อันเกิดแต่ดวงจิต...อธิษฐาน (อิสรา)

อันเกิดแต่ดวงจิต...อธิษฐาน (อิสรา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742533854
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 215.00 บาท 53.75 บาท
ประหยัด: 161.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 

“ไหวมั้ย นน พักหน่อยก็ได้นะ”

มาลาถามเพื่อนร่วมทาง แต่นนไม่ตอบ ฟ้ม™ฬีรษะ ตา

ยังมองตรงไปข้างหน้า ผิวหน้าใสๆ วัยอ่อนของหนูน้อยชุ่มด้วยเหงื่อรอบหน้า-

ผากและปลายจมูกเล็ก ๆ ขาทั้งสองขยับขึ้นลง ซอยเท้าบนลูกบันไดจักรยาน

ไม่ลดละ แรงกายของเด็กชายเทียบกับของผู้ร่วมทางหนุ่มใหญ่อย่างเขาไม่ได้

แต่แรงใจนั้นไม่ยิ่งหย่อนเลย

ชายหนุ่มผิวคลํ้าแดด เอียงหน้าคมเข้ม สันจมูกตรง มองนักป่นเยาว์วัย

แต่ใจเด็ดแล้วยิ้มน้อย ๆ เขามักใช้เวลาออกกำลังไปตามเส้นทางละแวกบ้านใน

ถนนซอยไม่มีรถยนต์พลุกพล่าน ตั้งแต่เขตตำบลนัวปากท่า ลำพญา นรา-

ภิรมย์ และคลองนกกระทุงทั้งโดยลำพังและกับชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพเสมอ

แต่วันนี้มีเพียงนนทรี เด็กชายวัยเจ็ดขวบ ลูกของนินาท เพื่อนรุ่นน้องมาปั่น

 เคียงข้าง

นนถีบได้แข็ง ทรงตัวได้มั่นคง สามารถซอยรอบขาได้ถี่ถึงเกือบหกสิบ

รอบต่อนาที ซึ่งนับว่าดีมากสำหรับเด็กตัวเท่านี้ เพราะความเร็วเหมาะสม

สำหรับผู้ใหญ่คือราว ๆ แปดสิบถึงเก้าสิบรอบต่อนาที แต่จักรยานกันคันนี้ข้าง

สูงกว่าตัวคนถีบ ขาจึงตึง เท้ามักหลุดจากลูกบันได นนต้องสูงกว่านี้อีกสัก

สามสิบกิโลเมตรเศษ ๆ ตามปกติถ้ามาคนเดียว ใช้เวลาอย่างมากก็ชั่วโมงกว่า ๆ

เท่านั้น วันนี้มีเด็กเล็กมาด้วย ตามปกติถ้ามาคนเดียว ใช้เวลาอย่างมากก็ชั่วโมงกว่าๆ

เท่านั้น วันนี้มีเด็กเล็กมาด้วย เขาลดความเร็วเหลือแค่สิบบ้าสิบหกกิโลเมตร

ต่อชั่วโมง ไม่เร่งรีบแต่ไม่ช้าเกินไป พอรักษาระดับใบ้เป็นการออกกำลังสบาย ๆ

สำหรับผู้ชายแข็งแรง สุขภาพดี แต่ทว่ากับเด็กเล็กเท่านี้ หนักมากทีเดียว แต่

เมื่อตั้งใจว่าจะสู้ นนก็สู้ยิบตา ขอให้ได้ทำเหมือนผู้ใหญ่เป็นพอ ระหว่างทาง

ได้หยุดดื่มนํ้าเป็นระยะ จนถึงโค้งสุดท้าย หนูน้อยอยากเร่งให้ถึงบ้านเร็วๆ

มาลาชะลอความเร็ว หักแฮนด์จักรยานเลี้ยวเข้าบ้าน จอดรถแล้วมอง

ดูคนถึงก่อน ตอนปันก็เข้มแข็งดี แต่พอลงจากอาน นนก็ออกอาการเข่าอ่อน

ลิ้นห้อย หอบแฮ่กๆ ถอดหมวกกันน็อก แล้วเดินตุปัดตุเป๋ไปนั่งแปะบนพื้น

ซีเมนตฺไต้ถุนบ้าน ไอ้ปมปุย หมาไทยวิ่งกระดิกหางริกๆ ตามตั้งแต่ประตูรั้วมา

ยืนแลบลิ้นหอบอยู่ข้างๆ

“บอกแล้วว่าใบ้พักอีกหน่อย ก็ไม่เชื่อ ดื้อจริง ๆ เราเนี่ย”

