ดอกไม้ไกลตะวัน (นิดา)
ประหยัด: 165.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
จริง ๆ นะคะ ท่านผู้อ่านที่รัก สมัยที่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ย้อนกลับไป
ในปีราว ๆ ห้าสิบกว่า ๆ ฉันคิดเอาเองว่า ชีวิตทุกชีวิตก็คงเหมือน ๆ กัน นั่น
คือทุกคนมีความผาสุกอย่างเต็มเปี่ยม เหมือนทุกวันอันสวยงามของฤดูร้อน
อันยาวนาน...
ฉันคงไม่อาจพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของพวกเราในระยะ
ต้น ๆ นอกจากจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูดีไปเสียหมด เรามีความสุขสมบูรณ์กัน
เสียจริง ๆ
และก็ด้วยความคิดนั้น ฉันจึงมีความกตัญญูรู้คุณเต็มเปี่ยมอยู่ในใจต่อ
‘แดดดี้’ และ ‘มอมม่า’ ของเราอย่างยิ่งยวด และความรู้สึกอันแสนดีนี้ ก็คงจะ
ตราตรึงอยุ่ในความทรงจำของฉันตลอดไป
พูดไปตามจริงแล้ว ครอบครัวของเรานั้น จะเรียกว่าร่ำรวยเป็นเศรษฐี
มหาเศรษฐีอะไรก็ไม่เชิง แต่จะพูดว่าเรายากจนข้นแค้นก็ไม่ใช่อีก
ถ้าแม้นว่าเราเคยขาดแคลนอะไรสักอย่าง ฉันก็จำไม่ได้ว่าเจ้าของที่อยากได้
แล้วไม่ได้นั้นมันคืออะไร แต่ก็ในทำนองเดียวกัน ถ้าใครถามว่า ฉันเคยได้รับของ
ขวัญชิ้นเลอเลิศที่บ่งถึงความหรูหราร่ำรวยของครอบครัวเราแล้ว ฉันก็จำไม่ได้
เหมือนกันว่าเจ้าของสิ่งนั้น หรือหลาย ๆ สิ่งนั้น คืออะไรเหมือนกัน
สรุปรวมความว่าเราเป็นครอบครัวของชนชั้นกลางที่แสนจะธรรมดาสามัญ
ไม่ได้ด้อยหรือเด่นกว่าครอบครัวใดในสังคมเล็ก ๆ ละแวกบ้านของเรานั่นเอง และ
เราก็ไม่ได้มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรเลยกับสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว
ของเราด้วย
‘แดดดี้’ ของพวกเราทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของโรงงาน
ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นโรงงานขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองแกลดุสตัน
มลรัฐเพนซิลเวเนีย เขาประสบความสำเร็จในการงานอย่างดียิ่ง...นี่เราประมวล
จากถ้อยคำของหัวหน้างานของแดดดี้ ที่ชอบแวะมารับประทานอาหารค่ำที่บ้านของ
เราอยู่บ่อย ๆ แล้วคุยโอ่ถึงความสามารถอันน่าชมของแดดดี้ไม่ขาดปาก
“ตัวอย่างของชนอเมริกันที่น่าจับตามองเชียวแหละ พ่อของพวกหลาน ๆ
น่ะ...” นายของพ่อบอก “หน้าตารูปร่างก็กินขาด ขยันขันแข็งอย่างหาตัวจับ
ผู้คนที่พบเห็นคนบ้า แล้วยังมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ขยันขันแข็งอย่างหาตัวจับ
ยากอีกล่ะ’
แล้ว นาย ก็หันไปสัพยอกแดดดี้ว่า
“ให้ตายเถอะคริส...สวรรค์ชั้นไหนนะ ถึงได้สรรค์สร้างคนที่มีลักษณะเลิศ
เช่นคุณขึ้นมาได้อย่างหมดจดงดงามได้ถึงขนาดนี้...”
ฟังดูเหมือนเกินจริง...
