่านเชียวนะ สุภาพ อ่อนโยน แล้วก็อบอุ่น นั่นละนิสัยของท่าน”

ดวงตะวันพ่นลมหายใจพลันส่ายหน้าระอา นันทิดาชักจะเพ้อเกินไปแล้ว “นั่นยิ่งไม่ใช่สเปกของตะวันเลยค่ะ ดีเกินไปบางครั้งก็น่าเบื่อนะคะ ผู้ชายมันต้องกะล่อนนิดๆ เลวหน่อยๆ อย่างนั้นสิคะถึงจะมีสีสัน”

“ทำพูดดีไป ถ้าได้แฟนแบบนั้นจริงๆ เมื่อไรแล้วจะรู้สึก”

นันทิดาเย้าแกมหยอก ก่อนจะบุ้ยปากไปยังกุหลาบช่อโต “ถ้าไม่สนใจจริงๆ อย่างนั้นกุหลาบช่อนี้พี่ขอนะ”

“ได้สิคะ” เสียงใสตอบออกไปโดยไม่ลังเล พอเห็นสาวรุ่นพี่หน้าบานฉีกยิ้มจนแก้มปริ ดวงตะวันก็ได้แต่ส่ายหน้าขบขันสาวโสดสูดกลิ่นดอกไม้เข้าเต็มปอดและชื่นชมช่อดอกไม้ประหนึ่งอัญมณีเลอค่า ก่อนจะคิดได้ว่าเธอควรได้แค่ดอกไม้ ส่วนการ์ดแทนใจใบนี้ดวงตะวันควรเป็นคนเก็บเอาไว้ “เก็บไว้เถอะตะวันอย่างน้อยคนให้จะได้ไม่เสียน้ำใจไง”

กระดาษแผ่นเล็กถูกยัดมาไว้ในมือ จากนั้นสาวรุ่นพี่ก็ฮัมเพลงพร้อมทั้งกระโดดอย่างร่าเริงกลับไปด้วยหัวใจรื่นรมย์ ดวงตะวันถอนใจแล้วจำต้องใส่มันลงไปในกระเป๋า รู้สึกไม่สบายใจชอบกล สมองหรือก็คิดถึงเพียงชื่อคุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์ วกไปวนมาอยู่อย่างนั้น แค่ดอกไม้ช่อเดียวกับข้อความสั้นๆ ก็เพียงพอให้หัวใจเต้นผิดจังหวะแล้วหรือ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

ศาลาทรงไทยแบบดั้งเดิมภายในวังทิฆัมพรเป็นที่ประทับสำหรับผ่อนคลายของหม่อมจุรีรัศมี หญิงสามัญชนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นชายาคนที่สองของพระองค์เจ้าหัสดี หลังจากท่านสิ้นพระชนม์ไปด้วยโรคชราภาพ วังฑิฆัมพรแห่งนี้ก็มีหม่อมจุรีรัศมีเป็นเจ้าของ ท่านชื่นชอบดอกลีลาวดีเป็นพิเศษ จึงสั่งให้คนสวนคัดสรรมาปลูกเอาไว้เต็มวัง ทั้งหน้าหลังต่างรายรอบด้วยพืชพรรณชนิดนี้ สีขาวบริสุทธิ์สะอาดสะอ้านเพลินตานักเมื่อแลมอง สายลมที่พัดเอากลิ่นหอมอบอวลมาต้องจมูก สร้างรอยยิ้มและคลายความเหนื่อยล้าลงไปได้อย่างดี

คุณพรรณรายนั่งพับเพียบอยู่ข้างตั่ง ขณะที่หม่อมจุรีรัศมีเอนหลังพิงหมอนอิง หลับตาพริ้มฟังพระจันทร์เสี้ยวอ่านเรื่องอิเหนาตอนบุษบาเสี่ยงเทียนด้วยความสำราญ แก้วเสียงใสดำเนินเรื่องไปด้วยอรรถรส ครั้นไล่สายตามาถึงบรรทัดสุดท้าย วรรณกรรมเล่มหนาก็ถูกปิดลงพร้อมด้วยรอยยิ้มจากผู้ฟัง

“สนุกจริงๆ นะคะ” คุณพรรณรายเอ่ยชมอย่างชอบใจ ลงท้ายหางเสียงว่า ‘คะ’ เพราะหม่อมราชนิกุลนั้นไม่นับว่าเป็นเจ้านายในพระราชวงศ์ จึงไม่จำเป็นต้องใช้คำศัพท์ หากเป็นเพียงยศพิเศษที่ได้รับพระราชทานมาเท่านั้น

หญิงสูงศักดิ์วัยชราพยักหน้าน้อยๆ ด้วยกิริยาสง่างาม พึงใจในความสามารถของหญิงสาวที่นอกจากรูปร่างหน้าตางดงามแล้ว ยังเพียบพร้อมด้วยลักษณะของเบญจกัลยาณี “ถ้าเธอเป็นนางบุษบา เธอจะให้อภัยอิเหนารึเปล่า”

ปากบางตีวงโค้งขึ้นยิ้มเพียงเล็กน้อย ครุ่นคิดสักครู่ก็ตอบออกมาด้วยประกายตาวาวใส “ให้อภัยค่ะ”

หม่อมจุรีรัศมีชักสีหน้าสงสัย เพราะหากเป็นท่าน แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ ถึงอย่างไรอิเหนาก็ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้มากรัก พลอยทำให้ผู้หญิงบริสุทธิ์ต้องมัวหมองทั้งร่างกายและจิตใจ “ทำไมรึ”

“เพราะความรักสำหรับดิฉันคือการให้อภัยค่ะ ถ้าบุษบารักอิเหนา ต่อให้อิเหนาทำผิดมหันต์ บุษบาก็ย่อมให้อภัยได้ค่ะ”

หม่อมจุรีรัศมีพยักหน้าแล้วคลี่ยิ้ม พระจันทร์เสี้ยวคงเป็นเพียงสรรพนามของเธอกระมัง หากเนื้อแท้แล้วไซร้ หญิงสาวคนนี้คือพระจันทร์เต็มดวง ทั้งสวยงามและมีคุณค่ายวดยิ่ง คู่ควรแล้วกับหลานชายเพียงคนเดียวของท่าน

“มะรืนนี้รวีกานต์จะกลับมาแล้ว หารือกับเขาเรื่องงานแต่งให้เรียบร้อยนะ”

