เศรษฐินี (จุลลดา ภักดีภูมินทร์)
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
พัดมองดูเสื้อที่หล่อนมีส่วนช่วยประดิษฐ์แล้วก็แอบกลืนน้ำลาย ด้วย
ความรู้สึกอย่างผู้หญิงทั่วไป เออ...ค้าพัดได้สวมเสื้อตัวนี่แล้วออกไม้เดินเฉิดฉาย
หล่อนคงแทบไม่ต้องกินข้าวไปสามวันทีเดียว! พัดลืมตาฝืนเห็นตัวหล่อน
เองอยู่ในเสื้อชุดนี้ หล่อนจะสวยอย่างรองนางสาวไทยผู้จะเป็นหุ่นโชว์เสื้อ
ตัวนี่ไหมหนอ?
พัดกลืนน้ำลายอีกครั้งหนึ่ง ดวงตายงจับอยู่ที่ชุดราตรียาว ตัดด้วยผ้ามัน
เลื่อมสีชมพูจาง {โกมุกและเลื่อมสีขาวสลับชมพูอ่อนเป็นช่อดอกไม้กระจายไปทั่ว
ตัว...คล้ายกับฉลองพระองค์ชุดหนึ่งของพระราชินีอังกฤษแต่แบบน่ารักกว่ามาก
ต่อใต้อกและบานออกน้อย ๆ ตั้งแต่รอยต่อไปจนถึงชายกระโปรง คาดได้อกด้วย
โบใหญ่ ทิ้งชายยาวลงมาข้างหน้าเพิ่มความน้ารักชิ้นอีกอักโข
พัดเหลือบดูเงาของตัวเองในกระจกที่ติดอยู่เกือบรอบห้อง ที่จริงหล่อนก็ไม่ใช่
คนขี้ริ้วขี้เหร่ ขาวกว่ารองนางงามผู้นั้นด้วยซ้ำไป แต่ผิวของหล่อนติดจะกร้านลม
กร้านแดด เพราะไม่เคยได้รับการบำรุงรักษา ถึงอย่างนั้นมันก็ดูเกลี้ยงตามธรรมชาติ
ส่วนหน้าดาของหล่อน พัดคิดเข้าข้างตัวเองว่าสวยพอดูเหมือนกัน แต่จะสวยเท่า
พวกนางแบบ เท่าพวกสาวๆ ที่เข้ามาทำผมตัดเสื้อได้อย่างไร เพราะไม่มีใครแต่ง
ให้หล่อนและถึงพัดจะพยายามแต่งเอง มันก็คงไม่เข้ากันตัวหล่อนซึ่งเป็นแค่เด็ก
บ้านนอกเข้ามาเรียนตัดผมตัดเสื้อ...ทำไมหนอ?...เขาเที่ยวไปเสาะหาผู้หญิงรุ่นสาว
มาประกวดนางสาวไทยกันถึงเมืองเหน่อเมืองใต้ ทำไมเขาถึงจะได้มองเลยนางสาว
พัด มานะงาน ซึ่งอยู่แค่เอื้อมไปเสียได้?
“อ้าวไอ้พัดยืนจ้องเสียจนเสื้อจะละลายหมดแล้ว กลับกันหรืออังล่ะ?”
กิ่งแก้วเป็นสหายร่วมเรียนของพัด ซึ่งบ้านอยู่แถบเดียวกันและกลับด้วยกัน
เกือบทุกวัน หล่อนเก็บของไข้เรียบร้อยแล้วและยืนคอยพัดอยู่จนกระทงคนอื่นๆ
ออกไปจนหมดสิ้น เมื่อเห็นพัดยังเคลิบเคลิ้มกับเสื้อที่ตัวทุ่นกลางห้องอยู่ หล่อน
จึงร้องสิ้น
“เสื้อตัวนี้สวยจังนะ”
พัดยังไม่ยอมละลายตาจากเสื้อ แต่หยิบกระเป๋าหนังเทียมราคาถูก ๆ มาคล้อง
แขนไว้
“ใส่แล้วคงสวยสง่ายังกับเล้าหญิง ทำยังไงหนอเราถึงจะไดใส่กันเขาบ้าง?”