แต่ฉันก็คิดเหมือนอย่างที่ ‘นาย’ พูดไม่มีผิด แดดดี้เป็นอย่างที่นายพูด
จริง ๆ ด้วยความสูงพอดี ๆ คือหกฟุตกับสองนิ้ว น้ำหนักหนึ่งร้อยแปดสิบปอนด์
กับผมหนาหยักเพียงสลวย สีทอง แล้วยังดวงตาสีน้ำเงินกระจ่างที่เป็นประกาย
ระยับเวลาที่หัวเราะสนุกสนานนั้นก็เกินจะบอกได้ถึงความงามสง่าไปเสียทุกกระ-
เบียดนิ้วของสุภาพบุรุษผู้มีตำแหน่งเป็น ‘แดดดี้สุดที่รัก’ ของพวกเราเสียเกินพอ
แล้วละ
มิหนำซ้ำแดดดี้ยังเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถ เป็นนักเทนนิสฝีมือดี ตี
กอล์ฟยิ่งเก่งฉกาจไปกว่าใคร ๆ ในกลุ่มเพื่อน และออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ
สม่ำเสมอ ก็ด้วยความรักความชอบในการเล่นกีฬาและการออกกำลังกายเป็นประจำ
เช่นนี้ จึงทำให้ร่างกายของแดดดี้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม มีผิวสีน้ำตาลแดง
จากแสงแดดเป็นที่ริษยาของใคร ๆ ไปตาม ๆ กัน
ส่วนที่เราไม่ชอบก็มีอยู่บ้าง ตรงที่แดดดี้มักได้รับมอบหมายจากโรงงานให้
เป็นผู้ไปติดต่องานตามรัฐต่าง ๆ และบางทีก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงต่างประเทศ ซึ่ง
นั่นก็ต้องใช้เวลานานเป็นหลาย ๆ วันหรือหลายสัปดาห์ โดยที่ในช่วงเวลาแห่งความ
คิดถึงคำนึงหานั้น พวกเราจึงมีแต่มอมม่าคนเดียวเป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ ซึ่งต้องนับ
ว่าเป็นงานหนักของเธอไม่น้อย โดยที่เธอจะปริปากบ่นสักคำก็ไม่เคย
แดดดี้ของเรามีสำนักงานทำงานประจำที่เมืองใหญ่ ส่วนครอบครัวก็อยู่
ในเมืองชนบทเล็ก ๆ ไกลกันไม่น้อย แดดดี้จึงไม่ได้กลับบ้านทุกวันเหมือนพ่อของ
คนอื่น ๆ แต่จะกลับทุกบ่ายวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันสำคัฐที่สุดของพวกเรา
ยามบ่ายจัดของทุกวันศุกร์ พวกเรารวมทั้งมอมม่าจะออกมายืนออกันอยู่ที่
ระเบียงหน้าบ้าน สายตาจับจ้องมองไกลไปถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านจากถนนสายใหญ่
แค่เพียงได้ยินเสียงเครื่องบนต์ดังขึ้นแผ่ว ๆ เราก็จะวิ่งหนีเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในบ้าน
ด้วยใจเต้นระทึก
รอจนได้ยินเสียงฝีเท้ากึงกัง ได้ยินเสียงร้องตะโกนร่าเริง
“ลูก ๆ อยู่ไหนกันหมด พ่อกลับมาบ้านแล้ว เร็ว มาให้พ่อกอดจูบเสียดี ๆ
...มาบอกว่ารักและคิดถึงพ่อมาก ๆ ด้วย…”
คริสกับฉันมักจะยืนแอบอยู่ริมประตู ดังนั้น เราจึงเป็นลูกคู่แรกที่กระโดด
โลดเต้นเข้าไปกอดรัดแดดดี้ จากนั้นน้องเล็ก ๆ อีกสองคนก็งุ่มง่ามมาถึง เพราะที่
ซ่อนของพวกน้อง ๆ มักจะอยู่ตามใต้โต๊ะ ใต้เก้าอี้
แดดดี้กอดจูบลูกรักทั้งสี่คนด้วยความรักความคิดถึงอย่างเหลือล้น
บ่ายวันศุกร์จึงเป็นวันเวลาแห่งความสุขของครอบครัวน้อย ๆ นี้ แดดดี้มีของ
ขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้พวกเราควบทุกคน และในระหว่างที่พวกลูก ๆ พากันกรี๊ด
กร๊าดอวดของขวัญกันเป็นชุลมุนนั่นแหละ แดดดี้จึงมีโอกาสได้เข้าไปทักทายมอมม่า
ผู้รออยู่ด้วยความอดทน
ภาพที่แดดดี้วิ่งเข้าไปหามอมม่านั้น ช่างเป็นภาพที่สวยงามประทับใจเสีย
จริง ๆ เธอยืนรอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ชื่นชม ดวงตาเป็นประกาย
วาวหวาน ริมฝีปากเผยอแย้มราวกลีบดอกไม้ แล้วแดดดี้ก็กอดเธอไว้ในวงแขน
สายตาที่ก้มลงมองใบหน้าอันแสนหวานนั้นราวกับว่าเขาไม่ได้เห็นเธอมานานสักปี
กระมัง...
