สู่เหมคีรี (ราชศักดิ์)
ประหยัด: 73.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
“ไม่ไกลเลย เหมือนนั่งเครื่องบินในประเทศ” ชายหนุ่มร่างใหญ่หน้า
คมผิวคลาเข้มเอ่ยกับชายข้าง ๆ ซึ่งดูอาวุโสกว่า
“เสียมราฐห่างจากกรุงเทพเท่าไรหรือ
“ราวสามร้อยกิโลเมตร” ชายหนุ่มตอบ
“เสียดายนะถ้าถนนจากไทยมาเสียมราฐสภาพดี คนไทยขับรถมาเที่ยวสบาย
เลย” สมชายเพื่อนอาจารย์รุ่นพี่ที่นั่งติดกันพูดกับชายหนุ่มผู้รับราชการเป็นอาจารย์
หลังจากไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐฯ “เป็นอย่างไรบาง คุณคงไม่ตื่นเต้นเท่าไร
ใช่ไหม เพราะมาครั้งที่สามแล้ว
“ตื่นเต้นเหมือนกันนะพี่ ไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไรเลย นี่เว้นช่วงไปหลายปีก็คิดถึง
ไม่น้อย ผมสนใจอารยธรรมขอมมาก ยิ่งมาได้เห็นก็ยิ่งอยากศึกษา” อโนชาตอบ
พลางจ้องมองลงไปยังภาพพื้นดินราชธานีเก่าของเขมรที่เคลื่อนใกล้เช้ามาเรื่อยๆ
เครื่องบินลดระดับฝ่าปุยเมฆสีขาวลงไป ครู่เดียวก็เห็นพื้นเดินสีเขียวที่เป็นไร่
นา ป่าไม้ ท้องน้ำกว้างใหญ่ของ ‘โตนเลสาบ’ หรือทะเลสาบน้ำจืดของเขมรแผ่
กว้างอยู่เบื้องล่าง ชายหนุ่มอดตื่นเต้นกับภาพที่เห็นไม่ได้แม้จะเคยมาเยือน ขณะนี้
เป็นกลางปี ๒๕๓๖ ซึ่งเหตุการณ์ในเขมรสงบลงแล้ว พวกเขาซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชา-
การด้านโบราณคดีของไทยจึงถือโอกาสเดินทางมาทัศนศึกษาเมืองพระนครอันเก่า
แก่ของอาณาจักรขอมหลังจากทิ้งช่วงไปนาน
“เวลาเที่ยวสามวันอาจน้อยไปนะ แค่นครวัด ถ้าจะดูจริงๆก็ไม่พอเสีย
แล้ว” พิมุขอาจารย์อาวุโสซึ่งนั่งอยู่ใกล้วินัยและสมชายเปรยขึ้น จากนั้นก็มองซ้าย
ขวาก่อนจะพูดต่อว่า “เรามันนักโบราณคดี เห็นอะไรก็อยากรู้ไปหมด ไม่เหมือน
พวกผู้หญิงที่ดูแบบฉาบฉวย จริง ๆ ต้องอยู่ที่นี่เป็นสัปดาห์ด้วยซ้ำถึงจะได้เห็นทั่ว
ถึง”
“ถ้าจะอยู่ก็ได้ แต่ราชการคงไล่เราออกเสียก่อน” สมชายยิ้มที่มุมปาก
พลางเหลือบมองสมศรี ภรรยาที่กำลังคุยเพลินกับเพื่อนก่อนจะหันมาพูดเบา ๆ กับ
ชายหนุ่ม “อโนชาคุณโชคดีนะที่มาคนเดียว อยากดูอะไรก็เป็นอิสระ ได้ชื่นชม
ปราสาทหินสะใจกว่าคนอื่น ๆ”
ชายหนุ่มคิดว่าสมชายพูดถูก เขาเคยเห็นเพื่อนอาจารย์ที่มาเที่ยวครั้งก่อนๆ
ไม่มีโอกาสชื่นชมศิลปะขอมอย่างจริงจังเลย เพราะลูกเมียไม่ชอบเสียเวลานาน
แม้จะตื่นเต้นกับความใหญ่โตอลังการ,ของปราสาทพูน
“ต้องขอบใจสหประชาชาตินะที่เช้ามาพูแลประเทศนี้ไม่เช่นนั้นพวกเราคง
