สืบรอยรักที่ซาฟารี (นายา)

สืบรอยรักที่ซาฟารี (นายา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742534042
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

พัดสีนั่งมองหญิงสาวคนแล้วคนเล่าที่เก้าอี้หมู่จัดไว้ห่างๆ กันในล็อบบี้

กว้างขวางมีเพดานสูง เดินตามสตรีผิวขาววัยกลางคนซึ่งออกมาประกาศชื่อ

พวกเจ้าหล่อนแล้วนำเข้าประตูไปสู่ห้องชั้นใน แกคงเป็นคุณป้าเลขานุการที่

โทรศัพท์เรียกตัวหล่อนกับผู้สมัครอื่นๆ ให้มาสัมภาษณ์นั่นเอง และคงจัดให้มี

ผู้สัมภาษณ์ชั่วโมงละสี่คนโดยให้ทั้งสี่มานั่งรอในเวลาเดียวกัน แม่สาวแต่ละคน

ลับตัวไปประมาณสิบห้านาทีก็กลับออกมา เดินตัวตรงเชิดหน้าอย่างเก็บกลั้น

ความรู้สึก กลับออกไปทางประตูมียามเฝ้าซึ่งพวกหล่อนเข้ามาเมื่อแรก

ทั้งสี่คนมีบุคลิกไปคนละแบบ…พัดสีลอบมองพลางตรึกตรา…มีทั้งผิว

ขาว ผิวดำ ผิวน้ำตาล และผิวเหลือง--แบบที่เขาเรียกว่า 'the meltingpot'

ในอเมริกา--ดินแดนที่มีผู้คนจากนานาชาติมาอยู่รวมกัน--หลายชาติเชื้อ

และสีผิว--ประหนึ่งหม้อเกาเหลาที่มี หมู เนื้อ กุ้ง หอย ปู ปลา ต้มรวม

กันไป

แน่ใจว่าผู้หญิงผิวเหลืองค่อนข้างขาวคนนั้นซึ่งเพิ่งถูกเรียกเข้าไปคงมี

เชื้อจีน เกาหลี หรือเวียดนาม…มิใช่คนไทยเช่นหล่อน

พัดสีมาถึงก่อนเวลานัดยี่สิบนาที ทันได้เห็นสตรีคนสุดท้ายแห่งการ

สัมภาษณ์ของชั่วโมงที่แล้ว เจ้าหล่อนถูกเรียกเข้าไปและกลับออกมาเพียงสิบห้า

นาทีเช่นกัน ความช่างสังเกตช่วยให้พัดสีตระหนักว่า มีผู้สมัครได้รับเลือก

เข้าสัมภาษณ์มากมายทีเดียว แสดงถึงการแข่งขันอันมีบรรทัดฐานในการ

เลือกลับเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยแม่สาวน้อยในชั่วโมงก่อน และอีกสาม

คนในชั่วโมงนี้ใช้เวลาสัมภาษณ์คนละไม่ถึง ๑๕ นาที

เป็นเพราะเจ้าหล่อนเหล่านั้นไม่ถูกต้องความประสงค์ ‘พิเศษ’ ของผู้

สัมภาษณ์กระนั้นหรือ

พัดสีนึกทบทวนข้อความโฆษณาในหนังสือพิมพ์ South Lake Tahoe

กับหนังสือพิมพ์ของเมือง Sacramento แห่งรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งหล่อนฉีก

เก็บไว้ในกระเป๋าถือ

‘ต้องการสุภาพสตรีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๕ และไม่เกิน ๓๕ การศึกษาอย่าง

น้อยปริญญาตรี รักการสมบุกสมบัน ไม่กลัวการบุกป่าฝ่าดง เป็นเพื่อนเดิน

ทางสุภาพบุรุษ ไปประเทศแอฟริกาใต้ อาจต้องดูแลเลี้ยงเด็กอายุ ๒ ขวบ

ระหว่างเดินทาง ผู้สนใจติดต่อได้ที่….’

