หงส์ไพร (วัตตรา)
ประหยัด: 87.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
นวนิยายพีเรียดโรแมนติกคอมมาดี้เรื่อง
“หงส์ไพร”
โดย...วัตตรา
ตอนที่ 1
ทารกน้อยในอ้อมกอดของไอ้ไปล่ขยับตัวเพราะแรงกระแทกจากไหล่ของผู้เป็นพ่อ ชายหนุ่มกอดกระชับลูกน้อยไว้กับอก ขณะวิ่งลัดเลาะไปตามร่องสวน ฝ่าความมืดในคืนแรมอย่างไร้จุดหมาย ขอเพียงมันหนีให้พ้นจากกระท่อมน้อยอันเป็นเรือนรักของมันไปก่อนจึงจะคลายใจ
ทั้งที่รักและแสนอาลัยแต่ก็จำต้องตัดใจทิ้งหญิงอันเป็นที่รักมา เพื่อยุติปัญหา
นับแต่คุณพริ้มหนีจากเรือนเจ้าพระยาเทพอรรถฤทธิ์ ผู้เป็นบิดา มาอยู่กินใช้ชีวิตแบบคู่ผัวตัวเมียกับมันมาเกือบสองปี ไอ้ไปล่ลูกทาสผู้เป็นไทแล้ว เห็นความร่วงโรย หม่นหมองและอ่อนล้าของคุณพริ้มได้อย่างชัดเจน เพราะความยากแค้น ไม่มีเงินทองที่จะซื้อหาสิ่งสวยๆ งามๆ น้ำหอมน้ำปรุง หรืออาหารดีๆ มาปรนเปรอคุณพริ้ม นอกจากปลาจากแม่น้ำและผักริมรั้วข้างบ้านแม่ผ่อง เพื่อนบ้านที่มีเมตตาคอยแบ่งปันอาหารให้บ้าง
“กระผมไม่มีปัญญาทำให้คุณพริ้มได้อยู่อย่างสุขสบาย มันเป็นเรื่องน่าอายนัก คุณพริ้มคืนพระนครไปเสียเถิดจะได้กินดีอยู่ดีเช่นที่เคยเป็นมา อยู่กับกระผมก็หาความสุขมิได้”
“ไปล่ ทำไมถึงคิดว่าฉันจะไม่มีความสุข...ในเมื่อฉันตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างมาแล้ว เราจะอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก”
“แต่คุณพริ้มเจ็บไข้อยู่บ่อยๆ เช่นนี้ หัวใจไอ้ไปล่มันพลอยเจ็บไปด้วย”
ไอ้ไปล่ระทดท้อใจมาแรมปีที่ไม่อาจทำให้ทั้งสามชีวิตอยู่ดีมีสุขได้อย่างที่ควรจะเป็น มันอยากหาผ้าแถบงามๆ สักผืนให้ผู้เป็นเมียรักก็ยังจนปัญญา
ก่อนที่จะตัดสินใจหอบลูกน้อยหนีคุณพริ้ม ไอ้ไปล่ไปรับจ้างเก็บมะพร้าวและบังเอิญได้พบนายเอี่ยม ทาสในเรือนเบี้ยของเจ้าพระยาเทพอรรถฤทธิ์ นายเอี่ยมเป็นหนุ่มใหญ่ใจดี เข้าอกเข้าใจในความรักของไอ้ไปล่กับคุณพริ้มเป็นอย่างดี จึงได้แต่พูดให้ข้อคิดว่า
“ไปล่เอ๋ย เห็นแก่คุณข้าวแดงแกงร้อนของคุณพระอรรถ กับท่านผู้หญิงพุ่ม ที่ชุบเลี้ยงเอ็งมาเถิด ยามนี้ท่านผู้หญิงก็เจ็บออดแอด ตรอมใจเพราะแก้วตาดวงใจของท่านละทิ้งเรือนมา คุณพริ้มเคยอยู่สุขสบาย เอ็งพาหนีมาเยี่ยงนี้ เลี้ยงดูคุณเธอได้ดีนักหรือ ปล่อยคุณเธอกลับไปดูแลบุพการีเถิด”
