สู่เหมคีรี (ราชศักดิ์)

สู่เหมคีรี (ราชศักดิ์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742533236
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 210.00 บาท 52.50 บาท
ประหยัด: 157.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“ไม่ไกลเลย เหมือนนั่งเครื่องบินในประเทศ” ชายหนุ่มร่างใหญ่หน้า

คมผิวคลาเข้มเอ่ยกับชายข้าง ๆ ซึ่งดูอาวุโสกว่า

“เสียมราฐห่างจากกรุงเทพเท่าไรหรือ

“ราวสามร้อยกิโลเมตร” ชายหนุ่มตอบ

“เสียดายนะถ้าถนนจากไทยมาเสียมราฐสภาพดี คนไทยขับรถมาเที่ยวสบาย

เลย” สมชายเพื่อนอาจารย์รุ่นพี่ที่นั่งติดกันพูดกับชายหนุ่มผู้รับราชการเป็นอาจารย์

หลังจากไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐฯ “เป็นอย่างไรบาง คุณคงไม่ตื่นเต้นเท่าไร

ใช่ไหม เพราะมาครั้งที่สามแล้ว

“ตื่นเต้นเหมือนกันนะพี่ ไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไรเลย นี่เว้นช่วงไปหลายปีก็คิดถึง

ไม่น้อย ผมสนใจอารยธรรมขอมมาก ยิ่งมาได้เห็นก็ยิ่งอยากศึกษา” อโนชาตอบ

พลางจ้องมองลงไปยังภาพพื้นดินราชธานีเก่าของเขมรที่เคลื่อนใกล้เช้ามาเรื่อยๆ

เครื่องบินลดระดับฝ่าปุยเมฆสีขาวลงไป ครู่เดียวก็เห็นพื้นเดินสีเขียวที่เป็นไร่

นา ป่าไม้ ท้องน้ำกว้างใหญ่ของ ‘โตนเลสาบ’ หรือทะเลสาบน้ำจืดของเขมรแผ่

กว้างอยู่เบื้องล่าง ชายหนุ่มอดตื่นเต้นกับภาพที่เห็นไม่ได้แม้จะเคยมาเยือน ขณะนี้

เป็นกลางปี ๒๕๓๖ ซึ่งเหตุการณ์ในเขมรสงบลงแล้ว พวกเขาซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชา-

การด้านโบราณคดีของไทยจึงถือโอกาสเดินทางมาทัศนศึกษาเมืองพระนครอันเก่า

แก่ของอาณาจักรขอมหลังจากทิ้งช่วงไปนาน

“เวลาเที่ยวสามวันอาจน้อยไปนะ แค่นครวัด ถ้าจะดูจริงๆก็ไม่พอเสีย

แล้ว” พิมุขอาจารย์อาวุโสซึ่งนั่งอยู่ใกล้วินัยและสมชายเปรยขึ้น จากนั้นก็มองซ้าย

ขวาก่อนจะพูดต่อว่า “เรามันนักโบราณคดี เห็นอะไรก็อยากรู้ไปหมด ไม่เหมือน

พวกผู้หญิงที่ดูแบบฉาบฉวย จริง ๆ ต้องอยู่ที่นี่เป็นสัปดาห์ด้วยซ้ำถึงจะได้เห็นทั่ว

ถึง”

“ถ้าจะอยู่ก็ได้ แต่ราชการคงไล่เราออกเสียก่อน” สมชายยิ้มที่มุมปาก

พลางเหลือบมองสมศรี ภรรยาที่กำลังคุยเพลินกับเพื่อนก่อนจะหันมาพูดเบา ๆ กับ

ชายหนุ่ม “อโนชาคุณโชคดีนะที่มาคนเดียว อยากดูอะไรก็เป็นอิสระ ได้ชื่นชม

ปราสาทหินสะใจกว่าคนอื่น ๆ”

