ความเอย...ความรัก (ศรีฟ้า ลดาวัลย์)
ประหยัด: 255.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
๑
เช้าวันนี้ อดีตอธิบดีเหมือนชนกเพิ่งปลดเศษียณหมาด ๆ ยังไม่ถึง
๓ เดือน มีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ตื่นแต่เช้ามืดลงไปเดินท่อม ๆ ดูต้นหมากรากไม้ แล้วก็เลยไปนั่งที่ศาลา ท่าน้ำ ไม่ทันตักบาตร เพราะพระสงฆ์ท่านออกบิณฑบาตเช้ากว่า ท่านจึงพา
กันล่องกลับวัดเสียเกือบหมด
ดูเถิด...เผลอไปไม่เท่าไหร่ เวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน
เมื่อตอนที่เขากลับมาจากสหรัฐฯ อายุเขาเพิ่งจะยี่สิบหก อ่อนกว่าเจ้า หมายลูกชายของเขาตอนนี้ ๒-๓ ปี ประวัต๓ส^มันช่างกลับมาซํ้ารอยเดิม
เข้าจนได้!
ทว่า...
ความคิดฟ้งซ่านถึงอดีตของเขาชะงักงันนิดหน่อย
ถ้าเถิดเจ้าหมายมันดันมาเหมือนทับเขาทุกอย่างเข้าล่ะ แล้วถ้ามันตัน ลงเอยไม่ได้สวยงามอย่างพ่อ...ตายละนึกถึงตรงนี้แล้ว ใจออกจะฝ่อลงไป นิดๆเหมือนทัน นี้นี้
เมื่อเจ้าหมายมันยังเด็ก ๆ อยู่ เขาก็คิดว่า...ช่างมันเถิดลูกคนเดียว โตขึ้น มันจะได้ใครเป็นเมียก็ตามใจมันชีวิตของมัน แต่อีตอนที่ลูกถึงคราวจะมีเมีย
เข้าจริง ๆ และเขาเริ่มแก่...ทัศนคติต่อเมียของลูกชายก็ชักจะเปลี่ยนไป
ลูกสะใภ้คนเดียวทั้งที มันน่าจะต้องถูกใจเขาบ้าง!
“คุณลุงขา...คุณลุง” เด็กหญิงอายุลัก ๑๑-๑๒ นั่งอยู่กลางลำเรือสำปัน ขนาดกลาง หญิงผู้ใหญ่พายท้าย หล่อนอยู่บ้านเหนือขึ้นไปนิดหน่อย ก็คน
รู้จักรู้จักทันมาแต่ก่อน ๆ ทั้งนั่น
หญิงผู้ใหญ่ราพายให้หล่อนเกาะทันไดท่า หล่อนแต่งชุดนักเรียน หน้า เล็ก ๆ แหงนมองเหมือนชนก
“ขอใบพลับพลึงให้หนูหน่อยนะคะ หนูจะเอาไปทำการUมือ กาบมันด้วย
“เอาไปเถิดหนู ไปเลือกตัดเอาเอง มีมีดหรือยังล่ะ”
“มีแล้วค่ะ ขอบพระคุณท่านมากนะคะ” หญิงผู้ใหญ่ญาติของเด็กหญิง ตอบแทนเด็ก
เหมือนชนกมองกอพลับพลึงงอกงาม แน่นขนัตริมตลิ่งบ้าน ทั้งพลับ –
พลึงขาว พลับพลึงแดง มือยู่บ้านเดียวนี่เท่านั้นที่ปลูกพลับพลึงเอาไว้ชายฝั่ง
แทนเขื่อนแทนรั้ว...
เหมือนชนกนึกถึงเมือตอนทีเขาเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทย
เขาไม่รู้จักพลับพลึงทั้งต้นทั้งดอก แต่พอรู้ว่าไอ้ต้นอย่างนี้ดอกอย่างนี้
เรียกว่าพลับพลึง เขาก็เกลียดมันทันที!
