กระท่อมปลายนา (กฤษณา อโศกสิน)
ประหยัด: 292.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
คุณพิจิตร ทรงศิริ ถอนใจเฮือกใหญ่อย่างกลัดกลุ้มจนคุณสมัยผู้สามี
ซึ่งกำลังสนใจอยู่กับหนังสือพิมพ์รายวันเงยหน้าขึ้นมองลอดแว่นมาทางภรรยา
“ฉันได้ยินหลายเฮือกแล้ว มันยังไงกัน”
“ไม่ยังไงหรอกค่ะ คุณ” เธอตอบพลางลุกขึ้น “ก็กลุ้มเรื่องหน่วยสุดท้าย
ของเรานั่นแหละ ฉันสอบไล่ได้มาตั้ง ๖ ครั้งแล้ว คราวนี้เห็นจะสอบตกละ...เฮอ
...ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม”
“ไปกลุ้มมันทำไม” คุณสมัยตอบอย่างปลงตก พับหนังสือพิมพ์ “สมัยนี้เขา
สมัยไฮโดรลิกแล้ว ไม่ใช่สมัยขี่ม้าตีคลี จะได้มานั่งกลุ้ม”
“โธ่! คุณ ยังไง ๆ มันก็ลูกของเราค่ะ ลูกสาวคนสุดท้องเสียด้วย สวยกว่า
เพื่อน แล้วจะมาตกอับกว่าเพื่อน คุณจะไม่ให้ฉันกลุ้มได้ยังไง”
“นั่งเรื่องมันนี่นา มันอยากชอบยังงั้นก็ช่วยไม่ได้” ผู้เป็นบิดาพูดพลาง ลุก
ขึ้นยืนบิดตัว แล้วหายยาวเหยียด คุณพิจิตรค้อนสามีอย่างหมั่นไส้ “ป่านนี้ยัง
ไม่กลับไม่ใช่เรอะ”
“ค่ะ ยังไม่กลับ” เธอบอกพลางลุกเลิกออกไปชะโงกมองไปทางประตูใหญ่
“นี่ก็เกือบทุ่มแล้ว”
“คงดูหนังรอบเย็นละมัง ไม่ต้องเป็ยห่วงเขาหรอกน่าเขาโตแล้ว” คุณสมัย
พูดต่อไปอย่างอารมณ์เย็นตามเคย
“โตอะไรคะ แม่นิจน่ะหรือโต อายุ ๒๒ – ๒๓ เขาไม่เรียกว่าโตหรอกค่ะ”
“ก็ไปเปรียบกับอายุเกือบ ๕๐ กว่าของแม่จิตรมันก็ไม่โตน่ะซี”
คุณพิจิตรค้อน
“คุณละก็ ขัดคอเสียเรื่อย”
“ก็จริงนี่นา...เขาโตแล้วบรรลุนิติภาวะแล้ว อบรมสั่งสอนมาก็มาก ร่ำเรียน
มาจนมีงานการทำแล้ว ยังคิดไม่ได้แย่เต็มทีละ”
“อ้อ! แล้วที่มันรักชอบอยู่กับเจ้ากสิน่ะเรียกว่าคิดได้หรือคะ” คุณพิจิตร
ย้อนถามเสียงแหลม
คุณสมัยยักไหล่
“พูดก็พูดเถอะนะ อย่าหาว่าฉันขัดคออีกเลย แม่จิตร นึกย้อนไปถึงสมัย
ที่ฉันกับแม่จิตรเป็นหนุ่มเป็นสาวมั่งหรือเปล่า ฉันมีอะไรและเดี๋ยวนี้มีอะไร”
“โอ๊ย คุณอย่ามาเปรียบเลย มันเปรียบกันไม่ได้ สมัยนั้นมันสมัย
ขี่ม้าตีคลี สมัยนี้มันสมัยไฮโดรลิก” คุณพิจิตรเลียนคำของสามีเมื่อสักครู่
“เป็นงั้นไป!”
“ลูกของฉันนี่คะค่ะ ลูกสาวคนสุดท้องที่ฉันมีอยู่ฉันจะมองดูมันไปตกอับ
ยากจนยังไงไหว...โธ่! คุณ ถ้าฉันมีฤทธิ์ ฉันเห็นจะสาปเจ้ากสิให้มันกลายเป็น
มดเป็นปลวกไปเสียเชียว”
“เธอนี่ชักจะเป็นเอามากนะ” สามีเตือน
“มากก็มากเถอะ” คุณพิจิตรพูดอย่างกระฟัดกระเฟียด “ฉันเกลียดมันนี่
บอกจริง ๆ ว่า ฉันเกลียดมัน!”
