พระจันทร์สีรุ้ง (วัตตรา) (สนพ.เพื่อนดี)

พระจันทร์สีรุ้ง (วัตตรา) (สนพ.เพื่อนดี)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742531188
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 290.00 บาท 72.50 บาท
ประหยัด: 217.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

นวนิยายชีวิตรักเข้มข้น

 

“พระจันทร์สีรุ้ง”

โดย.. “วัตตรา”

 

ตอนที่1

 

            ในห้องแต่งตัวของนางโชว์คณะ “พริตตี้แองเจิ้ล”  หลังจบการโชว์ คึกคักและเจี๊ยวจ๊าวไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงทะเลาะต่อปากต่อคำกันของเหล่านางโชว์และทีมงาน

“เจ๊รักถูกเรียกเข้าห้องเย็น”

“คุณพอลซัดไม่เลี้ยงแน่”

“ดีปลดแม่...งเลย...พวกนางโชว์ค้างสต็อก”

“วุ้ย...หล่อน...นั่นเขาเรียกปูชนียบุคคลย่ะ”

“งั้นก็ทำอนุสาวรีย์เจ๊รักไว้ให้พวกหล่อนกราบไหว้ก่อนขึ้นโชว์ละกัน”

นั่นคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าสาวประเภทสอง  เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ...แต่บัดนี้เสียงเหล่านั้นเงียบสนิทไปแล้ว

ไฟในห้องแต่งตัวเหลืออยู่เพียงดวงเดียว เพื่อรอนางโชว์คนสุดท้าย “เจ๊รัก”

.....

หญิงสาวที่ใบหน้าเคลือบด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีตบรรจง ผมสีทองหยิกเป็นลอนสวย รับกับใบหน้า อยู่ในชุดสีขาวสายคล้องคอ โชว์ไหล่และอกที่อึ๋มด้วยฟองน้ำ รัดรูปร่างท่อนบนที่ค่อนข้างอวบจนแยกไม่ออกว่าอันไหนอกอันไหนเอว ส่วนกระโปรงนั้นบานกรุยกราย

 หล่อนสวมวิญญาณของ มาลิรีน มอนโร สุดเซ็กซี่มาเป็นเวลานับ 10 ปี กับคณะ “พริตตี้แองเจิ้ล”

เจ๊รักเข้ามานั่งจ้องหน้าตนเองในกระจก  แววตาภายใต้ดวงตาที่ถูกแต่งไว้อย่างงดงามนั้นหม่นราวกับคนที่ถูกพิพากษาให้สิ้นสุดซึ่งอิสรภาพ

หล่อนหยิบโลชั่นขึ้นมาแปะไปทั่วใบหน้า... ภาพในอดีตค่อยๆ ลำดับเข้ามาในสมอง  จนกระทั่งถึงภาพที่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ เมื่อครู่ใหญ่ๆ ที่ผ่านมาแจ่มชัดกว่าภาพเรื่องราวใดๆ

.......

หลังโชว์สุดท้ายจบลง นางโชว์ทุกคนจะถูกสั่งให้ออกไปถ่ายภาพกับผู้ชม ได้ทิปมากน้อยอย่างไร คุณพอล จะเป็นผู้จัดการจัดสรรให้ลงตัว

อารักษ์  หรือเจ๊รัก  ผู้สวมบทบาทมาลิรีน มอนโร รู้ตัวเองมาตลอดเวลาหลายเดือนแล้วว่า หล่อนถูกเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องหลายคนพยายามเบียดหล่อนให้ตกเวที ด้วยการเสนอความคิดในจัดประกวดหามาลิรีน มอนโร คนใหม่  คุณพอล ก็เห็นดีเห็นงามด้วยมาตลอด จนมาลิรีนรุ่นแรกของ “พริตตี้แองเจิ้ล” ต้องตกขอบเวทีไปเป็นตลกคั่นรายการไปอย่างหน้าตาเฉย 