ตอนนั้น...เมื่อสามสิบกว่าปีค่อน...
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสง
ข้าราชการและนักเรียนทีตกค้างอยู่ในยุโรปและสหรัฐฯต่างทยอยทันเดิน ทางกลับทั้งแดทังครามสงบใหม่ ๆ ทว่าบางคนก็อยู่เรียนต่อไปจากที่เรียนค้าง เอาไว้ รวมทั้งเหมือนชนก เขาเรียนจนจบปริญญาตรี ต่อโทเรียบร้อยแล้ว จึง ได้ส่ง'ข่าวบอกบิดามารดาว่าจะกลับบ้านเสียที หลังจากสงครามสงบแล้วถึง ๔-
๕ ปี
เมื่อแรก พระภูมิพิพักษ์ราษฎร์ ท่านบิดาก็ตื่นเต้นยินดียิ่งนัก กับลูก
ชายคนเล็ก ลูกรักหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งจากบ้านไปนานถึงสิบกว่าปี ตั้งแต่อายุ
๑๐ ขวบ จนอายุ ๒๖
แล้วอย่างนี้พ่อแม่ที่ไหนจะไม่ตื่นเต้น
แต่แล้วความตื่นเต้นของคุณพระภูมิพิพักษ์ราษฎร์ก็กลายเป็นความโมโห
โกรธา อย่างที่คนในบ้านแอบเรียกว่า ‘ออกงิ้ว’ ทุกครั้งที่คุณพระเอ็ดตะโรโปเก
เอะอะมะเทิ่ง แบบนี้...
“ชะ! ชะ! ไอ้เหมือนทำข้าได้ ไอ้ลูกนอกคอกแหกรั้ว หน็อยแน่! มัน
จะแต่งงานกับฝรั่งมังค่า กูจะเอาเลือดหัวมันออกฉลองวันที่มันมาถึง ลูกริยำ!
ให้ไปเรียนเมืองนอก ไปเอาวิชาของเขามา ไม่ใช่ให้ไปได้เมียฝรั่ง
คุณพระนั้น ‘แอนตี้’ นักเรียนนอกที่ได้เมียฝรั่งกลับมาเมืองไทยแต่ไหน
แต่ไรมาแล้ว
เมื่อก่อนนี้ลงความเห็นว่าไม่รักชาติเอาเสียด้วยซ้ำไป เพระคุณพระนั้น
ได้ชื่อว่าชาตินิยมจัด เกลียดกลิ่นนมกลิ่นเนยแล้วยังพาลหมั่นไส้พวกข้าราชการ
ด้วยกันที่คุณพระหาว่าเป็นพวก ‘โช้ต’ คือพวกชอบทำโก้เก๋เอาอย่างฝรั่ง
“พุทโธ่...คุณพระก็...” คุณนายชักจะรำคาญ “เอะอะไปได้นี่คะ ลูกมัน
ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่ามันจะมีเมียฝรั่ง ตาเหมือนแกเพียงแต่ว่าแกไม่อยาก
ได้เมียที่ไม่ทันกัน ไม่เข้าใจกันต่างหาก เรื่องแหม่มน่ะเพียงแต่ยกตัวอย่างให้
พ่อแม่ฟังเท่านั้นว่า เข้าใจกันได้ดี คุณพระก็ต้องเห็นใจลูกบ้าง อยู่ที่ไหนมันก็
ต้องคุ้นกับคนที่นั่น”
“อย่าเข้าข้างมันหน่อยเลยน่าแม่จันทร์” คุณพระทำเสียงเขียว “อย่าโง่
ให้ไอ้เหมือนมันต้มยำทำแกงเล่นหน่อยเลย หล่อนไม่รุ้จักวิธีพูดของไอ้เหมือน
มันหรอก มันพูดว่ามันเข้าใจกัน นั่นแหละคือมันปฏิเสธทางนี้ เพราะหลงอีนาง