“เกลียดเขาแค่เขาจนเท่านั้นหรอกหรือ”
“ก็ไอ้ความจนน่ะ คุณคิดว่ามันไม่น่าเกลียดงั้นซี” นางพิจิตรย้อนตามเคย
“แล้วก็ไม่ใช่จนอย่างเดียว แถมยังบ้านนอกคอกนาอยู่ถึงเมืองป่าเมืองดอยโน่นแน่ะ
...บรรพบุรุษของมันน่ะโกยขี้ควายทั้งโครต!”
คุณสมัยหัวเราะเยาะ
“ไอ้ขี้ควายน่ะ ไม่มีใครเขามานั่งโกยกันหรอกเธอจ๋า เขาก็ทิ้งให้มันจมดิน
จมโคลนกลายเป็นปุ๋ยไปนะซี้…”
“เอ๊ะ! คุณ! นี่มันยังไงกัน” คุณพิจิตรตาเขียว “ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะขัดคอ
เสียจริง ๆ เจ้าประคู้น! ชาติหน้าละก็สาปส่งแน่ อย่าได่เจอะได้เจอกันอีกเลยคุณ
กับฉันน่ะ”
“ตามใจ...แต่ฉันกลัวว่าชาตินี้มี ๗ หน่วย ชาติหน้ามิตอกเข้าไป ๑๒ หน่วย
ละเร้อ” คุณสมัยยั่ว
“!”
คุณพิจิตรทำเสียงขลุกขลักในลำคอสักครู่ก็สำลักออกมาว่า
“คอยเถอะ!”
แล้วเธอก็สะบัดหน้า เดินออกไปหน้าตึก
“พ่อก็บ้า ลูกก็บ้า บ้าหมด” เธอบ่นอย่างหัวเสีย
พอดีเหลือบไปเห็นเด็กชายล้น ลูกชายของนายฝอยกับนางต่อมเดินก้มหน้า
อยู่ตรงขอบสนาม อารมณ์หงุดหงิดทำให้คุณพิจิตรตวาดเด็กชายอย่างไม่มีเหตุมีผล
“นั่นแกทำอะไรอยู่นะ เจ้าล้น”
“ฟันพ่อหายฮะ”
“ฮะ”
“อ้าว! ทำไงถึงหายได้ล่ะ” คราวนี้เสียงของหล่อนอ่อนลงเพราะเกิดอารมณ์
ขัน
“ไม่ทราบฮะ...เมื่อกี้พ่อเขาทานข้าวเหนียวเขาก็ถอดฟันวางไว้ข้าง ๆ ใบตอง
แล้วเขาก็ลืม เอาใบตองทิ้งถังผง”
“อ้าว! แล้วไงแกมาหาที่นี่”
“เขาหาในถังผงแล้วไม่พบฮะ เขาก็เลยให้ผมช่วยหา ผมเห็นพ่อทำต้นไม้
อยู่แถวนี้ นึกว่ามันจะตกอยู่มั่ง
“พ่อแกก็เหลือเกินนะ ไอ้ฟัน ๒ ซีกนี่น่ะฉันเห็นมันขยันหายจริง ๆ ...ทำไม
ช่างหลวมถึงขนาดนั้นก็ไม่รู้”
“ของมันหลวงมันได้นี่ฮะ”
“แกว่าอะไรนะ เจ้าล้น!” นางพิจิตรถาม
“ผมว่า..ของมันหลวงกันได้ฮะ”
“แกนี่มันชักจะเขื่องใหญ่แล้วนะเจ้าล้นปรี่!” เธอแหว “พูดกับฉันยังงี้ได้
เรอะ”
“ไอ้เด็กนี่ทะลึ่ง!” เธอบ่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังนึกเอ็นดูเพราะเจ้าล้นคันนี้เป็น
ลูกคนเล็กของคนใช้เก่าแก่ มันเกิดที่ห้องนอนในเรือนครัว และโตขึ้นมาในบ้าน
เพราะเหตุที่คุณพิจิตรไม่เคยมีบุตรชายเลย เธอจึงปรานีเจ้าล้นถึงขนาดที่บางครั้ง
มันก็ ‘ลาม’ เอาบ้าง
ก็ด้วยเหตุที่เธอไม่เคยมีบุตรชายเลย และหมดหวังที่จะมีได้นี่แหละ ที่ทำให้
คุณพิจิตรเกิดความทุกข์อยู่ในขณะนี้
มันน่าอัศจรรย์เป็นที่สุด ถ้าจะบอกใคร ๆ ว่าลูก ๆ ของเธอซึ่งทยอยกันก่อกำเนิด
ขึ้นในอุทรของเธอนั้นเป็นสตรีเพศล้วน ๆ ถึง ๗ คน
