เงาใจ (ชูวงศ์ ฉายะจินดา)

เงาใจ (ชูวงศ์ ฉายะจินดา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742534127
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ภาพสตรีสาวร่างโปร่งในชุดกางเกงยีนสีน้ำเงินเก่าๆ และเสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง

สีหม่นมอ มือหนึ่งถือกระเช้าหวายใบใหญ่ อีกมือหนึ่งถือกรรไกรตัดดอกไม้

ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่ในบริเวณสวน จนผมยาวสลวยที่รวบไว้

เป็นหางม้านั้นไหวไปมาอยู่เบื้องหลัง ทำให้บุรุษและสตรีวัยสูงคู่หนึ่งซึ่งกำลัง

ทอดสายตามองตามหล่อนมาจากหน้าต่างห้องรับแขกบนเรือนใหญ่ อดยิ้มด้วย

ความเอ็นดูมิได้

“ยายเมลงสวนแต่เช้าเทียวรึ? ฉันนึกว่าแกยังไม่ตื่นเสียอีก โรงร่ำโรง-

เรียนก็ไม่ต้องไปแล้วนี่” เป็นคำปรารภของบุรุษร่างอ้วนใหญ่วัยใกล้หกสิบ

พลางขยับแว่นตากรอบทองให้กระชับยิ่งขึ้น

สตรีร่างแบบบางผู้ยืนเกาะขอบหน้าต่างมองดูภาพเดียวกันนั้นหันมายิ้ม

ความภาคภูมิใจฉายชัดอยู่ในดวงหน้า ซึ่งยังมีเค้าความงามเหลืออยู่มากกว่า

สตรีในวัยสี่สิบเศษด้วยกัน

“หนูเมขยันค่ะ คุณพี่ งานในสวนส่วนใหญ่ก็ได้อาศัยแรงเขาน่ะค่ะ

กลางคืนก็ลงไปท่อมๆ จับหนอนกุหลาบ ไม่เหมือนพ่อน้องชายนี่คะ พ่อนั่น

ไม่ปลุกไม่มีตื่น”

“เด็กผู้ชายก็ยังงี้แหละ แม่มณี เอาแต่กินกับนอน แล้วก็เที่ยว มี

ลูกชายหนุ่มๆ น่ะถ้าไม่เสเพลเกกมะเหรกเที่ยวก่อความเดือดร้อน มันก็บุญ

ของพ่อแม่แล้วละ อย่าหวังถึงกับจะได้พึ่งพาอะไรมันเลย”

คุณมณียิ้มน้อยๆ เป็นเชิงเห็นด้วย นำอาคันตุกะสูงวัยกลับมานั่งที่โต๊ะ

รับแขกชุดไม้สักเก่าคร่ำคร่าที่กลางห้องพลางถามขึ้น

“วันนี้คุณพี่มาแต่เช้า มีธุระอะไรจะใช้ดิฉันด้วยหรือเปล่าคะ?”

“ธุระน่ะมันมี ที่มาแต่เช้าก็เพราะกลัวจะมาไม่พบแม่มณีเท่านั้น”

“วันหนึ่งๆ ดิฉันไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนหรอกค่ะ นั่งจัดแต่กระเช้า

ทั้งวัน นี่คุณพี่รับข้าวมาแล้วยังคะ?”

“ฉันไม่กินข้าวเช้ามานานแล้ว แม่มณีไม่รู้หรอกเรอะ ตอนนี้เบาหวาน

มันเล่นงานหนักมืออยู่หน่อย ไม่ลดอาหารก็สู้มันไม่ไหว”

สีหน้าอันเต็มไปด้วยความกังวลของคุณมณี ทำให้ผู้พูดกลับยิ้มอย่าง

เห็นขัน

“อย่าห่วงเลย ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า”

“คุณพี่อย่าพูดยังงี้ซิคะ ดิฉันยิ่งใจไม่ดี คุณพี่มีธุระอะไรก็พูดไปเถอะ

ค่ะ”

บุรุษผู้มีอาวุโสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แววตาขุ่นมัวเบื้องหลังแว่นสีขาวใส

บอกความครุ่นคิด

“เรื่องนี้คงจะต้องพูดกันยืดยาวอยู่หรอก แม่มณีจะกินข้าวกินปลาเสีย

ก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ปกติดิฉันรับประทานสายๆ รอหนูเมก่อน”

“ก็ตาไมตรีล่ะ แกจะต้องรีบไปโรงเรียนไม่ใช่เรอะ?”

