เรือนนางรำ (นุสมล)

เรือนนางรำ (นุสมล)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742532932
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 220.00 บาท 55.00 บาท
ประหยัด: 165.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เรือมาดลำนั้นลัดเลาะจากแม่น้ำสายหลักเบนสู่ลำคลองสายเล็ก สอง

ฟากฝั่งร่มรื่นด้วยพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด พาทเป็นยามกลางวันไม้ใหญ่เหล่านี้

ช่วยบดบังแสงแดดแผดจ้าแก่ผู้สัญจรทางน้ำได้เป็นอย่างตี ทว่าตกยามราตรี

แล้ว เงาไม้ครึ้มที่เอนไหวไปมาตามกระแสลม ชวนให้คนขวัญอ่อนรู้สึก

สะทกสะท้านได้ไม่ยาก กอปรลับเสียงลำไผ่เสียดลี:ลันเอี๊ยดอ๊าดด้วยแล้ว

ทำให้ผู้คนขวัญกระเจิงมานักต่อนัก ด้วยเสียงนั้นฟังราวลับเสียงร่ำไห้คร่ำ

ครวญชองสตรีที่โหยหาอาวรณ์ถึงชายผู้เป็นที่รักยิ่ง

ทว่าเจ้าสองคนต่างถิ่นหาได้สำเหนียกไม่ ยังคงร่วมมือกันพายหัวคัดท้ายเรือ

มุ่งตรงไปยังโค้งน้ำเบื้องหน้าโดยสอดส่ายสายตามองหาบ้านเรือนที่ว่างเปลี่ยว

ผู้คน เพื่อประกอบการมิจฉาชีพคันเป็นวิสัย และเมื่อพ้นโค้งน้ำ เจ้าสองคนผู้มา

กับยามวิกาลก็เล็งเห็นสิ่งที่หมายตา

จากตะเกียงดวงเล็กที่หัวเรือ สาดส่องให้เห็นศาลาท่าน้ำหลังย่อม เมื่อ

ชายฉกรรจ์ทั้งสองวาดหัวเรือเข้าเทียบท่า พวกเขาจึงสังเกตเห็นร่างของใครคน

หนึ่งนั่งนิ่งดุจรูปปั้นลมหายใจ เป็นหญิงสาวร่างบางอ้อนแอ้นที่อยู่เพียงลำพัง

ยังศาลานั้น ทั้งสองเห็นเพียงเรือนผมยาวสลวยที่แผ่เต็มหลังจรดบั้นเอว

ไม่มีท่าทีว่าเธอจะใส่ใจการมาเยือนโดยพลการของชายแปลกหน้าทั้งคู่ ลาด

ไหล่บางยังคงตั้งตรงไม่หวนไหว ชายตั้งสองจึงย่ามใจ ก้าวชิ้นไปยังศาลาท่าน้ำนั้น

รอยยิ้มกระหยิ่มแฝงในสีหน้า เจ้าคนที่ตั้งตัวเป็นลูกพี่ส่งเสียงกระแอมเบา ๆ เป็นเชิง

ทักทาย ก่อนเอ่ยคำพูดเกี้ยวพาราสี

“ดึกดื่นป่านนี้แก้ว ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวล่ะน้องสาว”

เจ้าสองคนเหลียวมองหน้าก้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนึ่งเงียบ ไม่ไหวติง

“หรือจะเป็นใบวะ”

เจ้าคนที่ยอมตนเป็นลูกน้องลงความเห็นเสียงไม่ดังนัก

“เป็นใบ้ แจ้วไง ลองว่าสวย ใครจะไปสนวะ”

“พี่รูได้ยังไงว่าสวย ดังไม่เห็นหน้าสักกะหน่อย เห็นแต่หลังแค่นั้น”

เจ้าลูกน้องลดเสียงเป็นกระซิบกระซาบทักบ้าง

“เอ็งไม่มีตาเรอะ ออกจะอ้อนแอ้นเอวกลมซะขนาดนั้น ไม่สวยก็ให้มันรู้

ไป

“ลูกพี่จะเอาดังไง”