ด้วยสำนึกในบุญคุณและไม่อยากให้หญิงอันเป็นที่รักต้องทนอยู่กับความทุกข์ยากอีกต่อไป ไอ้ไปล่ฝากความไว้กับแม่ผ่อง ให้บอกคุณพริ้มทิ้งอดีตแล้วกลับไปดูแลตอบแทนคุณบุพการีเสียเถิด จงอย่าได้ห่วงตนและหนูปริม ให้คิดเสียว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงแค่นี้
คุณพริ้ม เมื่อจนหนทางที่จะตามหาไอ้ไปล่และลูกน้อย จึงตัดสินใจกลับพระนครด้วยความอาวรณ์ แม้ตัวจะคืนสู่อ้อมอกของผู้เป็นบิดามารดา แต่ทว่าชีวิตและจิตใจของเธอยังถวิลหาผู้เป็นลูกและสามี
คุณพระอรรถและท่านผู้หญิงพุ่ม ปลื้มปิติเป็นยิ่งนัก ความประสงค์เดิมของผู้เป็นบิดามารดานั้นคือต้องการเห็นลูกสาวได้ออกเรือนไปกับผู้ชายที่คู่ควร หลังจากที่ได้มีการทาบทามกันมาแล้วสองครั้งสองครา
“ทางเราได้เรียนเจ้าพระยาพลเทพวฤทธิ์ว่าลูกไปเยี่ยมและอยู่ดูแลญาติผู้ใหญ่ของเราที่มณฑลราชบุรี ท่านก็ยังรอที่จะรับลูกไปเป็นสะใภ้ ตบแต่งให้เป็นภรรยาของหลวงวิสูตร เธอตกพุ่มม่ายมาหลายปีแล้วไม่ได้มีสายตาแลใคร เธอยังแวะเวียนมาถามไถ่ถึงลูกอยู่เสมอ เห็นแก่คุณพ่อ อย่าให้ต้องได้อับอายขายหน้ากันอีกคราเลยนะลูกเอ๋ย”
ท่านผู้หญิงพุ่มบอกแก่ธิดาคนเดียว และย้ำความผิดให้ผู้เป็นลูกรับรู้แบบมิกล้าทำร้ายจิตใจ
“ที่แม่ต้องสามวันดี สี่วันไข้เช่นนี้ เป็นเพราะระทมใจนักกับการที่ลูกผละออกจากอก และมิรู้จะตายวันตายพรุ่ง ขอเพียงได้เห็นลูกออกเรือน อาจมิได้อยู่ทันเห็นหน้าหลานดอกกระมัง”
เพื่อเป็นการไถ่โทษในความผิดที่ตนเองได้กระทำ และตอบแทนบุญคุณบุพการี คุณพริ้มจึงยอมออกเรือนไปเป็นภรรยาของหลวงศักดิ์นายเวรวิสูตรอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
***********************
พุทธศักราช 2466 ที่ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด นนทบุรี
เสียงดาบกระทบกันที่ลานกว้างหน้าบ้านนายส้มสุก ดังแข่งกับเสียงเฮของบรรดาเซียนพนันที่ดังอยู่รอบสังเวียนชนไก่
หญิงสาวรูปร่างปราดเปรียว ในชุดตะเบงมานทะมัดทะแมงยกดาบในมือของเธอขึ้นรับดาบคู่ของชายหนุ่มคู่ซ้อมที่พรวดพราดเข้ามา เสียงร้องสั่งของครูเดชทำให้หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเดินหน้าปะดาบกับคู่ซ้อมในเชิงเดิม
“ถอยสองก้าวแล้วตั้งรับซี่เจ้าส้มจีน อย่าตะลุยเข้าไป”
ส้มจีนไม่ได้ฟังที่ครูเดชสอน แต่ไล่ต้อนจนคู่ซ้อมจนมุม เธอจึงถีบอกคู่ซ้อมจนล้มกลิ้งอย่างหมดท่า