ครั้นพอออกมาถ่ายรูปกับแขกที่มาชม ผู้ชมก็หมางเมินไม่อยากถ่ายรูปด้วยแถมยังมีเสียงวิจารณ์กลับมาให้น้อยเนื้อต่ำใจว่า

“ดูแก่จังเลย”

“อ้วนจัง”

“อกเอวสะโพกรวมกันเป็นก้อน”

กับเพื่อนร่วมงานที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ หล่อนก็ถูกเด็กเหล่านั้นจับกลุ่มนินทาว่าร้ายให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ

“อีเจ๊รักนี่ไม่รู้ตัวเอาซะเลยนะว่าตัวเองน่ะเป็นกะเทยหมดอายุ  รุ่นนี้ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน“ 

“เป็นผีบ้าน ผีเรือน หรือหมาเฝ้าบ้าน”

“อีบ้า...แรงไป”

“สังขารชีก็เริ่มร่วงโรย  เนื้อตัวก็แน่นตัน จนหมุนตัวหาความพริ้วไม่ได้แล้ว”

“ว๊าว...แต่ชีมีแฟนหล่อบาดใจนะยะ  ใครๆ ก็แตะต้องไอ้คุณชัชชัยของชีไม่ได้”

“วุ้ย...ฉันขอท้าเลยนะ” เจิน หรือจรัญ  ทำท่าทรนงองอาจ มั่นใจในตัวเอง สุดชีวิตประกาศก้อง

“ถ้าชัชชัยพลัดหลงมาอยู่ในมือฉันเมื่อไหร่ รับรองไอ้หมอนั่น หลงใหลฉันจนหาทางกลับไปหานังกะเทยแก่นั่นไม่เจอแน่ๆ”

เสียงวิจารณ์ของผู้ชม และเสียงวิพากษ์ของเหล่านางโชว์รุ่นใหม่ที่หมายจะเขี่ย “เจ๊รัก” ออกจากเส้นทางนางโชว์ กดดันอารักษ์มาจนถึงวันนี้ และนาทีสุดท้าย  ที่หล่อนต้องถึงกาล “ฟิวส์ขาด” เมื่อเจินทำในสิ่งที่เรียกว่าหยามน้ำหน้ากันเกินไป นั่นคือ ควงชัชชัยที่สวมบทบาทไกรทอง อวดกล้ามล่ำใหญ่ เดินถ่ายรูปทั่วลานหน้าเธียเตอร์

มิหนำซ้ำยังค่อนว่า “เจ๊รัก”  อย่างไร้ซึ่งความเกรงใจในความเป็นรุ่นพี่ และในความเป็นเจ้าของชัชชัย

“เจ๊คืนนี้นอนเคี้ยวหมากรอไปก่อนนะยะ ชัยเขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะคั่วดาวเด่นดวงใหม่ของพริตตี้แองเจิ้ล”

“อีเจิน  หุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ”

เจ๊รักที่เกิดอาการ “ของขึ้น” เพราะทั้งเหนื่อย ทั้งหงุดหงิด และรู้สึกผิดหวังล้มเหลวในการทำงานที่วันนี้ไม่มีใครเรียกหล่อนถ่ายรูปเลยสักคน ต้องยืนยิ้มค้างเหงือกแห้งอยู่อย่างเดียวดาย ประกอบกับความหึงหวงชัชชัย ทำให้หล่อนไม่เก็บกิริยา

พอตวาดเจินไปเช่นนั้น สาวรุ่นน้องก็มารยาขึ้นมาทันที

“ว๊าย ตายแล้วอีกะเทยแก่มันจะตบเจิน ช่วยด้วย”

แล้วหล่อนก็ลากชัชชัยให้วิ่งพล่านตามหล่อนไปทั่วจนบริเวณ เป็นที่แตกตื่นของแขก อารักษ์จึงถือโอกาสวิ่งไล่หมายจะหยุดปาก หยุดพฤติกรรมบ้าๆ ของกะเทยรุ่นน้องเสีย