“ตามเคย”

เป็นคำตอบที่รู้กัน ดัวยไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายทั้งสองประสงค์ต่อทรัพย์สินและ

ดังทำร้ายเจ้าทรัพย์อย่างรุนแรง หากเป็นชาย\เจ้าสองคนก็จะกลุ้มรุมทุบตีชกต่อย

ถึงขั้นสลบเหมือด แต่จ้าเป็นหญิงก็จะถูกกระทำย่ำยีอย่างหยาบช้าต่ำทราม

เจ้าคนเป็นลูกพี่เอื้อมมือไปหมายแตะต้องตัว พลันก็ต้องสะดังโหยง ชักมือ

กลับแทบไม่ทัน เมื่อได้ยินเสียงตวาดเกรี้ยว

“กลับไปเสีย”

เจ้าลูกน้องขวัญบิน ไม่เคยได้ยินเสยงดุกราดขึ้งเคียดเด็ดขาดปานนั้นมา

ก่อน จึงสะกิดหลังลูกพี่อย่างหวาด>

“กลับเฮอะ”

“ไอ้ปอด  แค่ผู้หญิงดุจะกลัวทำไมวะ ไม่เคยได้ยินเรอะที่เขาว่าผู้หญิงด่าคือ

ผู้หญิงรัก ผู้หญิงให้จวักก็คือผู้หญิงกวักมือ”

เจ้าลูกน้องส่ายหน้า เกิดใจคอไม่ตีบอกไม่ถูก เหมือนสายลมเย็นของยาม

วิกาลจะนำพาความหนาวเยือกมาด้วย “แต่ว่าผู้หญิงคนนี้...”

“จ้าเอ็งกลัวก็ไปคอยที่เรือ คืน'นี้ข้า'เม,กลับมือเปล่าใบ้เสียเที่ยวแน่”

เจ้าลูกน้องทันรีหันขวาง กลัวๆกจ้าๆ บอกไม่ถูกว่ากลัวอะไร ไอ้จะกล้า

เหมือนลูกพี่ก็ไม่ใช่ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ขยับถอยหลังไปพลาง จับตามองลูกพี่เกี้ยว

สาวไปพลาง

            “พี่เพิ่งมาถึง อย่าไล่พี่กลับเลยนะ หันหน้ามาคุยกันดีๆไม่ได้รึจ๊ะ”

“เมื่อไล่แล้วไม่กลับ ก็อยู่ด้วยกันเสียที่นี่”

กังวานเสียงแข็งกร้าว ทว่าคนฟังกลับดีความหมายเป็นคำเชิญ1ชวนที่แสน

เสนาะ

“เอ็งเต็มใจหรือไม่”

“เต็มใจจ้ะ พี่เต็มใจที่จะอยู่กับน้องสาวทั้งวันทั้งคืน”

เป็นคำตอบที่ออกจากปากโดยไม่หยุดคิดไตร่ตรองเองแม้ลักน้อย เมื่อความ

กระลันรัญจวนใจเข้าครอบงำ ก็ยากที่ผู้ชายจะคิดหน้าคิดหลง''''

“หันหน้ามาให้พี่เห็นหน้าชื่นใจหน่อยสิจ๊ะ

คำร้องขอได้รับการตอบสนอง ทันทีที่แสงจากตะเกียงที่หัวเรือล่องกระทบ

ใบหน้าของหญิงสาว เจ้าคน'ร้ายที่แฝงตัวเป็นชายเจ้าชู้ก็ถึงกับเบิกตากร้าง อ้าปาก

ค้าง อยากจะร้องตะโกน ทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาได้ ด้วยตื่นตะลึงสุดขีด