“เอ้อ...เอ้อ...เอ็งดื้ออย่างนี้ซี่เล่า ใครๆ ถึงได้ไม่อยากเป็นคู่ซ้อมของเอ็ง” ครูเดชชักมีอารมณ์
“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะครูเดช วันนี้ฝีมือส้มจีนดีขึ้นมั้ยจ๊ะ”
ครูเดช ครูดาบวัยเฒ่าผู้ไร้ซึ่งทายาทจะรับสืบทอดวิชา พยักหน้าแบบหน่ายๆ ก่อนจะเตือนว่า
“ข้าบอกเอ็งหลายคราแล้วหนา เจ้าส้มจีน ว่าอย่ามุทะลุ”
ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่ยังคั่งค้างเพราะหญิงสาวไม่ยอมเชื่อตามที่ตนสอน ถ้อยวาจาจึงทั้งดุและ ฟังไม่รื่นหู เหมือนเช่นยามปกติที่ครูเดชจะพูดจาไพเราะ ราวกับชาวรั้วชาววังก็มิปาน จนชาวบ้านย่านนี้เคยเรียกแกแบบประชดประชันว่า “คุณพระเดช”
เมื่อเห็นหน้าตาของส้มจีนเจื่อนๆ ไป ผู้เฒ่าจึงได้บอกอย่างอ่อนโยนขึ้น
“เพลงดาบนั้น แม้นสอนกันให้ฟันได้ แต่เคล็ดวิชามันซ่อนอยู่ในคำเตือน หมั่นฟังอย่างมีสมาธิ และไม่เสียกระบวน เจ้าจะได้เคล็ด แต่นี่เจ้ามุทะลุเสียอย่างนี้ การฟันดาบของ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับฟันต้นกล้วยดอกหนา”
“โอ้พ่อครูเดชเจ้าขา...ขุ่นเคืองส้มจีนอีกแล้ว”
สาวน้อยวัยย่างเข้า19 ยิ้มประจบ นายเดชผู้มีใบหน้าสีคร้ามและริ้วรอยแห่งวัย50 เศษยิ้มจางๆ ก่อนจะว่า
“ข้าจะขุ่นใจเจ้าไปใยเล่าในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์เอกของข้า เจ้าไม่เคยถูกคู่ซ้อมทำให้เพลี่ยงพล้ำเลยสักเพลง เจ้ามีบุญบารมีที่จะได้เป็นศิษย์ข้า สืบทอดเพลงดาบของท่านปู่ข้าผู้เป็นถึงทหารเสือพระเจ้าตากสิน ข้าย่อมต้องทนบ่มสอนเจ้าจนกว่าจะตายจาก”
ส้มจีนอมยิ้ม เมื่อได้ยินครูเดชกล่าวถึงท่านปู่ ส่วนหนุ่มๆ อีกสองสามคน ที่เหงื่อกาฬย้อยเต็มแผ่นหลังมองหน้ากันแล้วหัวเราะร่วน เว้นแต่ไอ้วงผู้เดียวที่มือกำดาบ แต่ก็หลบๆ เลี่ยงๆ อยู่ใต้ถุนเรือน เอาสุ่มไก่บังกาย
“ข้ารู้พวกเอ็งนึกขันในสิ่งที่ข้าพูด ก็จริงของพวกเอ็งที่จะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน ในเมื่อพวกเอ็งเกิดไม่ทัน แม้ข้าเองก็เติบใหญ่รู้ประสาไม่ทันได้เห็นท่านปู่ แต่ข้าก็ฝึกเพลงดาบของท่านปู่มาจากพ่อข้า ที่ท่านว่าข้ารับมาได้ครบกระบวนเพลงมิผิดเพี้ยน”
เสียงเฮฮาด้วยความชอบใจจากเซียนพนัน ที่ไก่ฝ่ายที่ตนเองลงเดิมพันไว้เป็นฝ่ายชนะ ดังกลบเสียงรำพึงของครูดาบเฒ่า
