ลูกไม้เปลี่ยนสี (วัตตรา)

ลูกไม้เปลี่ยนสี (วัตตรา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742530655
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 315.00 บาท 78.75 บาท
ประหยัด: 236.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“ลูกไม้เปลี่ยนสี”

โดย... “วัตตรา”

 

ตอนที่ 1

 

       ลมที่กรรโชกมาอย่างแรงราวฟ้าพิโรธนั้นทำให้ต้นมะพร้าวสูงชลูด ที่เรียงรายอยู่รอบบ้านนั้นโอนเอนโยนตัวลงต่ำจนเหมือนจะโค่นลงมาเสียให้ได้

          น้ำทิพย์ประคองท้องอุ้ยอ้าย นั่งถัดไปกับพื้นเรือนไม้ขัดเงานั้น  เพื่อจะไปให้ถึงนอกชาน  อย่างน้อยๆหากใครมาช่วยอุ้มเธอไปส่งที่อนามัยจะได้สะดวกขึ้น  แม้ไม่มีประสบการณ์ในการคลอดมาก่อนเลย แต่ด้วยความรู้เดิมที่ร่ำเรียนมาบ้าง น้ำทิพย์รู้ว่าอาการปวดท้องเช่นนี้ และ ณ เวลานี้ น่าจะถึงเวลาที่ชีวิตน้อยๆ ในท้องของเธอจะออกมาสัมผัสโลกภายนอกแล้ว

          ยามนี้เธอควรจะมีใครสักคนที่อยู่เป็นเพื่อน คอยให้ความช่วยเหลือ ...ประสพผู้เป็นสามีน่าจะรู้ดีที่สุดว่าเธอใกล้กำหนดคลอดแล้ว เขาควรจะดูแลเธอใกล้ชิด หรือไม่ก็อยู่ที่อนามัย  แต่เมื่อเช้าตรู่เขาบอกเธอว่า

“วันนี้ผมออกท้องที่นะทิพย์  ถ้ารู้สึกปวดท้องแปลกๆให้ไปที่อนามัยทันทีเลยนะ”

ทันทีเลย...เธอจะไปได้อย่างไร ที่บ้านไม่มีคนอยู่ ไม่มีรถ   กว่าจะเรียกรถรับจ้างได้ก็ต้องเดินออกจากบ้านสวนไปอีกราวกิโลเมตรเศษ  มีทางเดียวคือไปทางเรือ

ลุงทองดีกับป้ามาลัย บริวารเก่าแก่ที่อยู่ดูแลสวนส้มโอและผลไม้อื่นๆให้ครอบครัวของเธอมาตั้งแต่เธอเป็นสาวรุ่น  ยามนี้ก็คงพายเรือตามร่องสวนควบคุมการทำงานของคนงานนับสิบอยู่ โดยลืมไปแล้วว่าต้องแบ่งเวลามาดูแลคนท้องแก่ใกล้คลอด

“ตาหนู...ยายหนู...แม่จะแย่แล้ว”

น้ำทิพย์รำพึงกับสิ่งมีชีวิตในท้องด้วยเสียงเครือๆ นั่งถัดไปจนเกือบถึงบันได

“ป้า...มา...ลัย...ลุงทอง...ดี...ช่วยฉันหน่อยเถอะ”  เสียงของเธอแทบจะไม่หลุดออกมาจากปาก

แต่เสียงเรือหางยาวที่แล่นมาจอดที่ท่าน้ำหน้าเรือนของเธอทำให้น้ำทิพย์ค่อยมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา  สามารถตะโกนเรียกให้คนช่วยได้

“ประสพ...ป้ามาลัย  หรือใครที่มาที่ท่าน้ำน่ะ...ช่วย....ฉัน....ที” 

ท้ายเสียงแผ่วหายไปเมื่อเสียงฟ้าครั่นครืนดังแทรกขึ้น

สายฟ้าแลบแปลบปลาบ  แล้วฝนก็เทลงมาอย่างหนัก หากน้ำทิพย์มีแรงที่จะเงยหน้าขึ้นมองผ่านม่านน้ำฝนที่หนาทึบนั้นเธอจะเห็นภาพของชายหนุ่มรูปร่างสันทัดหิ้วกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ที่เจนตา วิ่งฝ่าสายฝนมาจากศาลาท่าเรือ

