ดาดฟ้าดาว (กฤษณา อโศกสิน)
ประหยัด: 255.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
เสียงนกสารพัดชนิดที่โผผินไปมาระหว่างต้นมะขามใหญ่ทับต้นสนุ่น ริมแม่นา
ดังระเบ็งเซ็งแซ่ราวทับพวกมันกำลังทักทายกันและกันเหมือนทุก
เข้าตรู่ที่แสงเงินแสงทองเริ่มส่องเรื่อ พาใจและอารมณ์ระเมียรให้ผ่อนคลาย
ครั้นแล้วจึงนอนลืมตามองเพดานฟ้งเสียงหวีดหวิวจิ๊วจิ๊บจุ๊กจิ๊กอีกสองสาม
อึดใจ เธอจึงลุกขึ้นเป็ดหน้าต่างบานเกล็ดออกกว้างแล้วสับขอ เหลือแต่ บานลวด
พลางมองดูนกทั้งเล็กและใหญ่บินว่อนไกลออกไปในแสงจากฟาก ฟ้าหน้าร้อน
หากปลายนัยน์ตาก็โพสีอบเห็นท่า'นงของสองคนและท่านอน
ของคนหนึ่งตรงปลายสะพานไม้ท่านํ้าที่เธอท่าไว้สำหรับจอดเรือที่มือยู่หนึ่ง
ลำให้บริวารในบ้านไต้พายไป จะข้ามฟากหรือซื้อของก็ได้ถ้าจำเป็น
เมื่อแลเห็นเช่นนั้นแล้วจึงนี้รีบออกจากห้องนอน ลงบันไดไปยังห้องโถงใหญ่
ข้างล่างที่จัดแต่งไว้งดงามๆมอย่างพอตาพอในชนบทกึ่งบ้านในกรุง เลี้ยวไป
จนถึงครัวที่แม่บ้านกำลังปรุงอาหารเช้า
“ใครมาที่ท่านาหรือ'จัน”
“ใครคะ” อีกฝ่ายหันมาถามเพราะไม่รู้เนื่องจากยืนหันข้าง
หากเมื่อชะโงกมองผ่านหน้าต่าง:จึงพึมพำ
“ใครก็ไม่ทราบค่ะ หนูก็เพิ่งเห็นเดี๋ยวนี้เอง”
“ออกไปถามชิ...ดูท่าคนที่นอนนั้นเป็นยังไง ไม่สบายหรือยังไง มาเรือละบัง”
จันแวะเรียกสามีของนางที่เรือนเล็กข้างครัวให้ไปดูด้วยกัน ระเมียรจึงออก
จากครัวไปยืนบนระเบียงหินแกรนิต ตาลงไปคือสระสี่เหลี่ยมยาวขนานกับระเบียง
มีบัวสีชมพูสีม่วงดอกน้อยบานสะพรั่ง เพ่งมองจันและข้นพูดจากับคนทั้งคู่ที่คู่เหมือน
จะเป็นหนุ่มสาว
ในที่สุดจันก็เดินกลับมาบอกเธอว่า
“สองคนนั้นเขากำลังจะพาพ่อไปอนามัยค่ะ แต่ก็เพิ่งรู้ว่าเรือรัว”
“อ้าว...” ระเมียรร้องเบาๆพร้อมกับพลอยกังวล “พ่อเป็นอะไรไปหรือ”
“แกปวดท้องขนาดหนักน่ะค่ะ ลฺกไม่ขึ้นเลย”
“ถ้างั้นชุ้นเอารถออก พาแกไปอนามัย” สตรีวัยหกสิบออกคำสั่งทั้ง ๆ ยังไม่
แน่ใจลักเท่าไรว่าเรื่องจริงจะเป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยกริ่งเกรงอยู่เหมือนกันเกี่ยวกับ