ส้มจีนมองครูเดชนิ่งๆ แต่ก็หวนนึกถึงความหลังเมื่อหลายเดือนก่อน
เธอพบนายเดชนอนหลับคุดคู้อยู่ท้ายวัดกู้ ตะแกตัวร้อนราวกับไฟ ส้มจีนกับไอ้วงสมุนคู่ใจวัยเดียวกัน ช่วยกันหาสมุนไพรในสวนได้กิ่งและใบของต้นลูกใต้ใบเอามาต้มรินน้ำให้ผู้เฒ่าดื่ม ชั่วข้ามคืนอาการไข้ก็ลดลง นายเดชผู้นี้หายหน้าหายตาไปสองสามวันก็กลับมาแถวๆ ท้ายวัดกู้อีก ส้มจีนหาข้าวปลาอาหารมาให้ตะแกกินอยู่สองสามมื้อ แกจึงเอ่ยปากถามว่า
“เจ้าใคร่อยากฝึกเพลงดาบไหมเล่าส้มจีนเอ๋ย”
“ฝึกฟันดาบนั่นรึ”
“ถูกละ...ข้าเวียนหาผู้ชายวัยก่อนบวชเรียนที่เป็นคนดีมีน้ำใจ เพื่อจะฝึกเพลงดาบ ถ่ายทอดวิชาให้ แต่หาใครมิได้เลย”
“อ้าว...แล้วส้มจีนเป็นหญิง จะให้ฝึกเพลงดาบกระไรได้”
ไอ้วงขัดคอขึ้น แม้จะเป็นคนวัยเดียวกัน แต่สติปัญญา ความปราดเปรื่องของไอ้วงดูจะด้อยกว่าส้มจีนมาก ส้มจีนรีบบอกว่า
“ถ้าคิดว่าหาใครไม่ได้แล้วและเห็นว่าส้มจีนฝึกได้ ก็รับเป็นศิษย์เสียเป็นไร”
“ส้มจีน” ไอ้วงทำเสียงเหมือนจะปราม
“พ่อส้มสุกรู้เข้าว่าเอ็งคบคนจรหมอนหมิ่นจะว่ากระไร”
“โธ่เอ๋ยไอ้วง เอ็งพูดราวกับว่าพ่อส้มสุกของข้าน่ะดูคนไม่เป็นเช่นนั้น พ่อต้องเห็นงามไปตามข้า ถ้าข้าจะเป็นศิษย์พ่อครู...ชื่ออะไรนะ”
“ข้าชื่อเดช”
นายเดชพูดถึงต้นตระกูลของตนเองที่สืบเชื้อสายมาจากท่านปู่ผู้เป็นหนึ่งในทหารเอกของพระเจ้าตากสิน
“ท่านปู่ล่าลงมาจากกรุงศรีอยุธยาโน่น พอกอบกู้บ้านเมืองได้ ไม่ได้รับใช้พระเจ้าตากสินแล้ว ก็คืนสู่กรุงศรี ฝึกเพลงดาบให้พ่อข้า ล่วงมาจนถึงรุ่นของข้า แต่มันคงจะมาจบสิ้นที่รุ่นข้า เพราะข้าไม่มีผู้สืบทอด”
“อ้าว แล้วลูกของพ่อครูเล่าเจ้าคะ” ส้มจีนทำเสียงประจบ
“เมียข้าออกลูกตาย ชีวิตข้าไม่เหลือใครก็พเนจรไปเรื่อย ข้าทิ้งเรือที่พายล่องมาจากกรุงศรี หมายจะปักหลักถ่ายทอดเพลงดาบที่นี่ และเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจที่เจ้าดูแลข้ายามเจ็บไข้ ให้ข้าวให้น้ำแก่ข้า ข้าจะขอรับเจ้าเป็นศิษย์เอก”
ดังนั้นส้มจีนจึงรีบรับปาก และนายเดชก็รับเธอเป็นศิษย์ในวันนั้น
“ต่อไปนี้ ส้มจีนจะมาฝึกกับพ่อครูนะเจ้าคะ”
และเธอก็แอบหนีผู้เป็นพ่อมาฝึกเพลงดาบกันที่ท้ายวัดเกือบทุกวัน ไอ้วงผู้ไม่สันทัดและไม่ชอบของมีคมขยาดกับการฝึกดาบของครูเดช จึงไม่ได้วิชาเท่าที่ควรจะได้