ว่านักเรียนนอกทำอะไรมันก็ก้าวหน้ากว่าพวกหัวใน กลับมาหลังจะได้ชื่นอกชื่นใจมันทำให้พ่อแม่ชื่นใจจริง ๆ เหมือนกัน” คุณพระประชด
“ยังไอ้มนตรีอีกคน แทนที่จะคอยดูแลเตือนสติไอ้เหมือนมันบ้าง เปล่า
เลย อาศัยอะไรไม่ได้ มันพวกหัวนอกเหมือนกันนี่ นอกคอก! ไอ้พวกนอก
คอกทั้งนั้น อยู่ใกล้ ๆ หน่อยไม่ได้กูจะฟาดกบาลเสียด้วยกันทั้งคู่”
คุณนายอดไม่ได้อีก
“คุณพระละก็ พาลรีพาลขวางไม่เข้าเรื่อง พ่อมนตรีแกคงไม่รู้เรื่องรู้ราว
อะไรกับตาเหมือนหรอกค่ะ โต ๆ ด้วยกันแล้ว อิฉันว่าคุณพระจะตีตนไปก่อนไข้
ทำไมกันคะ อีกสองสามวันลูกกลับมา แล้วค่อย ๆ พูด ๆ จากันดีกว่า”
“หล่อนละก็ ดีแต่เข้าข้างลูก” อีกฝ่ายยิ่งฟื้นเสียมากขึ้น
“จนมันพูดออกยังงี้แล้ว ยังขืนจะว่ามันดีวิเศษอยู่อีก”
“อิฉันไม่ได้พูดสักคำว่าตาเหมือนดีวิเศษ”
คุณพระสะบัดหน้า อุทานว่า “บ๊ะแล้ว! แม่จันทร์นี่”
คุณพระภูมิพิทักษ์ราษฎร์กับคุณนาย มีเรื่องต้องโต้เถียงกันทุกวัน ตั้งแต่ รับรู้จากจดหมายลูกชายทั้งคนโตคนเล็กว่า ลูกชายคนเล็กกำลังจะกลับเมืองไทย พระภูมิพิทักษ์ราษฎร์ บิดาของเหมือนชนกนั้นอายุ ๖๕ เคยดำรงตำ –
แหน่งเจ้าเมืองมาหลายจังหวัด ตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง คุณพระ
มีบุตรชายหญิงด้วยกัน ๔ คน คือ มนตรี บุตรชายใหญ่ เป็นทูตทหารบก
อยู่สหรัฐฯ รัศมี และแม้นเดือน ออกเรือนไปแล้วทั้งคู่ ยังอยู่แต่เหมือนชนก
ลูกรักสุดท้อง ผู้กำลังสร้างปัญหาให้คุณพระอยู่บัดนี้
พระภูมิพิทักษ์ราษฎร์มีเคหสถานอยู่ในคลองบางกรวย เทือกเถาเดิมนั้น เป็นคหบดีสวนทุเรียน เมื่อคุณพระยังเป็นเด็กบิดาก็มีได้ตั้งใจจะให้รับราชการ แด'บังเอิญป้าของคุณพระผู้เป็นหม่อมท่านหนึ่งในเสด็จในกรมพระองค์หนึ่ง
เห็นหน่วยก้านของหลานชายมีวี่แววดี จึงรับตัวไปถวายให้เสด็จในกรมทรงใช้สอย เมื่อเสด็จในกรมพระองค์นั้นโปรดปราน ชะตาคุณพระจึงดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งอก ตั้งใจรับราชการสนองพระเดชพระคุณ ใต้บรรดาศักดิ์เป็นพระภูมิพิทักษ์-
ราษฎร์ ตั้งแต่อายุเพียง ๔๐^
