มาลัยที่ปลายทาง (นายา)
ประหยัด: 232.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
โยคที่เขาได้ฟังมิรู้กี่หนกี่ครั้ง และทุกครั้งก็ทำให้คนฟังรู้สึกสะทกสะท้าน
“รอไปก่อนเถิดค่ะ นันต์ยังไม่อยากแต่งงาน อยาก'ไข้ชีวิตอย่างสนุกสนาน
อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ”
“เรื่อยๆ?” ปุณยาทำเสียงย้อนถาม...อย่างที่เขาเคยถาม...แม้จะรู้คำตอบดี
แสนดี หากแต่จิตไต่สานึกหรือแม้แต่จิตสำนึกซึ่งอยู่ตื้นกว่ายังมิยอมรับรู้ “เรื่อย ๆ
หมายความว่านานแค่ไหน”
“บอกไม่ถูกหรอกค่ะ” อนันต์สวาทตอบด้วยถ้อยคำที่เขาฟังจนเจนหู “นาน
เท่าที่นันต์ยังรูสกสนุกกับความโสดอยู่นั่นน่ะชีคะ”
“นันต์อยู่กับผมไม่สนุกหรือ...นันต์บอกว่ารักผม และผมก็รักนันต์มากมาย
อย่างนี้” เขากอดร่างหล่อนเข้ามาแนบแน่น ริมผี!ปากเบียดบดลงบนริมฝีปากที่นุ่ม
เหมือนกลีบบุหงารำไป หญิงสาวปล่อยเรือนกายให้อ่อนโอนไปตามพลังเร่งเร้าของ
คนรัก อารมณ์สนิทเสน่หาที่พลุโพลงตื้นมาทำให้หล่อนสอดแขนรัดรอบแผ่นหลัง
ของเขา เบียดตนเองเข้าไปจนเนื้อแนบเนื้อ เป็นการสนองและเสนอที่บอกปุณยา
ทุกครั้งว่าอนันต์สวาทรักเขาไม่น้อยไปกว่าที่เขารักหล่อน
ณ ที่รโหฐานด้งเช่นในห้องคอนโดฯของชายหนุ่มบนตื้นลีบเถ้าของอาคาร
มองออกไปแลเห็นแต่เมฆลีขาวประปรายทั่วแผ่นฟ้าลีครามกับยอดตึกระฟ้าหลาย
หลังไกลลีบ ทั้งสองมิอิสระเสรีที่จะปล่อยใจกายให้โลดเต้นไปตามจังหวะที่ความรู้สึก
พาไป...โดยไม่มีขอบเขตจำกัด
ครู่ใหญ่ต่อมา เมื่อร่างของอนันต์สวาทนอนเกยอยู่บนสำกายเหยียดยาวของ ชายหนุ่มบนโซฟา ศีรษะซบอยู่บนแผ่นอกอันเต็มไปด้วยมัดกล้าม มือเขาลูบไล้
เส้นผมดำลื่นเป็นเงาเพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากห้องเสริมสวย ปุณยาเอ่ยขึ้น อีกว่า
“นันต์เป็นของผม และผมก็เป็นของนันต์ ขาดอยู่ก็แต่การป่าวประกาศให้
โลกรู้ กับแผ่นกระดาษพร้อมด้วยลายเซ็นของเราตามกฎหมาย แต่งงานแล้วเรา
ก็จะกังเป็นอย่างนี้ ผมไม่เคยเรียกร้องไม่ให้นันต์มีอิสระที่จะไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง...ไป
เต้นรำ...'ไปผับอย่างที่นันต์ชอบ ผมถึงกับสัญญาแล้วว่าจะไม่เร่งเร้าให้นันต์มีลูก จะ
ควบคุมอย่างที่เราควบคุมกันอยู่ทุกวันนี้ เพียงแต่ผมอดเป็นคนเชยอย่างที่นันต์เคย
ว่าผมไม่ได้” หัวเราะเบาๆ “คือเมื่อเราเป็นของกันและกันทั้งใจและกายแล้ว ผม
ก็อยากให้เราจัดการให้ถูกด้องตามกฎหมาย”