ส้มจีนเป็นหญิงสาวที่แปลกกว่าสาวชาวบ้านย่านนี้จนเป็นที่กล่าวขานในความประหลาด บ้างก็ค่อนว่าเธอเป็น “นางส้มจีนม้าดีดกะโหลก” บ้างก็ว่า “นางส้มจีนหัวไม้” เพราะความกร้าวกล้าเกินใครๆ ยามใดที่ใครมีเหตุเอารัดเอาเปรียบกัน ใครมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันด้วยเรื่องใด ส้มจีนมักจะอยู่ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย แม้บางครั้งจะพิพากษาความผิดเพี้ยนไป จนคู่กรณีต้องมารุมเล่นงานเธอ แต่ชาวบางพูดก็รักและเอ็นดูเธอ บรรดาสาวๆ ไม่มีใครอิจฉาในรูปลักษณ์และเรือนร่างที่งดงามของส้มจีน ด้วยเพราะส้มจีนไม่เคยแต่งตัวสวยงามแข่งกับใคร ยามไปทำบุญที่วัด หญิงสาวคนอื่นๆ ที่เมื่ออายุเข้า14 ก็เริ่มมีสายตาแอบเมียงมองผู้ชาย แต่ส้มจีนมิได้ชายตาแลใคร หนุ่มใดก็มิได้หมายตาเธอ
พอเธอฝึกเพลงดาบไปได้สักระยะหนึ่งส้มจีนก็เล่าเรื่องครูเดชให้ผู้เป็นพ่อฟัง และขออนุญาตพาครูของเธอมาพบนายส้มสุก นายบ่อนผู้มีชื่อเสียงมานานนับสิบปี
“ลูกสาวเจ้ามีวาสนานะนายส้มสุก”
“เอาเถอะ พ่อครู สิ่งใดที่ลูกสาวข้าพอใจข้าก็ไม่ขัด แต่น่าจะชวนพวกหนุ่มๆ ที่รักทางด้านนี้มาฝึกด้วยเห็นจะดีกว่า”
นับแต่นั้นมาลานหน้าบ้านของนายส้มสุกที่เคยเป็นสังเวียนไก่ก็ถูกส้มจีนยึดไว้เป็นลานฝึกเพลงดาบ นายส้มสุกต้องขยับสังเวียนไก่ออกไป และย้ายวงถั่ววงโปของบรรดานักเสี่ยงโชคเข้าไปใต้ถุนเรือน
นับแต่นั้นก็ล่วงเลยมาเกือบขวบปี
ไอ้วงเห็นว่าครูเดชกับส้มจีนไม่ได้สนทนาอะไรกันจึงย่องเข้ามากระซิบบอกหญิงสาว
“ส้มจีน ไปกับข้าหน่อยเถอะ ข้ามีของสำคัญอยากให้เอ็งเห็น”
“ดูรึ ทำสุ้มเสียงเหมือนไปแอบพบขุมทรัพย์เช่นนั้นแหละเอ็ง” ส้มจีนค่อนว่าเพื่อน
ไอ้วงฉุดแขนส้มจีนวิ่งลัดเลาะไปตามร่องสวน ไกลออกไปจากบ้านเรือนของผู้คนโขอยู่ ส้มจีนสะบัดมือออกจากกำมือของไอ้วง และถามอย่างเหนื่อยหอบ
“เอ็งจะพาข้าไปไหนรึไอ้วง”
“ไปดูของแปลก”
ไอ้วงยังไม่ยอมบอกว่ามันคืออะไร ส้มจีนทำหน้าเข้มๆ คาดคั้นสมุนคู่ใจจึงยอมบอกเสียงอ่อยๆ
“ข้าอยากเลี้ยงนกขุนทอง”
“เอ๊า เอ็งเลี้ยงไว้สามตัวแล้วไม่ใช่รึ”
“แต่ครานี้ข้าอยากได้มันทั้งรังเลย เอ็งตามข้ามาเถอะส้มจีน ข้าเฝ้ามันมาสามวันแล้ว”