“พ่อนั่นน่ะ ไม่ต้องห่วงเขาหรอกค่ะ เช้าขึ้นก็จะรีบไปโรงเรียนท่าเดียว

ข้าวปลาไม่มีนึกถึง เห็นว่าวันไหนทานข้าวเช้าก็ขึ้นรถไม่ได้ ตอนสายๆ รถเมล์

แน่นเหลือเกินค่ะ”

“ก็ทำไมไม่ตื่นให้มันเช้าขึ้นอีกหน่อยล่ะ?”

ผู้เป็นมารดายิ้มขันๆ

“ปัญหาโลกแตกค่ะ ใครถามคำถามนี้พ่อเจ้าประคุณตอบไม่ได้สักที”

“นอนดึกนักกระมัง?”

“ค่ะ เขานอนดึกๆ ทุกวัน การบ้านน่ะยิ่งโตก็ยิ่งมีมาก ทำเท่าไรไม่รู้จัก

เสร็จ”

“ไม่ใช่มัวดูทีวีเสียหรอกเรอะ?”

“วันธรรมดาไม่ได้ดูหรอกค่ะ ทีวี วันเสาร์อาทิตย์ละก็อนุญาต แต่ก็

นั่นแหละค่ะ วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าเขาสักกี่ชั่วโมงหรอก”

เสียงกระแอมเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินออกมาจาก

ในห้อง เมื่อบุคคลทั้งสองเหลียวไป ก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายอายุในราว

สิบเจ็ดสิบแปดปี แต่งเครื่องแบบนักเรียนเรียบร้อย แต่ยังมิได้สวมรองเท้า

มือหนึ่งหิ้วกระเป๋าเรียนใบใหญ่ ส่วนอีกมือหนึ่งถือถุงเท้าสีขาวติดมือออกมา

ด้วย

พบสบตากับบุรุษสูงวัย เขาก็รีบพนมมือไหว้ทั้งๆ ที่มิได้วางของในมือลง

มารดาจึงดุให้

“นั่นจะวางของลงเสียก่อนไม่ได้เรอะ แกนี่ชักจะเป็นทโมนขึ้นทุกวัน

แล้วนะตาไม”

เด็กหนุ่มหัวเราะแหะๆ แทนคำตอบ เดินค้อมหลังหลีกผู้ใหญ่ไปนั่งสวม

ถุงเท้ารองเท้าตรงบันไดเรือน

“ช่างหัวมันเถอะน่าแม่มณี มันจะรีบไปโรงเรียน” อาคันตุกะสูงวัยเอ่ยขึ้น

ยิ้มๆ “ไงหลานชาย แกไม่กินข้าวไปโรงเรียนแล้วไม่หิวเรอะ?”

“ไม่หิวฮะ คุณลุง ผมชินแล้ว” เขาตอบแกมหัวเราะ แล้วหันมายก

มือไหว้ทั้งมารดาและผู้ที่เขาเรียก ‘คุณลุง’ อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะคว้ากระเป๋า

ลงจากเรือนไป

คุณมณีส่ายหน้าอย่างระอาบุตรชาย แต่ไม่วายส่งเสียงตามหลังไปว่า

“รถเมล์คนแน่นแล้วอย่าโหนบันไดไปนะลูก รอไปคันหลังนะ”

“ขืนรอคันหลังผมเก๊าะคันก้นซีแม่” เสียงบุตรชายร้องตอบมาแล้วก็มี

เสียงประตูหน้าบ้านปิดดังปังใหญ่

“มันอะไรของเขานะ ขืนรอคันหลังจะคันก้น?”

“เขาหมายถึงถูกเฆี่ยนน่ะค่ะ ที่โรงเรียนนี้ใครไปไม่ทันระฆังเป็นโดนไม้-

เรียว คิดเป็นนาทีเชียวค่ะ”

“อือม์ ยังไม่หมดสมัยเฆี่ยนตีกันอีกเรอะ? ไหนว่ามีโรงเรียนสาธก-

สาธิตอะไรกันแล้วไงล่ะ เห็นว่าอบรมเด็กแบบสมัยใหม่ ไม่มีการเฆี่ยนการตี

ให้อิสระเต็มที่”