คนตัวเล็กแต่ใจเด็ดอ้าปากแย้ง เห็นฟันหน้าแถวบนหลอไปสองซี่

“ค้อจวนจะถึงบ้านอยู่แล้ว นนทำได้นี่ฮะ แค่เหนื่อยนิดหน่อย”

“แข้งขาอ่อนแรงจนเดินจะไม่ตรงทาง มาบอกว่า แค่เหนื่อยนิดหน่อย

เฮ้อ...เรา ตัวเล็กแต่อึ๊ดอึด รถเก่าของลุงคันนี้สูงไปหน่อย พอกันของเราซ่อม

เสร็จ นนจะเกร็งขาน้อยลง”

“คันนี้ นนก็ถีบได้สบาย ๆ ฮะ ลุงสุด”

ยังโต้แย้งกันไม่ทันจบ ก็มีเสียงมาจากในครัว

พอเห็นหน้าเด็กชายผู้ตรงรี่เข้ามาเพื่อหาน้ำดื่ม เจ้าของเสียงถามทันที

“เป็นไง นน ลุงเค้าพาไปลำบากถึงไหน”

“แน่ะ เห็นมั้ย ลุงโดนย่าต่อว่าเขาแล้ว”

คนตัวเล็กยังหอบอยู่ ส่งเสียงแหบ ๆ เพราะกระหายน้ำ

“คุณย่าฮะ นนของแดงดาแก้วนึง”

“มา มานั่งก่อน ทั้งสองคน ย่ามีเครื่องดื่มชื่นใจใบ้ลองชิม”

นางมาลัย ใช้เวลาส่วนใหญ่ในครัว จนเป็นที่รู้กันว่าในบ้านไม้หลังใหญ่

ทั้งหลังนี้ ไม่มีห้องไหนหรือมุมไหนถูกใจเธอเท่ามุมนี้ มาลาเดินตามเสียงเข้ามา

แล้วก็ต้องประหลาดใจ ที่มุมโปรดของมารดา ขณะนี้มิได้มีเพียงน้าขิม ผู้เป็น

ทั้งญาติและลูกมือของแม่เท่านั่น แต่มีสตรีอื่นนั่งอยู่ด้วย บนโต๊ะมีจานผลไม้สด

และแก้วน้ำสีแดง

“คุณเยีย นี่ตาสุด ลูกชายป้า แต่เจ้าตัวเล็กนั่นเป็นลูกของเพื่อนเค้า

มากินมานอนจนจะเป็นลูกตาสุดแล้ว สุด นี่คุณเยีย เป็นเพื่อนบ้านนี่อยู่ติด

 กะเรานี่เอง”

“สวัสดีค่ะ”

เธอเอ่ยปากทักทาย ไม่ได้ยกมือไหว้ เขายิ้มและค้อมศีรษะเล็กน้อย

เด็กชายประนมมือไหว้ แล้วทวงเครื่องดื่ม

“คุณย่าฮะ นนขอน้ำ”

“เออแน่ะ มัวแต่คุย ลืมเลยว่า มีคนทั้งเหนื่อย ทั้งหิวน้ำ

นางมาลัยรินนํ้าสีแดงสดจากเหยือกใส่แก้วให้ลูกและชาย

“ลองชิมซิ ว่าเป็นไง”

เด็กชายดื่มน้ำสีแดง แล้วทำหน้าย่น บ่นอ่อย ๆ

“ไม่ใช่แดงดานี่ฮะ คุณย่า”