ขอย้อนกลับไปช่วงข้าวของทุกวันศุกร์ วันสำคัญของครัวเรา หลัง
จากที่พวกเราไปโรงเรียนกันแล้ว มอมม่าก็จะไปยังร้านเสริมสวยประจำหมู่บ้าน
ทันที เธอจะไปสะผม แต่งผมเสียสวย แล้วยังแต่งหน้าอ่อน ๆ จากนั้นจึงกลับ
บ้านตรงเข้าห้องน้ำ ลงแช่ตัวในอ่างน้ำอุ่นที่กรุ่นไปด้วยน้ำมันหอมกลิ่นดอกไม้
เมื่อการอาบน้ำอันอ้อยอิ่งแสนนานเสร็จสิ้นลง เธอก็จะเลือกเสื้อผ้าสำหรับ
ใส่ในบ่ายวันนั้นด้วยความพิถีพิถันเป็นพิเศษ ชุดอยู่กับบ้านของเธอมักเป็นชุดบาง
เบากรุยกราย สีสวยหวานและมีลวดลายดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋มพร่างพรายไปทั่วตัว
เวลาที่มอมม่านั่นอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อแต่งหน้าของเธอเพิ่มขึ้นอีกเล็ก
น้อยนั้นแหละที่ฉันชอบเข้าไปนั่งจ้องมองอย่างไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่าย พยายามเรียนรู้
และจดจำถึงวิธีการที่ทำให้ผู้หญิงสวยคนหนึ่งกลายเป็นนางฟ้าขึ้นมาได้ในพริบตา
แล้วก็เป็นเรื่องน่าขำเสียจริง ๆ ที่แดดดี้ไม่เคยรู้เลยว่ามอมม่านั้นใช้เครื่องสำอาง
มากมายหลายชนิด เขามักสรรเสริญด้วยใจจริงว่าภรรยาสุดที่รักของเขานั้นงดงาม
ตามธรรมชาติแท้ ๆ
ด้วยประการฉะนี้ บ้านเล็ก ๆ ของเราจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก
บอกซึ่งกันและกันด้วยคำรักที่แสนหวานอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย และผู้ที่พูดเช่นนั้นมาก
ที่สุดก็คือ แดดดี้
สุดที่รักจ๋า คิดถึงพี่มั้งหรือเปล่า...ดีใจไหมที่พี่กลับมาบ้านแล้ว...รู้ไหมว่า
พี่รักเธอสุดหัวใจ...อย่าบอกนะว่าเธอไม่คิดถึง ไม่รักพี่...รู้ไหมว่าทุกค่ำคืนพี่ฝันถึง
เธอ ฝันว่ากอดเธอไว้ในวงแขน...คอรีนน์จ๋า อย่าบอกว่าเธอไม่รักพี่ เพราะนั่นคือ
คำสั่งประหารชีวิตแท้ ๆ พี่อยู่โดยไม่มีเธอและลูก ๆ ไม่ได้เป็นอันขาด
มอมม่ารู้คำตอบอย่างทะลุปรุโปร่งในทุกคำถามนั้น เธอตอบเขาด้วยประกาย
ตาแสนหวาน ด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ริมหู...และด้วยจุมพิตอันแจ้งถึงความรัก
ยิ่งใหญ่...