คำ ‘สุภาพสตรี’ ในข้อความโฆษณาใช้คำว่า ‘lady’ ส่วนคำ ‘สุภาพบุรุษ’

ใช้คำว่า ‘gentleman’

...เป็นเพื่อนเดินทางสุภาพบุรุษไปประเทศแอฟริกาใต้…อาจต้องเป็น

พี่เลี้ยงเด็กอายุ ๒ ขวบระหว่างเดินทาง…ฟังดูแล้วไม่น่าเป็นงานรับจ้างที่จะ

ต้องมีปริญญาตรี แถมยังต้องอยู่ในวัยสาวโสดซะด้วย!

สงสัยว่านาย ‘gentleman--สุภาพบุรุษ’ ที่ต้องการเพื่อนเดินทางคงเป็น

ตาเฒ่าหัวงูมีการศึกษา มีเงินล้นฟ้า…ถึงได้เสกสรรค์คุณสมบัติของ ‘คนเลี้ยง

เด็ก’ ซะเลิศเลอ--ผู้ติดตามต้องมีความรู้พอเป็นเพื่อนพูดคุยด้วยได้…พวกเฒ่า

หัวงูย่อมชอบสาวๆ วัยรุ่น แต่ก็ไม่อ่อนเอ๊าะพอที่กฎหมายอเมริกันจะต้องตาม

จับตัวตาเฒ่าเข้าคุก ในโทษฐานทำร้ายล่วงเกินดรุณีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

กฎหมายอเมริกันไม่คำนึงความต่ำความสูง ไม่มีผู้น้อยหรือผู้ยิ่งใหญ่

ทุกคนเท่าเทียมกันหมด…สามารถถูกส่งเข้าคุกได้หมด ก็ดูสิ…แม้แต่สมาชิก

วุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้แต่เศรษฐีทอล์คโชว์ไฮโซฯอย่าง มาร์ธา

สตัวร์ท ก็ยังถูกส่งเข้าคุกได้หน้าเฉยตาเฉย และก็ไม่ใช่คุกแบบที่มีอภิสิทธิ์ซะ

ด้วยซ้ำ

คนอย่างเราไม่มีวันพรั่น…จะเป็นหนุ่มน้อยหรือเฒ่าชะแรแก่ชรา…เรา

เรียน ‘self defense’ วิชาป้องกันตัวมาแล้วหลายคอร์ส…ไม่ว่ายูโดที่ดัดแปลง

มาจากญี่ปุ่น หรือเทควันโด้ที่ดัดแปลงมาจากเกาหลี…จะประกาศให้ตาเฒ่ารู้

ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางเลยทีเดียว…ห้องโฮเต็ลของเราต้องเป็นห้องเดี่ยว…จะ

ต้องไม่มีการละเมิดล่วงล้ำ

หล่อนต้องการงานรับจ้างเป็นเพื่อนเดินทางนี้อย่างสุดจิตสุดใจ…หล่อน

ซึ่งไร้ญาติแม้จะไม่ขาดมิตร หากก็ยังรู้สึก ‘หัวเดียวกระเทียมลีบ’ การได้ออก

ไปท่องเที่ยวดูโลกโดยมีใครคนหนึ่งเป็นเพื่อนเดินทางคงจะช่วยปลุกชีวิตชีวาของ

หล่อนขึ้นมาใหม่

จำได้ว่าโทรศัพท์มาและคุณป้าเลขานุการที่มีเข็มกลัดติดชื่อ ‘แมรี่ สมิธ’

ที่ปกเสื้อคนนี้นี่เองเป็นคนตอบรับ--หล่อนจำเสียงพูดของแกได้ดี

‘ในโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ไม่ได้บอกว่าสุภาพบุรุษที่ต้องการเพื่อนเดิน

ทางคนนั้นอายุเท่าไหร่…คุณพอจะตอบได้มั้ยคะว่าเธอหนุ่มหรือแก่หรือกลางคน’

‘ไม่ทราบหรอกค่ะ…ไม่ทราบว่าใครจะเป็นคนเดินทาง’

‘อ้าว…ก็เจ้าของบริษัทที่ดิน ‘Sirapan’ นี่เองไม่ใช่หรือคะ’

‘เจ้าของบริษัทมีสามคนค่ะ…มีคุณพ่อที่เป็นพ่อม่าย…และลูกชายสอง

…แต่ดิฉันไม่ทราบอายุท่านทั้งสามคน’

ถึงตอนนี้ พัดสีเริ่มแน่ใจว่าคุณป้าเลขาฯ คงถูกสั่งให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยว

กับนายจ้างอย่างจำกัดจำเขี่ยที่สุด-มีเลขานุการที่ไหนที่ไม่รู้อายุจริงของนาย-

จ้าง!