“แล้วอร่อยมั้ย”     

คนลูกถามพยักหน้านิด ๆ พอให้ผู้ใหญ่ไม่เสียนํ้าใจ เจ้าหนูชอบน้ำแดง

ผสมโซดามากกว่าทัก แต่ลุงสุดกลับบอก

“อร่อยดีแม่อะไรฮะ ได้มาจากไหน”

“น้ำทับทิมสด คุณเยียคั้นเองสด ๆ แม่ชิมแล้วชอบ เลยเก็บไว้ให้ลูกทับ

ตานน ตอนกลับจากปั่นจักรยาน

นนทรีตรงไปขอแดงตากับแม่ขม แล้วถือแก้วเดินออกจากครัว

มาลายกแก้วน้ำทับทิมดื่มต่อแม่เป็นอย่างนี้เสมอ อะไรอร่อย ชิมแล้ว

ถูกใจแม่ เป็นต้องขยักเก็บไว้ให้ลูกได้ยิ้มรสด้วย โดยเฉพาะลูกคนนี้ คนสุดท้อง

ของเธอ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แม้ว่าเด็กชายมาลานี่เคยผอมสูง

แขนขายาวเก้งก้างพะเติบโตเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ จนต้องแหงนคอมองดูลูก

ยามยืนใกล้ทัน เขาก็ยังคงเป็นลูกคนเล็กนี่เธอยังห่วง...และเป็นลูกนี่ดูแลเธอ

ไม่ห่าง

ชายหนุ่มวางแก้วลง พูดทับเพื่อนบ้านคนใหม่

“ขอบคุณมากครับ สำหรับน้ำผลไม้คั้นสดๆรสอร่อย ผมเลยได้ส่วนบุญ

จากแม่ไปด้วย”

            “ดิฉันสิคะ ต้องขอบพระคุณ ที่คุณป้ามีนํ้าใจเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้าน

ไม่มีอะไรจะน่าประทับใจ ยิ่งไปกว่าการต้อนรับอย่างดีเช่นนี้ แต่คุณป้าคะ ดิฉัน

ต้องขอร้องอีกครั้งว่า อย่าเรียกว่า ‘คุณเยีย’ เลยค่ะ เรียก ‘เยีย’ เฉยๆดีกว่า”

 เอ้อเฮอ! เธอพูดภาษาไทย แต่เป็นภาษาของคนไทยต่างถิ่น ไม่ใช่ทั้ง

สำเนียงและสำนวนของชาวบ้านแถวนี้คุยทัน มีดิฉัน...ขอบพระคุณ...น่าประทับ

ใจ...การต้อนรับ แต่อะไรก็ช่างเถอะ ตอนไต้ยินเสียงเธอสองสามคำเมื่อแรกทัก

นั้นก็สะดุดหูทัก ยิ่งได้ยินมากชื้นอีกสามสี่ประโยค บวกกับเสียงผสาน รอ เรือ

ลอ ลิง คำควบกล้ำชัดเจน เว้นวรรคได้จังหวะ ช่างชวนเชิญให้ฟังต่อ ไม่ต่าง

ทับการฟ้งทำนองเสนาะ หรือเพลงไพเราะที่แม่ฟังเป็นนิจ

ผิวแอ้มของเธอเนียน ไร้แป้งเคลือบ คิ้วเรียวบาง ปลายจมูกมนรับทับ

สันสวย ริมฝีปากปลอดสีเคลือบฉูดฉาด รอยแย้มน้อย ๆ กับแววตายามเธอ

มองมารดาวัยชราของเขานั้นอ่อนโยน แต่นัยน์ตาเธอเพขนตาหนา ช่างหม่น-

เชื่อม...