ไม่มีโอกาสมาชมปราสาท” อาจารย์พิมุขผู้คง'แก่เรียนพูดพลางมองผ่านหน้าต่าง
ออกไป “หลังจากเวียดนามถอนทหารก็มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุง
ปารีส”
“เขาตกลงอะไรกันหรือคะ” สมศรีที่หยุดคุยชั่วครู่ หันมามองหน้าพิมุขเป็น
เชิงถาม
“ตามข้อตกลงจะต้องสลายกำลังเขมรฝ่ายต่าง ๆ ลงอย่างน้อยร้อยละเจ็ดสิบ
มีการส่งผู้อพยพกลับเขมร”
“จะมีการเลือกตั้งทั่วไปด้วย” วินัยเสริม
“เป็นเรื่องดีที่เขมรแดงยอมวางอาวุธหันมาต่อสู้ทางการเมืองกับฝ่ายเฮงสัมริน”
อโนชาให้ความเห็น
“แต่เฮงสัมรินก็มีเวียดนามสนับสนุน ดูแล้วยังวางใจไม่ได้ สหประชาชาติ
ถึงต้องส่งกำลังเข้าเขมรจานวนมาก” สมชายพูดแล้วยิ้มให้ภรรยา “รู้แล้วคงอุ่นใจ
ใช่ไหม บ้านเมืองสงบ ไม่น่ากลัวเหมือนที่คุณวิตกหรอก”
เครื่องบินร่อนลงสัมผัสสนามบินเสียมราฐอย่างนุ่มนวลหลังจากใช้เวลาบิน
จากกรุงเทพฯไม่นาน
อโนชาก้าวตามกลุ่มทัวร์ของบรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากรและญาติ
มิตรราวยี่สิบคนไปขึ้นรกบัสเก่า ๆ ซึ่งจอดอยู่ข้างสนามบินตามที่ตัวแทนบริษัททัวร์
เขมรจัดไว้ให้
“ค่าตั๋วเกือบร้อยเหรียญสหรัฐ ไม่ถูกเลยนะ” พิมุขบ่นกับสมชาย
“อย่าคิดมากเลยเพื่อน คิดว่าช่วยประเทศที่เสียหายจากสงครามก็แล้วกัน”
อีกฝ่ายหันมาตบไหล,เพื่อนเบา ๆ
รถเคลื่อนไปตามถนนลาดยางขนาดสองเลนซึ่งมีสภาพโล่ง นานๆจะมีรถ
สวนมาสักคันหนึ่ง ผ่านนักเรียนตัวเล็ก ๆ ที่ขี่จักรยานสวนมาเป็นกลุ่ม พวกเขา
สะพายย่าม สวมรองเท้าแตะ บางคนก็หิ้วปิ่นโตมา
ไม่นานนักรถบัสก็ผ่านตลาดเสียมราฐ /แสะพระราชวังสมเด็จสีหนุมาจอด
หน้าโรงแรมซึ่งจะเป็นที่พักของทุกคน
ป้ายหน้าโรงแรมบนชายคาของมุขที่ยื่นมาเหมอบันไดกว้างเป็นภาษาเขมร
ตัวใหญ่ ข้างไว้เขียนไว้ว่า ‘Grand Hotel O’ angkor
ตัวโรงแรมเป็นตึกสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว สูงสามชั้น สีเหลืองขีดและมีรอยด่าง
ดำจากกาลเวลา หน้าประตูบุตัวยกระเบื้องโมเสกสีชมพูสลับนํ้าเงิน
“สภาพค่อนข้างเก่านะ”สมชายมองไปที่ตัวตึกแล้วหันมาพูดกับอโนชาด้วย
สีหน้าผิดหวัง
“ตั้งมาสี่สิบปีแล้วนะพี่ ตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสปกครอง จะไม่ให้เก่าได้อย่างไร
ช่วงสงครามทิ้งร้างด้วยซ้ำ ผมมาพักคราวที่แล้วน้ำเกือบไม่ไหลเลย จริง ๆ แล้ว
เคยเป็นโรงแรมห้าดาว อาหารมีชื่อนะ” อโนชากวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อดูความ