ขณะพูด ปุณยาก็อดรู้สึกแปลก ๆ มีได้...น่าแปลกที่เขาซึ่งเป็นชายกำลัง
เร่งเร้าวิงวอนให้หญิงที่พลีร่างให้เขาแล้ว...เข้าพิธีสมรสกับเขาอย่างถูกต้อง มิได้
กระหยิ่มอิ่มเอมเลยสักนิดว่า หล่อนเป็นของเขาแล้ว หล่อนจะด้องเป็นของเขาวัน
ยังค่ำ! ดังที่เขาเคยได้ยินจากเพื่อนฝูงและผู้คนส่วนมาก เขาเก็บเอาความหัวเก่ามา
จากไหนในเมื่อพ่อเขาเองเป็นคนเจ้า แต่งงานกับแม่เขาไม่ถึงห้าปีก็แอบไปมีเมีย
ใหม่...ลูกใหม่...จนแม่ด้องขอหย่าขาด ตัดขาดไม่ให้มาเยี่ยมกราย และพ่อก็ ‘ใจ
เด็ด’ หรือ ‘ใจดำ’ ไม่มา แล้วแต่ว่าใครจะเป็นคนพูด ปุณยาเติบโตขึ้นมาด้วย
ความคุ้นเคยกับสองดำนี้...รู้ว่ามันมีความหมายใกล้เคียงกันเหลือเกิน...กระทั้งแยก
ไม่ออก
น่าแปลกที่ว่าเขาเป็นคนหัวเก่า โดยที่แม่เขาไม่ใช่ผู้หญิงหัวเก่าเลยสักนิด
แม่เลี้ยงเขามาอย่างเกือบจะเรียกได้ว่า ‘หัวเดียวกระเทียมลีบ’ เป็นผู้หญิง ‘อีสระ’
ที่ไม่ยอมย้ายไปอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ แบ้จะตกที่นั่ง ‘แม่ม่าย’ ...ตอนคุณตา
คุณยายของปุณยากังมีชีวิต ท่านมักจะส่ายศีรษะอย่างเอือมระอาเวลาท่านมาเยี่ยม
และพูดถึงความหัวแข็งของแม่กับความ ‘นอกจารีตประเพณี’ ซึ่งปุณยาตอนเด็ก ๆ
ไม่เคยเข้าใจว่าแม่ไปทำอะไรหนักหนาถึงได้ถูกคุณตาคุณยายกล่าวหาเช่นนั้น
หากทว่ามีบางภาพของแม่ที่รบกวนใจเขา...จำได้ว่าตอนเขาอายุหกเจ็ดขวบ
ดูเหมือนแม่จะมีรักใหม่...ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาคม พูดเสียงดังกังวาน มี
อำนาจ...แม่บอกเขาว่า ‘คุณลุงเบญญา’ อยู่ต่างประเทศ ปุณยามาคิดได้ในภาย
๙
หลังว่า เขาจำการมาของคุณลุงเบญตอนนั้นได้เด่นชัด ราวกับมีปากกาจุ่มหมึก
สีน้ำเงินสดกรีดลงบนเล้นสมอง เพราะภาพความเปลี่ยนแปลงของแม่ที่เขาได้เห็น
ภาพแม่ร้องให้น้ำตาคลอตาตอนแม่พาเขาไปเยี่ยมคุณลุงเบญที่โฮเต็ลแล้ว
คุณลุงก้มลงอุ้มเขาขึ้นมารัดไร้แน่น น้ำตาคุณลุงคลอตาเช่นเดียวกับแม่ แต่แล้ว
ทั้งสองคนก็หัวเราะทั้งน้ำตา ปุณยาจึงรู้ได้ในขณะนั้นว่า การร้องไห้ของแม่และของ
คุณลุงไม่ใช่เพราะความปวดเจ็บ
ภาพแม่หัวเราะร่าเริงตลอดเวลาในรถที่คุณลุงขับพาเขากับแม่ไปเที่ยว
ชายหาด...แม่นงอยู่เบาะหน้าข้างๆคุณลุง ปุณยานั่งรัดเข็มชัดอยู่เบาะหลัง มือ
คุณลุงเอื้อมมากุมมือแม่ไร้เกือบตลอดทางที่ขับรถ กระทั้งปุณยา เด็กชายน้อยๆ
กลัวว่าคุณลุงจะขับรถพลาดไปชนรถคันอื่นเข้า
ภาพแม่แจ่มใสเบิกบานร้องเพลงหงิง ๆ ตอนหาอาหารเข้าให้เขารับประทาน