‘ผู้หญิงทั้ง ๗ มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย’ คุณพิจิตรมักจะรำพึงรำพันเสมอ
‘มันน่าจะเป็นผู้ชายซักคน...ซักคนเดียวก็ยังดี นี่ออกมาได้ตั้ง ๗ คน ผู้หญิง
ล้วน ๆ ไม่รู้เทวดาท่านนึกยังไงของท่าน เราก็ไม่ใช่นางมณฑาซักหน่อย’
ที่เธอมีความทุกข์ยิ่งกว่านั้นก็คือคุณพิจิตรจะต้องทุ่มเทกำลังใจกำลังปัญญา
เลี้ยงดูฟูมฟักธิดาทั้ง ๗ ของเธอด้วยความสามารถซึ่งค่อนข้างจะเรียนได้ว่า ‘พิเศษ’
‘ ลูกผู้หญิงน่ะมันเสียง่าย ลงว่าเสียไปแล้วก็เอาคืนมาไม่ได้’
แต่ความปริวิตกของเธอนี้ขัดกับความเห็นของสามีอีกตามเคย เพราะคุณ
สมัยแย้งว่า
‘จะไปเป็นทุกข์อะไรมากนักน้า แม่จิตร ไอ้เรื่องเสียหรือไม่เสียน่ะ มันอยู่
ที่บุญที่กรรมของแต่ละคนต่างหากล่ะ เราไปเนรมิตอะไรได้ ลูกท้องเดียวกันอบรม
มาเหมือน ๆ กัน สิ่งแวดล้อมเหมือนกันทุกอย่าง บางคนมันก็ดี บางคนมันก็เลว
บางคนเป็นนายพล บางคนก็ไม่มีงานทำ เป็นไอ้คนร่อนเร่’
‘นั่นคุณพูดอย่างพ่อ แต่นี่ฉันพูดอย่างแม่’
‘อ้าว! แล้วกัน พ่อกับแม่น่ะมันต่างกันตรงไหน มันก็รักลูกเหมือน ๆ กัน
แหละ’
‘เหมือนกันจริง แต่ไม่เท่ากันค่ะ’
‘แหม! เธอนี่ มันช่างเล่นสำนวนโวหารเสียจริง ๆ นะ’
ตามปกติ คุณพิจิตรเป็นคนที่เรียกได้ว่า ‘ขี้กังวล’ ตรงกันข้ามกับคุณสมัย
ซึ่งเป็นคนที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับจะ ‘ปลง’ สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านไปมาในชีวิตได้ ‘ตก’
อยู่เสมอ แต่มันความเห็นของคุณพิจิตร เธอเห็นว่าสามีของเธอนั้นเป็นคน ‘ชุ่ย’
‘ไม่เห็นเอาใจใส่อะไรซักอย่างเดียว อะไร ๆ ก็ช่างมัน ๆ จะช่างได้ยังไงคนเรา
ถ้าลงว่าไม่ชวนขวาย ไม่ทำอะไรให้มันดี มันจะไปดีได้รื้อ’
‘ดีหรือไม่ดี เดี๋ยวนี้ฉันก็เป็นผู้อำนวยการได้ละ’
‘โอ๊ย! นั่นคุณมันค่อย ๆ ไต่มาทีละขั้นยังไง ๆ มันก็ต้องได้อยู่ดีแหละ ไม่ต้อง
ขวนขวายเลยก็ได้’ คุณพิจิตรว่า
‘เธอนี่ ดูถูกผัวชะมัดเลย คุณสมัยเคยติง แต่ก็ไม่สู้จะถือสาภรรยานัก
มารดาของลูก ๗ คน ซึ่งเป็นผู้หยิงล้วน ๆ เดนิกลับไปกลับมาอยู่ตรงนั้น
ต่อไปด้วยความกระวนกระวาย เด็กชายล้นหมดปัญหาฟันของนายฝอยจึงเดิน
เลี่ยงกลับไปยังโรงครัวซึ่งอยู่ด้านหลัง ทิ้งให้นายผู้หญิงยืนอยู่ที่นั่นตามลำพัง’
‘เดี๋ยวเถอะ กลับมาจะเทศน์เสียหน่อย’ เธอหมายมั่นปั้นมืออยู่ในใจ
คุณสมัยเดินออกมายืนอยู่ที่หน้าตึก พลางเรียกภรรยา
“แม่จิตร เข้ามาเถอะน่า เดี๋ยวเขากลับเขาก็เข้ามาเองแหละ ใครมันจะ
ตระเวนอยู่นอกบ้านได้ทั้งคืนล่ะ”