“อย่าไปฝันเลย พัดเอ๋ย...ชุดหนึ่งเป็นพัน ๆ คนอย่างเราก็ได้แค่คิดประติด
ประดอยให้เขาใส่เท่านั้นเอง ไปกันเถอะ”
พัดเดินตามกิ่งแล้วออกมาจากห้องเรียนตัดเสื้อลงบันไดไปชั้นล่าง โรงเรียน
ตัดผมตัดเสื้อที่พัดเรียนนั้นเป็นตึกแถวสามชั้นหลายคูหาสุด ชั้นบนสุดเป็นห้องพัก
นักเรียนประจำ ชั้นกลางเป็นห้องเรียน ส่วนหนึ่งเป็นห้องดัดผม ส่วนหนึ่งเป็นห้องตัดเสื้อ
และกั้นไร้เป็นสัดส่วนงดงาม ส่วนหนึ่งเป็นห้องตัดผม ส่วนหนึ่งเป็นห้องตัดเสื้อ
สำหรับลูกค้า เป็นห้องกระจกใหญ่กั้นด้วยม่านสีเขียวเข้ม บันไดนี้นอยู่ทางด้าน
หลัง นักเรียนเมื่อเลิกเรียนแล้วก็ลงบันไดทางค้านหลัง หาได้เกี่ยวข้องกับทางด้าน
หน้าไม่
พัดกันกิ่งแก้วออกทางประตูหลัง แล้วก็เดินล้อมข้างตึกซึ่งเป็นซอกเล็ก ๆ
มาทางค้านหน้า สาวน้อยทั้งคู่เดินเลาะทางเดินเท้า ตรงไปยังป้ายรถประจำทางที่
เห็นอยู่ข้างหน้า แ^อุผ่านตึกหลังหนึ่งซึ่งมีค้านหน้าชิดกับทางเดินเท้า ทว่าคั่น
เอาไว้ด้วยสวนญี่ป่นและสนามเล็ก ๆ เขียวขจีพัดก็หยุดเดิน
เข้าไปดูรูปภาพกันหน่อยไหม ?”
กิ่งแก้วหน้าเบ้เล็กน้อย
“ดูก็ไม่รู้เรื่อง เห็นมีรูปสวยๆอยู่สองสามรูปเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่เห็น
เข้าท่า”
“อ้าว...นั่นแหละ เขาเรียกว่ารูปโมเดิร์นละตัว ไม่รู้อะไร เป็นศิลปะสมัย
ใหม่ เดี๋ยวนี้รูปธรรมชาติ รูปคนทื่อ ๆ เขาไม่วาดกันแล้ว”
“นั่นซี รูปคนก็ต้องให้หน้าบิดๆเบี้ยวๆเหยเก เราดูแล้วไม่เห็นสวยตรง
ไหน ทุเรศตาด้วยซ้ำ ไอ้รูปที่เอาสีละเลงตัดกันไปตัดกันมาก็เหมือนกัน เราดูแล้ว
เวียนหัวเกือบตาย”
“ก็เลือกดูรูปที่ตัวว่าสวยซี เข้าไปด้วยกันนะกิ่ง”
พัดฉุดมือกิ่งแก้ว กิ่งแก้วถอนหายใจเบาๆ ดวงตามองไปกังสตรีสองนาง
ซึ่งเพิ่งลงจากรถยนต์ เป็นสาวสวยแต่งกายทันสมัยปรงสั้นแค่เข่าอ่อน
นางหนึ่งใส่ต่างหูดอกไม้อ้นใหญ่เข้าชุดกับสีเสื้อ อีกนางหนึ่งใส่ต่างหูห่วงพลาสติก
หลายห่วงสีเขียวสลับส้มเข้ากับเสื้อกระโปรงสั่นเช่นกัน เจ้าหล่อนทั้งสองเดินฉับ ๆ
ตรงเข้าไปในแกลเลอรี่ด้วยกิริยาอันสง่างาม
“คนเข้าไปดูรูปภาพแบบนั้น มันต้องแต่งตัวสวย ๆ นั่งรถยนต์อย่างสองคน
นั้น ปอนๆอย่างเราเข้าหัวเราะเอาเปล่า ๆ
“หัวเราะเยาะก็ช่างเป็นไร ทำไม...คนอย่างเราจะดูรูปยังงั้นเป็นขึ้นมาบ้างไม่ได้
รี?”
