ช่องว่างระหว่างดวงใจ (ม.มธุการี)
ประหยัด: 108.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ภายในห้องนั้นบรรยากาศค่อนข้างสลัวรางด้วยแสงไฟประดับช่อเล็ก ๆ ที่ตกแต่งเป็นระยะตามฝาผนังสีทึม...เสียงเพลงหวานด้งกังวานอ้อยอิ่งดุจด้ง ว่า แทรกซึมมาจากทุกซอกทุกมุมอ้นเร้นลับ เสียงหัวเราะกระซิบของสตรี คละเคล้ากับเสียงห้าวของบุรุษเพศ...เสียงแก้วกระทบกันด้งกังวานไม่ขาดห้วง...
บุรุษหนึ่งแฝงกายอยู่ในเงาค่อนข้างมืด จับตามองร่างที่เดินคละกันไปมา ด้วยทีท่าไม่สนอกสนใจต่อผู้ใด...เขาจิบบรั่นดีในแก้วเงียบ ๆ กัดจากร่างของเขาไป เป็นร่างค่อนข้างโปร่งจนดูผอมของสตรีหนึ่งในชุดเครื่องแต่งกายสีดำสนิททั้งชุด มี เครื่องประดับเพียงสายสร้อยคอเส้นเล็ก ๆ ที่มีพระพุทธรูปองค์จิ๋วห้อยอยู่...หล่อน กำลังยืนคุยกับบุรุษร่างท้วมด้วยทีท่าตามสบาย กระแสเสียงเยือกเย็นเป็นกังวาน น่าพี,ง
“บรรยากาศไม่เลวนะคะ...โรแมนดิกกว่าที่ดิฉันเคยคาดคิดเอาไว้มาก”
ฝ่ายนั้นหัวเราะห้าวๆ
“ถ้าจะให้ผมทาย ผมก็อยากที่จะทายว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่คุณมีโอกาสมา ร่วมสนุกกับเรา...”
“เรา...?”
หล่อนหงายหน้าหัวเราะ
“แสดงว่าคุณชาชินกับที่นี่มาก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...?”
“ผมเป็นสมาชิกทั้งแต่เริ่มก่อทั้งขึ้น...เพื่อนฝูงแนะนำน่ะคุณ พอลองดูแล้ว ผมก็ว่ามันไม่เลว...จะเสียก็ตรงที่ว่าทำไมนะสุภาพสตรีทุกท่านจึงต้องถูกปกปดใบหน้า ด้วยการสวมหน้ากาก มันชวนให้หมดสนุกและไม่เปิดเผย...”
“ปริศนาคือสิ่งเย้ายวนสิ่งหนึ่งในบรรดาสิ่งเย้ายวนทั้งหลายในโลกนี้..คุณไม่-
๘
เชื่อในวาทะนี้ดอกหรือคะ...และอะไรก็ตามที่เย้ายวนมีค่าต่อการแสวงหา รึคุณจะ ปฏิเสธว่าคุณไม่ได้แสวงหา...?”
“ใช่...ผมแสวงหา แล้วคุณล่ะ...?”
“ก็ไม่ต่างไปจากคุณหรอกค่ะ...กามารมณ์...ความสุนทรีย์ในจินตนาการ...” “รวมทั้งความรักด้วย...”
“ขอประทานโทษ...ดิฉันยงไม่เคยมีความรัก!”
เสียงหัวเราะแผ่กังวานใสดังแว่วมาอีก
“และกังไม่คิดที่จะแสวงหามัน...!”
ร่างนั้นเคลื่อนตัวผ่านไปดุจเงามีดของรัตติกาล...หล่อนเดินไปกังกลุ่มโน้น... กลุ่มนี้...เชื่องล้า แต่เต็มไปด้วยความเชื่อมนในตัวเอง
ร่างท้วมก้าวเล้ามายืนเคียงล้างบุรุษร่างสูง ที่ยืนหลบมุมเงียบอยู่นาน...เอ่ย เรียบ ๆ ว่า
“เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจ...นายคิดอย่างนั้นไหม...คีตา...?”
ฝ่ายนั้นกักไหล่ หัวเราะขรึม ๆ
“ผู้หญิงที่มาในวาระเช่นนี้น่าสนใจทุกคน...สังคมไทยแปรเปลี่ยนจนน่าหวาด และลัทธิฟรีเซ็กล้ก็กำลังกระจายอำนาจทวทุกหัวระแหง...น่าเศร้า!”