“ตายจริง กลับมาแล้วหรือคะ ดิฉันนึกกลัวว่าจะมาไม่ทันเตรียมงานเสียอีก” พรรณรายยกมือขึ้นทาบอก ทั้งตกใจและดีใจระคนกัน ก่อนหน้านั้นนางอดหวั่นไม่ได้ว่าเจ้าบ่าวจะโผล่หน้ามาร่วมพิธีเอาในวันสำคัญตอนนั้นเลย หากเป็นเช่นนั้นจริงอกคนแก่คงแตก

พระจันทร์เสี้ยวเติบโตมาในวัง ยากดีมีจนอย่างไรก็มีศักดิ์เป็นถึงหลานสาวคนสนิทของหม่อมจุรีรัศมี ท่านเอ็นดูหลานสาวคนนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หญิงสาวเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วตามที่ได้รับการอบรมสั่งสอน ความรู้ความสามารถไม่น้อยหน้าใคร ไหนจะงานบ้านงานเรือน เย็บปักถักร้อย ไล่เรียงไปจนเสน่ห์ปลายจวัก พระจันทร์เสี้ยวก็เป็นทั้งหมด ท่านจึงประทานพิธีมงคลสมรสให้เธอกับหลานชายเพียงคนเดียวในที่สุด

“ขาดเหลืออะไรก็บอกนะ ฉันจะเป็นธุระจัดการให้”

หญิงสาวพนมมือก้มลงกราบรับความกรุณา แม้ใบหน้านั้นจะจืดเจื่อน “ขอบพระคุณค่ะ”

จากสามเดือนเคลื่อนคล้อยเข้ามาเหลือสามสัปดาห์ พิธีวิวาห์ที่เกิดขึ้นจากความพึงพอใจของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ประทานสมรสให้โดยหม่อมจุรีรัศมี ต่อให้คนที่เก่งกล้ามาจากไหนก็ไม่อาจปฏิเสธ แล้วนับประสาอะไรกับคนไม่เคยมีปากเสียงเช่นเธอ ทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมจะออกเรือน ทั้งๆ ที่อยากจะทำในสิ่งที่ตนรักและใฝ่ฝัน หากดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นกลับไม่มีวันเป็นความจริง ชีวิตของพระจันทร์เสี้ยวที่เติบโตมาในรั้ววังแห่งนี้ต้องดำเนินไปจนกว่าจะตายอยู่ภายในวังฑิฆัมพรเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1

          “อะไรนะ แต่งงาน!” เสียงเอ็ดตะโรโวยลั่นใส่หูโทรศัพท์จนปลายสายต้องรีบยกให้ห่างจากโสตประสาทการได้ยิน ดวงตะวันกระแทกก้นลงบนเตียงหนานุ่มด้วยอารมณ์ช็อกสุดขีด

“เบาๆ สิตะวัน เดี๋ยวคุณยายก็ได้ยินเข้าหรอก” แฝดน้องปรามแล้วหันไปมองซ้ายมองขวา ก่อนเดินห่างออกมาจากกลุ่มสาวใช้ที่มีอยู่เต็มบริเวณ

“ก็มันตกใจนี่ แล้วจันทร์เสี้ยวจะแต่งกับใคร หน้าตาเป็นยังไง นิสัยเข้ากันได้หรือเปล่า ไปรักกันตอนไหน ทำไมไม่เล่าให้ตะวันรู้บ้าง ที่สำคัญจะแต่งเมื่อไร วัน เดือน ปี อะไร บอกมาให้ละเอียดยิบ”

คนถูกรัวคำถามผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ไม่แน่ใจตัวเองว่าควรตอบคำถามใดเป็นข้อแรก “ฤกษ์วันที่เก้ากุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ส่วนหน้าตาเป็นยังไง นิสัยเข้ากันได้หรือไม่ อันนี้จันทร์ก็ไม่รู้ สิ่งเดียวที่รู้เกี่ยวกับเขาคือเขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของหม่อมจุรีรัศมีชื่อว่าคุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์ จ้ะ”

คุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์...ชื่อนั้นผลักดันให้ดวงตะวันถลันไปควานหาบางสิ่งในกระเป๋า เมื่อไม่พบ คนใจร้อนจึงจัดการเททุกอย่างออกมากระจัดกระจายอยู่บนเตียง กระดาษใบน้อยปลิวว่อนลงมาให้มือเล็กคว้าไว้ เธอไล่สายตาอ่านข้อความอีกครั้ง

คุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์ ชื่อนี้ใช่ไหมที่สร้างแต่ปัญหากวนใจ เมื่อแรกฟัง ที่แท้ความวิตกกังวลทั้งหมดก็เนื่องมาจากสาเหตุนี้ ความทุกข์ใจของแฝดน้องสื่อสารผ่านหัวใจของแฝดพี่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ไม่ได้นะจันทร์เสี้ยว แต่งกับคุณชายคนนี้ไม่ได้นะ เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ดีอย่างที่คุณย่าคิดหรอก”

“ตะวันรู้หรือว่าคุณชายเป็นคนยังไง รู้จักคุณชายด้วยหรือ”

คำถามของพระจันทร์เสี้ยวทำดวงตะวันกระอักกระอ่วนพูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าเขามาจีบ ด้วยหน้าตาก็ยังไม่แน่ใจว่าเคยเห็น ลักษณะท่าทางเป็นอย่างไรก็สุดรู้ จะมีก็แต่กระดาษเล็กๆ แผ่นเดียวเท่านั้นที่ช่วยยืนยันว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่พระจันทร์เสี้ยวจะฝากชีวิตเอาไว้ได้

“ก็ไม่เชิงหรอก เอาเป็นว่าจันทร์เสี้ยวห้ามแต่งกับคนคนนี้ก็แล้วกัน” น้ำเสียงหนักแน่นกดต่ำย้ำความจริงจัง แสดงเจตนารมณ์เด่นชัดว่าไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด

“เป็นไปไม่ได้หรอกตะวัน ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จันทร์แค่โทร.มาบอก เพราะต่อไปคงจะไม่ค่อยมีเวลาโทร.ไปหาอีกอย่างน้อยๆ ก็กว่าจะผ่านพิธีมงคลสมรสนั่นละ”

ดวงตะวันขยุ้มผมจนยุ่งเหยิง คิดไว้แล้วว่าแฝดน้องไม่มีทางจะขัดใจคุณย่าพรรณรายเป็นแน่ แต่พระจันทร์เสี้ยวเอ๋ย รู้ไหมว่าถ้าทำอย่างนี้มันขัดอารมณ์แฝดพี่เป็นบ้าเลย “ชีวิตเป็นของเรานะจันทร์เสี้ยวอย่าให้ใครมาจูงจมูกแบบนี้สิ ถ้าไม่อยากแต่งก็ปฏิเสธคุณย่าไป”