คุณพระมีมิตรสนิททั้งบ้านคลองเดียวกัน แต่อยู่เหนือขึ้นไปคนละฝั่ง คือ คุณพร ผู้เป็นเจ้าของสวนทุเรียนแพ้คุณพระ เมื่อคุณพระกราบถวาย บังคมลาออกบังคมลาออกจากราชการนั้น อายุคุณพระเพียง ๕๕ คุณพระไต้ขายสวนทุเรียน ส่วนที่อยู่ใกล้กันกับสวนคุณให้แก่คุณพร แล้วนำเงินไปลงทุนเปิดธนาคารกับ เพื่อนฝูงกลุ่มหนึ่ง ทั้งคุณพระและคุณพรจึงได้ชื่อว่าเป็นคหบดีนั่งกินนอนกิน ด้วยกันทั้งคู่ แต่คุณพรเป็นเศรษฐีสวนทุเรียนแต่เพียงผู้เดียว
คุณพระบันเป็นคนใจร้อน เอะอะ พูดจาโผงผาง เมื่อไต้รับจดหมาย
ลูกชายมีข้อความเชิงตัดรอนลูกสาวของเพื่อนซึ่งคุณพระหมายมั่นปันมือว่าจะ ต้องเป็นทองแผ่นเดียวกัน คุณพระก็โกรธปิงปัง แต่แห้ที่จริงแล้ว คุณพระรู้
อยู่เต็มอกว่าหากเหมือนชนกดื้อดันจริงๆ คุณพระก็คงหมดปัญญา คุณพระ จึงหงุดหงิดรุ่นง่าน หมุนไปหมุนมา เถียงกับคุณนายทุกวัน
จดหมายฉบับสุดท้ายจากเหมือนชนก มีข้อความตอนหนึ่งว่า
‘ผมกำลังเดินทางกลับ จะขึ้นเครื่องอาทิตย์หน้า แต่คงจะแวะญี่ปุ่นสัก
๕-๖ วัน ผมปีเพื่อนมาด้วยคนหนึ่งชื่อโรส เขาเป็นน้องสาวของเพื่อนผม เรา
รู้จักกันมานานแล้ว โรสนารักคุณแม่คงชอบ ผมบอกโรสว่าคุณแม่เป็นคนใจดี...’
“อึ! คุณแม่ใจดี” คุณพระขยำจดหมาย ปาลงไปจากเรือน ประชด
ประชัน เดินลงส้นหนักๆพล่านอยู่บนเรือน
“เออ! คุณแม่ใจดี แต่กู...พ่อมันจะเอาเลือดหัวมันออกฉลองความรัก... ไม่เชื่อคอยดู!”
คราวนี้คุณพระมีทีท่าโกรธจัดจริง ๆ เดินไปเดินมาราวกับชะมดติดจั่น คุณนายจึงนิ่งเสีย เพราะรู้ว่าถึงพูดไปก็หาประโยชน์มิได้ กลับจะยิ่งทำให้สามี ออกงิ้วยิ่งขึ้น
คุณพระเดินกลับไปกลับมาสักครู่ก็ร้องเรียกคนให้เอาเรือแจวมีประทุน ออกจากคูซึ่งขุดลึกเข้าไปสำหรับเก็บเรือ คุณนายเงยหน้าจากเชี่ยนหมาก ถาม ว่า
“นั่นคุณพระจะไปไหนคะ “
ไปหาพ่อพร” คุณพระตอบห้วน ๆ
“จะมิวุ่นวายไปเหนื่อยรึคะคุณพระ” คุณนายผู้เป็นเหมือนน้ำ ในขณะที่
สามีร้อนประดุจไฟ ถามเรียบ ๆ
“ก็ดีกว่าปล่อยให้เขาถอนหงอกฉันทีหลัง ให้เขารับรู้ไว้เสีย จะได้ปรึกษา หารือกัน คุณพระเมินหน้าตอบ
“อิฉันว่า ไว้ให้ตาเหมือนกลับมาก่อนไม่ดีรึคะ แม่โร้ดแร้ดอะไรนั่น เขา
เป็นอะไรกันก็ไม่รู้ เห็นตาเหมือนแกบอกว่าเป็นเพื่อน”
“อย่าโง่หน่อยเลยน่าแม่จันทร์” คุณพระเอ็ดภรรยา “ฝรั่งมันก็ว่าเป็น เพื่อนทั้งนั่น ถึงเป็นเมียมันก็ว่าเพื่อน ลงมาด้วยกันอีแบบนี้แล้ว แต่ขอบอก เสียก่อนนะ ใครจะต้อนรับอีนางแหม่มก็ตามใจ แต่ฉันไม่ให้มันอยู่บ้านฉันเป็น อันขาด ไม่เชื่อคอยดู!”