‘แล้วใครเป็นคนจัดการส่งโฆษณาไปลงหนังสือพิมพ์ล่ะคะ’

‘ดิฉันเองค่ะ…คุณศิรา…คือคุณพ่อ…ส่งอี-เมลมาให้ดิฉันส่งไปลงหนัง-

สือพิมพ์’

‘Sira…Sirapan…ฟังดูเหมือนเป็นชื่อไทย…เจ้าของเป็นคนไทยหรือคะ’

‘ค่ะ’ เลขานุการตอบเพียงครึ่งคำ

‘แล้วท่านไม่ได้บอกหรือคะว่าใครจะเป็นคนเดินทาง’

‘ไม่ได้บอกค่ะ…คุณจะทราบเองเวลาคุณมาสัมภาษณ์…เอ้อ…’ นางทำ

กระแอมไอ ‘คือ…ถ้าคุณได้รับอี-เมลจากเราเชิญให้คุณมาสัมภาษณ์’

รีบพูดต่ออย่างรวบรัด ‘…ตอนนี้สิ่งที่คุณควรทำคือกรอกฟอร์มที่ดิฉัน

จะอี-เมลไปให้คุณ…แล้วถ้าคุณได้รับเลือกให้มาสัมภาษณ์ คุณก็จะทราบ

รายละเอียดอย่างอื่นต่อไปเอง…สวัสดีค่ะ’ นางกล่าวคำสวัสดีอย่างเป็นพิธีรีตอง

แล้วรีบวางหู

นี่ถ้าแม่และคุณตาคุณยายยังอยู่ หล่อนคงไม่ได้มานั่งรอสัมภาษณ์อยู่

อย่างนี้…รอสัมภาษณ์เพื่อจะเป็นเพื่อนเดินทางผู้ชายคนหนึ่งที่หล่อนและแม่ยัง

ไม่เคยเห็นหน้าตา…พัดสีคำนึงต่อ รู้สึกหน่วงหนักที่ทรวงอกเหมือนหัวใจถูก

บีบ…แต่เพียงครู่เดียวความปวดเจ็บก็จางหาย หล่อนเคยชินแล้วกับการที่ประ-

จักษ์ว่า ในด้านญาติพี่น้องพ่อแม่ หล่อนเหลืออยู่ตัวคนเดียวในโลก

ใครเล่าจะโชคร้ายเท่าหล่อนที่ต้องสูญเสียคุณตาคุณยาย และแม่ไปใน

ช่วงเวลาสองปีติดๆ กัน

* * *

“Patsy Pinpirom!” เสียงเรียกชื่อไทยแปร่งๆ จากปากยัยคุณป้าเลขาฯ

พร้อมกับเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้ นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่หล่อน ปลุกพัดสี

จากห้วงคำนึง…แม่สาวผิวขาวแบบญี่ปุ่นหรือเวียดนามเดินงุดผ่านหน้าหล่อน

ไป สีหน้าหม่นหมองแสดงความผิดหวัง การสัมภาษณ์ของแม่สาวน้อยคนนี้

คงไม่ได้เป็นไปด้วยดี พัดสีรำพึง…ครึ่งเวทนาคู่แข่งขัน ครึ่งยินดีสำหรับตนเอง

เพี้ยง…ขอให้เราตอบคำถามได้คล่องแคล่วเป็นที่พอใจใครก็ตามที่เป็นคน

สัมภาษณ์เถิดหนอ…ไม่ว่าจะเป็นตาเฒ่าศิราคนพ่อ หรือนายหนุ่มคนลูกคนใด

คนหนึ่ง

เดินตามหลังนางแมรี่ สมิธ เข้าไปยังห้องชั้นใน อันประกอบด้วยห้อง-

โถงยาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีประตูห้องเรียงเป็นแถวอยู่ด้านซ้าย นางสมิธตรง