ครอบครัวของเรามีชื่อสกุลที่น่าขัน เรียกยาก และสะกดยากไปกว่า ‘ตอล-
แลนแกนเกอร์’ (ซึ่งคุณแม่มักจะย่อเหลือแค่ ‘ดอลแลน’ เสียบ่อย ๆ) ที่มาของ
นามสกุลนี้ก็มาจากการที่ครอบครัวของเรามีรูปร่างหน้าตาและลักษณะเหมือนตุ๊กตา
...ผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้า ผิวขาวสะอ้าน (นอกจากแดดดี้ที่มีผิวสีแทน)
จิม จอห์นสัน เพื่อนรักของแดดดี้ มักจะตั้งสมญานามให้พวกเราพี่น้อง
ทั้งสี่คนว่า ‘ตุ๊กตากระเบื้องแห่งเมืองเดรสเด็ร’
เมื่อน้องแฝดอายุสี่ขวบ คริสโตเฟอร์เต็มสิบสี่และตัวฉันเองเพิ่งย่างสิบสอง
ขวบ...
บ่ายวันศุกร์ปลายเดือนเป็นวันสำคัญที่สุดของพวกเรา เพราะตรงกับวันเกิด
อายุครบสามสิบหกของแดดดี้พอดี มอมม่าจึงคิดจัด ‘เซอร์ไพรส์ ปาร์ตี้’ อย่าง
โก้หรูที่สุดให้ วันนั้นมอมม่าสวยงามกว่าวันไหน ๆ ในสายตาของฉันนั้น ฉันว่าเธอ
สวยยิ่งกว่านางฟ้าเสียอีก เธอสระผมเสียจนอ่อนละนุ่มหอมฟุ้งแล้วจัดทรงเป็นลอน
สลวยสวยงาม แม้กระทั่งเล็บก็ยังเคลือบไว้ด้วยสีไข่มุกอมชมพู เสื้อคลุมตัวบาง
เบาของเธอนั้นคือสีฟ้าน้ำทะเลหวานใส
เราช่วยกันจัดโต๊ะอาหารอย่างพิถีพิถัน ของขวัญ จากทุกคนในห่อสวยงาม
วางเตรียมไว้บนโต๊ะเล็ก ๆ ในห้องอาหารนั้นเอง
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย พวกเราก็พานั่งรอด้วยใจจดจ่อถึงเจ้าของ
วันเกิดที่จะกลับมาถึงบ้านในไม่ช้านี้ มอมม่าพูดว่าเป็นงานเล็ก ๆ สำหรับครอบครัว
และมิตรสนิทของแดดดี้เท่านั้น
“แคธี่จ๊ะ...” มอมม่าหันมาเรียกฉัน “ยังมีเวลาเหลือพอ หนูช่วยพาคู่แฝด
ไปอาบน้ำใหม่ได้ไหม แล้วให้นอนเสียสักตื่น ค่อยลุกขึ้นมาแต่งตัวใหม่ เมื่อตะกี้
ลงไปเล่นในบ่อทราย เสื้อผ้าสกปรกหมดแล้ว”
ฉันตอบรับว่าจะจัดการเรื่องคู่แฝดเอง มอมม่าไม่ต้องห่วง ฉันเข้าใจดีว่า
เธอไม่อยากอาบน้ำให้เด็กแสนซนสองคนนั้นเอง ก็เพราะกลัวว่าเสื้อผ้าสวยงามของ
เธอจะเปียกเปื้อนเลอะเทอะไปด้วย
ยังไม่ทันที่ฉันจะทำงานที่เธอสั่งให้เรียบร้อย มอมม่าก็ออกคำสั่งต่อไปอีกว่า
“แล้วหนูกับคริสโตเฟอร์ก็เหมือนกันนะจ๊ะ...” เธอหมายถึงคริสพี่ชายคนโต
ของเราที่มีชื่อเหมือนแดดดี้ “ทั้งสองคนแหละ อาบน้ำกันเสียใหม่อีกครั้ง หนูแต่ง
ชุดสีชมพูที่แม่เตรียมไว้ให้...อ้อ อย่าลืมม้วนผมให้เป็นหลอด ๆ ด้วยล่ะ...”
ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เธอหันไปทางคริสอีกคนหนึ่งทันที
“คริสลูกรักจ๋า วันนี้ขอเว้นกางเกงยีนส์นะ แม่อยากให้ลูกแต่งโก้ด้วยเสื้อ
เชิ้ตตัวใหม่ ผูกเนกไทด้วยจ๊ะ และก็สวมเสื้อนอกสปอร์ตสีฟ้านะ อ้อ กางเกง”
น่ะเลือกสีครีมเป็นเหมาะที่สุด
“โธ่ มอมม่าฮะ...” คริสส่งเสียงประท้วง “ผมไม่อยากแต่งเต็มยศแบบนั้น
เลย...”
มอมม่าทำนัยน์ตาขุ่น
“คริส...จะให้แม่พูดซ้ำสักกี่หนว่าวันนี้เป็นวันเกิดของแดดดี้...เป็นวันพิเศษ ลูก
ต้องคิดถึงบุญคุณของเขามั่งสิว่าเขาเสียสละเพื่อพวกเรามากมายแค่ไหน...เขาอาจจะมี
เพื่อนมาร่วมงาน แดดดี้จะได้ภูมิใจในตัวลุก ๆ ทุกคนไงล่ะ”
คริสเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ทิ้งให้ฉันรบรากับเจ้าคู่แฝดแสนร้ายตามลำพัง กว่า
จะลากตัวไปอาบน้ำได้ ฉันก็แทบสิ้นแรง
“อาบน้ำวันละครั้งเดียวก็พอแล้วนี่... แครี่ร้องลั่น แล้วคอรี่ก็เห็นพ้องด้วย
ทันที ” อาบน้ำหนเดียว...อาบน้ำหนเดียว แคธี่แกล้ง...มอมม่าจ๋ส แคธี่แกล้งหนู
จะเอาสบู่ใส่หน้าหนู...
ข้างฝ่ายแครี่สาวน้อยก็ร้องโวยวายเรื่องการสระผม
“อย่าเอาแชมพูฟอง ๆ นั่นมาให้หัวหนูนะ แคธี่...หนูจะฟ้องมอมม่า...”
แต่พอลงไปในอ่างน้ำอุ่นที่ฉันผสมเตรียมไว้ เรื่องก็กลับกลายเป็นว่า คู่แฝด
สนุกสนานกับการตีน้ำให้เป็นฟองแล้วสาดใส่กันอย่างสนุนสนาน ไม่ยอมขึ้นจาก
อ่างเสียอีก...
ฉันต้องหลอกล้อเสียแทบตายกว่าจะยอมขึ้นมาแต่งตัวกัน ฉันจัดการให้
คอรี่ก่อน เลือกชุดที่ดีที่สุดให้แก คือกางเกงขาสั้นสีขาวและเสื้อยืดมีลายจุดน่ารัก
เมื่อเสร็จเรียบร้อย คอรี่ก็ปลื้มใจในความสะอาดสวยงามของตัวเองเป็นอันมาก ถึง
ขนาดที่สิ่งไปส่องกระจกชมโฉมตัวเองหลายครั้ง
แต่แครี่จู้จี่จุกจิกเป็นอันมาก อยากเลือกเสื้อผ้าทรงผมด้วยตัวเอง ร้องแต่
ว่า หนูอยากสวยเหมือนมอมม่า
แต่เมื่อเสร็จเรียบร้อย คู่แฝดมานั่งเคียงคู่กัน ฉันก็อดปลื้มใจในความน่ารัก
ราวกับตุ๊กตาของเด็กทั้งสองคนไม่ได้
คริสโตเฟอร์หายเข้าไปในห้องของเขาสักอึดใจใหญ่ ๆ แล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวที่
ฉันจะต้องอาบน้ำแต่งตัวเป็นคนสุดท้าย พอฉันแต่งตัวเสร็จด้วยชุดสีชมพูตามที่
มอมม่าสั่ง คริสโตเฟอร์ก็หันมาเห็นเข้าพอดี
“เฮ้ แคธี่...ไม่เลวเลยนี่...”