กังวานเสียงตอนท้ายบอกความเศร้าหมองลึก
“เฮ่ย...เป็นเวลาที่นายควรจะสนุกสำเริงสำราญไม่ใช่เวลามานั่งปลงอนิจจัง มนุษย์เราเกิดมาก็เพื่อสิ่งนี้ทั้งนั้น...เซ็กซ์ครองโลก...นายไม่เคยได้ยืนหรือ เอาเถอะ
...ตอนนินายกังไม่คุ้นชินกับมันเท่าไหร่...ประเคียวจะติดใจเมือมีการจับฉลากเลือกคู่ เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นใจเป็นท้า แม้คู่ที่นายเลือกได้จะเป็นยายปลาร้าด้างปี ที่แอบ หนีผัวมาหาความหย่อนใจในนี้ก็ตาม...”
ร่างนั้นผละจากไป ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว...สายตาของเขามองแทรก ความมีดมัวมนไปหยุดที่ร่างโปร่งในชุดแม็กชี่สีดำสนิท ที่กำลังยืนหัวเราะอยู่อีกมุม หนึ่ง ร่างนั้นโดดเด่นกว่าสตรีทุกนาง...
เพราะอะไรกัน...?
อาจจะเป็นเพราะเจ้าหล่อนเลือกเสื้อผ้าที่แหวกไปจากคนอื่นก็ได้...หรือจะ
๙
เป็นที่ทรงผมเกล้าสูง จนเพิ่มความระหงให้กันเรือนร่างของหล่อนยิ่งขึ้น...หรือจะ เป็นเพราะหน้ากากทะมึนบนใบหน้าของหล่อนที่สร้างเสริมปริศนา...
‘ปริศนาคือสิ่งเย้ายวนสิ่งหนึ่งในโลกนี้...!’
วาจาของหล่อนกังกังวานอยู่ที่ริมหู คืตาผ่อนลมหายใจยาวยกแล้วบรนดี ฃึ้นี้จิบ ถอยตัวจากที่ยืนอยู่ไปเบื้องหน้าล้าๆ...กระทบไหล่กันคนโน้น...คนนี้...ยิ้ม รับคำทักทายที่หยิบยื่นให้ในลักษณะของความแปลกหน้า...
กระแสเสียงเบาตังมาจากลำโพง ที่ตั้งอยู่ทุกสารทิศ “ต่อไปนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการจับฉลากเลือกคู่...ขอเชิญตั้งคุณสุภาพบุรุษและ สุภาพสตรีมารับบัตรได้ที่เคาน์เตอร์...โปรดอ่านรายละเอียดนั้น และ,ปฏิบัติตามคำ สง...”
เสียงจอแจดังขึ้นเกือบจะพร้อมกันแล้วต่อจากนั้นทุกสิ่งก็เป็นความขวักไขว่ คีตาหลับตานึ่ง ๆ ดุจจะสงบจิตใจ...เขาอยู่ในอิริยาบถนั้นนานเห่านานจนรู้สึก ว่าถูกสะกิดที่ด้นแขน
“เย้ย...คีตา...ได้เวลาแล้ว...”
ร่างท้วม ผละจากไป ชายหนุ่มมองตามจนเหลียวหลังก่อนที่จะก้าวเนิบๆ ไปหยุดที่เคาน์เตอร์ เอื้อมมือไปรับบัตรใบหนึ่งมาถือไร้
มันไม่ยากเย็นอะไรเลยกับการอ่านล้อความในนั้นและปฏิบัติตามคำสั่ง
“ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นเก้า...ห้อง ๑๗...”
ดูเขาจะเป็นคนที่รั้งท้ายที่สุดในกระบวนคนตั้งหลาย...ดีตามาถึงห้องตามคำสั่ง ๑๐ นาทีต่อมา...
เขาบิดลูกบิดประตูก็พบว่ามันถูกออกอย่างง่ายดาย เขาก้าวเล้าไปภายใน พลันก็ให้รู้สึกว่าเท้าจะถูกตรึงชะงักอยู่กับที่...
ร่างโปร่งในชุดสีดำสนิท นั่งคอยอยู่ก่อนแล้วเงียบ ๆ บนโซฟาตัวหนึ่ง...ปลาย นิ้วคีบบุหรี่มวนยาวมีควันกรุ่นกระจาย...