เข้าไปเคาะประตูห้องกลางซึ่งใหญ่ที่สุด เสียงห้าวๆ ของบุรุษตอบรับเป็นภาษา

อังกฤษ นางจับลูกบิดเปิดประตูออกกว้าง เพื่อให้พัดสีเดินผ่านตัวนางเข้าไป

“Patsy Pinpirom” นางประกาศชื่อพัดสีด้วยสำเนียงแปร่งๆ เช่นเดิม

ครั้นหญิงสาวเดินผ่านเข้าไปในห้องแล้ว จึงปิดประตูตามหลัง

แสงสว่างจากกระจกบานกว้างของหน้าต่างใหญ่ยาวสามบานที่ผนังสีครีม

ตรงข้ามฉาบฉายทั่วบริเวณห้องที่จัดไว้อย่างง่ายๆ แต่งดงามมีระเบียบ ที่โต๊ะ

ไม้สักแอนทีคลวดลายแบบไทยตั้งอยู่ชิดหน้าต่างบานกลาง มีบุรุษสูงอายุ

ใบหน้าเข้มคมนั่งอยู่ เส้นผมสีเทาแซมขาวเกือบทั่วศีรษะ กับช่วงไหล่ผึ่งตรง

ไม่ค้อมคุ้ม ช่วยเพิ่มความภูมิฐานมีเสน่ห์

มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนไทย พัดสีมองไปสบตาแล้วก้มศีรษะน้อยๆ

พนมมือไหว้

คารวะท่านผู้ใหญ่แล้ว จึงหันไปพนมมือครึ่งๆ ให้บุรุษอีกคนผู้นั่งเหยียด

ขาไขว่ห้างหลวมๆ ตามสบายอยู่บนเก้าอี้นวมใกล้หน้าต่างอีกบาน…ห่างออกไป

เกือบสุดมุมห้อง เพียงแวบเดียวของสายตา หญิงสาวก็บอกตนเองได้ว่า หนุ่ม

ใหญ่คนนั้นเป็นบุตรชายคนหนึ่งในจำนวนสองของคุณศิราที่นางสมิธเอ่ยถึงกับ

หล่อนทางโทรศัพท์ ใบหน้าซึ่งมีผิวขาวแม้จะคล้ำแดดมีส่วนสัดของเครื่องหน้า

คล้ายคลึงท่านบิดาอย่างน่าอัศจรรย์

“แพทซี่ พิณภิรมย์…สะกด พอ-สระอิ-ณอเณร…หรือว่าสะกดอย่าง

อื่น” บุรุษสูงวัยเอ่ยขึ้นทันใด พลางผายมือให้หล่อนนั่งที่เก้าอี้ฟากตรงข้าม

“ในแผ่นฟอร์ม เราให้ทุกคนกรอกเป็นภาษาอังกฤษ พอฉันเห็นชื่อสกุลของ

หนู ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นคนไทย ถึงแม้ชื่อแรกจะสะกด Patsy อย่างชื่อฝรั่ง

ก็ตาม”