อุบายถ่ายเทของผู้คนยุคใหม่ที่ถูกย้อมด้วยวัตถุและเครื่องมือสื่อสารจนความคิดอ่าน
เปลี่ยนไป บางหัวใจก็กลายเป็นใครลักคนที่มีอาจทำความเข้าใจได้ หากก็เอาเถอะ
นะ...เธอมักจะคิดอย่างคนกับคนด้วยกันที่ว่า อ้าช่วยใครไดก็ช่วยไป
นึกเช่นนี้แล้วจึงลงบันได เดินตัดสนามหญ้าไปยังสะพานยาวแข็งแรงที่ตีชิด
กันด้วยแผ่นกระดาน ยื่นออกไปจากตกลงราวท้าเมตร ที่ที่นุ่มสาวนั่งหน้า'ซีดอยู่
ด้วยกัน มีชายวัยกลางคนนอนบิดตัวไปมา
ผู้ที่ว่าเป็นลูกยกมือไหวโดยคนผู้ชายเอ่ยขึ้น
“ต้องขออภัยด้วยครับที่พอดีเรือรั่ว พาพ่อไปยังไม่ทันถึงอนามัย” ผู้พูดคือ
ชายหนุ่ม...น่าจะเกินสามสิบ ส่วนน้องลาวก็คงไม่ห่างกันสักเท่าไร
ที่น่าแปลกใจก็คือหน้าตาท่าทางดีทั้งคู่
ชายหนุ่มผู้นี้บุคลิกใช้ได้ทีเดียว นัยน์ตาเล็กคิ้วบาง จมูกโต่ง ริมฝีปากบาง
เห็นได้ชัดว่ามีการศึกษา รู้สำคัญก็คือมีสัมมาคารวะ พูดจามีจังหวะจะโคน ส่วน
น้องสาวนั่งนิ่งจับมือบิดาไร้พลางปลอบเบา ๆ
“เดี๋ยวได้ไปแล้วละพ่อ”
“ต้องไปเลย ไปเดี๋ยวนี้เลย...” ระเมียรเร่ง
ดังนั้น ชายหนุ่มจึงช่วยน้องสาวจับพ่อพาดบ่าเขา สาวเท้าตามนายชุ้นไป
ระเมียรจึงออกไปสั่งเสียถึงรถกระบะที่เธอชื้อไร้ขนของ
“เอายังงี้ดีกว่าชุ้น พาไปโรงพยาบาลเลยคิกว่า...เผื่อไร้...เผื่อสถานีอนามัย
รับไม่ไหว”
ท้ายรถกระบะลับไปแล้วจากถนนลาดยางยาว หักเลี้ยวไปตามด้นไม้สูงใหญ่
ที่ปลูกเรียงรายตลอดแนวประหนึ่งสวนพฤกษชาติ ระเมียรจึงรีบขึ้นไปอาบน้ำแต่ง
ตัวลงมากินอาหารเช้าที่จันยกมา'วางบนโต๊ะยาวสิบสองที่,นงที่มีเธอเพียงผู้เดียว เนื่อง
ด้วยวรชาญไปต่างประเทศตั้งแต่วันพุธ
“จัน” ระเมียรจิบกาแฟพลางถามหญิงแม่บ้านผู้จะเฝ้าบ้านชนบทแทนเธอ
ในยามที่ต้องกลับบานในกรุงเทพฯ “เราคิดว่าแถวนี้จะมีใครอุตริลงเรือไปสถานี
อนามัยไหม โดยเฉพาะปวดท้องขนาดหนักแบบนี้”
“นั่นน่ะ'ชีคะ” แม่บ้านหัวเราะ “หนูก็ยังงงๆรญ่เหมือนกัน
“แล้วเรือยังดันรั่ว...” นายจ้างส่ายหน้า “นี่ถ้าฉันเป็นนักสืบละก็คงไม่เชื่อ