เสียงแม่ท้วงบ้าง

“งั้น...ก็อย่ามาใช้  ดิฉง ดิฉัน กับป้าสิจ๊ะ อายุขนาดหนูนี่ จะเป็นลูก

ก็ได้ หลานก็ได้นะเนี่ย”

“หนูก็เรียกคุณป้างะคุณแม่ก็แค่หกสิบสี่เท่านี้น”

เธอคงคุยกับแม่นานพอสมควร ...จนพอจะรู้อายุอานามทันแล้ว ตาม

ปกติ หลังจากปั่นจักรยานมาเหนื่อย ๆ  พอพักสักครู่ เขามักออกไปเดินเอื่อยๆ

นอกบ้าน พอให้เหงื่อแห้ง แล้วจึงไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่คราวนี้เขา

กลับนั่งแช่อยู่ในครัว ฟังแม่คุยกับเพื่อนบ้านคนใหม่ แม่พูดถึงเจ้าของบ้านเดิม

 ผู้ไม่อาจนับว่าเป็นเพื่อนบ้านเพราะไม่ยอมสุงสิงเสวนาทับใคร ไม่ปรารถนาจะ

ร่วมงานบุญทานการกุศลทับผู้ได

“หนูเยีย อย่าเกรงใจนะ มีอะไรจะให้ช่วยก็บอก แถวนี้ก็คนคุ้นทันทั้ง

นั้น มีแต่เจ้าของเก่านั่นที่ไม่เอาใครเลย ดีแล้วละ ไปซะไต้”

“อ้าว...แม่ ไหงไปว่าเค้าสับหลังซะรั้นล่ะฮะ”

“โอ๊ย! ต่อหน้าก็จะว่า คนอะไร อยู่บ้านติดทันทั้งหลายปีดีดัก พูดทัน

ไม่เกินสิบคำ ทำตัวเป็นพวกเหม็นสาบมนุษย์ ถ้าเห็นแม่มาเดินเลาะแถวริมรั้ว

รีบผลุบเข้าบ้านไปเชียว”

ริมฝีปากของเธอ อืม...เหมือนคันศร แย้มอีก เมื่อพูดออกตัวคับแม่

“ถ้าคุณป้าไม่เห็นเรา อย่าเพิ่งคิดว่าเราหนีหน้านะคะ ตอนนี้มาอยู่ประจำ

ไม่ได้ ต้องซ่อมแซมข้างในบ้านอีกมากค่ะ”

“มาเมื่อไหร่ ก็มาคุยคันนะหนู”

เธอไหว้มารดาเขาอย่างอ่อนน้อม

“ขอบพระคุณคุณป้ามากค่ะ มานั่งนานแล้ว ต้องขอตัวกลับเสียที ลา

นะคะ”

เธอลุก'ขึ้น ชายหนุ่มขยับตัว ก้มศีรษะรับค่าลา เขามองตาม

หลังร่างสูงโปร่ง ลำคอระหงตั้งตรง จนลับจากครัว แม่เดินตามไปส่งจนถึง

ประตูรั้วเพื่อยืดเวลาคุย ได้ยินเธอชมคับแม่ว่า บ้านนี้ร่มรื่นน่าอยู่มาก เธอแยก

เข้าบ้านไปแล้ว อีกลักพักใหญ่ ๆ ก็ได้ยินเสียงรถแล่นออกจากบ้านข้าง ๆ

เขาเดินออกจากครัว สวนกับแม่

“แม่ไปรู้จักคนข้างบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่นานนี่แหละ”

ภาษาของแม่เป็นอย่างนี้เสมอ ที่จะตอบให้ชัดเจนว่ากี่วัน กี่เดือน ล่วง

มาแล้ว หาใช่วิธีของแม่

“ไม่นานของแม่น่ะ กี่วันมาแล้วฮะ สองวัน สามอาทิตย์ หรือ สี่ห้า

เดือน

สุดเอ๊ยคับตัวเลขซะจนมองอะไร เห็นอะไร ต้องให้ได้เป็น

ตัวเลขไปหมด ท่ว่าไม่นานนี่ ก็ราวๆ เดือนกว่าๆมานี่เอง”