พัดเถียง ฉุดมือกิ่งแก้วแรงขึ้นอีกเล็กน้อย กิ่งแก้วเสียไม่ได้ จำต้องเดิน
ตามเพื่อนเข้าไปภายในแกลเลอรี่นั้น''''''
ชั้นลางดูเหมือนจะเป็นสำนักงานอะไรสักอย่างหนึ่ง บันไดชั้นสู่แกลเลอรี่อยู่
ทางขวามือ เมื่อโผล่พ้นบันไดชั้นไปก็ถึงห้องโถงแสดงภาพเป็นห้องแคบยาว มุมห้อง
ด้านหนึ่งชอุ่มด้วยตันไม้ใบร่ม สลับหินก้อนโตๆ เช่น บอน ว่าน เฟิร์น และ
พลูแฉก ใกล้ๆ กัน,นั้นมีเก้าอี้หวายกลมแบบสตูล บุนวมสีสด วางอยู่สามสี่ตัว
ดวีงตาของพัดเหลือบไปกังเก้าอี้หวายพนักสูง พัดเคยเห็นเขานั่งอยู่ที่ตรง
นั้นเสมออ้าเขาอยู่ 'แต่เวลานี้เก้าอี้ตัวนั้นกังว่างเปล่า พัดมองหาเขาในหมู่คนที่
ยืนดูรูปภาพแต่ก็ไม่เห็น ทำไห่ใจของหล่อนฝ่อลงเล็กน้อย...
กิ่งแก้วกระตุกมือพัดเบา ๆ
“ชวนชั้นมาแล้ว ทำไมไม่ดูเล่ายะ มัวแต่ยืนมองอะไรอยู่ก็ไม่รู้”
พัดรีบกวาดตาดูในหมู่คนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เลิกมองหาเขา ทำเป็นสนใจ
ภาพที่อยู่เบื้องหน้าหล่อน แต่ให้ดูจนตาย ภูมิปัญญาและความละเอียดอ่อนใน
เรื่องศิลปะของหล่อนมีน้อยเกินไป จนเกินกว่าที่จะเข้าใจภาพแบบแอ็บสแตร็กต์ของ
จิตรกรสมัยใหม่
พัดนึกอิจฉาสตรีสวยงามท่าทางคงแก่เรียนผู้หนึ่ง อิจฉาที่ดูหล่อนซาบซึ้ง
ต่อภาพเบื้องหน้าของหล่อนเสียจริงๆ ไม่ว่าภาพอะไร หล่อนคงจะเข้าใจภาพเหล่า
นั้นอย่างแจ่มแจ้ง และเห็นมันสวยจริงๆ ทำอย่างไรหนอ พัดจึงจะมีอารมณ์
ละเอียดอ่อนอย่างหล่อนบ้าง?
พัดยืนพังหลอนสนทนากับเพื่อนสองสามคนที่มาด้วยกัน…
ภาพภาพหนึ่งนั้นตรงกลางคล้ายกับหน้าคนเบี้ยว ๆ พิกล แล้ว
ก็มีสีละเลงหมุนๆอยู่รอบหน้านั้น ซีกหนึ่งเป็นเทา สีน้ำเงิน ล้วนแต่
เข้มและหม่น อิกซีกหนึ่งตัดกันฉูดฉาด สีที่ตัดกันนั้นก็ไปเบี้ยวมา มีได้ตัด
กันเป็นสัดส่วน จนกระทงพัดดูแล้วเวียนหัวเหมือนอย่างที่กิ่งแก้วบ่นเมื่อสักครู่
แต่เจ้าหลอนผู้นั้นกล่าวอย่างชื่นชมว่า''''''
“รูปนี้ดูแล้วซึ้งจังนะ”
แล้วหล่อนก็เอียงคอน้อยๆ ทำให้ใครต่อใครต่างหันมามองดูหล่อน บุรุษ
บางคนมีสีหน้าแสดงว่าชื่นชมและบุกย่องทำทางของหล่อนจนออกนอกหน้า แต่
ดูเหมือนบางคนก็จะหมั้นไส้!