แน่ๆ...เออ...ว่าแต่ว่า...เธอไปดูซิ เรือรั่วจริงหรือเปล่า ก็เขาทิ้งเรือไวไมใช่หรือ”
“ทิ้งไว้ค่ะ” จันตอบพลางกุลีกุจอเปิดประตูลงบันไดตัดสนามไปยังท่าน้ำ ก้ม
ลงดูเรือมาดขนาดกลาง ก็เห็นน้ำนองเต็มลำงกระวีกระวาดกลับมารายงาน
“รั่วจริง ๆ ค่ะ”
“เออ...แล้วไป...ยังไง ๆ ก็ขอให้ได้สงสัยไว้ก่อน เธอค่อนข้างขำตนเองมาก
เหมือนกันในความช่างสังเกต ช่างตั้งคำถาม ช่างหาคำตอบ แต่แล้วก็ลงความ
เห็นว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันที่มีความไม่ปกติ จนบางครั้งก็หารูไม่ว่า สิ่ง
ใดจริงสิ่งใดปลอม เนื่องด้วยคนจริงกับคนปลอมก็เดินตีไหล่อยู่ในสังคมเดียวกัน
ความไม่ประมาทเท่านั้นจึงช่วยได้ สงสัยไว้ก็ไม่เลียหายอะไรจริงไหมจัน...อย่างเธอ
ก็เหมือนกัน เธอเป็นคนเฝ้าบ้าน ใครโทร.มาหรือมาส่อหลอกว่ายังไงก็ตาม ห้าม
เชื่อง่าย”
อีกพักใหญ่ต่อมาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อของแม่บ้านก็ดังขึ้น เจ้าของ
จึงรับสาย รับแล้วรายงานว่า
“ซุ้นโทร.มาค่ะ หมอเอาตาคนนั้นเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว ไส้ติ่งอักเสบต้อง”
“เออ...ค่อยโล่งอก” ระเมียรระบายลมหายใจยาว “เรือก็รั้วจริง ตาคนพ่อ ก็ไม,สบายจริง”
“หนูว่า...คงไม่มีใครกล้ามาหลอกคุณผู้หญิงหรอกค่ะ แค่เห็นบ้านใหญ่โต
ที่ตั้งหลายสิบไร่ คุณผู้ชายเป็นนักธุรกิจใหญ่ เขาก็แหยงกันแล้วละค่ะ”
“มันก็ไม่แน่เหมือนกันนาจันนา” นายล้างลากเลียงอย่างไม่เชื่อตามนั้น
“เพียงแต่เห็นจริงด้วยว่าเราคงมีความดีอยู่มั่งที่ช่วยบริจาคเงินซื้อของต่างๆที่อำเภอ
จำเป็นต้องใช้แต่ไม่มีงบประมาณน่ะ อย่างบริจาคเงินซื้อเครื่องฟอกไต เครื่องช่วย
หายใจให้อนามัย บริจาคช่วยนํ้าท่วมอะไรพวกนั้นที่จันก็รู้...มันก็ช่วยให้เราอยู่ที่นี่
ได้อย่างสบายใจขึ้น ไม,เหมือนตอนมาบุกเบิกใหม่ๆ...พูดแล้วก็ยังขำไม่หายที่ลุง
แปลงแกพา1ชาวนามาจับกลุ่มคัดด้านเวลาเราเข้ามาสร้างบ้านน่ะ
ระเมียรหมายถึงนายแปลงผู้มีที่ดินอยู่ดีดถนนใหญ่ เธอจึงต้องใช้เงินของ