“แต่โรงเรียนตาไม เขาไม่ใช่โรงเรียนสาธิตหรอกค่ะคุณพี่ ดิฉันเองก็

ไม่ชอบให้ลูกมีอิสระเกินไป เดี๋ยวเลยหนีโรงเรียนไปเข้าแก๊งปาระเบิดขวดกับ

เขาหรอก”

“จริง ฉันยังไม่วายเห็นด้วยกับภาษิต ‘รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’ เด็กมัน

ยังไม่รู้ผิดรู้ชอบ ปล่อยอิสระนักมันก็จะเหลิงเตลิดเปิดเปิงกันไป”

คุณมณียิ้มรับความเห็นนั้น แล้วจึงชวนให้หันกลับหาเรื่องเดิมที่พูดกัน

ค้างไว้

“เมื่อกี้คุณพี่ว่าจะพูดธุระไงคะ มัวคุยเรื่องอื่น ดิฉันเกรงคุณพี่จะลืมธุระ

เสียหรอก”

“อ๋อ ธุระน่ะ ไม่ลืมแน่ ตั้งใจมาทั้งคืนจะลืมได้ยังไง”

“งั้นก็ว่ามาเลยเถอะค่ะ ดิฉันกำลังรอฟังอยู่แล้ว”

อาคันตุกะผู้สูงวัย มีอาการอึดอัดใจเล็กน้อย แต่แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า

“แม่มณี จำได้ไหมว่าเมื่อยายเมเรียนจบใหม่ๆ ฉันเคยเอ่ยปากขอแก

เป็นลูก โดยสัญญาจะส่งเสียให้แกเรียนต่อในมหาวิทยาลัย”

“จำได้ค่ะ แต่หนูเมแกปฏิเสธ เพราะแกไม่อยากจากดิฉันและน้องไป”

“นั่นสิ คราวนี้ฉันจึงอยากจะตั้งข้อเสนอใหม่ หวังว่าบางทีแกจะไม่

ปฏิเสธ”

แววตาของคุณมณี บอกความกังวลใจขึ้นมาอีกครั้ง

“คราวนี้คุณพี่จะเสนออย่างไรคะ?”

“ฉันจะรับเธอและตาไมไปอยู่ที่โน่นด้วยกันทั้งหมด และจะรับส่งเสียตาไม

ให้ได้เข้ามหาวิทยาลัยปีหน้าด้วย จบมหาวิทยาลัยแล้วก็จะส่งไปเรียนต่อเมือง

นอก ตามแต่แกจะต้องการไปประเทศไหน”

“เพียงแต่ให้หนูเมยอมเป็นลูกบุญธรรมของคุณพี่เท่านั้นเองหรือคะ?”

คุณมณีท้วงอย่างฉงน “ดิฉันยังไม่เข้าใจว่า เพราะอะไรคุณพี่จึงอยากได้หนูเม

เป็นลูกบุญธรรมนัก ในเมื่อคุณพี่ก็มีพ่อวาทิตอยู่แล้วทั้งคน ถึงจะเป็นลูกบุญ-

ธรรมเหมือนกันแต่คุณพี่ก็รักแกมากไม่ใช่หรือคะ?”

“ถูกละ ฉันรักทิตมาก จึงอยากจะให้เขามีความสุข”

“แล้วคุณพี่คิดว่าการที่คุณพี่รับหนูเมเป็นลูกบุญธรรมอีกคนหนึ่ง จะทำ

ให้พ่อวาทิตมีความสุขขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้งั้นหรือคะ?”

“ไม่ใช่ยังงั้น เธอยังไม่เข้าใจจริงๆ น่ะแหละ ที่ฉันมายื่นข้อเสนอใหม่

คราวนี้น่ะ ไม่ใช่เพียงแต่ต้องการยายเมไปเป็นลูกบุญธรรมเท่านั้นหรอก แต่

คราวนี้ฉันอยากจะได้แกไปเป็นลูกสะใภ้!”

“ลูกสะใภ้?” คุณมณีทวนคำด้วยเสียงค่อนข้างดัง ดวงตาเป็นประกาย

ตื่นเต้น “นี่คุณพี่หมายความว่าจะให้หนูเมแต่งงานกับพ่อวาทิตหรือคะ?”

อีกฝ่ายผงกศีรษะแทนคำตอบ

“ฉันคิดว่าทิตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะแต่งงานแล้ว อายุเต็มยี่สิบห้าอยู่ไม่กี่วัน

แล้วนี่”

“เดี๋ยวค่ะ ไหนคุณพี่เคยเล่าให้ดิฉันฟังไงคะว่า พ่อวาทิตน่ะเป็นโรคหัวใจ

หมอห้ามแต่งงาน เพราะอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือว่าเดี๋ยวนี้หมอรับรอง

ว่าเขาหายดีแล้วคะ?”