ใบหน้าในหน้ากากสีดำที่ทาบทับบริเวณดวงตาเอียงคอมองเขา มีรอยยิ้ม น้อย ๆ จุดที่ริมผี!ปากกึ่งทักทาย
เขาแทบจะลืมหายใจในนาทีนั้น...
๑๐
ทำไมจะต้องมาเป็นผู้หญิงคนนี้ด้วย
หล่อนก้มศีรษะให้เขาน้อย ๆ ห่วงทีละเมียดละไม
ดีตาผ่อนลมหายใจยาวขณะปดประตูสนิท “ยินดีที่ได้พบค่ะ...”
เสียงนั่นตังกังวานลิ้นก่อน
“แขกมากเหลือเกิน จนดีฉันไม่แน่ใจว่าได้สนทนากับคุณบ้างหรือไม่...” วาจานั้นไม่ล่อความเคอะเขินแต่อย่างใดเลย...หล่อนคงชาชินกับกามกรีฑานี้ เสียเหลือประมาณ...ดีตาจุดบุหรี่สูบ...
“ผมจำได้ว่ากังไม่มีการสนทนาใดๆระหว่างเรา...และที่แน่ใจก็คือ...ผมยังไม่ เคยเห็นคุณ...”
หล่อนหัวเราะเสียงแผ่วพลิ้ว โน้มศีรษะมาข้างหน้าน้อย ๆ
“คงไม่แปลกอะไรไม่ใช่หรือคะ ถ้าเราจะมาแนะนำตัวเองในตอนนี้...”
เขาขมวดคิ้ว “คุณว่าจำเป็นรึ...?”
“คุณคิดว่าไม่จำเป็นงั้นหรือคะ...?”
“ใช่...มันเกี่ยวกับเกียรติยศของคุณมากกว่าของผม...”
“เกียรติยศ...?”
หล่อนกักไหล่น้อย ๆ
“ดีฉันทำอะไรที่เสื่อมทรามงั้นรึคะ ดีฉันเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง มีสิทธิ ทำทุกสิ่งที่หัวใจปรารถนาเรียกร้อง...”
เขาเงียบ
“และดีฉันก็เข้าใจว่าทุกคนที่เข้ามาในนี้จะคิดเช่นเดียวกัน...แต่ตอนนี้...ดีฉัน ชักไม่แน่ใจ...”
รอยยิ้มที่มุมปากของหล่อนกังปรากฏไม่สร่างชาขณะผุดลุกลิ้นยินแช่มข้า “เราคาดผิดเสียแล้วที่มาพบกัน...ขอประทานโทษ...ดีฉันจะกลับไปข้างนอก คงมีคนใหม่ที่รอให้ดีฉันเลือก มีรสนิยมที่ต้องกัน...และไม่เอ่ยปากพูดถึงคำว่าเกียรติยศ ในช่วงเวลาแห่งการแสวงหาความสำราญ...!”
(ร)(ร)
ร่างนั้นเคลื่อนมาที่ประตู เอื้อมมือไปแตะลูกบิด
คีตาหันมองตาม ในที่สุดก็ยกไหล่แสดงความไม่ยี่หระ
“มันเป็นสิทธิของคุณ...ผมไม่หน่วงเหนี่ยว หากคุณเป็นน้องสาวของผมก็คง ได้ฟ้งวาจาที่ระคายหูกว่านี้...เชิญตามสบาย...!”
แต่ ประตูถูกปิดเข้าหากันก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค...
* * *
บุหรี่กองเป็นเถ้าอยู่ข้างกาย เรี่ยราดอยู่เหนือจานกระเบื้องเคลือบสีสวย
แต่ผู้ที่นั่งเอนตัวตามสบายบนโซฟาใกล้เคียงไม่มีทีท่าว่าจะสนใจแต่อย่างไร เขากัง เผาบุหรี่มวนต่อมวน มองควันที่ตีวงอื้นสูงแล้วเลือนหายไปอย่างใจลอย
เสียงกริ่งโทรศัพท์บนโต๊ะข้างกายตังกังวานแหวกความเงียบสนิทของบรรยา- กาศ เขาไหวกายขึ้นนิดเดียวขณะเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล...”
“ดีตาหรือจ๊ะ...?”