ตนเองล้วนๆทำทางส่วนบุคคลเชื่อมเข้ามาระหว่างทางหลวงรั้งลาดยางข้างนอกกับ
อาณาเขตบ้านที่ด้องพาดผ่านที่ของนายแปลง...โดยขอซื้อเฉพาะแนวยาวที่ต้องทำ
ทางเข้า
แต่กว่าจะซื้อได้ นายแปลงก็พีโยกพีเกนเสียพอปรง เรียกราคาแพงจุใจ
“แต่เดี๋ยวนี้ลุงแปลงก็แสนดีกับคุณผู้หญิง”
ระเมียรพยักหน้าอย่างไม่ถือสา เนื่องด้วยนายแปลงฝากหลานสาวหลาน
ชายมาเป็นคนงานดูแลด้นไม่ในสวนอันกว้างขวางของเธอ เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่หลาย
ปีที่แล้ว นายแปลงก็'ระดม1ชาวนามา1ช่วยกันถมกั้นคันดินตามแนวตลิ่ง จนด้นไม้
สวยจำนวนมากรอดตาย
สตรีกลางคนก็ได้แต่นึก...ถ้าชนะคนละชันคนละฐานะอยู่ด้วยกันอย่างไม่จับผิด
กัน ผู้มั่งมี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลไม่เอาเปรียบผู้ขาดแคลน ผู้ขาดแคลนไม่เจ็บแค้นอาฆาต
หาทางประนีประนอมรอมชอมกันได้...การอยู่ร่วมกันของคนต่างฐานะต่างชั้นก็จะ
ไม่มีขีดคั่นรุนแรงเหมือนปัจจุบัน
แต่ก็นั้นแหละนะ...แค่นึกละก็ดูเหมือนง่าย ถ้าลงมือทำจริงคงด้องยอมรับ
ว่ายาพรวะ เพราะเดี๋ยวนี้เรื่องธรรมดาสามัญก็ถูกโยงเข้าหาการเมืองจนหมดจนสิ้น
แทบไม่เหลือเนื้อดินบริสุทธิ์ให้เหยียบยืน
แม้สองฝ่ายจะไม,หาเรื่องหรือเอาเรื่องมือที่สามก็จะยื่นเข้ามาจูงไปจนมีเรื่อง
ให้กลายเป็นคู่ต่อสู้กันจนได้
หากคับแค้นใจมากจนเหลือทน ระเมียรกับวรชาญก็จะปลีกตัวมาอยู่ที่นี่
ชื่นเชยแม่น้ำที่เต็มฝังและ,พร่องฝัง แลดูน้ำยั้งน้ำชน...หน้าร้อนเช่นนี้ทั้งศรีตรัง เสลา
กัลปพฤกษ์ และตะแบกจะบานสะพรั่ง เป็นกำลังใจให้ชื่นชมในชีวิต
ระเมียรกินอาหารกลางวันแล้วตั้งใจจะนงรถออกไปโรงพยาบาล เยี่ยม
เยียนผู้ป่วยที่ยังไม่รู้ว่าเป็นใครสักครู่ แต่ยังไม,ทันจะเดินออกไป ก็ได้ยืนเสียงบาน
ลวดด้านข้างตังชิ้น
ชายหนุ่มคนนั้นนั้นเอง เปิดประตูเข้ามายืนตัวตรงพลางพนมมือไหว้
“ผมก็เลยพาพ่อไปโรงพยาบาลตามคำสั่งของท่านครับ...พี่คนขันก็ดีมาก
ขับได้เร็วทันใจ พอไปถึงเขาก็เอาเข้าท้องฉุกเฉิน ตรวจทันทีผ่าตัดทันทีเลยครับ...