“ชีวิตของตะวันเป็นของตะวัน แต่ชีวิตของจันทร์เป็นของคุณย่า ไม่ว่ายังไงจันทร์จะไม่มีวันทำให้คุณย่าผิดหวัง”

“คุณย่าจะสมหวังในความทุกข์ของหลานสาวได้ยังไง ถ้าจันทร์เสี้ยวไม่กล้าพูด ตะวันจะเป็นคนไปเจรจากับคุณย่าให้เอง”

“อย่านะตะวัน จันทร์ไม่อยากจะทำให้คุณย่าต้องเสียใจ”

พระจันทร์เสี้ยวรู้ดีว่าสุขภาพร่างกายของพรรณรายไม่ค่อยจะสู้ดีนักด้วยอายุอานามก็มากแล้ว การทำให้พรรณรายมีความสุขคือสิ่งที่พึงทำ เพื่อทดแทนคุณที่ผู้เป็นย่าสร้างชีวิตนี้ให้ดีพร้อมในทุกๆ ด้าน

“แต่ตอนนี้ตะวันโกรธมากนะรู้ไหม โกรธที่จันทร์เสี้ยวไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง” ลมหายใจกระฟัดกระเฟียดพ่นหายไปในอากาศ

ก่อนจมูกโด่งจะสูดมันกลับเข้าไปใหม่อีกหลายรอบพระจันทร์เสี้ยวคอตกหมดแรง กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่แฝดผู้พี่พยายามสอนให้เธอเข้มแข็ง ลุกขึ้นมายืนหยัดทำอะไรตามใจต้องการหากทุกครั้งที่ได้มองเห็นรอยยิ้มบนหน้าของพรรณราย หัวใจอ่อนไหวก็บอกตัวเองว่าเพียงพอแล้ว แค่คุณย่าของเธอมีความสุขก็เพียงพอ

“ขอโทษนะตะวัน ขอโทษที่ไม่ได้ดั่งใจตะวันสักอย่าง แต่จันทร์ตัดสินใจแล้วและจะไม่มีวันเปลี่ยนใจด้วย ตะวันไม่ต้องอวยพรให้จันทร์ก็ได้นะ เพราะถึงยังไงมันก็ไม่มีวันเป็นจริงอยู่ดี”

ปลายสายวางไปแล้ว แต่ดวงตะวันยังยกมือค้างเอาไว้ที่เดิมเสียงสุดท้ายของพระจันทร์เสี้ยวยังดังก้องอยู่ เธอรู้ว่ามันคือ   เสียงร้องไห้และน่าประหลาดที่ดวงตะวันเองก็กำลังน้ำตาไหลเช่นกัน

นิตยสารกองโตแทบทุกสำนักพิมพ์ทั้งเก่าและใหม่ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะกระจกกลมใส นิ้วเรียวพลิกแผ่นกระดาษอาบมันแต่ละหน้าอย่างรวดเร็วตามหัวใจกรุ่นๆ ที่อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้นทุกขณะนันทิดาบอกว่าอีตาคุณชายนั่นเคยให้สัมภาษณ์ลงหนังสืออยู่สองสามเล่ม ดวงตะวันต้องการสืบให้ได้ว่าเขาหล่อเหลาสักปานใด นิสัยใจคอมุมมองชีวิต ทัศนคติ รวมถึงรายละเอียดยิบย่อยทั้งหมดเป็นอย่างไรเธอต้องการจะรู้เพื่อให้แน่ใจ และเก็บข้อมูลพื้นฐานของเขาไว้เผื่อใช้งาน ดั่งคำที่ว่ารู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

หาอยู่เกือบๆ สองชั่วโมง ตาลายๆ ก็ไปสะดุดเข้ากับคำว่า‘คุณชาย’ จนได้ สิ่งแรกที่เรียกความสนใจไม่ใช่ชื่อเสียงเรียงนาม หากเป็นร่างสูงสง่าที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อน แค่ใบหน้าหล่อเหลาเผยอริมฝีปากสีชมพูระเรื่อยิ้มเพียงนิดเดียว ทั้งโครงหน้าก็ดูสดใส จมูกโด่งคมสันกับดวงตาชวนฝันคู่นั้นวิบวับจนคนมองต้องลอบกลืนน้ำลาย หล่อลากกระชากใจ ดวงตะวันเผลอคิด แล้วก็สลัดศีรษะขับไล่ความคิดบ้าๆ ออกไปจากสมอง กระชากอะไรกัน ทั้งหมดก็แค่โฟโต้ช็อปเท่านั้นเอง

บทสัมภาษณ์ขนาดความยาวสองหน้ากระดาษเอสี่อยู่ในสายตาทุกตัวอักษรตลอดสิบนาทีเศษ สองรอบกับคำถามเรื่องเสน่ห์ในตัวเอง สามรอบกับคำถามนิสัยส่วนตัว สี่รอบกับคำถามผู้หญิงในสเปก ห้ารอบกับคำถามเรื่องคนรัก และหลายๆ รอบกับคำถามเรื่องคู่ครองในชีวิต

เขาคิดว่าเสน่ห์ของตัวเองอยู่ที่รอยยิ้ม นั่นก็อาจจะใช่ เธอไม่เถียง เขาเป็นคนเรียบง่าย อัธยาศัยดี ข้อนี้เธอไม่รู้เพราะไม่เคยรู้จักมักจี่กับเขา ผู้หญิงในสเปกจะต้องใจดี มีเสน่ห์ ที่สำคัญต้องใจกว้าง พระจันทร์เสี้ยวเองก็จิตใจดี มีเสน่ห์เฉพาะตัว เขาบอกว่าความรักเกิดจากความถูกตาแล้วจึงต้องใจ เมื่อต้องใจแล้วก็ก่อเกิดเป็นความรักนั่นหมายความว่าดอกไม้และการ์ดใบนั้นมาจากความถูกตาด้วยใช่ไหม

สุดท้ายเขายังบรรยายถึงท่านพ่อตนเองว่ามีภริยาถึงสามคน โชคดีที่มารดาของเขาเป็นคู่สมรสที่มีศักดิ์สูงกว่าภริยาท่านอื่นๆ ส่วนหม่อมย่าเป็นชายาคนที่สองในเสด็จปู่ แม้จะไม่ได้ออกหน้าออกตาเหมือนคู่สมรสคนแรก หากความสุขในวังฑิฆัมพรก็ยังคงหาได้ทั่วไปดังนั้นหากสามารถรักเดียวใจเดียวได้ก็ถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ แต่ความรักสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ยิ่งเมื่อคนคนนั้นต้องตาต้องใจของเราด้วยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะพยายามไขว่คว้ามาให้จงได้