มีผู้คนเดนเข้าออก,ในบ้านนั้น แทนเจ้าของเก่ามาเดือนกว่า ๆ แล้วหรือ

นี่เขาคงไม่สนใจอะไร นอกจากแม่ งานสวนและงานบัญชีเท่านั้น เสียงแม่พูด

ต่อ แม่พูดได้ยาว ๆ แม้จะพูดอยู่คนเดียวก็ตาม

“เห็นแวบ ๆ หลายหน ได้แต่ยิ้มคันไปยิ้มคันมา มีปะเหมาะวันนี้ได้คุย

คัน ครั้งก่อนๆนั้น มาทั้งผัวทั้งเมีย ตาผัวแก่แล้ว แต่หล่อกริบเนี้ยบเชียวละ

แม่เห็นครั้งแรกยังนึกว่าเป็นพระเอกละครรุ่นเก่าแน่ะ คู่นี้มาทีก็แป้นๆ แต่เมื่อ

เช้าเห็นหนูเยียคนเดียว เลยชวนมานั่งคุยกันในบ้าน เค้าก็ขนของที่เตรียมมา

กินเอง ยกใบ้แม่หมด”

ไม่ว่าผู้หญิงคนนั่นจะอายุมากหรือน้อย ทุกคนสนใจ ‘หนุ่มหล่อ’ แม่พูด

ถึงผู้ชายค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งอย่างทึ่ง เขาคงจะดูดีทั้งหน้าตาและท่วงท่ากระมัง

“เท่ากับว่า เพิ่งได้คุยกับเขาวันนี้เองแต่ดูแม่สนิทสนมกะเขาจัง รู้แล้วว่า

อายุเท่าไหร่”

“ก็แค่ถามไก่นิด ๆ หน่อย ๆ ถ้าสุดยังไม่กลับมา คงคุยกันอีกนาน”

“ผมกลายเป็นมารไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แม่”

“นั่นเราต่วนพูดเองนา แม่ไม่ได้นานๆจะได้เจอคนสมัย

ใหม่พูดไทยชัดถ้อยชัดคำ คุยกับหนูเยียนี่แล้วอารมณ์ดี เค้าเสียงใส พูดเพราะ

เป็นคนสมัยใหม่แต่คนละอย่างกับแม่วิ และที่สำคัญเค้าชอบบ้านนี้มาก ชมใหญ่

ว่าน่าอยู่”

เจ้า1ของบ้านเล่าอย่างปลาบปลื้มใจเวลามีคนชอบบ้านไม้เก่า ๆ พื้นกระดาน

ฝาผนัง ขั้นบันไดเป็นเงามันเลื่อมด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลาและคราบไคลจาก

การใช้สอย ก่อนหน้านี้ ‘ใคร ๆ ที่เคยแวะเวียนมาถึงนี่ มักออกความเห็นพร้อม

กับแนะน่าใบ้ปรับ...เปลี่ยน...จนถึงรื้อถอน บ้านหลังที่เขาอยู่มาตั้งแต่เกิด

สำเนียงเธอนั้นส่อภาษา กิริยาก็ส่อสกุล วาจาไพเราะของเธอท่าให้ผู้ฟ้ง

เกิดปีติ แม้จะยังไม่รู้ชัดว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ดูเหมือนว่าแม่จะพึงพอใจ

เธอไม่น้อยเลย

 

เยียรบับแวะเวียนมาดูบ้านที่ซื้อต่อจากพี่สาว เมื่อเดินทางถึงบ้านเกิด

หลังจากใช้ชีวิตในตางแดนนานถึงยี่สิบกว่าปี เธอได้กลับมาพบบรรยากาศเก่า ๆ

กับพ่อแม่พี่บ้อง และคนเก่าแก่ไนบ้าน ทุกคนอายุมากขั้น ความว่องไวกระฉับ

กระเฉงลดลง แต่ความอบอุ่นยังเหมือนเติม วันที่มาถึง ป้าเกสร แม่บ้านผู้

เคยกักเปียและสางผมให้ แทบจะเข้ามาอุ้มเธอเหมือนเมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็กหญิง

‘โถ...แม่คุณ ไปอยู่ไกลคุณพ่อคุณแม่ตั้งนาน สำบากไหมคะ’

‘ลำบากซีคะ ลำบากมากตรงไม่ได้กินของอร่อย!เมือป้าเกสร’

‘อุ๊ย! คุณเยียก็ ปากหวาน ช่างมายอคนแก่ วันนี้อยากกินอะไรคะ...’