“เป็นชื่อไทยทั้งสองค่ะ” หญิงสาวตอบเรียบๆ เดินไปนั่งตัวตรงที่เก้าอี้

มองสบตาผู้สูงวัยที่จับจ้องหล่อนเขม็ง ขณะเดียวกัน สัญชาตญาณก็บอก

หล่อนว่า อีกคนหนึ่งที่มุมห้องกำลังจ้องมองหล่อนทุกอิริยาบถเช่นกัน

“พัดสี พิณภิรมย์…พอ-สระอิ-ณอเณรค่ะ…ดิฉันเคยคิดอยู่เสมอว่า ต้น

ตระกูลของดิฉันคงชอบดนตรี” หล่อนหัวเราะน้อยๆ…พัดสีเป็นเสมือนจิตรกรที่

แต่งแต้มพื้นผิวชั้นนอกของแผ่นภาพตนเองด้วยสีสันสดใสอยู่เสมอ แม้ภายใน

ดวงใจของจิตรกรจะเต็มด้วยความอาดูรเดียวดาย ซึ่งเพื่อนฝูงมากหลายมิสามารถ

ช่วยเยียวยาได้

“พัดสี…ชื่อไทยง่ายๆ แต่ฟังเพราะและความหมายดี…ฉันชอบ” ผู้อาวุโส

เอ่ยขึ้นอีก ก้มลงมองแผ่นฟอร์มที่มีจดหมายสมัครงานอันมีลายเซ็นของหล่อน

กำกับอยู่ท้ายหน้า พัดสีใช้เวลาสี่ห้าวินาทีนั้นพิจารณาบุรุษผู้เฒ่า ท่านคงอายุ

ประมาณหกสิบกว่าๆ แต่เป็นผู้ชราที่วัยงาม รูปหน้าเรียว แก้มค่อนข้างซูบ

นัยน์ตาคมโตมีแววเศร้า แนวคิ้วแซมสีขาวปนเทายาวเกือบเป็นเส้นตรง จมูก

โด่งพอเหมาะพอดีกับรูปหน้า ริมฝีปากค่อนข้างหนา ทำให้ท่านมองดูบึกบึน

แข็งแกร่ง หากมีความโศกสลดแปลกประหลาดปนอยู่

อาจเป็นความโศกสลดจากการสูญเสียคู่ชีวิตของท่านก็เป็นได้

ดูเป็นผู้ใหญ่ผู้ดีที่ไม่มีร่องรอยความเป็นตาเฒ่าหัวงูเลยจนนิด…หญิงสาว

รู้สึกใจมาขึ้นเป็นกอง พร้อมกันนั้นก็นึกสวดมนต์ภาวนาขอให้ท่านพอใจคำตอบ

ของเราและเลือกเราเป็นเพื่อนเดินทางเถิดหนอ

เพราะเหตุว่าท่านเองเป็นคนสัมภาษณ์ คำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ ในข้อความ

โฆษณาก็คงเป็นคุณศิรานี่เอง--ไม่ใช่อีตาลูกชายที่หล่อนรู้ว่า ยังคงเพ่งพิจารณา

หล่อนอยู่เงียบๆ

“ในใบสมัคร หนูบอกว่าหนูคล่องทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ…หนูใช้

คำว่า ‘native’ ทั้งสองภาษา…หนูเกิดที่เมืองไทยหรือเกิดที่นี่” ผู้อาวุโสเงยขึ้น

จากใบสมัคร มองหน้าหล่อน

“ดิฉันคงต้องตอบค่อนข้างยาวละค่ะ” พัดสีเอ่ยยิ้มๆ

“ตอบอย่างยาวก็ดีนี่หนู” ท่านผู้เฒ่ายิ้มตอบ

“ดิฉันเกิดที่โรงพยาบาลในมณฑลแมดิสัน รัฐอิลินอยค่ะ” หล่อนออก

เสียงชื่อรัฐ Illinois แบบอเมริกัน คือไม่ออกเสียงตัวเอสข้างท้าย ด้วยชื่อนี้

เป็นชื่อเผ่าอินเดียนแดงที่ชาวฝรั่งเศสผู้มาตั้งบ้านเรือน ณ ดินแดนแห่งรัฐนี้เป็น

ผู้พบ และออกเสียงชื่อนี้โดยไม่มีเอสมาแต่ไหนแต่ไร กล่าวกันว่าอเมริกันที่

ไม่มีการศึกษาเท่านั้นที่จะออกเสียง ‘อิลินอยส์’ มีเอส

รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากคุณศิรา รู้สึกพึงใจในหญิงสาวรูปร่าง

สูงเพรียว ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวเกลี้ยงเกลา โหนกแก้มสูง นัยน์ตาดำระยับ

บอกความเฉลียวฉลาดคนนี้…สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือเสียงของหล่อน เสียงใส