และพาเขาไปส่งโรงเรียน...กระวีกระวาดมารับเขากลับบ้านสายไปทุกครั้งตอน
โรงเรียนเลิก...ช่วยเขาอาบน้ำทำการบ้านและจัดให้รับประทานอาหาร ส่งเขาเข้า
ต่อจากนั้นมาเกือบทุก ๆ สองปี คุณลุงเบญก็จะโผล่มาเยี่ยมจากต่างประเทศ
ปุณยาเองเติบใหญ่ขึ้นหันพอจะชักไข้ จึงได้คำตอบจากแม่ว่า คุณลุงอยู่สหรัฐ-
อเมริกา และ ‘เป็นเพื่อนเก่าของแม่น่ะลูก’
หากแต่ปุณยามีเชาวน์ไวทั้งแต่ยังไม่ย่างเข้าวัยรุ่นว่าคุณลุงเบญเป็นสำหรับแม่ ลึกลํ้าดํ่าดื่มยิ่งกว่าเพื่อนเก่า
การลักลอบของแม่ไห,พนหูพ้นตาคนรับใช้และเพื่อนบ้าน ตลอดจนเพื่อนฝูง
ญาติพี่น้องจึงมีได้รอดพ้นการสังเกตของลูกชายคนเดียว
หากเขาก็อดทนเรื่อยมาโดยมีได้ปริปากซักถามความตื้นลึกหนาบางกระทั้ง
๑๐
คุณตาคุณยายล่วงลับไปเนิ่นนาน ตัวเขาย่างเข้าวัยยี่สิบหก สำเร็จปริญญาโททาง
นิเทศศาสตร์มาใหม่ๆจากมหาวิทยาลัยประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยเงินทุนลึกลันซึ่ง
เขาเองยังไม่รู้ว่า แม่ซึ่งเป็นเพียงข้าราชการชั้นโทธรรมดาสามัญได้มาจากไหน เข้า
ทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์กับบริษัทญี่ป่นที่คุณลุงนิทัศน์ญาติห่าง ๆ ของแม่คน
หนึ่งเป็นคนวิ่งเต้นหาให้ กำลังคิดจะหาโอกาสเหมาะ ๆ เวลาอยู่เพียงสำพังกับแม่ตั้ง
ข้อวิจารณ์วิจัยเรื่องคุณลุงเบญ แม่ก็มาบอก'ว่า แม่ป่วยด้วยโรคมะเร็งในมดลูก
อาการแม่ทรุดลงเป็นสำตับ ด้วยโรคร้ายลุกลามไปถึงสำไส้และตับ...ตลอด
เวลาที่แม่ป่วยและถึงแก,กรรมในช่วงเวลาไม่ถึงปี ไม่มีเงาร่างของคุณลุงเบญมา
ปรากฏ แม่ป้านวลจะบอกเขาว่ามีโทรศัพท์ทางไกลจากอเมริกามาถึงแม่แทบจะทุก
เข้าเวลาที่เขาอยู่ที่ที่ทำงาน
ปุณยาอดแค้นใจแทนแม่มีได้...ลุงก็ลุงเถิดวะ...เจ็บใจจริง ๆที่แม่ให้เรียกคน
อย่างมึงว่าลุง...เมียลันมึงเจ็บใกล้จะตายตั้งคนมึงเจียดเงินเจียดเวลามาเยี่ยมไม่ได้
...ความคงแค้น1ของเขาที่มีต่อ ‘นายเบญ’ ดูจะทวีชั้นยามต้องทนเฝ้ามองความ
ทรมานของแม่หลังจาก ‘เข้าคีโม’ มาแต่ละครั้ง...เฝ้ามองดวงหน้าและแววตา
เศร้าสร้อยที่บ่อยครั้งมีต่ำตาหล่อรื้น...นาตาที่บอกปุณยาว่า แม่ของเขากำลังคิดถึง
ใครคนหนึ่งที่อยู่แดนไกล
เป็นเช่นนี้จนวันหนึ่งแม่ ‘เข้าโคม่า’ และสิ้นใจ โดยที่เขาไม่มีโอกาสพูด
เรื่องลุงเบญ...เฝ้าแต่เก็บกดความขมขื่นแทนแม่อยู่เงียบๆ
ใช่...เขาไม่ได้เก็บเอาความหัวเก่ามาจากตั้งพ่อและแม่...ปุณยานึก...สองมือ
ค่อยๆดึงร่างของอนันต์สวาทให้เลื่อนชั้นมาอีกนิด จนริมปีปากของหล่อนขึ้นมา