ชายหนุ่มคิดว่าสมชายพูดถูก เขาเคยเห็นเพื่อนอาจารย์ที่มาเที่ยวครั้งก่อนๆ

ไม่มีโอกาสชื่นชมศิลปะขอมอย่างจริงจังเลย เพราะลูกเมียไม่ชอบเสียเวลานาน

แม้จะตื่นเต้นกับความใหญ่โตอลังการ,ของปราสาทพูน

“ต้องขอบใจสหประชาชาตินะที่เช้ามาพูแลประเทศนี้ไม่เช่นนั้นพวกเราคง

ไม่มีโอกาสมาชมปราสาท” อาจารย์พิมุขผู้คง'แก่เรียนพูดพลางมองผ่านหน้าต่าง

ออกไป “หลังจากเวียดนามถอนทหารก็มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุง

ปารีส”

“เขาตกลงอะไรกันหรือคะ” สมศรีที่หยุดคุยชั่วครู่ หันมามองหน้าพิมุขเป็น

เชิงถาม

“ตามข้อตกลงจะต้องสลายกำลังเขมรฝ่ายต่าง ๆ ลงอย่างน้อยร้อยละเจ็ดสิบ

มีการส่งผู้อพยพกลับเขมร”

“จะมีการเลือกตั้งทั่วไปด้วย” วินัยเสริม

“เป็นเรื่องดีที่เขมรแดงยอมวางอาวุธหันมาต่อสู้ทางการเมืองกับฝ่ายเฮงสัมริน”

อโนชาให้ความเห็น

“แต่เฮงสัมรินก็มีเวียดนามสนับสนุน ดูแล้วยังวางใจไม่ได้ สหประชาชาติ

ถึงต้องส่งกำลังเข้าเขมรจานวนมาก” สมชายพูดแล้วยิ้มให้ภรรยา “รู้แล้วคงอุ่นใจ

ใช่ไหม บ้านเมืองสงบ ไม่น่ากลัวเหมือนที่คุณวิตกหรอก”

เครื่องบินร่อนลงสัมผัสสนามบินเสียมราฐอย่างนุ่มนวลหลังจากใช้เวลาบิน

จากกรุงเทพฯไม่นาน

อโนชาก้าวตามกลุ่มทัวร์ของบรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากรและญาติ

มิตรราวยี่สิบคนไปขึ้นรกบัสเก่า ๆ ซึ่งจอดอยู่ข้างสนามบินตามที่ตัวแทนบริษัททัวร์

เขมรจัดไว้ให้

“ค่าตั๋วเกือบร้อยเหรียญสหรัฐ ไม่ถูกเลยนะ” พิมุขบ่นกับสมชาย

“อย่าคิดมากเลยเพื่อน คิดว่าช่วยประเทศที่เสียหายจากสงครามก็แล้วกัน”

อีกฝ่ายหันมาตบไหล,เพื่อนเบา ๆ

รถเคลื่อนไปตามถนนลาดยางขนาดสองเลนซึ่งมีสภาพโล่ง นานๆจะมีรถ

สวนมาสักคันหนึ่ง ผ่านนักเรียนตัวเล็ก ๆ ที่ขี่จักรยานสวนมาเป็นกลุ่ม พวกเขา

สะพายย่าม สวมรองเท้าแตะ บางคนก็หิ้วปิ่นโตมา

ไม่นานนักรถบัสก็ผ่านตลาดเสียมราฐ /แสะพระราชวังสมเด็จสีหนุมาจอด

หน้าโรงแรมซึ่งจะเป็นที่พักของทุกคน

ป้ายหน้าโรงแรมบนชายคาของมุขที่ยื่นมาเหมอบันไดกว้างเป็นภาษาเขมร

ตัวใหญ่ ข้างไว้เขียนไว้ว่า ‘Grand Hotel O’ angkor

ตัวโรงแรมเป็นตึกสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว สูงสามชั้น สีเหลืองขีดและมีรอยด่าง

ดำจากกาลเวลา หน้าประตูบุตัวยกระเบื้องโมเสกสีชมพูสลับนํ้าเงิน

“สภาพค่อนข้างเก่านะ”สมชายมองไปที่ตัวตึกแล้วหันมาพูดกับอโนชาด้วย

สีหน้าผิดหวัง

“ตั้งมาสี่สิบปีแล้วนะพี่ ตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสปกครอง จะไม่ให้เก่าได้อย่างไร