แต่ทุกอย่างกลับเลวร้ายลงเมื่อ คุณพอล ออกมาเห็น และเรียกให้เจิน ชัชชัย และอารักษ์ เข้าไปพบในห้องทำงานส่วนตัว ซึ่งชาวพริตตี้แองเจิ้ลเรียกว่า “ห้องเย็น” ใครถูกเรียกเข้าไปที่นั่น ถ้าไม่ถูกตัดเงินรายวัน ก็ถูกพักงาน  ถูกภาคทัณฑ์หรือถูกให้ออก  และยิ่งอารักษ์ที่ถูกภาคทัณฑ์มาแล้วสองครั้ง ในระยะเวลาไม่ถึงปี นับแต่คุณพอล มาบริหารที่นี่แทนพี่ชาย ชาวคณะจึงมั่นใจว่า อาจถึงวันอวสานชีวิตนางโชว์ของอารักษ์

คุณพอล แทบจะไม่สอบสวนอะไรเลย  นอกจากยกเอาความผิดเดิมๆ ของอารักษ์มาอ้าง

“เจ๊รักมีปัญหากับที่นี่ และคนที่นี่สองครั้งแล้ว  ตั้งแต่ผมมาดูแลที่นี่  นี่เป็นครั้งสุดท้าย  ผมจะไม่สอบสวนอะไรทั้งนั้น”

“แต่...คุณพอลต้องฟังเจ๊รักนะ” อารักษ์อยากจะอธิบาย อยากจะบอกให้ผู้จัดการรู้ว่าใครผิดใครถูก

“ผมบอกว่าไม่สอบสวนไงเจ๊รัก”

“แต่นังเจินมัน...”

“พอเถอะ เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน ตบตีกันอีก  ผมอยากให้เจ๊รักพิจารณาตัวเองอย่างเงียบๆ”

อารักษ์หันไปมองเจิน และชัชชัย ซึ่งคนพิเศษของอารักษ์ลุกขึ้นมาแตะไหล่อารักษ์และก้มลงกระซิบว่า

“เจ๊น่าจะรู้ว่าชั่วโมงนี้นางโชว์อายุเกินสามสิบน่ะมีเจ๊เหลืออยู่คนเดียว...ผมไปรอที่ห้องนะ”

ชัชชัยหันไปหาคุณพอลและถามว่า

”ผมไปได้ยังครับ”

“เชิญ...” พอชัชชัยเดินออกไปคุณพอลก็บอกกับเจิน หรือจรัญว่า

“เจิน...ขอโทษเจ๊รักซะที่พูดจาไม่ดี”

“อ้าว...ทำไมอย่างนั้นล่ะฮ้า”

“เจิน...ผมบอกให้ขอโทษเจ๊รักไง”

เสียงเข้มดุนั้น ทำให้จรัญต้องยกมือไหว้อย่างแมนสุดชีวิต นั่นหมายถึงเขาจำใจ  เพราะถ้าเขาเต็มใจเขาก็จะแสดงออกแบบเจิน

เมื่ออยู่กันตามลำพัง คุณพอล พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“ผมมาดูแลที่นี่ยังไม่ถึงปีก็จริง...แต่ก็มองปัญหาออกว่าความเก่า ความแก่ อ้อ...ขอโทษที่ต้องพูดคำนี้”

คุณพอลทำหน้าสำนึกผิด อารักษ์เงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้จัดการหนุ่มวัยยังไม่ถึงสามสิบและว่า

“ว่าไปตามที่คุณพอลคิดว่าอยากจะพูดก็แล้วกัน”

น้ำเสียงห้าวแต่ก็ไม่กระด้าง

.....