กังวานเสียงใสตังแว่วมา ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว
“สะ...”
“พี่พูดนะ...โทร.มาหาคุณตั้งหลายครั้งไม่มีใครรับสายเลย...”
“ผมเพิ่งกลับมาจากข้างนอกฮะ มาถึงได้สิบนาทีมานี่เอง...”
“ตอนนี้เวลาดีสองเห็นจะได้ กลับมาถึงเมืองไทยวันแรกคุณก็ทำให้พี่ด้อง คอยเก้อเสียแล้ว พี่นึกว่าคืนนี้เราจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเสียอีก ให้สาสมกับที่พี่ ไม่ได้พบคุณตั้งปีกว่า...”
“ผมไม่ทราบว่าคีนนี้พี่คอยผมอยู่ พอดีเพื่อนชวนผมก็ออกไปอย่างนั้นเอง...” “พี่คอยคุณเสมอ และเนิ่นนานเกินกว่าที่พี่อยากจะนับ...อย่าลืมความจริง ข้อนี้ไปเสียสิ ดีตา...การคอยของพี่ไม่เคยตั้งความหวังใด ๆ เอาไว้เสียเลย...ใช่... ยอมรับว่าพี่ขี้ขลาดสำหรับการใฝ่ฝันตั้งมวล ตลอดเวลาที่คุณอยู่เมืองนอก พี่คอย คิดวาดภาพคุณกับผู้หญิงหน้าแปลกๆ...ใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ แล้ว พี่ก็พยายามที่จะคิดหักใจลืมคุณเสียทุกครั้ง...ไม่คิดหรอกว่าในที่สุด...คุณจะกลับมา” “ก็เพราะผมกังมีหนี้สินที่จะด้องชดไข้...”
“คุณหมายถึงอะไร...?”
“ผมหมายถึงหนี้สิน หรือจะเรียกว่าหนี้บุญคุณก็ได้...ผมยงเป็นหนี้พี่อยู่...จะ นับว่าตลอดระยะเวลาแห่งการเรียนของผมก็ว่าได้...”
“คีตา...หากคุณคิดว่าคุณกลับมา เพี่อชำระสะสางหนี้สินนั่น พี่ว่าคุณไม่ จำเป็นจะด้องกลับมาก็ได้ ทุกสิ่งที่พี่,ทำเพี่อคุณ พี่ทำด้วยความพอใจ ผลที่ได้รับ คือความสุข...ก็นั่นไม่ใช่หรือ...ผลตอบแทนที่มากเกินพอ คุณควรจะทำความเข้าใจ กับความรู้สึกของพี่ให้มาก...”
“ผมเข้าใจ...”
ชายหนุ่มอัดควันบุหรี่หนักหน่วง
“แต่การกลับมาของผม ก็คือการทำตามความเรียกร้องของหัวใจด้วย...ผม ไม่เคยทำอะไรที่ขัดกับจิตปรารถนาและไม่คิดที่จะทำ...”
“คุณอังเป็นคีตาคนเดิมที่มุ่งมนในตัวเอง...กาลเวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลงคุณ ได้เลยนะ...คีตา...ยอมรับว่าพี่ภูมิใจในตัวคุณมาก”
“วิญญาณเป็นสิ่งที่พี่สร้างให้ผมเอง...”
“เอาเถอะ...สุดแห้แต่คุณจะคีต...สิ่งเดียวที่พี่คิดตอนนี้ก็คืออยากพบคุณแต่ เข้า...มีงานรอคุณอยู่แล้วที่บริษัทของพี่...”
“ครับ...แล้วผมจะไปแต่เข้า...”
“เราจะรอทานอาหารเข้าพร้อมคุณด้วย...”
“อ้อ...ลืมบอกคุณไปว่าน้องสาวคนเล็กของพี่กลับจากแคนาดาได้หลายเดือน แล้ว เพิ่งเลิกกับสามีฝรั่งอายุคงจะไล่เสี่ยอับคุณ...หัวนอกลักหน่อย แต่เชื่อแน่ว่า คงเข้ากับคุณได้ แล้วค่อยพบอันพรุ่งนี้...”
“ผมควรจะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธออีกล่ะฮะ?”