แนบอยู่บนคางของเขา...ตาสบตา
“อาจเป็นเพราะผมไม่อยากเริ่มตันชีวิตของเราด้วยการปกปิด...การมีเพศ-
สัมพันธ์โดยที่เราลังไม่เป็นสามีภรรยากันอย่างเปิดเผย...ถึงลังไง ๆ ผมก็รู้สึกเหมือน
เป็นการแอบซ่อน”
อาจเป็นเพราะเขาไม่ต้องการเป็นผู้ชายอย่างพ่อสิทธัยของเขา...หรืออย่าง
นายเบญ...ผู้ชายสองคนของแม่...ก็เป็นไค้
อาจเป็นผลลัพธ์จากการเก็บกด...ด้วยเรื่องราวในชีวิตของแม่
ช่างเหมือนกับเวลาเราดึงหนังสติ๊ก ยิ่งเราดึงมันจนเขม็งดึงใกล้ตัวเรามาก
เท่าไหร่ วัตถุที่ปลายยางก็จะกระเด้งไปไกลในทิศตรงข้ามได้มากเท่านั้น
หญิงคนรักของเขาหัวเราะกิ๊กขึ้นมาทันที
“ต๊าย ตาย...เชย...เช้ย...เชย...ที่พี่ปุณพูดน่ะ พี่ปุณแก่กว่านันต์แค่ห้าปี
ทำมั้ย...ทำไมถึงโบราณ...โบราณ คนสมัยนี้เค้าอยู่ด้วยกันโดยมีไม่แต่งงานมีถมไป หมายความว่าเค้าได้กันเป็นพัน ๆ ครั้งไปแล้วโดยไม่ต้องแอบช่อน”
ปุณยาขยับกายโดยอัดโนมืด บางครั้งการใช้คำพูดของอนันต์สวาท ‘เปรี้ยว’
เกินกว่าโสตสำนึกของเขาจะรันไค้..แต่มันก็กลายเป็นเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของ
หล่อน
“อาจ เป็นเพราะผมรักนันต์มากเกินไปด้วยละมัง ...ถึงไดไม่อยากใหันันต์เป็น เหมือนคนอื่นที่นันต์ว่า ถ้านันต์จะคิดว่าผมเชยหรือโบราณก็ยอมรับ” เขาหัวเราะ
โอบศีรษะหล่อนเข้ามาจุมพิต
อนันต์สวาทซบหน้าลงตรงไออุ่นของชอกคอคนรัก มิได้พูดอะไรอีก ความ
เงียบคือการยอมจำนน หากแต่ในกรณีของหล่อน ความเงียบคือการยึดมนอยู่กับ
ความคิดเดิม...ความเงียบคือหลักชัย! ในสภาวะแท่งความสุขสันติที่ปุณยามีความ
นุ่มละมุนของนวลเนื้อหล่อนทาบหับอยู่ทุกสัดส่วน สองแขนโอบรอบแผ่นหลังอัน
เปลือยเปล่า พลังกายของเขาหลังการเสพกามสุขย่อมอ่อนเปลี้ยเกินกว่าจะดึงตัน
ชัยชนะย่อมเป็นของหล่อนโดยไม่ต้องโต้เถียงอะไรอีก...ตังเช่นทุกครั้ง
อนันต์สวาท ภุชพงศ์..ชื่อสกุลเก่าแก,อันเป็นที่รู้จักในบรรดาข่าวดังคนเด่น
ของหน้าหนังลือพิมพ์และ,นิตยสาร แม้ครอบครัวหล่อนจะตระหนักดีถึงความเป็น
‘เศรษฐีตกยาก’ แต่ความภาคภูมิในตระกูลก็อังคงอยู่...ระบบปฏิบัติในการเลือก
คู่ครองคือ ‘ตระกูลต่อตระกูล’ หรือ ‘ตระกูลต่อเงิน’ นั้นก็คือการสมรสกับสมาชิก
สกุลเก่าแก่ด้วยกัน หรือกับผู้มีเงินลันเหลือพอที่จะมาช่วยจุนคํ้าตระกูลเก่าที่เป็น
เศรษฐีตกยากใหัพ้นจากความตกยากได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง หลังจากบ่าวสาวเช็น
ชื่อในทะเบียนสมรส
ปุณยาไม่มีทั้งสองปัจจัย!