คุณพระว่าแล้วก็สะบัดหน้า เดินปิงปังลงจากเรือนไปทั้งให้คุณนายนั่ง
ส่ายหน้าอย่างระอาใจอยู่คนเดียว
...พิลึกแท้ ๆ ลูกสาวคุณพรเขาถึงจะเคยทาบทามไว้ ก็ยังไม่ถึงกับยก
ขันหมากสู่ขอจริงจังอะไร แค่ออกปากด้วยวาจา แล้วก็คุณพระเองนั่นแหละ
เจ้ากี้เจ้าการมาเอาแหวนเก่าแก่จากคุณนายไปยัดเยียดให้เพื่อน ว่าที่จริงก็เป็น
การหมั้นอ่างกันเองแท้ ๆ ถึงจะเลิกรากันไปก็ไม่น่าจะถือเป็นการเสียหาย...แต่
ไอ้เรื่องเสียหน้ามันก็ต้องมีบ้าง... เห็นใจคุณพรกับคุณพิศเหมือนกัน ทว่าจะทำ
ยังไงได้...
คนมันไม่รัก จะข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้ากระไรได้...
คุณพรคุณพิศต้อนรับคุณพระเป็นอย่างดี''
คุณพรผู้นี้ออกจะเป็นคนอาภัพอยู่สักหน่อย ตรงที่เลี้ยงบุตรชายไม่รอด มีถึงสามคนก็ตายเสียแต่ยังเด็กๆหมด เหลือบุตรีคนสุดท้อง อายุเพิ่งจะยี่สิบ เพียงคนเดียว คือ นางสาวพลับพลึง เพียรธรรม แม้ว่าคุณพรจะมิได้รับ
ราชการ แต่คุณพรก็มิใช่ชาวสวนเชย ๆ เพราะคุณพรเคยเป็นนักเรียนโรงเรียน- ฝรั่งสมัยแรกๆอยู่ถึงสามปี ส่วนคุณพิศภรรยาเล่า ก็เป็นชาววัง คุณพรได้พบ
กับคุณพิศเมื่อคุณพิศตามหม่อมป้าของคุณพระเข้ามาเที่ยวสวนทุเรียน ความ รักของคุณพรกับคุณพิศสมปรารถนาเพราะได้คุณพระเป็นพ่อสื่อพ่อชัก คุณพร จึงถือว่าคุณพระเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชาย เรียกคุณพระว่าพี่มิ่งตลอดมา ความ
สัมพันธ์ของบุรุษทั้งคู่แน่นแฟ้นรีกกัน จนกระทั้งต่างคนต่างก็อยากให้แน่นแฟ้น
ยิ่งขึ้นโดยการเกี่ยวดองกัน
ดังนั้น ผู้ใหญ่ทั้งสองจึงถือเอากรณีที่เด็กชายอายุเพียง ๙ ขวบ ๑๐ ขวบ
กับเด็กหญิงอายุแค่ ๔-๕ ขวบ รักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวกันโดยไร้เดียงสา...
ทึกทักเอาว่า เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งถ้าหากทั้งสองจะได้แต่งงานกัน เมื่อ
ต่างคนต่างเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว
คุณพรนั่นทั้งรัก และเกรงใจคุณพระ
แต่เมื่อคุณพระเล่าให้พิงว่าลูกชายที่กำลังจะกลับมานั่น ‘เสือก’ พาแหม่ม กลับมาด้วย...
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)