“ไม่เลวเลย...” ฉันทวนคำ “แค่นี้เองเหรอที่พี่ชมฉันน่ะ...”
“อ้าว...ก็จะให้ชมยังไง น้องสาวตัวเองแท้ ๆ นี่นา...” เขาว่า แล้วมองดู
นาฬิกา “แดดดี้คงจวนจะมาถึงแล้วละ เราไปรอที่ระเบียงกันดีกว่า” ว่าแล้วเขาก็
จูงคู่แฝดแล้วหันมาถึงแล้วละ เราไปรอที่ระเบียงกันดีกว่า “ ว่าแล้วเขาก็
๒
เวลาบ่ายห้าโมงมาถึงแล้วเลยผ่านไป...
เรารอแล้วรอเล่า แดดดี้ก็ยังไม่กลับมาถึงบ้านเสียที เพื่อนบ้านที่เราเชิญมา
งานวันเกิดของแดดดี้ก็จับกลุ่มสนทนากัน นาน ๆ ทีหันมาพูดจาปลอบใจมอมม่า
บางคนก็หาเรื่องสนุกมาพูดจาให้ครึกครื้น
เวลาผ่านไปอีก ก็ยังไม่มีแม้แต่เงาของรถแคดิลแล็กสีเขียวแก่ของแดดดี้
จะแล่นมาตามถนน เพื่อการรอคอยอันแสนทรมานของเราจะได้สิ้นสุดลงเสียที
มอมม่าเริ่มลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา สายตาก็ชะแง้มองไปที่ถนนตลอดเวลา
ทุ่มกว่าแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของแดดดี้ อาหารที่มอมม่าบรรจงจัดทำยังวางรอ
อยู่บนโต๊ะอาหาร คู่แฝดเริ่มร้องไห้โยเย ทั้งหิว ทั้งง่วง แล้วไหนยังจะครวญหา
แดดดี้...หนูจะเอาแดดดี้...เมื่อไหร่แดดดี้ของหนูจะมา...
“ไม่มีอะไรหรอกน่า คอรีนน์...” จิม จอห์นสัน หันไปปลอบมอมม่า “เขา
คงติดธุระอะไรสักอย่าง เดี๋ยวก็มาเองแหละ...”
หรือว่าป่านนี้มัวไปติดสาวที่ไหนเสียก็ไม่รู้...” เพื่อนอีกคนของแดดดี้พูด
ด้วยเสียงล้อเลียน แต่ไม่มีใครเห็นขัน ภรรยาของเขาทำสีหน้าขึ้งโกรธแล้วทำตา
เขียวใส่ มอมม่าก็ได้แต่ยิ้มจืด ๆ
ฉันเริ่มรู้สึกหิว และความรู้สึกนั้นก็รุนแรงขึ้นทุกที แต่มอมม่าเหมือนจะ
ไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย นอกจากการยืนนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง ส่งสายตาไปที่ถนนอย่าง
ไม่ยอมทำสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
“โอ...” ฉันร้องเสียงดัง แล้ววิ่งถลาไปยืนเคียงมอมม่าที่ริมหน้าต่าง “มี
รถมาค่ะ มอมม่า...แดดดี้กลับมาแล้วละ...”
แต่รถที่แล่นมาจอดหน้าบ้านของเราไม่ใช่แคดิลแล็กสีเขียวของแดดดี้ เป็น
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)