เหตุเพราะดวงหน้าของเธอนั้นถูกของมีคมกรีดเฉือน รอยแผลปริแตกออกจากกัน

เลือดสีคลาทะลักทลายต่อหน้าต่อตา เจ้าคนร้ายไหวตัวเมื่อสายเกินการ เรือนผม

ดกคำยาวหนาพุ่งปราดเข้ารัดรอบคอแน่นเข้า แน่นเข้า เจ้าตัวดิ้นรนสุดชีวิต

ตระหนักถึงความตายที่เข้าใกล้ทุกที ซึ่งท้ายสุดเขาก็สัมผัสกับสิ่งนี่นี่

เจ้าลูกน้องที่ลงไปคอยท่าอยู่ในเรือได้ยินเสียงลูกพี่ร้องอึกอักอยู่แว่ว ๆ เหลียว

ไปดูก็เห็นภาพสยดสยองติดตา เจ้าตัวล่งเสียงร้องไม่เป็นภาษา คว้าไม้พายได้ก็

จํ้าอ้าวออกจากศาลาท่าน้ำนั้นอย่างไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องตะโกนไปทั่วคุ้งน้ำว่า

                ผีหลอก...ผีหลอก

                ทับทิม

สาวน้อยวัยสิบหกผินหน้าจากสายน้ำปลายคลอง เห็นเพื่อนรุ่นราวคราว

เดียวกันเดินแกมวิ่งตรงเข้ามาหา

“นึกอยู่แล้ว ด้องเจอทับทิมที่นี่ ชอบมานั่งเล่นริมน้ำเสียจริง”

ชงโคทิ้งตัวลงนั่งข้างๆตามสบาย ไม่ระมัดระวังกิริยา ตรงกันข้ามกับ

เพื่อนสาวที่ไม่ว่าจะนั่งหรือเดินจะสำรวมวาจาท่าทางเป็นนิตย์ แผ่นหลัง ลาดไหล่

ต้องตั้งตรง อกตูมราวดอกบัวงามต้องเชิดขึ้น มิใช่หย่อนคล้อยไปตามหลังไหล่

ที่นงห่อตัว

“คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่”

ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับน้อยๆ ดวงตากลมโตดำขลับฉายประกายเศร้า ยาม

หวนรำลึกถึงแม่ผู้จากไป แม่...ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สาวเหนือที่หอบ ผ้าหอบผ่อนตาม

พ่อมาใช่ชีวิตอด ๆ อยาก ๆ อยู่ด้วยกันถึงลุ่มนํ้าใหญ่ภาคกลาง

ทับทิมกังไม่ถึงสิบขวบ เมื่อแม่ล้มเจ็บ หยูกยาที่พอจะหาได้ก็เป็นเพียง

ยาหม้อที่ต้มแล้วต้มอีกจนกลายเป็นยาจืดที่ไม่หลงเหลือสรรพคุณใดๆในการ

เยียวยารักษาโรคของแม่ ท้ายสุดชีวิตของแม่ก็เหมือนใบไม้โรย ร่วงจากกิ่งปลิด

ปลิวจากไปอย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงร่ำไห้อาลัยของทับทิมเท่านั้นที่คร่ำครวญขึ้น

ท่ามกลางความมิดสนิท

ความตายของแม่ทำให้พ่อซึ่งกินเหล้าเป็นนิจศีลอยู่แล้ว กินเพิ่มอีกเป็นเท่า

ตัว เงินที่พอจะหาได้จากการรับจ้างทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ จำพวกดายหญ้า ก็แทบ

ไม่เหลือพอซื้อขาวสารกรอกหม้อ งานใดที่เป็นหลัก เขาก็ไม่รับพ่อเพราะพ่อเป็น

ขี้เหล้าขี้ยา เนื้อตัวมิแต่กลิ่นส่าเหล้าคลุ้ง ไปไหนมาไหนผู้คนก็รังเกียจ พากัน

เดินห่างจากพ่อเป็นวา

ทับทิมเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอยู่แล้ว จึงผอมบางยิ่งขึ้น แทบไม่มิใคร

สังเกตเห็นว่าเธอเป็นเด็กหญิงที่มิเคาหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง ยกเร้นแม่ครูบัวขาบ