เปลี่ยนแปลง
“หม่อมคึกฤทธิ์ก็เคยมาพัก” วินัยพูด ท่าทางคุ้นเคยกับสถานที่
“ไม่มีใครมาสร้างโรงแรมใหม่ ๆ บ้างเลยหรือ ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อ
ของโลกเลยนะ” พิมุขซึ่งเดินมาข้าง ๆ เปรยขึ้น
“คงรอดูเหตุการณ์ก่อน” สมชายพูด
“บางพื้นที่ยังมีเขมรแดงอยู่ ไม่มีนักธุรกิจคนไหนกล้าเอาเงินมาเสี่ยงหรอก
ขนาดที่นี่มีแค่เจ็คสิบห้องยังไม่ค่อยจะเต็มเลย” อโนชาพูดพลางยกกระเป๋าขึ้นบันได
ทุกคนเดินเข้าไปในห้องโถงซึ่งดูทึม ๆ ราวกับประหยัดไฟ รอบห้องมีโซฟาตั้ง
อยู่หลายตัว ไม่ห่างเคาน์เตอร์มีฝรั่ง ๔-๕ คนนั่งคุยกันอยู่
จากห้องโถงมีทางเดินมืด ๆ เข้าไปทั้งซ้ายขวา มีห้องพักผ่อนเล็ก ๆ อยู่ติดกัน
ในห้องมีโทรทัศน์และเครื่องเล่นเกม หากเดินทะลุออกด้านหลังก็จะเป็นห้องอาหาร
“ลิฟต์'ที่นี่สงลัยสร้างสมัยพระเจ้าเหา” สมศรีกวาดสายตาไปทั่วพร้อมบ่น เบา ๆ
กับสามีคล้ายให้ขำ
“โชคดีนะที่ได้ใช้ ถ้าเป็นที่อื่นคงอยู่ในพิพิธภัณฑ์” อโนชาหัวเราะเบาๆ
หลับตานึกถึงลิฟต์ที่มีสภาพคล้ายตู้ไม้ที่มีประตูทึบครึ่งล่างด้านบนโปร่ง เห็นลวดสลิง
ที่ยึดมุมลิฟต์ทั้งสี่และมีประตูเหล็กโปร่งกั้นอีกชั้นหนึ่ง
ชายหนุ่มล่งทิปให้พนักงานที่ช่วยขนกระเป๋ามาส่งถึงห้องพลางถอนใจ ห้อง
ข้าง ๆ เต็มไปด้วยทหารสหประชาชาติที่เข้ามาดูแลสถานการณ์ในรถเขมรหลังเวียดนาม
ถอนตัวออกไป
ภายในห้องพักมีเตียงเดี่ยวขนาดไม่ใหญ่นักอยู่สองเตียง ตรงข้ามเตียงมีตู้
เสื้อผ้าและโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ปลายเตียงมีผ้าห่มพับไร้อย่างเรียบร้อย ในห้องมี
ห้องนาพร้อม เหนืออ่างอาบนาน้ำมีถังน้ำขนาดใหญ่วางอยู่ ที่แปลกก็คือมีอ่างน้ำ
พลาสติกขนาดใหญ่มีน้ำเต็มวางอยู่บนโถส้วม
อโนชาส่ายหัว เขารู้ถึงความหมายของมันตี โรงแรมนี้ยังงมีปัญหาเรื่องน้ำ
คล้ายกับที่เคยพบนานมาแล้ว
ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนบนเตียงแล้วหันไปบอกวินัยซึ่งกำลังเปิดกระเป๋านำ
เสื้อผ้าออกมาแขวน “เก็บแรงไว้ให้ดีก็แล้วกัน มีปราสาทให้ตูมากมาย บางแห่ง
บันไดชันมากกว่าจะขนไปถึงข้างบน เล่นเอาหอบ”
อโนชานอนมองหลังคามุ้งที่หย่อนลงมาจากสี่มุมเสาเตียง แล้วหลับตานึก
ถึงภาพปราสาทหินที่เขาหลงใหล
เสียงวินัยอ่านหนังสือนำเที่ยวตังอยู่ในห้อง “นครวัดอยู่ห่างตัวเมืองห้ากิโล-
เมตร นครธมห่างแปดกิโลเมตร นครธมคือที่ทั้งของพระราชวังของกษัตริย์ขอม