ไอ้วงฉุดแขนส้มจีนให้ออกวิ่งต่อไปจนถึงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่หลังเรือนเล็กๆ ของใครสักคนหนึ่งที่ส้มจีนกับไอ้วงไม่รู้จัก เพราะมาไกลจากบ้านตนเหลือเกิน ทั้งสองปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว ไอ้วงกระซิบแผ่วเบา
“ลูกนกขุนทองห้าตัวเชียวหนาส้มจีน”
ส้มจีนชะโงกดูรังนกที่มีนกน้อยที่เพิ่งฟักตัวได้ไม่กี่วันด้วยความสนใจและกระซิบถาม
“เอ็งมาเห็นได้อย่างไรไกลเรือนเราเพียงนี้”
“เป็นชะตาของข้ากระมัง ข้าจะเอามันไปเลี้ยงทั้งห้าตัวเลย”
“แล้วแม่มันล่ะไอ้วง”
“ไม่รู้ กลางวันมันก็คงออกไปหากินกระมัง”
ส้มจีนนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนจะบอกเสียงขรึมๆ เศร้าๆ
“เอ็งไปพรากลูกพรากแม่มันไม่กลัวบาปกรรมรึ”
ไอ้วงหน้าเศร้าไปเล็กน้อยก็บอกกับคนที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งน้องว่า
“ชีวิตข้าก็ถูกพรากพ่อพรากแม่เช่นกัน ถ้าไม่ได้พ่อส้มสุกชุบชีวิตข้าก็เห็นจะไม่รอด”
ไอ้วงนึกถึงอดีตที่ล่วงมานับสิบห้าปีเข้านี่แล้ว นายส้มสุกเคยเล่าถึงความเป็นมาของมัน
ยามนั้นอายุมันยังไม่เต็ม3 ขวบ ไม่รู้ประสาใดๆ มันนั่งร้องไห้ล่องมากับเรือ โดยมิรู้ว่าตนเองเป็นใคร พ่อแม่เป็นใคร มาจากที่ใด ใยมันจึงนั่งเรือล่องมาติดที่ท่าน้ำหน้าเรือนนายส้มสุก และเมื่อรู้ความ มันจึงสำนึกได้ดีว่ามันเป็นลูกกำพร้าที่ได้พ่อส้มสุกชุบชีวิต ได้เป็นเพื่อนเป็นพี่ของส้มจีน
มันรีบบอกส้มจีนเพื่อยืนยันความตั้งใจของมันว่า
“ข้าจะเป็นเสมือนพ่อส้มสุกที่ให้ชีวิตพวกมัน”
“แต่มันมีแม่ของมันอยู่หนาไอ้วงเอ๋ย”
ทั้งสองถกกันยังไม่จบความก็ต้องปิดปากเงียบ เมื่อได้ยินเสียงคนเดินมา ส้มจีนก้มลงมองใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เธอกับไอ้วงปีนอยู่ เห็นว่าชายคนหนึ่งนั้นคือนายด้วง ที่เคยไปที่บ่อนของเธอ นายด้วงผู้นี้แปลกที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมักคุ้น และไม่รู้ว่าทำมาหากินเช่นไรจึงมีเงินมาเล่นถั่วเล่นโปอยู่เนืองๆ
ส่วนชายอีกผู้หนึ่งนั้นไม่เคยเห็นหน้าในตำบลบางพูดนี้เลย ถ้อยสนทนาของคนทั้งสองทำให้ไอ้วงและส้มจีนถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ข้าเห็นสมควรว่าคืนเพ็ญเดือนสิบสองที่จะถึงนี้แหละเหมาะที่จะให้เสือเมฆเข้าปล้น บ้านเรือนที่อยู่กันหนาแน่นและดูมั่งคั่ง คือละแวกบ่อนของนายส้มสุก คงจะได้ทรัพย์ไปสักสิบหลังคาเรือนเชียวแหละเอ็ง”