“แหมยากจริง...คุณเสียเปรียบสุราลัยตรงนี้เองตรงที่เธอเป็นฝ่ายรู้จักคุณ ข้างเดียวอย่างทะลุปรุโปร่งจากคำบอกเล่าของพี่เอง...ใช่...เธอชื่อสุราลัย...คล้องอัน ดีกับชื่อพี่นะ สุราลัย...ศิขริน...พี่วางใจเธอมาก แม้จะอ่อนกว่าพี่ถึงหกปีแต่สุราลัย คร่ำโลกกว่าพี่แยะ...รุนแรงไปไหมที่ใช้คำนี้ น่ามารู้จักเธอเสียก่อน แล้วคุณจะคีต
๑๓
ว่าพี่เหมือนเด็กปัญญาอ่อนเมื่อเทียบกับสุราลัย...สุราลัยเองก็อยากรู้จักคุณอย่าง เป็นทางการแทนคำบอกเล่าจากพี่...”
“ผมควรจะวางตัวอย่างไรครับ...”
“จงเป็นอย่างที่คุณเป็น...ง่าย ๆ...เห็นไหม...และไม่ต้องแสดงว่า คุณมาเป็น หนี้บุญคุณอะไรพี่ ความคิดเช่นนั้นจะทำให้คุณอึดอัด แต่แหม...คุณพูดเหมือนกับว่า เธอจะมาพบญาติผู้ใหญ่อะไรของพี่ ไม่ถึงเพียงนั้นหรอกนะคีตา สุราลัยก็คือน้อง ในอ้อมอุปการะของพี่คนหนึ่งเท่านั้นเอง คุณไม่ต้องกังวลใจอะไรทั้งสิ้น ที่สำคัญ สุราลัยรุ่นราวคราวเดียวกันเธอ...บางขณะขี้เล่นลักหน่อย อาจซักไอ้คุณหนักข้อ ไม่จำเป็นต้องถือสา แต่พี่ก็พูดไว้ก่อนอย่างนั้นแหละ...สุราลัยอาจนั่งเป็นเบื้อให้คุณ เป็นฝ่ายซักก็ได้ เอาแน่กับอารมณ์เขาไม่ได้ เป็นคนหลายอารมณ์แปลกๆ...เหมือน ศิลปิน จะว่าเป็นศิลปินก็คงซัดเพราะชอบวาดภาพ...ร้องเพลง...มีภาพวาดเต็มห้อง ชนิดที่พี่ต้องตีลังกาดู...เอ...พูดมามากแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งเป็นการทำลายศรัทธามิตร ใหม่ มารู้จักเองพรุ่งนี้ดีกว่า...แล้วคุณจะรู้จักสุราลัยได้ลึกซึ้ง...!”
“ดูพี่จะภูมิใจในเธอมาก...”
“ภูมิใจหรือ...เอ...จะใช้คำว่าอะไรจึงจะเหมาะ สุราลัยเป็นน้องคนเดียวของพี่ เธอเข้าใจพี่ และบางครั้งเป็นตัวของพี่เองยิ่งกว่าตัวพี่เสียอีก ปัญหาชีวิตหลายสิ่งที่ พี่ต้องปรึกษาเธอ และได้คำตอบที่ดีที่สุด อาจเป็นเพราะว่าเธอผ่านอะไรต่อมีอะไร มามากกว่าพี่ก็ได้ ทั้งที่โดยความเป็นจริงอายุของเธอเพิ่งยี่สิบแปดเห็นจะได้...ไล่เสี่ย กับคุณใช่ไหม...?”
“ผมย่างสามสิบปีนี้ฮะ...”
“สามสิบ...คีตา...คุณอายุสามสิบแล้วหรือ? ไม่น่าเชื่อเลย ดูเหมือนว่าคุณ จะผ่านยี่สิบไม่นานมานี่เองเชื่อไหม...พี่จำอายุคุณไม่ได้ พี่รู้แต่ว่าคุณเกิดวันที่หนึ่ง ธันวาคม...”
คีตายิ้มอย่างตื้นตัน
“และผมก็ได้รับการ์ดวันเกิดจากพี่ เพียงคนเดียวเท่านั้นในโลก ชีวิตผม ไม่มี'ใครเลยจริง ๆ บ่อยครั้งที่ผมคิดว่าผมเกิดมาเพี่อใคร...”
“นั้นคุณกำลังคิดมากอีกใช่ไหม คีตา ลืมมันเสียเถอะอย่าไปคิดอะไรมาก
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)