****************************

 

แสงไฟสีแดงที่หมุนติ้วๆ และเสียง “วี๊วอ...วี๊วอ”  ที่ดังไปพร้อมๆ กับแสงไฟนั้นสร้างความคึกคักให้กับกองเชียร์ที่อยู่รายรอบตัวเด็กชายตัวน้อย

 “รถพยาบาลมาแล้ว...ทำยังไงต่อคะน้องตฤณ...บอกคุณแม่หน่อยเร็ว” ฤทัยที่นั่งมองร่างน้อยๆที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในห้องนั่งเล่นที่ ข้าวของส่วนใหญ่เป็นของเล่นของเด็กน้อย  เฟอร์นิเจอร์ใดๆที่จะเป็นอันตรายถูกสั่งห้ามนำเข้ามาวางในห้องนี้เด็ดขาด เก้าอี้ทุกตัวต้องบุไว้ให้นุ่ม  พื้นห้องถูกปูด้วยฟองน้ำอย่างเนื้อแน่นแต่นุ่ม ก่อนจะปูพรมนุ่มลวดลายการ์ตูนของค่ายการ์ตูนดังของโลก ลวดลายเป็นมิกกี้เม้าส์ยอดนิยมของทั้งหลายรุ่น

“ตามหมอมาช่วยเลยค่ะน้องตฤณ” พี่เลี้ยงสาวๆ ทั้งสองร้องบอกพร้อมกัน

เด็กชายวัยสามขวบเศษยังพูดอะไรไม่เก่งนัก แต่แกก็อุ้มตุ๊กตาที่อยู่ในรถพยาบาลคันใหญ่โตนั้นออกมาและถือกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ วิ่งไปหาผู้เป็นพ่อ ที่อยู่อีกมุมหนึ่ง  อันเป็นมุมทำงาน 

ชาตรีกำลังเคร่งเครียดอยู่กับเอกสารตรงหน้า  เขาวางมือเมื่อเด็กชายวิ่งมาเกาะแขน

“คุณพ่อ...ผ่าตัด...คุณพ่อผ่าตัดเลย”

เด็กชายบอกกับผู้เป็นพ่อ  ชาตรีมองหน้าลูกชายยิ้มๆ

“ทำไมต้องผ่าตัดด้วยล่ะลูก...น้องตุ๊กตาเป็นอะไร”

“ขาหัก...ตุ๊กตาขาหักแล้ว” ว่าแล้วแกก็หักขาตุ๊กตาทั้งสองข้าง แล้วโยนไปทางหนึ่ง

“อ้าว!! เล่นอย่างนี้แสดงว่าเบื่อแล้วแน่เลย”

ชาตรีทำหน้ายุ่ง  เมื่อเห็นกิริยาของลูกชาย  ที่ดูกร้าวและโหดร้ายทั้งที่ยังเล็กอยู่เช่นนี้  เขาจับไหล่ลูกชายทั้งสองข้างและก้มลงพูดกับเด็กน้อย

“ตฤณ ฟังพ่อนะ  การที่ลูกไปหักขาตุ๊กตาแบบนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนะครับ ถ้าตฤณถูกคนหักขาอย่างนั้นบ้างตฤณจะเจ็บมากเลยนะ”

“เจ็บก็ให้คุณพ่อผ่าตัดให้”

ชาตรียิ้มและอุ้มเด็กน้อยมานั่งบนตักก่อนจะอธิบายต่อว่า

 “พ่อผ่าตัดต่อขาให้แต่คนนะครับ แต่ตุ๊กตาน่ะเป็นของเล่นที่ผ่าตัดไม่ได้  ตฤณต้องสงสารน้องตุ๊กตานะ และสงสารพ่อกับแม่ด้วยที่เป็นคนหาเงินมาให้ตฤณซื้อตุ๊กตา  ตฤณต้องรู้จักถนอมรักษาของเล่น ไม่ให้มันเสียหายเร็วเกินไป อีกอย่างหนึ่ง ตฤณทำอย่างนั้นเหมือนเป็นเด็กโหดร้ายนะ รู้มั้ย”