ส่วนนครวัดเป็นทั้งเหวสถานและเป็นสุสานของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒”
อโนชาอดยิ้มไม่ได้ สำหรับคนที่สนใจปราสาทขอมเป็นพิเศษและเคยมาสอง
ครั้งแล้ว ถึงไม่มีหนังสือนำเที่ยวเขาก็แทบหลับตาเห็นทุกจุดในเมืองโบราณแห่งนี้
และที่เขาได้เปรียบคนอื่น ๆ ก็คือเขาพูดภาษาเขมรได้ เพราะเป็นเด็กชนบท
จากบุรีรัมย์ชายแดนเขมร
บ่ายวันรุ่งชิ้นคณะอาจารย์มีรายการไปเที่ยวปราสาทพระขรรค์ซึ่งอยู่ใกล้
นครธมทางเหนือ ปราสาทนี้สร้างสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เมื่อเกือบ ๘๐๐ ปี
มาแล้ว
“ปราสาทพระขรรค์สร้างช่วงพ.ศ. ๑๗๓๔-๑๗๔๔ เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ
ที่เขมรทำสงครามชนะพวกจามที่เข้ามายึดครองพระนครหลวง เดิมชื่อปราสาท
ชัยศรี พระเล้าชัยวรมันที่ ๗ ไข้พื้นที่ตรงจุดที่รับชนะพวกจามสร้างปราสาทนี้ขึ้น
ถวายพระราชบิดา” วินัยอ่านคู่มือให้เพื่อน ๆ พิง
รถจอดหน้าทางเข้าหลักด้านตะวันออกซึ่งเป็นถนนกว้างปูลาดด้วยแผ่นหิน
ตรงไปยังตัวปราสาทซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ไม้เขียวครึ้มทางออกไป ติดทางเข้าเป็นบาราย๑
ที่ตื้นเขินจนไม่เหลือสภาพเดิม ทางเดินทอดยาวไกลควรผ่านป่าไม้รกครึ้มสอง
ข้างทาง ข้างทางเข้ามีเสานางเรียงตั้งเรียงราย
บนกำแพงประตูมีภาพสลักครุฑยุดนาคขนาดใหญ่ สูงเท่ากำแพง ปราสาท
พระขรรค์ตูใหญ่โตและสมบูรณ์กว่าปราสาทตาพรหมที่วางผังคล้ายกัน
ต้นสะปงสูงใหญ่แผ่รากปกคลุมด้านข้างปราสาทคล้ายกับที่เห็นจากปราสาท
ตาพรหม
“ปราสาทนี้ที่จริงก็คือวัดในพระพุทธศาสนานั่นเอง” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“จริงรึ” วิภาภรรยาอาจารย์พิมุขหันมามองอโนชา “ตอนแรกคิดว่ามีแต่
ปราสาทในศาสนาฮินดูเสียอีก”
คงจริง ตามศิลาจารึกบอกว่าที่นี่มีผู้คนประจำอยู่เกือบแสนคน มีทั้งพระ
นักบวชอื่น คนรับใช้ชายหญิงและ,นัก'ระบำ มีการถวายเครื่องบูชาเป็นประจำ”
บ่ายคล้อย คณะของชาวศิลปากรต่างชวนกันกลับออกมายังที่จอดรถเพื่อ
เดินทางต่อไปยังปราสาทบาปวนซึ่งศิลาจารึกเรียกว่าเหมคิรีอันหมายถึงภูเขาทอง
กลางเมืองเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุกลางชมพูทวีปอันเป็นที่สถิตขององค์พระศิวะ
เจ้า
อโนชาเดินตามคณะไปตามทางเดินศิลายกพื้นสูงที่ทอดยาวสู่โคปุระ ด้าน
นอก จากพื้นล่างถึงยอดบนของปราสาททำเป็นรูปปีระมิดที่มีฐานสามชั้น ด้าน