“หนทางล่องหนของเสือเมฆเล่า”
คนที่ตั้งใจฟังด้วยหัวใจระทึกบนต้นไม้ต้องผิดหวังที่ไม่ได้ยินคำตอบจากนายด้วง เพราะมันฉุดแขนชายแปลกหน้ากระโดดข้ามร่องสวนเข้าไปยังเรือนของมันที่อยู่ห่างจากตรงที่ทั้งสองเกาะต้นไม้อยู่
“ตามไปดูทีรึไอ้วง” ส้มจีนทำท่าจะปีนลงไป แต่ไอ้วงฉุดแขนไว้
“ไม่ได้ดอกส้มจีน เราหาทางกลับเรือนดีกว่า”
“ไอ้คนขลาดเอ๊ย เอ็งเคยได้ยินคำล่ำลือหรือไม่ว่า ไอ้เสือเมฆคนนี้มันล่องหนหายตัวได้”
“เคย!! มันก็คงร่ำเรียนวิชามากระมัง”
“ข้าอยากรู้ว่ามันสองคนจะคิดการใด”
“ก็ได้ยินแล้วว่ามันจะปล้นหมู่บ้านเรา โดยมีนายด้วงเป็นไส้ศึก มันคงได้รับเงินหลายอยู่กระมัง ถึงได้ยอมชักศึกเข้าบ้านเยี่ยงนี้ เราไปแจ้งเรื่องให้ผู้ใหญ่ในบ้านเรารู้ดีกว่า”
ไอ้วงปีนลงมาและฉุดแขนส้มจีนวิ่งกลับเรือนได้รวดเร็วกว่าตอนมาเสียอีก
*****************************
นายส้มสุก ครูเดช และผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต่างประชุมกันว่าจะป้องกันทรัพย์ของตนเอง ด้วยการนำเอาทรัพย์สินฝังไว้ใต้ดิน และขอร้องชาวบ้านโดยเฉพาะชายฉกรรจ์ให้มาฝึกดาบเอาไว้เพื่อเตรียมรับมือกับเสือเมฆและสมุนของมัน ด้วยต่างก็ได้ยินกิตติศัพท์ว่าเสือเมฆนั้นเข้าปล้นที่ใดแล้วไม่มีใครจับตัวมันได้ เพราะมันล่องหนหายตัวได้
ทุกคนต่างเห็นด้วยและแยกย้ายกันไปเก็บทรัพย์สมบัติของตนเองฝังดิน และกลับมาฝึกซ้อมเพลงดาบให้ทะมัดทะแมงคล่องตัวขึ้น
“ทำไมเราไม่เค้นเอาความจากนายด้วงว่าเสือเมฆมีแผนการใดในการบุกปล้นหมู่บ้านเรา” ส้มจีนถามขึ้น
หลายคนในที่ประชุม เห็นด้วยกับการเค้นเอาความลับจากนายด้วง ดังนั้นครูเดชจึงกลายเป็นหัวหน้าคณะชายฉกรรจ์ห้าหกคน บุกล้อมจับนายด้วง โดยสั่งห้ามมิให้ส้มจีนตามไป
ด้วยสัตยาบรรณที่ได้ให้ไว้แก่สมุนของเสือเมฆ และได้รับค่าจ้างมาเป็นเงินจำนวนมหาศาล แม้ดาบจะจ่อคอมันอยู่ และมีทางรอดทางเดียวคือบอกความจริงเกี่ยวกับแผนการปล้นของเสือเมฆ แต่นายด้วงไม่ยอมคายความลับ มันชิงกัดลิ้นตนเองตายไปต่อหน้าต่อตาผู้คนที่รายล้อมมันอยู่
**********************
คืนวันลอยกระทง ชาวบ้านต่างไปเที่ยวงานที่วัดกู้กันตามปกติ แต่ได้จัดเวรยามซุ่มอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ระหว่างเรือนต่อเรือน โดยไม่เป็นที่สังเกต