คุณพิจิตรหันมาทำตาเขียวในความมืด
“หมั่นไส้คุณจริง ๆ !” เธอสาวเท้าปราด ๆ เข้าไปยังคุณสมัย “ฉันจะยืนจะ
เดินอยู่ที่ไหนก็ช่างฉันเถอะค่ะ ลูกของฉัน บอกแล้วว่าลูกคนสุดท้องก็ต้องเป็นห่วง
มากหน่อย ถ้ามันเสียไปแล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ไหน”
“เธอคิดไกลไปถึงยังงั้นเชียวหรือ” คุณสมัยถามยิ้ม ๆ “เธอนี่เป็นแม่เสียเปล่า
เลี้ยงลูกมากับมือ ไม่รู้นิสัยลูกเอาเสียเลย”
“ลำพังลูกของเรา เรารู้ดีว่ามันไม่ได้รักชั่ว แต่คู่รักของลูกนั่นซีมันจะทำให้
ลูกเราป่นปี้”
“แต่มันก็ใช่ว่าเพิ่งจะรักกันวันสองวันนี่เมื่อไหร่ มันก็รักกันมาตั้งแต่มันยังต่างคน
ต่างเรียนอยู่นั่นแน่ะ แล้วทำไมเพิ่มจะมาเป็นห่วง”
“ไม่ใช่เพิ่งเป็นห่วงหรอกค่ะ ห่วงมานานแล้วเพียงแต่ก่อน ๆ มันไม่เคยกลับ
ค่ำคืนกันอย่างนี้”
“เขาอาจจะมีธุระอะไรของเขาก็ได้”
“ธุระอะไร ? มีธุระก็น่าจะต้องโทร.มาบอกซี” เธอว่าพลางชะโงกหน้าข้าม
ไหล่สามีเพื่อนมองดูนาฬิกาซึ่งติดอยู่บนผนังในห้อง “ทุ่มครึ่งแล้วมันก็ยังไม่กลับ”
ความจริงคุณพิจิตรก็น่าจะร้อนใจอยู่บ้าง เพราะทุกวัน กสิกับนิจวดีไม่ได้
แวะเวียนไปไหน เมื่อถึงเวลางานเลิกกสิจะไปรับหญิงสาวที่ที่ทำงาน แล้วคนทั้งสอง
ก็จะตรงดิ่งมาที่นี่ ยึดสนามหญ้าบ้านนี้เป็นที่สนทนากัน นิจวดีก็จะหาอาหารว่าง
เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เขารับประทาน ต่อจากนั้นก็นั่งคุยกันไปจนค่ำ กสิจึงกลับหอพัก
ทุกอิริยาบถของหนุ่มสาวจึงอยู่ในสายตาของคุณพิจิตรตลอดมา
การที่นิจวดีปฎิบัติตนอยู่ใน ‘กรอบ’ ได้ถึงเช่นนี้เนื่องจากเหตุผลหลาย
ประการ ประการแรกก็คือ ไม่อยากให้มารดาผิดหวัง ทั้ง ๆ ที่ความผิดหวังของ
มารดาหล่อนนั้นบางทีก็เนื่องมาจากเรื่องหยุมหยิม หรือที่เรียกว่า ‘เรื่องเล็ก’ เกิน
ไปสำหรับสมัยปัจจุบัน
‘นิจจะรักผู้ชายคนนี้ก็ได้แม่ไม่ว่า ทั้ง ๆ ที่ความจริงแม่ก็ไม่เคยคิดว่าเขาควร
คู่กับลูกหรอก แต่เอาเถอะแม่รักลูก เมื่อลูกรักเขา แม่ก็จะตามใจ แต่ยังไงก็ขอ
ให้นิจสัญญากับแม่อย่างหนึ่งได้ไหมว่าอย่าไปไหนกันตามลำพังค่ำ ๆ เลิกงานขอให้
กลับ อยากจะคุยกันให้มาคุยที่บ้านให้แม่เห็น’
ประการต่อไปก็คือ
‘พี่ ๆ น่ะแต่งงานไปดี ๆ ทั้งนั้น นิจเป็นคนเล็กใคร ๆ ก็กำลังเพ่งดูลูกอยู่นะจ๊ะ
ขอให้ระวังตัว’
ส่วนประการสุดท้าย นิจวดีพยายามโยงใยความสนิทสนมระหว่างบิดามารดา
ของหล่อนกับชายคนรักอย่างเต็มความสามารถ หล่อนอยากให้กสิชนะใจทุกคนในบ้าน