“ฉันดูไม่รู้เรื่อง”
สหาย'ของหล่อนผู้หนึ่ง'ขัดบี้'น หล่อนเป็นคนสวยอย่างทันสมัยเช่นกัน แต่
ที่ว่าไม่รู้เรื่องนั้นไม่ใช่ไม่รู้เรื่องอย่างพัดหรือกิ่งแก้ว ซึ่งเรียนหนังสือจบแค่ม.ศ.๓
เพราะหลอนกล่าวต่อไปว่า
รูปแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ยังดูง่ายกว่าแบบแอ็บสแตร็กต์ ไอ้รูปแบบแอ็บ-
สแตร็กต์นี่ บางรูปดูยังกับคนบ้าวาด!”
หล่อนวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา แล้วก็ย้อนถามสหายที่ ‘ซึ้ง’ กับภาพ
แผ่นนั้นว่า
“เธอดูรู้เรื่อง ลองอธิบายใบ้ฉันพังหน่อยซี”
พัดก็อยากรู้ว่า หล่อนจะอธิบายว่าอย่างไร จึงมองดูหล่อนอย่างตั้งอก
ตั้งใจ แต่หล่อนกลับอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็ตอบด้วยเสียงไม่มั่นคงนัก
“ฉันเข้าใจว่า คนวาดคงจะหมายถึงมนุษย์กับอะไรสักอย่างหนึ่งที่เราไม่เข้าใจ
รูปภาพอย่างนี้บางคนดูแล้วก็คิดไปคนละอย่างไม่เหมือนกัน”
พัดระบายลมหายใจยาวและยิ้มอยู่ในหน้า เออ...หล่อนช่างฉลาดตอบจริง
หนอ ไอ้หน้าเบี้ยวๆเหมือนไข่แดงแตกอยู่ในไข่ขาวนั้น พัดก็เดาได้เหมือนกันว่า
มันคงหมายถึงมนุษย์
พัดกำลังจะเดินเลยไปดูภาพอื่น ก็พอดีเขาขึ้นบันไดมา ใจของพัดเต้นแรง
กว่าปกติเล็กน้อย วันนี้เขาแต่งกายด้วยสีอ่อนๆอย่างเก๋ตามเคย'''นุ่งกางเกงสีเทา
สวมเสื้อสีม่วงอ่อนแขนยาว เป็นผู้ชายคนเดียวที่พัดรู้สึกว่าสวมเสื้อเชิ้ตสีได้สวย
งาม โดยไม่เหมือนผู้ชายกะเทย ผิวของเขาซาวอย่างผิวพวกแขกขาว ผมหลักศก
ดำสนิท ขางหน้าหวีปาดๆปรกๆ ขางหลังยาวเลื้อยลงไปถึงต้นคอ จอนผมยาว
กลืนกับเคราเขียว ๆ ดู1ช่างเหมือนดาราหนังฝรั่งบางคนเสียนี่กระไร
พอเขาก้าวขึ้นมา พัดก็ได้ยินเสียงสตรีสองสามคนกระซิบกันอยู่ขาง ๆ...
“นั่น'ไง คนวาดรูปพวกนี้ หลอไหม?”
“หน้าตาดีจัง แต่งเนื้อแต่งตัวสมเป็นจิตรกร ชื่ออะไรนะ”
“ดีตา คุณากร ที่จริงแกลเลอรี่นี่ไม่ใช่งานของเขาคนเดียว มีเพื่อนอีกสอง
คนร่วมด้วย”
“ต๊าย! คนวาดหน้าตาหล่ออย่างนี้ ถ้าฉันมีเงินฉัน'จะ'ซื้อไอ้รูปที่ดูไม่รู้เรื่องนี่
เอาไปดีดโชว์เล่นโก้ ๆ “
คนหนึ่งกล่าวอย่างสตรีสาวคะนองปาก แล้วก็หัวเราะคิกๆ เขาเดินผ่าน
มาพอดี ไม่ได้มองพัด แต่มองเลยไปลังสาวน้อยผู้ ‘ซึ้ง’ ในภาพของเขา และ
ขณะนั้นก็ลังเอียงคอมองภาพของเขาอยู่...ก็น่าจะมองเลยไปลังหล่อนดอก เพราะ
หล่อนสวยสะดุดตาสะดุดใจที่สุดในที่นั้น
ถึงเขาจะไม่มองดูพัด แต่เขาก็บังเอิญมาหยุดยืนใกล้ๆพัด กิ่งแล้วกระตุก
มือพัดเบา ๆ เพราะดูเหมือนหล่อนจะรู้ไจพัดอยู่เหมือนกัน
อะไรอย่างหนึ่งทำไห,พัดถามออกไปว่า
“นั่นรูปอะไรคะ ดูไม่เห็นรู้เรื่อง?”