“มิน่าล่ะถึงชอบผู้หญิงใจกว้าง โธ่เอ๊ย!” ดวงตะวันขยุ้มขยำผมยาวเป็นลอนอย่างต้องการหาที่ระบาย เพียงอ่านดูก็รู้ว่าเขาคงคิดเจริญรอยตามท่านพ่อและเสด็จปู่ที่มีภริยาไม่ต่ำกว่าสาม ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งพินิจพิเคราะห์ความหล่อเหลาราวเทพบุตรก็ยิ่ง ตระหนัก ผู้ชายคนนี้คงจะมีนางเล็กนางน้อยซุกซ่อนไว้ครึ่งค่อนประเทศได้มั้ง เพราะขนาดแค่เห็นเธอเดินแบบแวบเดียวก็ยังเริ่มจู่โจมแทบจะทันที

“ไม่ได้ ฉันจะไม่ยอมให้จันทร์เสี้ยวเสียใจ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าคุณชายอะไรนี่เป็นคนดีจริง ฉันก็จะขัดขวางให้ถึงที่สุด เพื่อน้องสาวคนเดียวของเรา สู้ๆ”

ดวงตะวันกำหมัดแน่น แล้วยกขึ้นชูเป็นการให้กำลังใจตัวเองว่ากันว่าฝาแฝดจะมีสื่อสัมพันธ์พิเศษที่จะสามารถสื่อสารและรับรู้ได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของอีกฝ่าย ถ้าพระจันทร์เสี้ยวเสียใจ เธอก็ต้องเสียใจ ถ้าพระจันทร์เสี้ยวร้องไห้ แน่นอนว่าเธอต้องร้องไห้ เพราะฉะนั้นพระจันทร์เสี้ยวต้องมีความสุข

สายตายืดยาวของคุณยายแช่มช้อยลอบมองหลานสาวผ่านเลนส์สายตาด้วยความสงสัย เห็นเธอนั่งพูดอยู่คนเดียวได้เป็นนานสองนานก็ชักรู้สึกไม่เข้าที “เป็นอะไรยายตะวัน เพิ่งตื่นนอนหรือไงผมเผ้าถึงได้กระเซอะกระเซิงอย่างนั้น”

มือเล็กรีบปิดนิตยสารเร็วจี๋ แล้วจับหนังสือเล่มอื่นมากองทับด้วยท่าทางส่อพิรุธ “เทรนด์ใหม่ค่ะ ผมยุ่งแบบนี้แหละกำลังฮิต”

หญิงชราเหยียดริมฝีปากอย่างไม่ยอมเชื่อง่ายๆ ถึงนางจะแก่แต่ก็ไม่ได้แก่กะโหลกกะลา ยุคสมัยเปลี่ยนไปแค่ไหนนางก็ยัง รู้เท่าทันไม่ตกหล่น แม้นอาจจะต้องใช้ไม้ค้ำก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า หากก็ไม่คิดจะยืนนิ่งๆ ยึดติดอยู่กับอดีตที่ผ่านไป

“รื้อหนังสืออกมาทำไมเยอะแยะ แล้วเมื่อกี้อ่านอะไรอยู่”

“หนูก็หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อยตามประสาสาวโสดนั่นละค่ะเดี๋ยวหนูเอาไปเก็บก่อนนะคะ” มือเล็กหอบเอานิตยสารที่วางซ้อนกันหลายเล่มแล้วตั้งท่าจะลุกเดินไปเสียให้ได้ ทว่าคุณยายแช่มช้อยกลับต้องการรั้งเธอไว้เพื่อพูดคุยถึงธุระสำคัญ

“นั่งลงก่อนแม่ตะวัน ยายมีเรื่องจะพูดด้วย”

ดวงตะวันทำหน้าเบ้ เธอรู้ดีว่า ‘เรื่อง’ ของคุณยายคืออะไร หากก็ทำได้แค่ยอมนั่งลงตามคำสั่ง

“คุณหญิงรจเรขเขาเร่งวันเร่งคืนมาแล้วนะ เรื่องหมั้นหมายตบแต่งกับลูกชายฝ่ายนั้นน่ะ”

ดวงตะวันปิดเปลือกตาลงอย่างปลงๆ พลันถอนหายใจออกมาแรงๆ เมื่อสุดท้ายก็ได้ยินเรื่องนี้เข้าหู ทั้งที่พร่ำปฏิเสธเสียทุกครั้งซ้ำยังชักแม่น้ำมาเกือบทุกสาย แต่คุณยายก็ยังจะรั้นเอาให้ได้

“หนูยังไม่พร้อมค่ะคุณยาย หนูเพิ่งจะยี่สิบสามเองนะคะเรียนจบมาก็ยังไม่ทันได้ใช้ความรู้ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาให้เกิด ประโยชน์เลย บุญคุณคุณยายหรือก็ยังไม่ทันได้ทดแทน ทำไมต้องรีบให้แต่งงานด้วยล่ะคะ อย่างน้อยๆ น่าจะรออีกสักหน่อย ถ้าเบญจเพสแล้วหนูยังไม่มีใคร ค่อยว่ากันใหม่ก็ยังไม่แก่เกินแกงนี่คะ”

 “ถ้าคิดแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วไปให้ความหวังคุณหญิงท่านทำไม” คุณยายตบโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อนึกถึงวันที่คุณหญิงรจเรขได้พบดวงตะวันในงานเดินแบบชุดผ้าไหมของสมาคมสตรีที่นางและสมาชิกร่วมกันออกแบบ คุณหญิงถูกใจในความสวยน่ารักของดวงตะวัน ยิ่งเมื่อพูดคุยรู้จักก็ยิ่งถูกชะตาในความฉลาดเฉลียวและเป็นธรรมชาติของหญิงสาว คราวนั้นเองที่นางเปรยๆ ว่าอยากได้ดวงตะวันมาเป็นศรีสะใภ้ หญิงสาวนึกว่านางล้อเล่น จึงตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ และบอกให้ตนเรียนจบเสียก่อน จากนั้นให้ยกขบวนขันหมากมาสู่ขอได้ทันที

“ก็หนูนึกว่าท่านพูดเล่น ใครจะไปคิดล่ะคะว่าเอาจริง”

“ยังจะพูดอีก” คุณยายเอ็ดตะโรใส่ นางส่งสายตาตำหนิไปคาดโทษหลานสาวเอาแต่ใจแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอา

ดวงตะวันก้มหน้างุด รู้สึกผิดเต็มหัวใจที่ต้องทำให้คุณยายเป็นคนเสียคำพูด ทว่าเสียอะไรก็ไม่สู้เสียใจไปตลอดชีวิต “คุณยายขา หนูขอโทษค่ะที่พูดไม่รู้จักคิด แต่หนูยังไม่พร้อมจะมีครอบครัวจริงๆตอนนี้หนูมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องทำให้สำเร็จ คุณยายคงไม่อยากเห็นหนูทุกข์ใจไปตลอดชีวิตหรอกใช่ไหมคะ”

อ้อมกอดออดอ้อนของหลานสาวสยบอารมณ์ขุ่นเคืองให้อ่อนยวบลงในบัดดล การผิดวาจาต่อบุคคลชั้นผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ด้วยอาจเสียทั้งชื่อ เสียทั้งหน้า แต่ทว่าคุณยายแช่มช้อยก็อยากจะทำเพื่อหลานสาว “ไม่รู้ทำไมคุณหญิงรจเรขถึงได้ถูกใจเรานักหนาแก่นกะโหลกกะลาก็เท่านั้น งานบ้านงานเรือนหรือก็ไม่เป็นสับปะรด”

“เพราะอย่างนี้ไงคะหนูถึงเพียรปฏิเสธ ไม่อยากทำให้คุณหญิงท่านผิดหวังจริง ๆ” ดวงตะวันยิ้มซุกซนอยู่ในอกอุ่น เมื่อวิเคราะห์จากน้ำเสียงของคุณยายแล้วมีโอกาสและความเป็นไปได้ถึงเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์ที่นางจะออกหน้าช่วยเหลือ หญิงสาวแอบหวังในใจว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะพูดกันถึงงานวิวาห์ระหว่างเธอกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงรจเรข ต่อไปนี้เธอจะใส่เกียร์เดินหน้าขึ้นไปสะสางปัญหาให้พระจันทร์เสี้ยว น้องสาวฝาแฝดซึ่งตกที่นั่งลำบากอย่างเดียวกัน

วังฑิฆัมพรที่เคยเงียบสงบ มาวันนี้กลับคึกคักไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มยินดีรับงานมงคลที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ พระจันทร์เสี้ยวนั่งร้อยมาลัยมะลิห้อยด้วยอุบะดอกรักแซมกุหลาบพวงโตเอาไว้ด้วยหัวใจหม่นเศร้า วันนี้คุณชายรวีกานต์จะกลับวัง หลังเดินทางไปศึกษาดูงานทางด้านอัญมณีที่ต่างประเทศเป็นเวลากว่าสองปี

“พวงมาลัยสวยนะเจ้าคะคุณจันทร์” สาวใช้ในวังที่หม่อมประทานให้มาคอยรับใช้ดูแลว่าที่หลานสะใภ้เอ่ย พลางยิ้มแป้นชื่นชมในฝีมือหาตัวจับยากของนายสาว

“ของคุณชายน่ะรื่น” คำตอบนั้นทำให้รื่นยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นแถมยังบิดมือไปมาด้วยความเขินอายอีก ทำเอาคนมองต้องหลุดยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกของวัน “เป็นอะไร”

“แหม ก็คนมันเขินนี่เจ้าคะ เตรียมพวงมาลัยสวยๆ หอมๆแบบนี้ไว้ คุณชายต้องประทับใจตั้งแต่แรกเห็นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ”

“บางทีคุณชายอาจไม่โปรดของเรียบๆ แบบนี้ก็ได้” ดวงหน้าหวานล้ำสลดเศร้าลงอีกครั้ง เธอประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้เคียงคู่เข้าสู่ประตูวิวาห์นั้นชอบหรือไม่ชอบในสิ่งใด เธอเกรงว่าหากพลาดพลั้งทำเรื่องผิดไป คุณชายอาจชิงชัง และนั่นก็จะเป็นฝันร้ายที่ติดตามตัวไปตลอดชีวิต

“คุณจันทร์ทั้งสวย แถมเก่งไปเสียหมดทุกอย่าง คุณชายจะต้องปะ...โปรด...”

น้ำเสียงขาดห้วงในตอนท้าย พร้อมด้วยสายตาเบิกโพลงค้างราวหยุดหายใจของรื่น เรียกสายตากลมใสให้เหลียวมองไปในตำแหน่งเดียวกัน ฉับพลันร่างเล็กกลับแข็งดั่งก้อนหิน มือไม้สั่นอย่างทำอะไรไม่ถูก มะลิร้อยร่วงหล่นไปตรงปลายเท้าของผู้มาใหม่ที่กำลังโปรยยิ้มหวานล้นมาให้อย่างไม่ถือตัว

 “คุณชายรวีกานต์!” เสียงเล็กแหลมดังขึ้นขัดแววประหม่าของนายหญิง จากนั้นรื่นก็ก้มลงไหว้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นสิ่งที่สมควรต้องทำป็นอันดับแรก

พระจันทร์เสี้ยวกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะสูดหายใจลึก นึกไม่ถึงว่าบทจะได้พบก็ช่างง่ายดายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก เธอลอบกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคออย่างยากเย็น แล้วกระพุ่มมือขึ้นไหว้เขาด้วยกิริยาอ่อนน้อม

คุณชายรวีกานต์ย่อตัวลงมาเก็บมะลิร้อยบนพื้น บังเอิญหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาจึงประสานสายตากับเขาในระยะกระชั้นชิดลมหายใจอุ่นมาจรดปลายจมูกจนต้องรีบชักดวงหน้าออกห่าง ความประหม่าแต่เดิมเพิ่มขึ้นทบทวี ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายมากเท่านี้มาก่อน

คุณชายหนุ่มยิ้มพึงใจขณะพินิจเสี้ยวหน้าน้อยๆ ส่วนเธอเอาแต่มองพื้น แวบแรกเขากลับคิดถึงนางแบบสาวผู้นั้น คนที่เขาถูกตาตั้งแต่วินาทีแรกที่พบเห็น

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เสียงสั่นพูดออกมาอย่างยากเย็น

“ดูท่าว่าพื้นคงน่ามองมากกว่าหน้าของฉัน เธอถึงได้จ้องอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้” เขาจงใจกระเซ้าให้เธอสะดุ้งเล่นๆ ชายหนุ่มแอบเห็นสายตาวิตกช้อนขึ้นมองแวบเดียวก็หลุบลงต่ำจึงพลันนึกขันอย่างเอ็นดู สมัยนี้ยังมีผู้หญิงแก้มแดงปลั่งทุกครั้งที่อายอยู่อีกหรือ ไม่เหมือนผู้หญิงคนนั้นเลย ถึงรูปร่างหน้าตาจะละม้ายคล้ายคลึง แต่จริตจะก้านแตกต่างกันลิบลับ