ภรรยานายประดู่เจ้าของคณะละครชาตรีที่มาเปีดการแสดงอยู่ทัายตลาดย่านนื้น

ทับทิมไม่รู้ว่าแม่ครูวัยกลางคนมาพูดจาอะไรกับพ่อ ต่อเมื่อวันรุ่งขึ้นจึงพอ

จะรู้เป็นเลา ๆ พ่อบอกให้ทับทิมห่อเสื้อผ้าที่มิอยู่ถือติดมือตามพ่อ'ไป ทับทิมจึงเอ่ย

ถาม

“พ่อจะพาฉันไปไหนจ๊ะ”

“ไปอยู่กับแม่ครูบัวขาบ ที่นั่นเอ็งจะได้อยู่ดีกินติ ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อเหมือน

ที่อยู่กับขา”

ได้ยินแค่นั้น ทับทิมก็น้ำตาร่วง พ่อ...สายสัมพันธ์เดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต

กลับจะตัดขาดจากทับทิมเสียแล้ว

 “แต่ฉันจะอยู่กับพ่อ ฉันจะกินให้น้อยลงไปอีก ฉันจะไปช่วยพ่อถางหญ้า

จ๊ะ

ทับทิมพูดไปก็ร้องไห้ไป

“เอ็งจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปช่วยข้า ผอมหัวโตจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

แล้วนั่น เอ็งไปอยู่กับแม่ครูเถอะ เขาสงสอนอะไรก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น ทำตัวให้

ว่านอนสอนง่าย เขาจะได้รักได้เมตตา”

เป็นคำสอนครั้งเดียวของพ่อที่ทับทิมจดจำไปชั่วชีวิต ทับทิมไม่ใช่เด็กฟูมฟาย

ท้ายสุดก็จำต้องเดินตามพ่อต้อย ๆไปกังหลัง,โรงละคร,ของพ่อประดู่กับแม่ครูบัวขาบ

พ่อล่งทับทิมไหถึงตัวแม่ครู บอกกับทับทิมสั้น ๆ ว่า

“กราบแม่ครูกับพ่อประดู่เสียสิ พ่อยกเอ็งโห้เขาแล้ว

 “ยกให้?”

ทับทิมทำหน้าเหลอ ทวนคำงง ๆ คนเป็นพ่อยกลูกให้คนอื่นง่ายดายอย่างนี้

หรือ น้ำตาใส ๆไม่รู้มาจากไหนร่วงเผาะไม่ขาดสาย

“เออ...จากนี้ไปชีวิตของเอ็งก็ขึ้นอยู่กับแม่ครูและพ่อประดู่ เอ็งต้องเชื่อฟัง

เขาโห"เหมือนกับเป็นพ่อแม,คนฟรี่งรู้'''

ทับทิมเห็นพ่อมือไม่ยามหุ้เอส่มฒรับถุงเงินจากแม่ครูบัวขาบ ได้ยินเสียง

แม่ครูกำชับพ่อว่า

“อย่าเอาเงินไปกินเหล้าเสียหมดล่ะ ตาคล้อย”

ทับทิมร้องไห้หนักขึ้น สะอื้นฮักจนตัวโยน พ่อไม่ได้ยกทับทิมให้แม่ครูบัวขาบ

แต่พ่อขายทับทิมให้พวกเขาราวกันลูกเป็นสิ่งของที่ขึ้นขายแลกเปลี่ยนมือกันได้

ทับทิมไม่โกรธไม่เกลียดพ่อ ถึงอย่างไรพ่อก็เป็นพ่อ ทับทิมแค่เสียอกเสียใจตาม

ประสาเด็กน้อยที่ต้องจากพ่อผู้ไห้กำเนิด ทั้งที่แม่ก็เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน

“ข้าฝากนังทับทิมมันด้วย พ่อประดู่ แม่ครู นึกเสียว่ามันเป็นลูกเป็น

หลาน จะดุด่าว่ากล่าวบังไงก็สุดแห้แต่พ่อประดู่ แม่ครูเถอะ ข้ายกให้เป็นสิทธิ์ขาด

แล้ว”

พ่อเหลียวมองทับทิมชั่วกะพริบตาก็หันหลังกลับ ทับทิมเห็นหยาดน้ำใส ๆ

เอ่อคลอนัยน์ตาของพ่อวาบหนึ่งก่อนจางหายไป

“พ่อจ๋า...”