ปุณยา จรูญวราพันธ์...พังดูก็รู้ว่าเป็นชื่อสกุลที่ประดีดประดอยขึ้นมาใหม่ให้
ดูไพเราะคมคายเหมือนตระกูลเก่า หากแต่ต้นสกุลของเขาเป็นเพียงคหบดีชนบทที่
ได้สัมผัสความยากไร้มาแล้วหลายชั่วคน ทั้งทางพ่อและทางแม่...พ่อเขาที่หย่าร้างไป
แล้วกับแม่นานทั้งแต่ปุณยาผังไม่เจ็ดขวบเป็นแค่ทนายความที่มีสำนักงานเป็นคูหา
แคบๆอยู่แถวจตุจักร...เท่าที่หล่อนไต้พังจากป้านวลคนรับใต้เก่าแก่ของมารดาคน
รัก พ่อของปุณยาไม่เคยโผล่หน้า...ไม่เคยหยิบยื่นเงินค่าเลี้ยงดูลูกชายที่เกิดกับเมีย
เก่า...ไม่เคยแม้แต่จะส่งของขวัญวันเกิด!
คุณตาคุณยายของปุณยาก็เป็นเพียงอาจารย์โรงเรียนระดับเตรียมอุดมศึกษา
ซึ่งเมื่อเกษียณอายุออกมาแล้ว มีแต่เงินเกษียณพอเลี้ยงปากเลี้ยงห้อง ข้างฝ่าย
ลูกสาว...แม่ของปุณยานั้นเล่า ก็เป็นเพียงข้าราชการขึ้นโทในกรมกองที่ไม่มีความ
หรูหราฟู่ฟ่าออกมาให้เป็นข่าวสังคมเลยจนนิด ชั่วแต่อนันต์สวาทไม่รู้ว่า คุณป้า
รัมภาเก็บเงินกันถุงไต้มาจากไหนมากมายถึงกับสามารถส่งลูกชายไปเรียนต่อยัง ต่างประเทศไต้ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ปริญญาโท ซึ่งเรียนจบเพียงหนึ่งปีหรือปีกว่า
และแค่ประเทศใกล้ๆ ค่าครองชีพไม่สูงนักอย่างนิวซีแลนด์ก็เถอะ!
หล่อนพบปุณยาตอนที่เขาเพิ่งกลับจาก ‘เมืองนอก’ ไม่ถึงปี...คำว่า ‘เมือง
นอก’ ดูเพิ่มสง่าราศีให้เขาเกินสภาพภายในที่เขาเป็น! หญิงสาวบอกตนเองด้วย
ความผิดหวังในไม่กี่เดือนต่อมา...มิหนำผังพบกันที่กาสาพรีเมียร์ของบริษัทญี่ปุ่น
ที่ปุณยาทำงานอยู่ ซึ่งจัดอย่างเอิก เกริก ณ โฮเต็ลหรูอันมีหล่อนเป็นเจ้าหน้าที่
ประสานงานต้านอินทีเรีย ดีไซน์...ปุณยาในชุดราตรีสโมสรเสริมส่งรูปร่างสูงเพรียว
คิ้วเข้ม นัยน์ตาคม เครื่องหน้าเหมาะเจาะไปทุกส่วน ทั้งโล้ทั้งดูโอ่อ่าราวกับเจ้าชาย
ในนิยายอาหรับราตรีปรากฏกายมาขอเต้นรำกับหล่อนขณะที่กาลาใกล้จะสิ้นสุด
หล่อนหลงรักเขาทั้งแต่บัดนั้น
และผังรักอยู่ถึงบัดนี้
หากทว่า...นอกเหนือไปจากความไม่มีปัจจัยของปุณยาซึ่งหล่อนค่อย ๆ เสาะ
สืบจนล่วงรู้ชาติตระกูลและสภาพเศรษฐกิจของครอบครัวเขาทุกภาคทุกตอนแล้ว
หล่อนเพิ่งมารู้ว่า ไอ้บริษัทญี่ป่นที่ทุ่มเงินโฆษณาสินค้าของตนอย่างมโหฬารพันลึก
นั้น จ่ายค่าจ้างให้พนักงานอย่างกระจอกงอกง่อยเต็มที...เงินเดือนผู้ช่วยผู้จัดการ
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)