ช่วงสงครามทิ้งร้างด้วยซ้ำ ผมมาพักคราวที่แล้วน้ำเกือบไม่ไหลเลย จริง ๆ แล้ว

เคยเป็นโรงแรมห้าดาว อาหารมีชื่อนะ” อโนชากวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อดูความ

เปลี่ยนแปลง

                “หม่อมคึกฤทธิ์ก็เคยมาพัก” วินัยพูด ท่าทางคุ้นเคยกับสถานที่

                “ไม่มีใครมาสร้างโรงแรมใหม่ ๆ บ้างเลยหรือ ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อ

ของโลกเลยนะ” พิมุขซึ่งเดินมาข้าง ๆ เปรยขึ้น

                “คงรอดูเหตุการณ์ก่อน” สมชายพูด

                “บางพื้นที่ยังมีเขมรแดงอยู่ ไม่มีนักธุรกิจคนไหนกล้าเอาเงินมาเสี่ยงหรอก

ขนาดที่นี่มีแค่เจ็คสิบห้องยังไม่ค่อยจะเต็มเลย” อโนชาพูดพลางยกกระเป๋าขึ้นบันได

                ทุกคนเดินเข้าไปในห้องโถงซึ่งดูทึม ๆ ราวกับประหยัดไฟ รอบห้องมีโซฟาตั้ง

อยู่หลายตัว ไม่ห่างเคาน์เตอร์มีฝรั่ง ๔-๕ คนนั่งคุยกันอยู่

                จากห้องโถงมีทางเดินมืด ๆ เข้าไปทั้งซ้ายขวา มีห้องพักผ่อนเล็ก ๆ อยู่ติดกัน

ในห้องมีโทรทัศน์และเครื่องเล่นเกม หากเดินทะลุออกด้านหลังก็จะเป็นห้องอาหาร

“ลิฟต์'ที่นี่สงลัยสร้างสมัยพระเจ้าเหา” สมศรีกวาดสายตาไปทั่วพร้อมบ่น เบา ๆ

กับสามีคล้ายให้ขำ

“โชคดีนะที่ได้ใช้ ถ้าเป็นที่อื่นคงอยู่ในพิพิธภัณฑ์” อโนชาหัวเราะเบาๆ

หลับตานึกถึงลิฟต์ที่มีสภาพคล้ายตู้ไม้ที่มีประตูทึบครึ่งล่างด้านบนโปร่ง เห็นลวดสลิง

ที่ยึดมุมลิฟต์ทั้งสี่และมีประตูเหล็กโปร่งกั้นอีกชั้นหนึ่ง

ชายหนุ่มล่งทิปให้พนักงานที่ช่วยขนกระเป๋ามาส่งถึงห้องพลางถอนใจ ห้อง

ข้าง ๆ เต็มไปด้วยทหารสหประชาชาติที่เข้ามาดูแลสถานการณ์ในรถเขมรหลังเวียดนาม

ถอนตัวออกไป

ภายในห้องพักมีเตียงเดี่ยวขนาดไม่ใหญ่นักอยู่สองเตียง ตรงข้ามเตียงมีตู้

เสื้อผ้าและโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ปลายเตียงมีผ้าห่มพับไร้อย่างเรียบร้อย ในห้องมี

ห้องนาพร้อม เหนืออ่างอาบนาน้ำมีถังน้ำขนาดใหญ่วางอยู่ ที่แปลกก็คือมีอ่างน้ำ

พลาสติกขนาดใหญ่มีน้ำเต็มวางอยู่บนโถส้วม

อโนชาส่ายหัว เขารู้ถึงความหมายของมันตี โรงแรมนี้ยังงมีปัญหาเรื่องน้ำ

คล้ายกับที่เคยพบนานมาแล้ว

ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนบนเตียงแล้วหันไปบอกวินัยซึ่งกำลังเปิดกระเป๋านำ

เสื้อผ้าออกมาแขวน “เก็บแรงไว้ให้ดีก็แล้วกัน มีปราสาทให้ตูมากมาย บางแห่ง

บันไดชันมากกว่าจะขนไปถึงข้างบน เล่นเอาหอบ”