เขาบอกว่าล้า1ข้าอีกนิดเดียวก็ไส้ติ่งแตก...” หนุ่มแปลกหน้ารายงานด้วยท่าทาง
คล้ายคนใต้บังคับบัญชา “คุณหมอที่ผ่าตัดก็ดีมาก พ่อหายปวดเสียได้ผมก็เหมือน
ชิ้นสวรรค์ตั้งเป็น ก็เลยจะมาขอบพระคุณ แล้วจิอาเรือกลับไปซ่อมน่ะครับ”
“ล้อ...” ระเมียรพึมพำพลางถาม '“ทานชาวแล้วหรือยังล่ะ’’
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปหาอะไรทานที่...เอ้อ...ใกล้ๆนี่ได้’’ เขาทำท่า
เกรงใจยิ่งชิ้น
“ถ้ายัง...จันหาอะไรให้ทานดีกว่า...ว่าแต่ว่า...คุณชื่ออะไร จะได้เรียกถูก”
“ชื่อพีครับ...พงพี”
“ป่าดงพงพีน่ะหรือ” เจ้าของบ้านยิ้มๆ พลางพยักหน้ากับแม่บ้าน ครั้น
แล้วจึงบอกชายหนุ่มให้ตามจันเข้าไปในครัว เพราะมีม้ากลมและโต๊ะวางของ ใช้
นั่งกินข้าวได้ “ไปกินข้าวก่อน นี่บ่ายครึ่งแล้ว กินให้อิ่มๆนะ”
ระหว่างที่,หนุ่มแปลกหน้าลับร่างไปทางครัว ระเมียรก็ยังคงนั่งจิบกาแฟหลัง
อาหาร พลางคิดคำนึงไปพร้อมกันถึงพ่อกันลูกสาวลูกชายที่จู่ ๆ ก็มาปรากฏกายให้
จนกระทั่งพงพีกินข้าวเสร็จกลับออกมา หน้าตาดูแช่มชื่นขึ้น
ระเมียรจึงพยักหน้าให้เขานั่งลงตรงกันข้าม
“ไหน...ลองเล่าให้ฟังหน่อยชิว่าไปยังไงมายังไงถึงพาคนเจ็บลงเรือ ทำไมไม่
หารถพาพ่อไปล่ง”
“ไม่มีรถเลยแหละครับ...” อีกฝ่ายบอกกล่าว “คือบ้านเราอยู่ริมน้ำ ถัด
บ้านท่านไปทางโน้นนิดหนึ่ง ก็เห็นว่าเรือคงพอจะพายมาได้เพราะซ่อมแล้ว...ตั้งใจ
จะไปขึ้นที่ทำให้ตรงกับสถานีอนามัย...แต่แล้วก็ไปไม่ถึง...เลยตัดสินใจว่าขึ้นเสียตรงนี้
ดีกว่า ดีกว่าแข็งใจพายไป...ที่จริงพ่อก็บอกล่วงหน้าไว้แล้วว่าพ่อจะตองผ่าตัดแต่เรา
ก็ไม่ได้สนใจ”
ระเมียรมองหน้าผู้พูดเขม็ง พลางถาม
“ทำไมรู้ว่าจะต้องผ่าตัด”
“คือ...เอ้อ...พ่อดูดวงน่ะฮะ...ดูดวงตัวเอง” อีกฝ่ายค่อนข้างอ้อมแอ้มคล้าย
กระดากที่ต้องเอ่ยเรื่อง ‘ดวง’ กับสตรีสูงวัยท่าทางไม่เชื่อใครง่ายๆนัยน์ตาคม
กริบที่จับจ้องมองหน้าเขาก็ราวจะคาดคั้น...ที่เธอมาเกยอยู่บนสะพานหน้าบ้านฉันนี่
ประสงค์ดีหรือว้ายกันแน่ “คือพ่อก็ชอบดูดวงลูกมั่นดูดวงตัวเองมั่นน่ะครับ...”
“เป็นหมอดูหรือไง”
“ไม่ได้เป็นหรอกฮะ...ก็เป็นแค่คนเกษียณอายุคนหนึ่งเท่านั้น”
“เธอทำงานที่นี่หรือที่กรุงเทพ” ระก็เลยถามต่อไป “มีกันสองคนพี่
น้องเท่านี้หรือ แม่ล่ะ”
“แม่เสียสองปีแล้วครับ...เจ้าของนี้เลยขอให้ผมมาสอนเด็กอยู่ที่โรงเรียน...”