บ้าน โดยเฉพาะคุณพิจิตรผู้มารดา อยากจะให้เธอเห็นว่าตระกูลรุนชาตินั้นบางที
ก็ไม่มีความสำคัญอย่างใดเลย
ความพยายามของหล่อนสำเร็จลงบ้านแต่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจาก
คุณสมัยผู้บิดา ดูจะมีน้ำใจปรานีกสิอยู่ใช่น้อย เพราะเป็นความจริงที่ว่า ผู้ชาย
มักจะดูผู้ชายด้วยกันออก ส่วนผู้หญิงนั้นเหตุผลชี้ขาดของหล่อนที่ว่าชายคนใดดี
หรือไม่ดีเพียงใดนั้นอาจจะเป็นเหตุผลจุกจิกอื่น ๆ ที่บุรุษเพศอาจไม่เห็นว่าสำคัญก็ได้
“รอประเดี๋ยวเถอะน่า อย่าใจร้อนไปเลย” คุณสมัยปลอบ “เขาก็รู้นี่นาว่า
สองทุ่มเป็นเวลากินข้าว”
“บอกจริง ๆ ว่า ฉันไม่ไว้ใจหรอกผู้ชายสมัยนี้ เผื่อมันพาลูกเราไปเคลนเสีย
ก่อนแล้วจะว่ายังไง”
“ก็ถ้าลูกเราไม่เป็นใจด้วย เขาจะเคลมได้ละหรือ” สามีย้อนถาม “เรื่อง
พรรณนี้มันต้องอยู่ที่อีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจด้วย ฉันน่ะไม่ปรักปรำใครง่าย ๆ หรอก
ก่อนพูดมันต้องดูเหตุผล เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“เราอย่างพูดกันดีกว่า...พูดไปก็มีทะเลาะกัน” คุณพิจิตรตอบห้วน ๆ แล้วผละ
เดินไปยังสนามอีกครั้งหนึ่ง
คุณสมัยถอนใจยาวตามหลังภรรยา
‘คนเรา ลงว่าระงับใจไม่ได้เสียอย่างเดียว มันก็วุ่นไม่รุ้จักจบ’
เสียงกริ่งดังกังวาน...ช่วยทำให้คุณพิจิตรรีบเดินออกไปยังประตูใหญ่อย่าง
โล่งใจ และคุณสมัยก็พลอยโล่งใจไปด้วยที่จะไม่ต้องฟังเสียงบ่นและเห็นสีหน้าตึง
เครียดของภรรยา
“อ้อ! เพิ่งจะกลับหรือจ๊ะนี่” เธอประชดเมื่อเห็นหนุ่มสาวทั้งสอง
“ขอโทษเถอะค่ะคุณแม่” นิจวดีพูดอย่างประจบเมื่อเห็นสีหน้าขมวดมุ่นของ
มารดา ส่วนกสิยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหยิงสาว
“ไปไหนกันมาจ๊ะ” เธอถามด้วยเสียงค่อนข้างขุ่นมัว
“ไปเมืองนนท์มาค่ะ”
“เมืองนนท์ ไปทำไมกัน”
“ไปดูที่ค่ะ”
“ที่อะไร ของใคร” เธอซัก
“ที่ของกสิค่ะ เขาผ่อนส่งไว้นานแล้ว ผ่อนหมดไปแล้วด้วย เขาก็เลยจะ
ไปดูว่า พอจะอยู่ได้หรือยัง”
“แล้วทำไมไม่โทร.มาบอกล่ะ”
“นิจก็เพิ่งรู้เมื่อตอนเลิกงานนี่เองค่ะ ไม่ได้กระโปรแกรมกันไว้ก่อน พอพูด ๆ
ขึ้นก็เลยตัดสินใจไปเลยคิดว่าคงไม่ค่ำ แต่พอไปจริง ๆ เข้า กลับค่ำจนได้ นิจรีบ
เสียใหญ่กลัวคุณแม่รอทานข้าว”
“อ้อ! ก็รู้เหมือนกันหรือ แน่ะคุณพ่อบ่นใหญ่ว่าป่านนี้ยังไม่กลับ ไม่รู้ว่า
ไปถึงไหน แม่หิวข้าวแล้วละเข้ามาเร็ว ๆ เถอะ” เธออ้างถึงคุณสมัยเพื่อให้หนักแน่น
ขึ้น
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)