ทับทิมวิ่งตาม โผถลาเข้ากอดขาพ่อไว้แน่น แต่พ่อก็แกะมือของทับทิมออก

พามาส่งให้กับแม่ครูบัวขาบอีกครั้ง พร้อมสำทับเสียงแข็ง

“อย่าตามข้ามา อยู่กับแม่ครู เอ็งจะมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่ต้องไปตกระกำ

สำบากกับข้า หากเอ็งไม่ฟังคำข้า ข้าจะถือว่าเอ็งไม่ใช่ลูก/

ทับทิมร้องไห้ น้ำตาน้ำมูกไหลเลอะเทอะเปรอะหน้าไปหมด วงแขนของ

แม่ครูโอบไหล่บาง ๆ ของทับทิมไว้พลางทอดเสียงปลอบโยน

“ร้องไห้จนตาบวมไปหมด นางเอกของแม่ครูต้องไม่ขี้แย เก็บน้ำตาเอาไว้

เผื่อจะร้องไห้วันข้างหน้าบ้าง เพราะความสุข ความทุกข์ยังรอเอ็งอีกมากนัก ทับทิม

เอ๊ย”

วันนั้นทับทิมบังไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจพูดของแม่ครู จนกระทั่งเวลา

ผ่านไปอีกหลายปี ทับทิมจึงตระหนักในน้ำคำของแม่ครูที่เตือนให้สังวรไว้

ทับทิมเข้ากันได้กับชงโคตั้งแต่'วัน,นั้น ด้วยอยู่ในวัยเดียวกัน จะแก่อ่อนกว่า

กันก็ไม่กี่เดือน มิหนำซ้ำฝ่ายนั้นยังหน้าเป็น ชวนพูดคุยให้ทับทิมลืมความโศกเศร้า

ไปได้บ้าง

เพียงมาวันแรกทับทิมก็แทบจะหายเหงา เมื่อชงโคเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้

ทับทิมฟังไม่หยุดปาก ยิ่งแม่ครูบอกให้ชงโคคอยเป็นเพื่อนทับทิม เจ้าหล่อนก็เกาะ

ติดทำเสมือนเป็นพี่เลี้ยงกลายๆของทับทิมไปเลย ทับทิมค่อยยิ้มออก อย่างน้อย

เธอก็มีชงโคเป็นเพื่อนที่พอจะพูดคุยกันได้

ชงโคเล่าล่าว่าตัวเองเป็นญาติห่าง ๆ ของแม่ครูบัวขาบ พ่อกับแม่ล่งตัวมาให้อยู่

กับแม่ครู เพื่อโตขึ้นจะได้เป็นนางรำอยู่ในคณะละครชาตรี ไม่ต้องทำงานตราก

ตรำหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอยู่ในไร่ในนาเหมือนพ่อกับแม่ ชงโคบังบอกอีกว่าวันที่พ่อ

แม่มาล่งถึงบ้านแม่ครู ตัวเองไม่ร้องไห้สักแอะเดียว เพราะดู ๆ แล้วว่าทำงานอยู่กับ

คณะละครคงจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงเหมือนอยู่กับท้องไร่ท้องนา

แต่ทับทิมกลับคิดว่า ถ้าได้อยู่กันพ่อแม่ ต่อให้ต้อง{โกกล้าดำนากลางแจ้ง

ทั้งวัน ทับทิมก็คงจะเลือกอย่างนั้น จากนี้ไปทับทิมจะมีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของ

ตัวเองหรือไม่ก็บังสงสัยอยู่ เมื่อพ่อยกทับทิมให้เป็นสิทธิ์ขาดของแม่ครูบัวขาบกับ

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024