เด็กชายทำหน้างุนงงกับประโยคยาวๆของผู้เป็นพ่อ  ฤทัยเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น  เข้ามาพูดกับสามีด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม

“แหม...คุณสอนลูกยืดยาวขนาดนั้นแกจำไม่ได้หรอกค่ะตรี  เด็กอายุแค่นี้พูดสั้นๆก็พอแล้ว”

พูดกับสามีเสร็จ ฤทัยก็อุ้มลูกชายลงมาจากตักชาตรี และบอกกับเด็กน้อยเสียงเข้มๆว่า

“ทีหลังลูกอย่าทำอย่างนี้อีกนะ ของเล่นเสียหายหมด  เดี๋ยวก็มารบเร้าจะเอาของใหม่”

“ถ้าหนูขอของใหม่  คุณพ่อคุณแม่จะให้มั้ยครับ” เด็กน้อยถามไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก

“ถ้าจำเป็นพ่อจะให้” ชาตรีว่า และขยับจะอธิบายต่อ

แต่ฤทัยก็ติงขึ้นด้วยเสียงดังพอสมควร

“อะไรคือความจำเป็นลูกยังไม่รู้หรอกค่ะตรี...บอกเขาไปว่าได้หรือไม่ได้เท่านั้นก็พอ”

ชาตรีปิดแฟ้มหนาๆ ที่หน้าปกเขียนบอกว่าเป็นโครงการศูนย์ศัลยกรรมความงาม เขาบอกเสียงขรึมๆ

“ลูกควรจะได้รู้เหตุผล”

“บอกแล้วว่าเด็กน่ะพูดยาวๆไม่รู้เรื่องหรอก ให้เขาโตกว่านี้แล้วค่อยว่ากันถึงเหตุผล”

“ฤทัย...ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสามขวบเป็นเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็ก หลังจากนั้นเขาจะเป็นยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับสามปีแรกของชีวิตที่เขาได้รับจากพ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงดูเขานะครับ”

“แหม...วิชาการอะไรขนาดนั้นคะคุณหมอชาตรี” ฤทัยทำเสียงประชดประชัน แต่ดูไม่จริงจังนัก

“ก็ต้องค่อยๆปลูกฝังเขา  ผมเห็นคุณพูดห้วนๆสั้นๆไม่อธิบายเหตุผล มันจะกลายเป็นการออกคำสั่ง ลูกอาจจะชินกับการถูกสั่งให้ทำนั่นทำนี่ หรือถูกห้ามไม่ให้ทำนั่น ทำนี่”

“โอ๊ย...พอแล้วค่ะตรี ฉันไม่อยากฟังเลคเชอร์เรื่องการเลี้ยงเด็ก ฉันเป็นแม่ฉันมั่นใจว่าวิธีค่อยสอนค่อยบอกจะเป็นผลดีต่อลูก”

เด็กชายตฤณทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองหน้าผู้เป็นพ่อเป็นแม่สลับกัน  เด็กน้อยพยายามแกะมือของผู้เป็นแม่ออกจากตัวเขาจนสำเร็จ...แล้วแกก็หอบของเล่นของตนเองวิ่งกลับเข้าไปโยนให้พี่เลี้ยงในห้องนั่งเล่น”

 

**************************

 

เด็กหญิงวัย6 ขวบกำลังผูกผ้าขาวม้าผูกโยงกับต้นไม้ต้นเล็กๆ สองต้น แล้วเอาตุ๊กตาเด็กผู้หญิง ผมฟู ราคาถูกที่ผู้เป็นพ่อซื้อมาจากตลาดนัด ใกล้ๆ อนามัย ประจำตำบล วางไว้ในเปล แล้วแกก็ร้องเพลงเห่กล่อมอย่างที่แกเคยได้ยินผู้เป็นแม่ร้องให้ฟัง

“โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ หมาหางงอกอดคอโยกเยก...ตกเตียงขากระเผกโยกเยกตูดสะบัด...หลับซะนะหนูนิดคนดี พี่หนึ่งคนนี้จะไปเที่ยวตลาด ไปซื้อผักกาด  แล้วก็ฟาดก๋วยเตี๋ยว”