 อารักษ์ใช้สำลีปาดเครื่องสำอางค์ออกจากหน้าเหมือนปาดครีมแต่งหน้าเค้ก เมื่อใบหน้าไร้เครื่องสำอางค์เขาก็เหมือนชายหนุ่มวัยกำลังดีคนหนึ่งที่หน้าตาดีมาก  สะอาดเกลี้ยงเกลา หากน้ำเสียงของเขาจะห้าวกระด้าง และท่วงท่าลีลาการเดินของเขาจะทะมัดทะแมงดังชายชาตรีสักหน่อย เขาจะกลายเป็นที่สนใจของสตรีเพศได้มากทีเดียว

 

                                    *****************************

 

เสียงทารกร้องไห้จ้า และเสียงต่อว่าด่าทอกันดังอยู่ใกล้ๆ ห้อง  ทำให้อารักษ์ลืมตาตื่นขึ้นมา ด้วยความงุนงง  อย่างแรกที่เขาทำคือคลำข้างกาย...ชัชชัย!!

ไม่มีร่างของชายคนรักนอนอยู่ข้างๆ อย่างที่เคยมี

อารักษ์พยายามคิดในแง่ดี...ชัชชัยอาจตื่นก่อนเที่ยงวัน  และไปหาอาหารมื้อแรกของวันไว้ให้เขา

“โอ๊ย อีแม่มันหายหัวไปไหน  ปล่อยให้ลูกร้องอยู่ได้”

“ลูกใคร”

“เอ๊า ก็ลูกอีนังออดี้ไง๊ มันเพิ่งหอบลูกออกจากโรงพยาบาลเมื่อไม่กี่วันละมั้ง”

“ต๊าย อีนังหมอนวดไฮโซนั่นเหรอ ไหนใครว่าผัวฝรั่งจะพามันไปอยู่ด้วยไง”

เสียงสาวประเภทสองที่วิพากษ์วิจารณ์ดังลั่นชั้นสี่แห่งนี้ทำให้อารักษ์ขมวดคิ้วมุ่นคิดตามในเรื่องที่ได้ยิน

“นังออดี้...มันคลอดลูกแล้วเหรอ”

อารักษ์นึกถึงหมอนวดสาวพราวเสน่ห์ที่เช่าห้องอยู่ชั้นสอง  เมื่อหลายเดือนก่อน ที่วิ่งโร่มาปรึกษาเขา

“เจ๊รัก ฉันจะทำยังไงดีล่ะ ฉันท้องตั้งสามเดือนแล้ว”

“ท้องกับใครแกก็ไปบอกพ่อของเด็กซี่  มาบอกอะไรฉันล่ะ”

อารักษ์จำได้ว่าได้ตวาดแว๊ดไปเช่นนั้น...มันเป็นความจริง ท้องกับใครก็ไปหาคนนั้น  มาบอกเขาจะได้ประโยชน์อะไร

“ฉันไม่รู้น่ะซี่เจ๊รักว่าใครกันแน่พ่อของเด็ก”

”ซวย...ซวยไปเลยแกเอ๊ย...อย่างนี้แกก็รอจนคลอดก่อน แล้วค่อยตามหาพ่อมันละกัน”

อารักษ์จำได้ว่าได้เห็นอรดี หรือนังออดี้เพียงวูบวาบไปมาเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่ได้ถามว่าท้องโย้อย่างนี้อรดีไปทำมาหากินอะไร

ผู้คนในกลุ่มของพวกเขาที่พักอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ล้วนแต่เป็นพวกทำมาหากินในสายเดียวกัน นักร้อง หมอนวด สาวดริ๊งค์  หญิงโชว์อะโกโก้  โสเภณี และนางโชว์  บางคนเงียบหายไปพักใหญ่ก็ได้ข่าวว่าได้ดิบได้ดีมีฝรั่งเอาไปเลี้ยง

แต่ที่อรดีหายหน้าหายตาไป ไม่มีใครรู้จนกระทั่งเมื่อสองสามวันก่อน อรดีอุ้มทารกน้อยมาขออาศัยนอนอยู่กับเพื่อนเก่าที่ย้ายมาจากชั้นสอง