เยียรบับยินดีเมื่อ1ได้กลับบ้าน พบคนคุ้นเคย บ้านพ่อแม่และบริวารยังอยู่ดี

แต่ระยะเวลายี่สิบกว่าปี ทำให้อาณาบริเวณบ้านอื่นๆบนถนนจันทน์เปลี่ยนไป

มาก เดิมที ถนนสายนี้มีแต่บ้านสวยงามบนผืนดินกว้างขวางเรียงราย ทุกหลัง

มีสวนหน้าบ้าน มีต้นไม้เขียวและดอกไม้หลากสีงามสะพรั่ง

นอกจากบ้านสวยๆแล้ว แม่พูดบ่อยๆว่า เมื่อก่อนนี้คือหลายสิบปีมา

แล้ว แถวนี้เคยเป็นสวนผลไม้ ถึงหน้าลิ้นจี่ได้ยินเสยัง!จักตะขาบเพื่อไล่

ค้างคาว ตะขาบที่แม่พูดถึง เป็นของใช้จำเป็นสำหรับชาวสวน ทำด้วยไม้ไผ่

ผ่าข้อปล้องมีลูกกระทบ แขวนไว้บนต้นไม้ ต้องใช้แรงคนมาชักไม้จนเกิด

เสียงดังให้ค้างคาวหรือตัวอะไรๆตกใจไม่มากินผลไม้ก่อนคนแต่วันนี้บ้านสวยๆ

เหล่านั้นและสวนผลไม้โม่มีอีกแล้ว มีแต่ตึกแกวัต^ลูกกรง อาคารแท่งกระจก

หรือหอคอยเหล็กสูงชะลูดตั้งตระหง่าน แทนต้นไม้ใหญ่และพุ่มดอกไม้หน้าบ้าน

เพื่อนบ้านเคยรู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าก็หายไป ทุกคนขายบ้านแถวนี้

ไปอยู่ไกลขน เพื่อให้มีบริเวณมากขึ้น ห่างไกลความแออัดยิ่งขึ้น แม่บอกเธอ

‘คุณหงส์ แกขายที่ ย้ายไปอยู่บางนาโน่น พออยู่ไกล เลยไม่ค่อยไต้ เจออัน...’

อีกคนก็เหมือนกัน นี่ไปรามอินทรา ที่อยู่อัดไปอีกหน่อยก็ทำนองเดียว

อัน เหลือบ้านหลังใหญ่ พ่อแม่ พี่สาว และหลานสาวยังคงำพำนักอยู่ ด้าน

หน้าติดถนนเคยเป็นสนามกว้างขวาง พ่อแบ่งส่วนไปสร้างอาคารหน้ากว้างห้าคูหา

สูงสี่ชั้น ใช้เป็นสำนักงานซื้อขายพลอยและบริษัทผลิตเครื่องประดับของพี่ชาย

เจ้าของร้านอัญมณีในศูนย์การค้าชื่อดัง ครอบครัวของพี่ชาย พี่สะใภ้และลูกอีก

สี่คน ย้ายไปอยู่เป็นเอกเทศใกล้โรงเรียนนานาชาติย่านชานเมือง

แม้ยินดีเมื่อได้กลับบ้าน ได้พบพ่อแม่และ ‘ลูก’ แด'เธอยังอยากเห็น

บริเวณรายรอบอันโอบล้อมด้วยธรรมชาติ  เมื่อพี่สาวพูดถึงบ้านหลังนี้ เธอจึง

ตามมาดู และบ่อยครั้ง พ่อมาดูด้วยพร้อมสนับสนุนให้ซื้อ รวมทั้งช่วยออก

ความเห็นเรื่องปรับปรุงภายในให้อยู่สบาย เหมาะอับชีวิตสมัยใหม่มากขึ้น โครง

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024