เด็กหญิงน้ำหนึ่ง ร้องต่อเป็นกลอน  จากที่เคยได้ยินลุงทองดี ร้องเวลาแกซดเหล้าขาวเข้าไปจนเมาได้ที่  แต่ทุกครั้งที่เธอร้องเช่นนี้ผู้เป็นแม่จะต้องดุ

น้ำทิพย์ซึ่งกำลังทำมะพร้าวแก้ว ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ใต้เพิง ที่เป็นเรือนครัว ข้างๆ เรือนไม้หลังใหญ่ ถึงกับวางมือจากงานและเดินเข้ามามองหน้าลูกสาวด้วยแววตาดุๆ ก่อนจะเอ่ยว่า

“แม่บอกน้ำหนึ่งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดจา หรือร้องเพลงทะลึ่งตึงตังอย่างนี้”

เด็กน้อยทำหน้าจ๋อยก้มหน้านิ่ง 

ประสพซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยเดินลงจากเรือนใหญ่มา  พอเห็นน้ำหนึ่งหน้าจ๋อยก็เข้าไปโอบไหล่ลูกสาว ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“โดนดุเรื่องอะไรอีกล่ะลูก”

เขาหันมามองหน้าน้ำทิพย์ซึ่งวางสีหน้าเรียบเฉย แต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกมานั้นทำให้คนฟังเสียความรู้สึกไปไม่น้อย

“ถึงลูกจะเกิดในบ้านสวน แต่ทิพย์ก็อยากให้ลูกมีกิริยาวาจาที่ดี ไม่ให้ใครมาดูถูกได้ว่าพ่อแม่ไม่อบรมสั่งสอน”

“ใครจะไปว่าอะไรล่ะทิพย์ กังวลไปเสียทุกเรื่อง ไม่ปล่อยวางซะทีอย่างนี้ เดี๋ยวหน้าแก่เร็วนะ ปีสองปีมานี้ทิพย์ยิ้มน้อยลงทุกที ทุกที...น่านะ...ยิ้มบ้างเถอะ” เขาพยายามสร้างบรรยากาศ

น้ำทิพย์ลดความตึงของสีหน้าลง  เด็กหญิงน้ำหนึ่งเห็นสีหน้าผู้เป็นแม่ดีขึ้นก็กระเซ้าตามประสาเด็กอารมณ์ดี

“แม่ของหนึ่งน่ะยิ้มแล้วสวยม๊าก...มาก”

“อย่ามาทำหน้าเป็นนะน้ำหนึ่ง...แม่ยังไม่ได้ดุเราเรื่องที่ร้องเพลงขี้เมาและทะลึ่งตึงตังของลุงทองดีเลยนะ”

“เอาเถอะน่าคุณ เดี๋ยวเข้าโรงเรียนดีๆ ระดับจังหวัดแล้วแกก็มีกิริยามารยาทขึ้นมาเองแหละน่า”

“ใครว่าฉันจะให้ลูกไปเรียนในจังหวัด” เธอทำเสียงกระด้าง แต่พอนึกขึ้นได้ก็ลดเสียงลงจนฟังรื่นหูขึ้น

“ทิพย์ติดต่อโรงเรียนวัดใกล้ๆบ้านนี้ไว้แล้ว”

“โธ่ทิพย์...ทำไมไม่ปรึกษากันบ้างเลย ลูกหมอประสพเข้าแค่โรงเรียนวัดได้ยังไงน่ะฮึ”

“ก็ตั้งแต่เปิดคลินิกมานี่คุณไม่ค่อยว่าง และทิพย์เห็นว่าโรงเรียนวัดนี้ทิพย์ก็เรียนมาตั้งแต่เด็ก ก็ยังสอบเข้า...เอ้อ...เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้” พูดไม่เต็มเสียงนักในประโยคท้าย

 “แต่ลูกของเราน่าจะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ และเราน่าจะได้ตัดสินใจร่วมกันนะทิพย์”

“เรื่องแบบนี้มันเป็นหน้าที่ของแม่มากกว่า” น้ำทิพย์เน้นคำว่าแม่หนักแน่น

ประสพพ่นลมหายใจยาวไล่ความอึดอัด ขณะสานสายตากับภรรยา ซึ่งแววตาของน้ำทิพย์มีแววมุ่งมั่นดังที่เล่นวาจาไปแล้ว

 

***********************

 