“โอ๊ย...ตายแล้ว ฉันจะเอานมที่ไหนให้มันกิน”

เสียงเอะอะของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นและเสียงร้องของทารกน้อยก็ดังใกล้เข้ามา เสียงเอะอะนั้นดังอยู่หน้าห้องอารักษ์นี่เอง

“วุ้ย...นังพวกนี้มายืนเม้าท์แตกอะไรกันอยู่แถวนี้”

“เจ๊ป้อ!!” ทุกคนประสานเสียงเรียก

“เดี๋ยวอีเจ๊รักมันก็ตื่นมาแดกหัวเอาหรอก  นี่ยังไม่ใช่เวลาตื่นของมันนะ”

เสียงแว๊ดๆ นั่นอารักษ์จำได้ว่าเป็นเสียงของนังป้อ หรือปรีดาเพื่อนรักที่อยู่ฝ่ายเสื้อผ้าของ คณะ “พริตตี้แองเจิ้ล”    

เสียงเคาะประตูและเรียกหาอารักษ์ทำให้เจ้าของห้องเดินโผเผไปเปิดประตู

“อ๊ะ ตื่นแล้วเหรอหล่อน ตื่นเพราะเสียงนังพวกนี้ล่ะซี่”

”มีอะไรกันน่ะเสียงดังยังกะตลาดแตก  แล้วนั่นทำไมปล่อยให้เด็กร้องอยู่ได้ เอานมยัดปากมันหน่อยซิ”

“เอานมที่ไหนล่ะเจ๊รัก อีนังออดี้แม่มันน่ะหายออกจากห้องไปตั้งแต่เช้ามืดแล้ว  แถมทิ้งจดหมายไว้อีก”

คนอุ้มเด็กยื่นจดหมายให้อารักษ์

“นังจอย  ฝากเลี้ยงลูกด้วย  ข้าจะไปอยู่เยอรมันกับอันโทนี่”

“ว๊าย  ต๊ายจะบ้าตาย” อารักษ์อุทานและบ่นต่อแข่งกับเสียงเด็กร้อง

“ อีนังออดี้มันทิ้งลูกมันไปอยู่กับผัวเยอรมันของมันงั้นเหรอ  ทำไมมันทำได้ลงคอน้อ  อีนังคนนี้”

ปรีดาชะโงกหน้าไปมองเด็กที่อยู่ในห่อผ้า  ที่ร้องไห้จ้าจนหน้าแดง เขาเอามือไปเขี่ยใกล้ๆ ปากสีชมพูเด็กน้อยก็ทำท่าเหมือนจะดูดนิ้วของเขา

“นี่เด็กมันหิวนมนี่หว่า ดูซิมันจะดูดมือฉัน ทำยังไงดีล่ะอีเจ๊รัก ปล่อยให้มันร้องอย่างนี้เดี๋ยวก็ลมเข้าท้องแตกกันพอดี”

“ดีซี่โตขึ้นมันจะได้เป็นนักร้อง” อารักษ์ทำเสียงสะบัด และพูดต่อ

”ไหน ฉันดูหน่อยซิ ตัวผู้หรือตัวเมีย” 

“คนนะยะเจ๊ ไม่ใช่หมา” จอยว่า

“ก็แม่มันทิ้งไปยังกะหมูกะหมา”

“วุ้ย  แม่หมาน่ะมันไม่ทิ้งลูกหมาหรอกนะ  จนกว่าลูกจะหย่านม นังออดี้นี่มันเลวยิ่งกว่าหมาซะอีกที่ทิ้งลูกอายุไม่กี่วันอย่างนี้”