แต่นุ่มทุ้ม ไม่แสบหู หล่อนดูวางตัวได้เหมาะเจาะ เข้มแข็ง แต่ไม่แกร่งกล้า

จนเกินไป

พัดสีรู้สึกถึงปมด้อยเช่นทุกครั้งที่ต้องเอ่ยถึงการที่หล่อนมิได้คลอดออก

จากท้องแม่ ณ บ้านเกิดเมืองนอนของคุณตาคุณยาย และของพ่อ จึงรีบกล่าว

ต่อ

“แม่ดิฉันก็เกิดที่อิลินอยด้วยค่ะ เพราะคุณตาสอบชิงทุนอเมริกันได้มา

เรียนวิชาวิศวกรรมด้านคอมพิวเตอร์ที่ชิคาโก้ อิลินอย…คุณตากำพร้าพ่อแม่

มีคุณป้าซึ่งไม่ค่อยร่ำรวยเลี้ยงดูท่านมา ท่านมีชีวิตโดดเดี่ยวมากที่เมืองไทย

คุณป้าหาเลี้ยงแต่ตอนต้นๆ แต่ตอนหลังๆ ท่านต้องหาเงินเลี้ยงตัวเอง หุงหา

รับประทานเองเป็นส่วนใหญ่ อาจเป็นเพราะเหตุนี้ละมังคะ ท่านถึงรู้จักวิธีปรุง

อาหารและชอบทำอาหารมาตั้งแต่ยังไม่รุ่น…ระหว่างเรียนหนังสือพวกเพื่อนๆ

นักศึกษามักร่วมกันออกเงินให้ท่านทำอาหารให้ทาน บางทีพวกเขาก็จ้างท่าน

เป็นกุ๊กเวลามีงานเลี้ยงใหญ่”

“พอสำเร็จปริญญาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนคนหนึ่งที่มีบ้านอยู่

มณฑลแมดิสัน อิลินอย…ไม่ใช่แมดิสันของรัฐวิสคอนซิ่นหรอกนะคะ” หัว-

เราะเบาๆ “…ช่วยออกทุนให้ท่านตั้งร้านอาหารไทยที่นั่น…แมดิสัน อิลินอย

อยู่ใต้ลงไปจากชิคาโก้ ขับรถจากชิคาโก้ราวๆ สี่ชั่วโมง กิจการรุ่งเรืองมากจน

ท่านตัดสินใจไม่กลับเมืองไทย คุณป้าของท่านก็สิ้นชีวิตไปแล้ว ท่านไม่มี

ญาติพี่น้องที่จะกลับไปหา ท่านพบกับคุณยายซึ่งเป็นนักศึกษาไทยมาเรียนที่

ชิคาโก้ แต่งกับคุณยายแล้วเลยสร้างบ้านอยู่หลังภัตตาคารที่แมดิสันนั่นแหละ

ค่ะ”

“แม่ของดิฉันพบกับพ่อที่มาเรียนปริญญาโทและปริญญาเอกที่มหาวิทยา-

ลัยเดียวกันกับแม่ แต่งงานกันแล้วแม่ตามพ่อไปอยู่เมืองไทยตอนดิฉันอายุได้

สองขวบ” สีหน้าและน้ำเสียงหล่อนสลดลงเมื่อพูดต่อ “พ่อเสียชีวิตตอนดิฉัน

สิบขวบ แม่ถึงได้พาดิฉันกลับมาอเมริกา แต่ก็ส่งดิฉันไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าที่

เมืองไทยทุกซัมเมอร์ จนท่านทั้งสองเสียชีวิตไปเมื่อหกปีที่เล้ว ตอนนั้นดิฉัน

อายุสิบแปด แต่แม่กับคุณตาคุณยายก็ยังพาดิฉันไปเยี่ยมเมืองไทยทุกปี ดิฉัน

รักเมืองไทย รักภาษาไทย พยายามฝึกหัดการอ่าน การเขียน การพูดภาษา

ไทยอยู่เสมอค่ะ คุณตาคุณยายและแม่พูดภาษาไทยกันในครอบครัว…ดิฉัน

มีเพื่อนๆ คนไทยหลายคนที่แมดิสันและที่เซาธ์เลคทาโฮนี่ที่พูดคุยกันเป็นภาษา

ไทย”

คุณศิราเหลียวไปสบตาบุตรชายแล้วก้มลงมองแผ่นกระดาษตรงหน้าอีก

ครั้ง

“ฟังจากที่หนูเล่า หนูรักคุณตาคุณยายและคุณแม่มากทีเดียว…ฉันจึง

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024