รถเก๋งคันงามสีเงินวาววับนั้นแล่นมาจอดที่หน้าโรงเรียน อดีตดาวมหาวิทยาลัยอย่างฤทัยก้าวลงจากรถ บรรดาครูที่ยืนคอยต้อนรับผู้ปกครองและนักเรียน ต่างมองฤทัยด้วยความสนใจ ด้วยเพราะรูปลักษณ์ที่สวยพราวราวกับคนในแวดวงบันเทิงของหล่อนนั่นเอง

นายแพทย์ชาตรีโบกมือให้ลูกชาย แล้วก็รีบออกรถอย่างรวดเร็ว   เพราะมีรถต่อท้ายอีกหลายคันที่จอดรอส่งเด็กนักเรียนที่หน้าโรงเรียนเอกชนระดับแถวของเมืองไทย  

ฤทัยหน้าจูงมือลูกชายเดินตัวตรงคอตั้งเข้าไปในโรงเรียน  หล่อนแทบจะมองไม่เห็นครูที่ยกมือไหว้และกล่าวต้อนรับผู้ปกครองเลยแม้แต่น้อย   หล่อนก้มลงบอกกับลูกชาย

“โรงเรียนนี้คุณพ่อจ่ายเงินสนับสนุนกิจกรรมของโรงเรียนตั้งสามแสนบาท เพราะฉะนั้นใครจะมาเกเรเกทับลูกแม่ไม่ได้  จำไว้นะน้องตฤณ”

“เกทับแปลว่าไรอ่ะ”

เด็กชายทำหน้างงคิ้วเข้มๆขมวดเข้าหากัน  และหยุดเดินไปเสียเฉยๆ ฤทัยรีบฉุดแขนแกให้ออกเดิน แต่แล้วอยู่ๆมือขาวๆของใครบางคนก็คว้าข้อมือเด็กน้อยมาจูงไว้

“อ้าว หมอ...หาที่จอดรถได้แล้วเหรอคะ”  ฤทัยทำหน้างงที่เห็นนายแพทย์ชาตรีผู้เป็นสามีตามมาได้เร็วเกินคาด

“ระดับผมน่ะมีคนเตรียมที่จอดรถไว้ให้อยู่แล้วล่ะ เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนบอกว่าผู้มีอุปการะคุณที่สนับสนุนกิจกรรมของโรงเรียนด้วยยอดที่ค่อนข้างสูงอย่างเราๆ น่ะจะได้สติ๊กเกอร์อนุญาตให้ไปจอดในโรงจอดรถ”

“ดีจังครับ คุณพ่อ คุณแม่จะได้เข้าไปส่งน้องตฤณด้วยกัน”

เด็กชายเดินแกว่งแขนที่มีพ่อแม่จับอยู่คนละข้าง  หัวเราะเสียงใสอย่างแสนเบิกบานใจ

           

**************************

 

มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่ประสพใช้มาตั้งแต่ตอนที่เขามาใช้ชีวิตหมอบ้านนอก วิ่งออกจากบ้านสวนพาสองแม่ลูกมุ่งหน้าไปตามทางลูกรังฝุ่นตรลบ  ระยะทางไม่เต็มสองกิโลเมตรก็มาถึงโรงเรียนวัด สถานศึกษาแห่งแรกของน้ำทิพย์

ครูสาวสองคนที่มายืนรอรับนักเรียนที่หน้าโรงเรียน  ไม่ใช่ครูที่น้ำทิพย์เคยเห็นหรือรู้จัก และไม่ใช่เพื่อนเก่าในวัยเยาว์ของเธอด้วย  แต่ทั้งสองกลับรู้จักหมอประสพเป็นอย่างดี

“อุ๊ย...คุณหมอ...พาลูกสาวมาเข้าโรงเรียนนี้ด้วยเหรอคะ”

“ครับ    ขอฝากลูกสาวด้วยนะครับคุณครู”

“ไม่มีปัญหาค่ะคุณหมอ” ทั้งสองประสานเสียงกันด้วยความเต็มอกเต็มใจ

“ครูเป็นลูกค้าที่คลินิกจ้ะ” เขาหันมาอธิบายกับน้ำทิพย์ซึ่งสีหน้าเรียบเฉย เย็นชาไม่ยิ้มไม่แย้มกับใคร 