“คุณชายเจ้าขา ล้อเล่นแบบนี้คุณจันทร์ของรื่นก็อายแย่สิเจ้าคะ” รื่นยิ้มแป้นอยู่ที่เดิม เธอเคลิบเคลิ้มไปกับใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร และแอบปลื้มเสียไม่ได้กับนัยน์ตาหยาดเยิ้มของคุณชายยามเมื่อพิศมองพระจันทร์เสี้ยว“คุณชายเพิ่งกลับมา ยังไม่ทันได้พบหม่อมท่านใช่ไหมคะ”

พระจันทร์เสี้ยวรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นถาม หากความวาบหวามจากสายตาคู่นั้นจะละไปทางอื่นบ้าง ประโยคเมื่อครู่คงราบรื่นมากกว่านี้

“ฉันกำลังจะเข้าไป แต่เผอิญเห็นว่าที่เจ้าสาวนั่งเพลิดเพลินอยู่ตรงนี้ ก็เลยแวะมาทักทายทำความรู้จักสักหน่อย พวงมาลัยนี้เธอเป็นคนร้อยเองหรือ”

“เจ้าค่ะ คุณจันทร์ตั้งใจร้อยสุดฝีมือเพื่อเตรียมไว้ให้คุณชายเจ้าค่ะ” รื่นชิงตอบเสียเอง

คุณชายรวีกานต์ยังคงคลี่ยิ้มขณะยกมะลิร้อยขึ้นมาแตะที่ปลายจมูกแล้วสูดเอากลิ่นหอมเข้ามากักเก็บไว้ สำหรับเขา ผู้หญิงก็คือดอกไม้ ไม่ว่าชนิดใดก็ล้วนแต่สวยงามและยวนเย้า หมู่ภมรเช่นเขามีหน้าที่ดอมดมให้สมปรารถนา หมดกลิ่นสิ้นรสก็บินไปไขว่คว้าช่อใหม่มาเชยชม

“ขอบใจ”

เสียงหวานหยดทำเอารื่นอ่อนระทวย หากพระจันทร์เสี้ยวกลับยิ่งประหม่า ท่าทางอย่างนี้มีแต่จะพาให้หัวใจเธออึดอัด ไม่กล้ามองหน้าตรงๆ ไม่กล้าสนทนา หรือแม้แต่จะยิ้มทักทายก็ยังยากยิ่ง

“แปลกจริง ๆ” เสียงทุ้มเอ่ยทำลายความเงียบ ข้อความสั้น ๆ คล้ายรำพันกับตัวเองผลักให้หญิงสาวเกิดความสงสัย

“คะ”

“รูปร่างหน้าตาของเธอเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันเคยพบแต่ที่แปลกคือแม้ว่าภายนอกจะคล้ายกันมาก แต่กิริยาท่าทางกลับไม่เหมือนกันสักนิด” ร่างระหงในชุดเกาะอกสีแดงเพลิงงามดุจพญาหงส์ฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง เขาคงไม่มีวันจะลืมรอยยิ้มมากเสน่ห์กับนัยน์ตาชวนฝันคู่นั้นได้

“แล้วคุณชายโปรดใครมากกว่ากันคะ ระหว่างคุณจันทร์กับผู้หญิงคนนั้น” รื่นโพล่งถามขึ้นอย่างอยากรู้ เธอลุกลี้ลุกลนเพราะเอาแต่ลุ้นจนตัวโก่ง อย่างไรเสียเธอก็ถือหางพระจันทร์เสี้ยวสุดใจขาดดิ้น

“ถามอะไรเหลวไหลน่ะรื่น” หญิงสาวหันไปเอ็ดสาวใช้ด้วยกระอักกระอ่วนใจจะฟัง แล้วเร่งรัดตัดความเอาเสียดื้อๆ “ดิฉันจะพาคุณชายไปพบหม่อมท่านนะคะ ป่านนี้คงกำลังรออยู่แล้ว”

ไม่รอให้เขาตอบรับหรือปฏิเสธ พระจันทร์เสี้ยวก็จัดแจงลุกขึ้นเดินนำหน้า วินาทีที่ต้องประจันหน้ากับคุณชายรวีกานต์ หญิงสาวรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ไม่รู้ว่าต้องวางตัวเช่นไร ฉะนั้นเวลานี้อยู่ห่างๆ เขาไว้เป็นดีที่สุด อย่างน้อยก็จนกว่าจะเข้าสู่พิธีวิวาห์ที่เดินทางใกล้เข้ามาทุกขณะ

ทุกวันของวังฑิฆัมพรเต็มไปด้วยความครื้นเครงแฝงความโกลาหล เช่นในวันนี้ ว่าที่บ่าวสาวจะต้องเดินทางไปลองชุดที่จะใส่ในวันงานทั้งพิธีตอนเช้าตลอดจนงานเลี้ยงฉลองตอนค่ำ คุณชายรวีกานต์อาสาขับรถด้วยตนเอง หวังก็แค่อยากสร้างความสนิทชิดเชื้อกับภรรยาในอนาคตให้มากขึ้น เพราะตั้งแต่กลับมา สาวเจ้าก็เอาแต่เลี่ยงหลบหน้าหรือสนทนาด้วยไม่กี่คำ แม้นในความคิดของเขาพระจันทร์เสี้ยวจะดูไร้เดียงสาน่ารัก หากการระแวดระวังตัวมากจนเกินไปก็อาจทำให้เหนื่อยหน่ายได้ในไม่ช้า

“ทำไมนั่งเกร็งอย่างนั้น กลัวฉันหรือ” ประโยคแรกของการเดินทางเกิดขึ้นเมื่อรถเคลื่อนตัวมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว คุณชายหนุ่มยอมรับว่าความอึดอัดของเธอส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกเขาเป็นอย่างมาก

“เปล่าค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แล้วหันหน้าออกไปชมทิวทัศน์นอกกระจกรถ

“เราแวะกินอะไรกันก่อนดีไหม เพราะกว่าจะถึงก็คงเที่ยง”

ชายหนุ่มเสนอความคิดเห็น หากความเป็นจริงอยากหาเรื่องชวนคุยเสียมากกว่า

“แล้วแต่คุณชายค่ะ”

ลมหายใจหนักหน่วงพ่นออกมาแรงๆ จนผู้โดยสารเผลอสะดุ้ง หญิงสาวกระวนกระวายใจจนหัวคิ้ววิ่งมาชนกัน หากกระนั้นเธอก็ยังทำได้แค่ก้มหน้าหลบสายตา