อโนชานอนมองหลังคามุ้งที่หย่อนลงมาจากสี่มุมเสาเตียง แล้วหลับตานึก

ถึงภาพปราสาทหินที่เขาหลงใหล

เสียงวินัยอ่านหนังสือนำเที่ยวตังอยู่ในห้อง “นครวัดอยู่ห่างตัวเมืองห้ากิโล-

เมตร นครธมห่างแปดกิโลเมตร นครธมคือที่ทั้งของพระราชวังของกษัตริย์ขอม

ส่วนนครวัดเป็นทั้งเหวสถานและเป็นสุสานของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒”

อโนชาอดยิ้มไม่ได้ สำหรับคนที่สนใจปราสาทขอมเป็นพิเศษและเคยมาสอง

ครั้งแล้ว ถึงไม่มีหนังสือนำเที่ยวเขาก็แทบหลับตาเห็นทุกจุดในเมืองโบราณแห่งนี้

และที่เขาได้เปรียบคนอื่น ๆ ก็คือเขาพูดภาษาเขมรได้ เพราะเป็นเด็กชนบท

จากบุรีรัมย์ชายแดนเขมร

บ่ายวันรุ่งชิ้นคณะอาจารย์มีรายการไปเที่ยวปราสาทพระขรรค์ซึ่งอยู่ใกล้

นครธมทางเหนือ ปราสาทนี้สร้างสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เมื่อเกือบ ๘๐๐ ปี

มาแล้ว

“ปราสาทพระขรรค์สร้างช่วงพ.ศ. ๑๗๓๔-๑๗๔๔ เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ

ที่เขมรทำสงครามชนะพวกจามที่เข้ามายึดครองพระนครหลวง เดิมชื่อปราสาท

ชัยศรี พระเล้าชัยวรมันที่ ๗ ไข้พื้นที่ตรงจุดที่รับชนะพวกจามสร้างปราสาทนี้ขึ้น

ถวายพระราชบิดา” วินัยอ่านคู่มือให้เพื่อน ๆ พิง

รถจอดหน้าทางเข้าหลักด้านตะวันออกซึ่งเป็นถนนกว้างปูลาดด้วยแผ่นหิน

ตรงไปยังตัวปราสาทซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ไม้เขียวครึ้มทางออกไป ติดทางเข้าเป็นบาราย

ที่ตื้นเขินจนไม่เหลือสภาพเดิม ทางเดินทอดยาวไกลควรผ่านป่าไม้รกครึ้มสอง

ข้างทาง ข้างทางเข้ามีเสานางเรียงตั้งเรียงราย

บนกำแพงประตูมีภาพสลักครุฑยุดนาคขนาดใหญ่ สูงเท่ากำแพง ปราสาท

พระขรรค์ตูใหญ่โตและสมบูรณ์กว่าปราสาทตาพรหมที่วางผังคล้ายกัน

ต้นสะปงสูงใหญ่แผ่รากปกคลุมด้านข้างปราสาทคล้ายกับที่เห็นจากปราสาท

ตาพรหม

“ปราสาทนี้ที่จริงก็คือวัดในพระพุทธศาสนานั่นเอง” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

“จริงรึ” วิภาภรรยาอาจารย์พิมุขหันมามองอโนชา “ตอนแรกคิดว่ามีแต่

ปราสาทในศาสนาฮินดูเสียอีก”

คงจริง ตามศิลาจารึกบอกว่าที่นี่มีผู้คนประจำอยู่เกือบแสนคน มีทั้งพระ

นักบวชอื่น คนรับใช้ชายหญิงและ,นัก'ระบำ มีการถวายเครื่องบูชาเป็นประจำ”

บ่ายคล้อย คณะของชาวศิลปากรต่างชวนกันกลับออกมายังที่จอดรถเพื่อ

เดินทางต่อไปยังปราสาทบาปวนซึ่งศิลาจารึกเรียกว่าเหมคิรีอันหมายถึงภูเขาทอง

กลางเมืองเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุกลางชมพูทวีปอันเป็นที่สถิตขององค์พระศิวะ

เจ้า

อโนชาเดินตามคณะไปตามทางเดินศิลายกพื้นสูงที่ทอดยาวสู่โคปุระ ด้าน

นอก จากพื้นล่างถึงยอดบนของปราสาททำเป็นรูปปีระมิดที่มีฐานสามชั้น ด้าน

หลังโคปุระมีกำแพงระเบียงต่อไปสองด้านและมีทางเดินเข้าไปโคปุระด้านใน บน

ระเบียงคดของฐานชั้นกลางมองเห็นช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียงราย มีคราบรา