เขาเหลือบตามองดูพัด หล่อนคิดว่าเขาคงจะหัวเราะเยาะหรือทำหน้าตา
ดูแคลนหล่อน จึงเตรียมพร้อมที่จะหมดศรัทธาในตัวเขา แต่เขามีได้แสดงสิ่งใด
ดังที่พัดคิดเอาไว้ เขามองหล่อนแล้วก็ยิ้ม แววตาสมเพชเหมือนมองดูเด็กที่ยัง
เข้าใจภาษาของผู้ใหญ่ไม่พอ
“รูปนี้หมายถึงการแหวกว่ายอยู่ในทะเลชีวิต ซึ่งมีทั้งทุกข์ สุข โศกเศร้า
สนุกร่าเริง สีดำสนิทนั่นคือความตาย สีแดงคือตัณหาราคะ สีต่างๆที่ดัดกัน
ฉูดฉาดย่อมมีความหมายอยู่ในตัวของมันเอง”
เขาตอบพัด แต่ดวงตาชำเลืองดูหญิงสาวในชุดูกรมท่า ปกสลับสีแดงเข้า
ชุดกับเข็มขัดหลวม ๆ เหนือตะโพก หล่อนก็มองสบตาเขา ยิ้มน้อย ๆ และกล่าว
ขึ้นว่า
“ถ้างั้นดิฉันก็พอจะดูรู้เรื่องเหมือนกัน ดิฉันเดากับเพื่อนเมื่อครู่นี้เองว่า มัน
หมายถึงมนุษย์กับอะไรสักอย่างหนึ่งที่เราไม่เข้าใจ
เท่านั้นเองเขาก็ลืมพัดเสียสนิท ก็น่าจะลืมดอก กับแค่สาวน้อยสวมเสื้อ
ชุดนักเรียนดัดผมดัดเสื้อสีเขียวอ่อน ผ้าราคาถูก ๆ หน้าตาท่าทางก็ดังไม่ทิ้งความ
‘บ้านนอก’...
พัดเดินเคร่งขรึมออกนาล่าดันกลเลอรี่ หล่อนไม่อยากเห็นคีตาในกลุ่มของ
สตรีสาวสวยหยดย้อยเหล่านั้น /มันทำให้หล่อนสะท้อนใจตามวิสัยของเด็กรุ่น ซึ่ง
มักจะฝันเฟื่องเกินสภาพความเป็นอยู่ของตนเอง
กิ่งแล้วลงจากรถเมล์ก่อน เพราะบ้านของหล่อนอยู่ในซอยแถวพระโขนง
กิ่งแล้วหันมามองดูพัดท่อนจะลงจากรถ กล่าวแกมหัวเราะว่า
“เต่าเตี้ยแล้วอย่าต่อให้ตีนสูงเลย ไล้พัดเอ๊ย ล้มหน้าคลานกระดิบๆอยู่
กับดินต่อไปดีกว่า
พักตื่นขึ้นจากอารมณ์หมกมุ่นในทันที และหัวเราะออกมาได้ โบกมือกับ
กิ่งแล้วขณะที่กิ่งแล้วก้าวลงจากรถ
อีกครู่เดียวก็ถึงหน้าเคหาสน์ใหญ่ รถหยุดเลยไปเล็กน้อย เมื่อพัดเดิน
ย้อนกลับมา หล่อนเหลือบเห็นรถยนต์หลายดันจอดอยู่หน้าตึก พัดเดินเข้าซอย
ข้างเคหาสน์เพื่อเข้าทางประตูหลัง พอโผล่เข้าประตูติดกับเรือนครัว บุรุษในวัย
ชราผู้หนึ่งซึ่งนั่งคอยหล่อนอยู่ที่บันไดเรือนก็ลุกขึ้นร้องทักว่า
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)