ปรีดาปากคอเลาะร้ายขึ้นมาทันที

“นังนี่มันปัญหาสังคมขนานแท้เลยนะ”  อารักษ์เสียงเคร่งขรึมออกแมนอย่างเห็นได้ชัด

“โอ๊ย...อย่าบ่นเลยเจ๊รัก เจ๊ป้อ จะทำยังไงกับเด็กดีนี่ล่ะ ฉันน่ะไม่พร้อมที่จะเลี้ยงมันนะ สาวนั่งดริ๊งค์กระเตงลูกไปทำงานได้ที่ไหน”

จอยคนที่ถูกฝากฝังให้เลี้ยงลูกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“ฉันน่ะไม่มีเวลาเลี้ยงดูอุ้มชูมันหรอกนะ  หายังไม่พอกินเลย  แล้วฉันก็ยังโสด กำลังพยายามหาผู้ชายดีๆ มาช่วยทำมาหากินอยู่  ขืนเลี้ยงเด็กนี่ด้วยมีหวังชาตินี้ปีนไปอยู่บนคานโน่นน...”

“นี่นังจอย   แกกะว่าชาตินี้ถ้าไม่มีผัวให้หนำใจจะไม่ยอมตายใช่มั้ย”  ปรีดาต่อว่าจอย

“เอ๊าเจ้ป้อก็...พูดออกมาได้ ใครอยากจะอยู่ให้รูตันล่ะ”

 “อู๊ย อีนังจอย พูดออกมาได้ไม่อายปาก  หยาบคายจริงๆ เลยนังนี่”

เสียงแว๊ดของปรีดาดังแข่งกับเสียงร้องไห้ของเด็กน้อย

“เอ๊ย...เด็กผู้ชายด้วยโว้ย ผิวพรรณสะอาดเกลี้ยงเกลาเชียว” อารักษ์ชอบใจเมื่อได้เห็นเด็กน้อยอ้วนท้วน ขาวสะอาดลักษณะดีเช่นนี้

พอจอยเห็นอารักษ์อุ้มเด็กแล้วหล่อนก็รีบบอกว่า

“เจ๊รักรับไปละกัน ฉันจะไปทำงานละ”

ว่าแล้วจอยก็วิ่งปรู๊ดเข้าไปที่ห้องของหล่อน หยิบกระเป๋าสะพายและกุญแจมาปิดล็อคห้องแล้วก็รีบวิ่งหนีลงบันไดไปอย่างไม่เหลียวหลัง

“นังจอย...นังจอย...เดี๋ยวซี่ นี่แกจะมาทิ้งเด็กไว้กับฉันไม่ได้นะโว้ย”

อารักษ์เอะอะโวยวายจนเด็กน้อยร้องไห้จ้าอีกครั้งหนึ่ง แต่พอเขาอุ้มแกแนบอก เสียงร้องนั้นก็เบาลง

“ทำไงดีล่ะนังป้อ อีนังจอยเอามาทิ้งไว้เฉยเลย”

“หานมให้มันกินก่อนดีกว่านะเจ๊...เออ...ว่าแต่...นัง เอ๊ยชัชชัยไปไหน”

ปรีดาทำหน้ามีเลศนัย อารักษ์มองปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าเพื่อนรัก มีความนัยอะไร  จึงเข่นเขี้ยวถาม

“แกถามอย่างนี้หมายความว่ายังไงนังป้อ  บอกมานะ”

“เอาเถอะ...เอาเถอะเจ๊...อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ฉันจะลงไปหานมเด็กมาให้มันกินก่อน”

“แกรู้เหรอว่านมแบบไหน”

“อ่านเอาซียะ  ฉันจบตั้งปวช.นะหล่อน  อ่านได้ทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่นและฝรั่งเศส” ปรีดาโอ่

“เอาเถอะหล่อน เอานมของไทยๆ นี่แหละ ไอ้หมอนี่มันน่าจะเป็นลูก...ลูกคนไทย”

ปรีดาหัวเราะคิกๆ แล้วรีบนวยนาดจากไป 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024