หลังโคปุระมีกำแพงระเบียงต่อไปสองด้านและมีทางเดินเข้าไปโคปุระด้านใน บน
ระเบียงคดของฐานชั้นกลางมองเห็นช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียงราย มีคราบรา
สีดำให้เห็นอยู่ทั่วไปไม่ต่างจากปราสาทอื่น ๆ ที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน
ชายหนุ่มแหงนมองเนินปราสาทอันสูงใหญ่ชึ่งทำแนวขอบข้อนเป็นชั้นและ
ตกแต่งอย่างประณีต ยอดเนินเป็นซากฐานปรางค์ขนาดใหญ่เต็มไปด้วยก้อนหิน
ระเกะระกะ ปราสาทดูทรุดโทรมและอยู่ระหว่างการบูรณะ
อโนชาอดทึ่งกับขนาดมหึมาของปราสาทนี้ไม่ได้ กำแพงด้านนอกสุดยาว
เกือบครึ่งกิโลเมตร และกว้างราวร้อยเมตร เห็นได้ชัดว่าปรางค์ประธานไม่ได้
พังทลายลงมา ปราสาทบาปวนจะสูงเด่นสง่ากว่าปราสาทใดๆในเมืองพระนคร
เขาเดินผ่านโคปุระเข้าไปด้านในพลางแหงนคอตั้งบ่ามองยอดเนินด้วยความ
รู้สึกตื่นเต้นและมหัศจรรย์ใจ สถานที่แห่งนี้ให้อารมณ์แปลก ๆ อย่างที่ไม่เกิดกับ
ที่อื่นซึ่งเราเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
จากคู่มือบอกไว้ว่า ปราสาทบาปวนหรือเหมคีรีนี้เริ่มสร้างโดยพระเจ้าสุริย –
วรมันที่ ๑ และต่อเนื่องมาเสร็จในสมัยพระอุทัยทิตยวรมันที่ ๒ หรือราวหนึ่งพันปี
มาแจ้ว นั่นคือสร้างหลังปราสาทเขาพระวิหารราวหนึ่งร้อยปี แต่เก่ากว่าปราสาท
หินพิมายและนครวัดราวหนึ่งร้อยปี นับว่าเก่าและมีความสำคัญไม่น้อยเลย
เดินชมได้พกเหนึ่งคณะก็ชวนกันกลับเนื่องจากมีป้ายห้ามไว้ไม่สามารถเดินลึก
เข้าไปได้อีก
อโนชารู้สึกยังไม่อยากจากไป อดคิดไม่ได้ว่าอีกนานเท่าไรถึงจะได้กลับมาอีก
เพราะสถานการณ์ในเขมรนั้นหาความแน่นอนได้ยาก อีกตั้งงานที่ทำอยู่ก็รัดตัว
“ผมอยากจะเดินดูข้างในอีกลักพัก แจ้วจะหาทางกลับโรงแรมเอง ไม่ต้อง
ห่วง” อโนชาบอกอาจารย์สมชายหัวหน้าคณะซึ่งส่ายหัวเหมือนไม่เห็นด้วย แต่ด้วย
รู้ดีว่าอาจารย์หนุ่มหลงใหลในศิลปะขอมอย่างมากจึงพูดยิ้ม ๆ ว่า
“เกือบไม่มีมีคนเลย ดูวังเวงชอบกล เป็นผม...ไม่เอาด้วยหรอก”
“อย่าเผลอด้างที่นี่ก็แล้วกันนะอโนชา แถวนี้เป็นสนามรบเก่า มีคนตาย
มากมายนะ” พิมุขแกล้งพูดขู่
“อย่าห่วงเลย ยังมีคนเป็นเพื่อนอีกหลายคน” อโนชาขยิบตาไปทางฝรั่ง
สองสามคนที่กำลังเดินชม นอกจากนี้ตรงปากทางใกล้กันยังมีเด็กเขมรนำของที่
ระลึกมารอขายอีกกลุ่มหนึ่ง
“ตามใจ ผมไปก่อนก็แล้วกัน” เสียงตอบกลับอย่างไม่แปลกใจ ก่อนที่เจ้า
ของเสียงจะเดินออกโคปุระไป
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)