“ยังจ้ะ ยังไม่หาย อาการของทิตไม่ดีขึ้นเลย ยังคงขัดใจไม่ได้ ถ้า

ถูกขัดใจจะถึงกับชักพานหัวใจจะหยุดทุกที”

“อ้าว”

“เพราะเรื่องนี้แหละ ที่ฉันต้องมาพูดเรื่องนี้กับเธออีกครั้งหนึ่ง ฉันรู้

ว่าทิตหลงรักยายเมมานานแล้ว แต่เขารู้ตัวอยู่ว่าไม่สมประกอบจึงเพียงแต่ขอ

ยายเมไปเป็นลูกบุญธรรม หวังเพียงจะได้เห็นหน้า ได้อยู่ใกล้ชิดกันเท่านั้น”

“แต่ตอนหลังนี่…”

“จ้ะ ตอนนี้ทิตเปลี่ยนใจ เขาต้องการแต่งงานเป็นเจ้าของยายเมทีเดียว

ถึงจะเป็นเพียงในนามก็ยังดี”

“เพราะอะไรคะ?”

“เพราะเมื่อวานนี้ ทิตพบยายเมไปดูหนังรอบเย็นกับผู้ชายคนหนึ่ง แม่

มณีรู้ไหม ทิตถึงกับเป็นลม เพื่อนๆ ต้องช่วยกันหามใส่รถมาส่งบ้าน”

“ถึงอย่างนั้นเทียวหรือคะ?” คุณมณีเบิกตากว้าง “โถ น่าสงสาร หนู

เมเองก็คงไม่รู้ตัวหรอกค่ะ เมื่อวานแกมาขออนุญาตไปดูหนังกับคู่รัก ดิฉัน

เห็นว่าแกอุตส่าห์ทำงานช่วยแม่ช่วยน้อง เหนื่อยสายตัวแทบขาดทั้งวันก็เลย

อนุญาตให้ไป”

“ยายเมมีคู่รักแล้ว? งั้นทิตก็คงไม่มีหวังรอด เพียงแต่เห็นเขาไปดูหนัง

ด้วยกันเท่านั้น ก็ยังนอนแบ็บลุกไม่ขึ้น ถ้ายายเมแต่งงานเมื่อไร ทิตคงตาย

เมื่อนั้น”

“โธ่ คุณพี่คะ อย่าเพิ่ง…พูดอะไรทำนองนั้นเลยค่ะ” คุณมณีเสียงเครือ

“หนูเมยังเด็กนัก พ่ออังกูรก็ยังไม่มีงานทำเป็นหลักฐาน คงยังไม่มีหวังจะได้

แต่งงานกันอีกนานค่ะ”

“อ้อ นายคนนี้ชื่ออังกูรเรอะ เขาเรียนจบอะไรมา?”

“เอ ยังไงไม่ทราบค่ะ เมื่อแรกก็ว่าถูกรีไทร์ออกมาจากมหาวิทยาลัยตั้ง

แต่ปีหนึ่ง แล้วย้ายไปเข้าวิทยาลัยเทคนิค แต่ไปยังไงมายังไงก็ไม่ทราบ ตอน

หลังนี่ได้ยินว่ากำลังวิ่งหางานทำอยู่ สงสัยว่าจะเรียนไม่สำเร็จอีกน่ะแหละ”

“ท่าจะไม่เอาถ่านละสิ”

คุณมณีส่ายหน้า

“พ่อคนนี้เขาดีแต่ปากค่ะ ปากหวานช่างประจบประแจง หนูเมแกหลง

เขาก็เพราะปากนี่แหละค่ะ กับผู้หลักผู้ใหญ่เขาก็เคารพนบนอบดี เสียแต่งาน

การไม่เป็นเรื่อง ไม่มีมานะอดทน เอาแต่เที่ยว มาหาหนูเมทีไรต้องชวนกัน

ออกเที่ยวทุกที”