“หรือว่าเธออยากจะไปลองชุดก่อน ความจริงฉันก็ยังไม่ค่อยหิวเท่าไร” เขาใช้ความพยายามอีกครั้งด้วยคำถามเชิงเปิด แอบหวังไว้ว่าคงได้รับคำตอบที่ดีกว่าเดิม

พระจันทร์เสี้ยวลอบผ่อนลมหายใจให้เบาที่สุด เธอปรายตามองหน้าคนขับนิดหนึ่ง ก่อนจะรีบบ่ายหน้ามองออกไปนอกกระจกคำถามก็ไม่ได้ยาก หากจะตอบให้ถูกใจนั้นกลับยากยิ่งกว่า “ดิฉัน...ดิฉันแล้วแต่คุณชายค่ะ”

วงหน้าหล่อคมส่ายน้อยๆ จากนั้นก็ตั้งหน้าบังคับพวงมาลัยโดยไม่เอ่ยอะไรอีก ในเมื่อหญิงสาวตามใจเขา ชายหนุ่มก็เลือกที่จะมาร้านเพื่อลองชุดก่อน เพราะไม่อยากจะต้องนั่งกินข้าวด้วยความกระอักกระอ่วนใจทั้งสองฝ่าย ให้เธอผ่อนคลายสักนิด แล้วจากนั้นค่อยว่ากัน

พระจันทร์เสี้ยวเข้าไปลองชุดเป็นคนแรก เริ่มที่ชุดไทยโบราณสีทอง มีสไบพาดไหล่ข้างหนึ่ง รัดเอวคอดกิ่วด้วยเข็มขัดทอง ซ้อนจีบชายผ้านุ่งอย่างประณีต เธองดงามดุจนางในวรรณคดียามที่ได้สวมเครื่องแต่งกายแบบไทยแท้ นี่ขนาดยังไม่ครบชุด พระจันทร์เสี้ยวยังพริ้งเพราปานนี้ หากถึงวันงานนั้นเล่าจะงดงามปานไหน อีกชุดเป็นชุดราตรีสีขาวบริสุทธิ์ เปิดหัวไหล่อวดผิวผุดผ่อง ปักลายลูกไม้ประดับทั้งชุด ปล่อยชายกระโปรงยาวพลิ้วไปตามแรงลม ผ้าแนบเนื้อแสดงส่วนเว้าส่วนนูนตามสัดส่วนที่เธอพึงมี ทำให้หวานตาเหลือแสนยามพิศเพลิน

ผู้หญิงคนนี้สวย ชายหนุ่มยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขา ทั้งกิริยามารยาทเรียบร้อย ความรู้ความสามารถก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร สมแล้วที่หม่อมจุรีรัศมีโปรดปราน เธอเหมาะสมคู่ควรจะเป็นเมียสมรส เป็นเมียแรกไว้ออกสังคม มีไว้เชิดหน้าชูตา คอยเกื้อหนุนสามี และปกป้องข้าบริวารทั้งหลายภายในวัง หากเธอรู้จักเล่นหูเล่นตากับเขาสักนิดช่างเจรจาปราศรัยอีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าเขาอาจยินยอมหยุดทั้งชีวิตไว้ที่เธอก็เป็นได้

เสร็จจากเจ้าสาวก็มาถึงคราวเจ้าบ่าว ซึ่งใช้เวลาแค่ไม่นานเพราะผู้ชายไม่มีอะไรมากมายเท่ากับผู้หญิง เพียงแค่เสื้อผ้าสีเข้ากันเรียบง่ายแต่ต้องโก้หรู ชายหนุ่มก็พอใจแล้ว คุณชายรวีกานต์ผลัดผ้ากลับเป็นชุดลำลองของตน พูดคุยกับเจ้าของห้องเสื้อนิดหน่อยแล้วเตรียมจะลากลับ หากเดินไปหาว่าที่เจ้าสาวซึ่งคาดว่านั่งรออยู่ตรงส่วนรับแขกของร้านแล้วกลับไม่พบ เขาเดินหาเธอจนทั่ว ถามทุกคนบริเวณนั้น แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ทราบ

ระหว่างที่คุณชายรวีกานต์กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้นพระจันทร์เสี้ยวได้รับข้อความจากดวงตะวันขอให้ออกมาพบ หญิงสาวสบโอกาสตอนที่คุณชายหายเข้าไปในห้องลองชุดลอบออกมาหาพี่สาวซึ่งรออยู่ที่ร้านกาแฟในซอยเดียวกัน

“ตะวันมาตั้งแต่เมื่อไร มาได้ยังไง คุณยายรู้เรื่องหรือเปล่าพักอยู่ที่ไหน ทำไมไม่บอกจันทร์ล่วงหน้าล่ะ” แฝดน้องยิงคำ ถามอย่างไม่เว้นช่องว่างไว้หายใจ นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่ไม่ได้พบหน้าค่าตากัน ถึงจะอยู่ในสถานการณ์ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรก็ตามที

“ตะวันมาตั้งแต่เมื่อวาน ตั้งใจว่าจะไปหาจันทร์เสี้ยวที่วัง แต่โชคดีที่จันทร์เสี้ยวมาทำธุระในเมืองน่ะสิ” มือเล็กยื่นไปกุมมือน้องสาวที่เกิดตามหลังเธอไม่กี่วินาที ท่าทางร้อนอกร้อนใจดั่งมีไฟสุมสื่อสารถึงกันได้ทันที

“จันทร์รู้นะว่าตะวันมาที่นี่เพื่ออะไร แต่อย่าเลย เหลือเวลาอีกแค่สามวัน เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว”

“ทำไมจะไม่ได้ สามวันก็มากเกินพอสำหรับการพิสูจน์ใจคน”

ดวงตะวันยังคงตั้งหน้าประจัญบานให้รู้ดำรู้แดง ทว่าจนแล้วจนรอดพระจันทร์เสี้ยวก็ยังปฏิเสธ

“จันทร์ได้พบกับคุณชายแล้ว คุณชายเป็นคนดี สุภาพ และอ่อนโยน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรต้องห่วง”