คืนเพ็ญ แม้แสงจันทร์กระจ่าง แต่ก็ไม่อาจเห็นหน้าเสือเมฆและสมุนทั้งสี่ได้ชัดเจนนัก พวกมันบุกขึ้นเรือนหลายหลังแต่มิได้ทรัพย์สินใดๆ เลย
เมื่อได้จังหวะเหมาะ กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ซุ่มรออยู่ก็กรูกันออกมาปะดาบกับสมุนของเสือเมฆ เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ สมุนทั้งสี่ของเสือจอมล่องหนก็นอนตายเกลื่อนราวใบไม้ร่วง เหลือเพียงหนุ่มใหญ่ร่างบึกบึนที่แต่งกายทึมทึบ ปิดบังโฉมหน้าด้วยหน้ากากลายเสือที่ปะดาบอยู่กับครูเดช
ท่ามกลางความระทึกใจของผู้ที่ยืนล้อมกรอบอยู่ นาทีต่อมา ครูเดชก็เพลี่ยงพล้ำถูกเสือเมฆตวัดปลายดาบปาดคอจนล้มลงสิ้นใจบัดดล
ส้มจีนโกรธแค้นที่ครูดาบของเธอถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตาจึงกระโจนเข้าใส่เสือเมฆอย่างไม่กลัวตาย เป็นจังหวะเดียวกับที่เสือเมฆเตรียมจะเผ่น คมดาบของเธอที่หวดลงเต็มแรงจึงเฉาะลงไปที่กลางหลังของมันเสียงร้องโอ๊ก !! ด้วยความเจ็บปวด แต่มันก็วิ่งหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว กลุ่มชาวบ้านวิ่งไล่กวด แต่มิทันได้เห็นว่ามันลี้หายไปทางใด
มันหายไปรวดเร็วราวกับล่องหนดังที่มีเสียงร่ำลือจริงๆ แม้ตามรอยเลือดของมันในตอนเช้าตรู่ก็มิพบร่องรอย
ไม่มีผู้ใดรู้ความจริงว่าเสือเมฆนั้นมันใช้เงินทองของมีค่าที่ปล้นมาได้เลี้ยงสมุนและเผื่อแผ่ไปถึงบรรดาญาติๆ ของเหล่าสมุนของมันตามหมู่บ้าน ไล่เรื่อยมาแต่กรุงเก่า โดยให้บรรดาญาติของสมุนของมันทำตัวเป็นสาย คอยสืบและส่งข่าวว่าเหมาะจะเข้าปล้นหมู่บ้านใด บ้านผู้ใดมั่งคั่ง และคนที่เป็นสายจะต้องขุดหลุมใหญ่ไว้เป็นที่พรางตัวของมัน ยามปล้นเสร็จมันก็จะซ่อนตัวอยู่ในทางลับที่สายโจรเตรียมไว้ให้สองสามวันมันจึงจะเดินทางหนีออกจากแหล่งที่มันปล้น และไม่เคยพลาดมาก่อน
มีคราวนี้นั่นแลที่มันพลาดท่าเด็กสาวคนหนึ่งเจ็บปางตาย มันต้องซ่อนตัวอยู่ในหลุมพรางที่นายด้วงเตรียมไว้ให้ และต้องเยียวยาตนเองด้วยสมุนไพรเพียงลำพัง เพราะสมุนตายกันหมด
เหตุการณ์ที่ส้มจีนฝากรอยดาบไว้กลางหลังเสือเมฆกระฉ่อนไปเกือบทั้งจังหวัดนนทบุรี เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาตรวจเยี่ยม และกล่าวสรรเสริญความสามารถในการป้องกันตนเองของชาวบ้าน ยกย่องให้ส้มจีนเป็นวีรสตรีแห่งบางพูด ไม่กี่เพลาต่อมาชื่อเสียงของส้มจีนก็สะพัดไปถึงพระนคร