สีดำให้เห็นอยู่ทั่วไปไม่ต่างจากปราสาทอื่น ๆ ที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน

ชายหนุ่มแหงนมองเนินปราสาทอันสูงใหญ่ชึ่งทำแนวขอบข้อนเป็นชั้นและ

ตกแต่งอย่างประณีต ยอดเนินเป็นซากฐานปรางค์ขนาดใหญ่เต็มไปด้วยก้อนหิน

ระเกะระกะ ปราสาทดูทรุดโทรมและอยู่ระหว่างการบูรณะ

อโนชาอดทึ่งกับขนาดมหึมาของปราสาทนี้ไม่ได้ กำแพงด้านนอกสุดยาว

เกือบครึ่งกิโลเมตร และกว้างราวร้อยเมตร เห็นได้ชัดว่าปรางค์ประธานไม่ได้

พังทลายลงมา ปราสาทบาปวนจะสูงเด่นสง่ากว่าปราสาทใดๆในเมืองพระนคร

เขาเดินผ่านโคปุระเข้าไปด้านในพลางแหงนคอตั้งบ่ามองยอดเนินด้วยความ

รู้สึกตื่นเต้นและมหัศจรรย์ใจ สถานที่แห่งนี้ให้อารมณ์แปลก ๆ อย่างที่ไม่เกิดกับ

ที่อื่นซึ่งเราเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

จากคู่มือบอกไว้ว่า ปราสาทบาปวนหรือเหมคีรีนี้เริ่มสร้างโดยพระเจ้าสุริย –

วรมันที่ ๑ และต่อเนื่องมาเสร็จในสมัยพระอุทัยทิตยวรมันที่ ๒ หรือราวหนึ่งพันปี

มาแจ้ว นั่นคือสร้างหลังปราสาทเขาพระวิหารราวหนึ่งร้อยปี แต่เก่ากว่าปราสาท

หินพิมายและนครวัดราวหนึ่งร้อยปี นับว่าเก่าและมีความสำคัญไม่น้อยเลย

เดินชมได้พกเหนึ่งคณะก็ชวนกันกลับเนื่องจากมีป้ายห้ามไว้ไม่สามารถเดินลึก

เข้าไปได้อีก

อโนชารู้สึกยังไม่อยากจากไป อดคิดไม่ได้ว่าอีกนานเท่าไรถึงจะได้กลับมาอีก

เพราะสถานการณ์ในเขมรนั้นหาความแน่นอนได้ยาก อีกตั้งงานที่ทำอยู่ก็รัดตัว

“ผมอยากจะเดินดูข้างในอีกลักพัก แจ้วจะหาทางกลับโรงแรมเอง ไม่ต้อง

ห่วง” อโนชาบอกอาจารย์สมชายหัวหน้าคณะซึ่งส่ายหัวเหมือนไม่เห็นด้วย แต่ด้วย

รู้ดีว่าอาจารย์หนุ่มหลงใหลในศิลปะขอมอย่างมากจึงพูดยิ้ม ๆ ว่า

“เกือบไม่มีมีคนเลย ดูวังเวงชอบกล เป็นผม...ไม่เอาด้วยหรอก”

“อย่าเผลอด้างที่นี่ก็แล้วกันนะอโนชา แถวนี้เป็นสนามรบเก่า มีคนตาย

มากมายนะ” พิมุขแกล้งพูดขู่

“อย่าห่วงเลย ยังมีคนเป็นเพื่อนอีกหลายคน”  อโนชาขยิบตาไปทางฝรั่ง

สองสามคนที่กำลังเดินชม นอกจากนี้ตรงปากทางใกล้กันยังมีเด็กเขมรนำของที่

ระลึกมารอขายอีกกลุ่มหนึ่ง

“ตามใจ ผมไปก่อนก็แล้วกัน” เสียงตอบกลับอย่างไม่แปลกใจ ก่อนที่เจ้า

ของเสียงจะเดินออกโคปุระไป

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024