 “น้อยไปน่ะสิ จันทร์เสี้ยวรู้ไหมว่าผู้ชายสกุลสรดิษฐ์มีภริยากี่คน ตั้งแต่พระองค์เจ้าหัสดี หม่อมเจ้าอัศวิน ต่างมีภริยาไม่    ต่ำกว่าสาม อย่างหม่อมจุรีรัศมีก็เป็นภริยาคนที่สองใช่ไหม แล้วอีตาคุณชายรวีกานต์ของจันทร์เสี้ยวก็คงจะเหมือนกัน จันทร์เสี้ยวได้เป็นคู่สมรสมีหน้ามีตาทางสังคมก็จริง แต่ต้องทนทุกข์ใจเพราะต้องแบ่งสามีกับผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ไม่ช้ำใจตายเสียก่อนหรือ หึ...พูด แล้วชักของขึ้น”สาวเลือดร้อนหยิบแก้วชาเขียวนมสดเย็นขึ้นดูดลดฮวบไปค่อนแก้วหวังเอาความชื่นฉ่ำเข้าไปดับไฟสุมอก

พระจันทร์เสี้ยวฟังแล้วคิด แน่นอนอยู่แล้วที่คุณชายรวีกานต์จะมีภรรยาเพิ่มมาอีกสักคนสองคน ตั้งแต่ได้ประทานสมรส เธอก็เคยตั้งคำถามว่าจะยอมรับเรื่องนี้ได้หรือไม่ ในเมื่อคุณชายเปรียบได้ดั่งอิเหนา แต่หญิงสาวยังไม่รู้ว่าตนเองคือใคร จินตะหราวาตีก็ไม่ใช่ บุษบาหนึ่งหรัดก็ไม่ใช่ รู้แค่เพียงว่าเธอไม่ใช่คนที่เขารัก

ดวงตะวันเห็นดวงหน้าหม่นเศร้าของน้องสาวแล้วก็หดหู่กะทันหัน นัยน์ตาหวานล้ำไม่แสดงความสุขเหมือนผู้หญิงทั่วไปที่จะได้แต่งงานเลยสักกระผีก พระจันทร์เสี้ยวคงหวานอมขมกลืนจนแทบอยากกลั้นใจตายวันละหลายร้อยหน

“ถึงตะวันจะเกิดก่อนแค่ไม่กี่วินาที แต่ตะวันเป็นพี่สาว พี่สาวที่จะไม่มีวันยอมให้ใครหรืออะไรก็ตามทำให้น้องสาวของตะวันเสียใจ เชื่อตะวันสักครั้งได้ไหม ขอให้ตะวันได้ทำหน้าที่พี่สักครั้งเพื่อน้องสาวคนเดียวของตะวันเถอะนะ”

ดวงตะวันกระชับมือพระจันทร์เสี้ยวแนบแน่น พร้อมทั้งสื่อความจริงจังเด็ดเดี่ยวเสริมทางสายตา ที่แค่มองก็สัมผัสได้ว่าเธอจะไม่มีวันอยู่โดดเดี่ยวลำพัง

รายละเอียด

  ดวงตะวัน เตชาศิลป์  สาวสวยมาดมั่นจำต้องปฏิบัติภารกิจชวนปวดหัว เมื่อได้รู้ว่าคนที่น้องสาวฝาแฝดต้องแต่งงานด้วยเป็นใคร ก็อีตา คุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์ อะไร นั่น แม้จะหน้าตาดีราวกับเทพบุตร แต่ก็เจ้าชู้หลายใจใช่ย่อย แถมยังพ่วงด้วยประเพณีแปลกๆ ของครอบครัว ที่อนุญาตให้ฝ่ายชายมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคนนั่นอีก!!  รู้อย่างนี้แล้วพี่สาวที่แสนดีอย่างเธอ จะปล่อยให้น้องสาวสุดที่รักต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายได้อย่างไร!!
               “หยิกฉันเหรอ” คุณชายรวีกานต์ว่าพลางคลำเนื้อส่วนที่เจ็บ
               “ถ้าคุณชายยังฉวยโอกาสอีก ดิฉันจะหยิกให้เนื้อขาดเลย ไม่เชื่อก็ลองดู” ดวงตะวันเชิดหน้าท้าทาย ก่อนชายหนุ่มจะย่างสามขุมหมายเข้าไปประชิดตัวเพื่อจัดการสำเร็จโทษ
              “ไหนบอกให้ลอง แล้วจะหนีทำไม กลัวเหรอ”
               “ปละ...เปล่า...ค่ะ”
               “เปล่าก็อย่าหนีสิ” โดยไม่รั้งรอให้หล่อนได้ตั้งตัว คุณชายก็ปรี่เข้าไปพันธนาการร่างอรชรไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง                      
               “คุณชายคะ ปล่อยเถอะค่ะ ดิฉันไม่หยิกคุณชายแล้วก็ได้”
               “แต่ฉันอยากให้เธอหยิกนี่นา”
                พระจันทร์เสี้ยว เตชาศิลป์ จำ ต้องสลับตัวกับพี่สาวฝาแฝดโดยไม่อาจปฏิเสธ เมื่ออีกฝ่ายยืนยันเสียงแข็งว่าทุกอย่างที่ทำก็เพื่อความสุขของเธอ แต่แล้วก็ต้องปวดหัวอีกครั้ง เมื่อความใจดีของตนส่งผลให้ต้องแต่งงานกับว่าที่เจ้าบ่าวของพี่สาวอย่างมิ อาจขัดได้ แล้วผู้หญิงอ่อนต่อโลกอย่างเธอ จะเอาอะไรไปสู้คนใจร้ายอย่าง อชิระ กาญจนโชติ  ได้ล่ะ ในเมื่อเขาทั้งโหด ทั้งดุ แถมยังปากจัดยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก!!
               “ดิฉันทราบค่ะว่าคุณกำลังโมโห แต่เรื่องทุบกล่องหม้อข้าวอะไรนั่น ดิฉันไม่ได้เป็นคนทำแน่นอนค่ะ ไม่เชื่อลองไปดูในครัวสิคะ”
               “นี่คุณกวนผมใช่ไหม”
               “เปล่าค่ะ” คำตอบนั้นส่งผลให้เจ้าของขาเพรียวยาวย่างสามขุมเข้าหาทันที
               “คุณจะทำอะไร!”
               “ผมไม่พิศวาสคุณหรอกน่า ไม่ต้องทำท่าหวงเนื้อหวงตัวขนาดนั้นก็ได้”
               “ถ้าอย่างนั้นก็เลิกเล่นสิคะ”
                จมูกโด่งเป็นสันแตะเข้ากับปลายจมูกเชิดรั้นของหล่อนทันทีที่พระจันทร์เสี้ยว หันหน้ากลับมา แต่ทว่ายังไม่ทันได้ประสานสายตากัน เข่าแหลมๆ ก็ยกขึ้นกระแทกกล่องหม้อข้าวของเขาเต็มแรงเสียแล้ว
                “โอ้ย! กล่อง...หม้อ...ข้าว...ผม”         

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (72 รายการ)

www.batorastore.com © 2024