ครูสาวทั้งสองเมื่อทักทายหมอแล้วก็เหลือบแลไปทางหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างหมอประสพ  ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ แต่น้ำทิพย์กลับยังทำหน้าเฉยชา

ประสพกอดลูกสาวและหอมแก้ม น้ำหนึ่งกอดคอผู้เป็นพ่อทำท่าจะร้องไห้ กระซิบเสียงสั่นเครือ

“หนูไม่อยากมาโรงเรียนค่ะพ่อขา”

น้ำทิพย์เห็นสองพ่อลูกอาลัยอาวรณ์กันมากเกินไปแล้วจึงเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกันและมองหน้าน้ำหนึ่งด้วยแววตาเข้มดุ เข่นเขี้ยวพูดกับลูกสาว เสียงไม่ดังนัก

“น้ำหนึ่งสัญญาต้องเป็นสัญญานะ  เราตกลงกันแล้ว ถ้าร้องไห้แม่จะไม่ให้เราเล่นระบายสี”

เด็กน้อยพยายามกลั้นน้ำตา แต่สีหน้ายังทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีก  ประสพต้องแอบกระซิบบอกว่า

“เข้าไปกับครูก่อนนะ พ่อส่งแม่กลับบ้านแล้วจะมาเฝ้าดูหนูเข้าแถวนะ รับรองว่าหนูหันมามองเมื่อไหร่ต้องเจอพ่อ”

เด็กหญิงน้ำหนึ่งค่อยยิ้มออกและกระซิบตอบกลับมา

“พ่อสัญญาแล้วนะ อย่าผิดสัญญา”

เมื่อผู้เป็นพ่อให้สัญญาแกจึงยอมเดินตามครูไป แต่พอหันกลับมาเห็นพ่อขับมอเตอร์ไซค์พาแม่ออกไปจากโรงเรียน น้ำตาที่ปริ่มขอบตาก็ไหลริน

ระหว่างทางที่กลับไปส่งน้ำทิพย์นั้น ประสพพูดกับน้ำทิพย์ว่า

“เราน่าจะอยู่ดูแกเข้าแถว ดูว่าแกอยู่ห้องไหน ครูประจำชั้นเป็นใคร ลักษณะห้องเป็นยังไง อากาศถ่ายเทดีไหม แดดส่องมั้ย แกจะมองเห็นกระดานหรือเปล่า”

“นี่คุณที่นี่มันโรงเรียนวัดนะ คุณจะเอาอะไรดีมากมาย ถ้าขืนคุณยังคิดจะตามดูลูกอยู่อย่างนี้ไม่วันที่ลูกจะปรับตัวได้หรอกนะ” น้ำทิพย์ทำเสียงดุแข่งกับเสียงลมที่พัดสวนมายามรถวิ่ง

“คุณน่ะหักหาญน้ำใจลูกมากเกินไป ตอนเขาเตรียมความพร้อมช่วงฤดูร้อนเดือนหนึ่งคุณก็ไม่ยอมให้ลูกไปเข้าเรียนจนครูต้องขู่ว่าถ้าเดือนหนึ่งเขาปรับตัวยังไม่ได้ เขาจะให้คุณย้ายลูกไปอยู่เนอร์สเซอรี่”

น้ำทิพย์ไม่ได้ตอบอะไร รอจนกระทั่งเขาขับมอเตอร์ไซค์มาเทียบที่บันไดเรือนแล้วจึงพูดกับเขาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังว่า

“เขาเป็นลูกหมอนะ ยีนของเขาคงโดดเด่นในเรื่องสติปัญญา การเรียนรู้และการปรับตัวทุกๆ ด้าน และเป็นไปอย่างรวดเร็ว อาจจะดีเกินกว่าเด็กคนอื่นๆทั้งโรงเรียนก็ได้...ว่าแต่คุณเถอะ พยายามเลิกกอดเลิกหอมแกได้แล้ว แกโตแล้ว อย่าให้แกเป็นลูกแหง่ที่เอาแต่กอดนัวเนียพ่อแม่อยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น”