“พ่อแม่คงร่ำรวย?” ญาติสูงวัยของมณีเดา สีหน้าบอกความสนใจกับ

ประวัติของชายหนุ่มผู้มีนามว่า ‘อังกูร’ ยิ่งนัก

“ไม่รวยหรอกค่ะ พ่อแม่เลิกกัน ต่างฝ่ายต่างก็แต่งงานใหม่ ลูกเลย

ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง อาศัยพ่อมั่งแม่มั่งเป็นพ่อพวงมาลัยไปวันหนึ่งๆ”

“อือม์” อีกฝ่ายหนึ่งทำเสียงคล้ายถอนใจ “คนพรรค์นั้น แม่มณียังคิด

จะยกลูกสาวให้อีกเรอะ ฉันน่ะอดเวทนายายเมไม่ได้”

แววตาของคุณมณีที่เหลือบขึ้นมองผู้ถาม บอกความรู้สึกอัดอั้นอย่าง

เห็นได้ชัด

“ทำอย่างไรได้ล่ะคะ คุณพี่ หนูเมแกรัก ดิฉันเองก็ไม่อยากบังคับขืน

ใจลูก อันที่จริงเรื่องนี้มันก็ไม่ใช่ความผิดของเด็กเอง พ่อแม่เป็นต้นเหตุให้ลูก

เสียแท้ๆ ทีเดียว”

“แล้วอีกหน่อย ลูกเขาก็จะมาเป็นต้นเหตุให้ลูกเราเสียไปด้วย ถ้าแม่มณี

ไม่คิดตัดไฟเสียแต่ต้นลม”

“โดยวิธีพรากตัวหนูเมมาแต่งงานเสียกับพ่อวาทิตน่ะหรือคะ ดิฉันไม่คิด

ว่าแกจะยอมหรอกค่ะ”

“ขอให้ฉันพูดกับตัวแกเองได้ไหม บางทียายเมแกจะฟังเหตุฟังผลกระมัง”

คุณมณีนิ่งอึ้ง ในที่สุดก็ขยับตัวลุกขึ้น

“ก็ได้ค่ะ ดิฉันจะให้คนใช้ไปตามหนูเมเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” เธอบอกเรียบๆ

พลางเดินไปที่บันได ชะโงกมองลงไปยังห้องชั้นล่าง ซึ่งเป็นห้องครัวและห้อง

คนใช้

หญิงผู้ใหญ่ร่างท้วมอายุไม่เกินสามสิบห้าคนหนึ่ง กำลังนั่งซักผ้าอยู่ที่

ลานซีเมนต์หน้าห้องน้ำ พอได้ยินเสียงนายผู้หญิงลงบันไดมา ก็เงยหน้าขึ้น

“ประทุมวางมือสักประเดี๋ยวเถอะ ไปตามคุณเมกลับมาที บอกว่าคุณ

ลุงมาหา ให้รีบมาหน่อยนะจ๊ะ”

“ค่ะ คุณนาย” ประทุมลุกขึ้น เช็ดมือที่เปียกน้ำสบู่กับสะโพกอันอุดม

ด้วยเนื้อทั้งสองข้าง แล้วก็รีบเดินตุบตับออกไปทางสวนดอกไม้หลังบ้าน

เห็นหลังนายสาวไวๆ อยู่ระหว่างร่องกุหลาบ ประทุมก็ยิ่งรีบเดินให้เร็วขึ้น

พลางส่งเสียงเรียก

“คุณคะ คุณเม…คุณแม่ให้มาตามกลับบ้านแล้วค่ะ เร็วเข้าเถอะค่ะ”

หญิงสาวผู้ถูกเรียก ‘คุณเม’ กำลังก้มๆ เงยๆ เลือกตัดกุหลาบแย้มดอก

งามๆ ใส่กระเช้าที่มีภาชนะใส่น้ำรองไว้ที่ก้นกระเช้ากันมิให้ดอกไม้เหี่ยว หล่อน

เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก ดวงตาคมสุกใสมีแววฉงน ขณะที่ร้องถาม

เสียงแจ๋วว่า

“ทำไมถึงต้องรีบจ๊ะ ประทุม คุณแม่หิวข้าวเรอะ?”

“เปล่าค่ะ คุณลุงมาน่ะค่ะ”

“เอ๊ะ คุณลุงมีธุระอะไรกับฉันด้วยหรือ?”

“ไม่ทราบซิคะ แต่คุณแม่ให้คุณรีบกลับไปเร็วๆ ค่ะ”

“แหม ไม่อยากเลย วันนี้ได้ดอกไม้นิดเดียว จัดได้สักสามสี่กระเช้า

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024