ประสพมองหน้าภรรยาด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจกับความเข้มงวดและค่อนข้างกระด้างต่ออารมณ์เด็ก โดยเฉพาะกับผู้เป็นลูกสาวที่แม่ควรจะอ่อนโยนและค่อยๆอบรมบ่มสอนอย่างนุ่มนวล ไม่ใช่ด้วยเสียงที่เข้มดุ  สีหน้าเรียบเฉย  แววตาที่เย็นชา และหลักการที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักจิตวิทยาเด็ก ซึ่งน้ำทิพย์ควรจะรู้ดี เพราะร่ำเรียนมาไม่ด้อยไปกว่าเขา

แต่ประสพก็ได้แต่มองหญิงที่ตนรัก และได้ครอบครองเธอในฐานะภรรยา และพ่อของลูก ด้วยความรู้สึกรัก ทะนุถนอมไม่เปลี่ยนแปลง  แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยจนถึงบันได้ขั้นที่สองของการใช้ชีวิตคู่ ในปีที่เจ็ดนี้แล้วก็ตามที และเขาก็จะยังคงรักสองแม่ลูกนี้ตลอดไป ทั้งที่รู้ว่าความรักของน้ำทิพย์ที่มีต่อเขาจืดจางลงไปเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัดเจน  ความหวังที่น้ำหนึ่งจะมีน้องสาวหรือน้องชายนั้นหมดไปตั้งแต่ ปีแรกที่น้ำหนึ่งลืมตาดูโลกนั่นแล้ว

ประสพจะกล้าเล่าให้ใครฟังได้บ้างว่า นับแต่เป็นสามีของน้ำทิพย์เป็นต้นมา สัมพันธ์สวาทระหว่างสามีภรรยาของเขากับน้ำทิพย์เกิดขึ้นปีละไม่กี่ครั้ง  ตามแต่ที่เธอจะเห็นสมควรและยินยอม และนั่นก็เมื่อตอนที่น้ำหนึ่งยังเล็ก เมื่อลูกรู้ประสามากขึ้น เขาก็ถูกกันให้ไปนอนห้องอื่น  เพราะรักและปวารณาตนไว้ว่าจะดูแลน้ำทิพย์และลูกตลอดชีวิต  ทำให้ประสพยอมรับสภาพชีวิตครอบครัวที่ดูเหมือนจะขาดวิ่นเว้าแหว่งนี้ด้วยความเต็มใจ

******************************

ภาพความหลังของครอบครัวหมอประสพที่ตรึงให้เขาต้องนั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่าง เหมือนเสื่อเก่าๆที่ถูกม้วนพับซ่อนรอยขาดแหว่งจุดเล็กจุดน้อย เมื่อเสียงใสๆของใครคนหนึ่งดังแว่วเข้ามา

“พ่อจ๋า...พร้อมหรือยังคะ บัณฑิตกับแม่บัณฑิตน่ะพร้อมแล้วนะคะ”

ประสพเดินมาส่องกระจกอีกครั้งหนึ่ง ลูบผมที่เริ่มมีสีเทาแซมประปรายให้เข้าที่เข้าทาง วันนี้เขาต้องดูดีที่สุดเพื่อไม่ให้ลูกสาวขายหน้า  เพราะนอกจากจะ เป็นวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของน้ำหนึ่งลูกสาวคนเดียวของเขากับน้ำทิพย์แล้ว ยังเป็นวันแรกในรอบยี่สิบสองปีที่น้ำทิพย์ยอมเข้ากรุงเทพ นับแต่น้ำทิพย์อุ้มท้องกลับมาอยู่บ้าน เพื่อประคบประหงมลูกในท้อง และหวังจะได้อยู่ใกล้ชิด  ช่วยแบ่งเบาภารกิจของพ่อแม่บ้าง แต่ทั้งสองก็ลาโลกไปในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วทิ้งสวนส้มโอและผลไม้อีกสองสามอย่างในเนื้อกว่าสามสิบไร่ ไว้ให้เธอดูแล

เพราะทนต่อแรงอ้อนของลูกสาวและประสพไม่ไหว น้ำทิพย์จึงยอมเห็นแก่ลูกที่เพียรพยายามเรียนจนจบปริญญาตรีตามเส้นทางฝันที่สาวน้อยเคยวาดไว้แต่วัยเยาว์ 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024