เขาเอ่ยชื่อโรงเรียนเอกชนมีชื่อเสียงของอำเภอ “แล้วน้องก็เลยมาด้วย มาสอน
หนังสือเหมือนกัน จะได้อยู่กับพ่อ เพราะถ้าไปทำงานกรุงเทพ เราก็ต้องพาพ่อไป
ด้วย ไปอยู่คอนโดแคบๆซึ่งพ่อไม่ชอบ ชอบบ้านเก่ามากกว่า...บ้านริมน้ำเนื้อที่
ก็สองไร่หนึ่งงานเท่านั้นครับ บ้านก็เล็กๆ แต่พ่อชอบ บอกว่าสบาย”
ระเมียรพยักหน้า เข้าใจคนวัยเดียวกันอย่างดียิ่ง
“เป็นครูก็ดีนี่นะ..จะได้สอนเด็กให้เป็นเด็กดี”
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าตัวเองดีพอ แล้วก็สอนเก่งหรือเปล่า”
ผู้ฟังนิ่ง มองหน้า หากก็ยิ้ม ๆ
“ฉันไม่ใช่หมอดูก็จริงแต่เท่าที่แลเห็นนี่ ฉันคิดว่าคุณก็น่าจะทำได้นะ
แต่จะดีแค่ไหนไม่ทราบรู้แด,ว่าน่าจะเป็นครูที่ดีได้” ระเมียรตอบอย่างคนที่ชอบให้
กำลังใจผู้เยาว์ ชอบเอาใจช่วยศิลปิน จนกระทงเรียกตัวเองว่าพวกล่งเสรีมศิลปิน
“จริงๆนะ ไม่ได้พูดเล่น ทำทางคุณเป็นครูที่ดี”
พงพีพนมมือแล้วกล่าวคำขอบคุณ พลางขยับตัว
“ผมเห็นจะต้องไปดูพ่อแล้วละฮะ”
“ถ้างั้นก็ไปด้วยกัน ฉันก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมเหมือนกัน” ระเมียรลุกขึ้น พลาง
พยักหน้าให้ชายหนุ่มเดินตามเธอไปยังรถที่จอดเทียบหน้าตึก “ดูพ่อแล้วค่อยมา
ลากเรือ”
พงพีจึงเปิดประตูให้เธอก้าวขึ้นนั่งตอนใน ส่วนเขาขึ้นนั่งคู่กับคนขับ
เพียงไม่นานก็ถึงโรงพยาบาลในเมือง
ผู้ป่วยถูกเข็นกลับมาอยู่ในห้องพักรวมแล้ว แต่ยังกั้นม่านไว้ มีน้องสาว
ของพงพียืนเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ ชายหนุ่มจึงแนะนำ
“น้องชื่อพจีครับ”
“พ่อเป็นยังไงมั่ง” ระเมียรถามพลาง แง้มม่านมองเข้าไปก็เห็นชายวัยกลาง
คนนอนนิ่ง นัยน์ตาหลับสนิท...แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยพ่อต่อมือถือในกระเป๋าก็ส่งเสียงเพียง
เบา ๆ เธอจึงหยิบออกมากดดูเบอร์ ครั้นแล้วจึงฮัลโหล
พงพีได้ยินเสียงของเธออ่อนหวานผิดไป
“แม่มาเยี่ยมคนไข้น่ะจ้ะลูก...แล้วนั่นชั่งอยู่ไหน...จะมาไหมล่ะ ถ้ามาแม่จะได้
บอกให้จันทำอะไรเพิ่มอีกหน่อย...เฮ้อ...เอาให้แน่ ๆ นาลูกนา...เดี๋ยวมาเดี๋ยวไม่มา...
ตกลงมาใช่ไหม...จ้ะ จ้ะ...”
สีหน้าระเมียรยามกดปิดมือถือดูอ่อนใจ หากก็ยิ้มนิด ๆ
“ลูกสาว...เขาไม่ค่อยชอบที่นี่ ชอบแต่กรุงเทพ...ก็เลยไม่ค่อยได้ตามมา” ว่า
พลางจึงเหลียวมองรอบ ๆ ห้อง ก็เห็นว่าเพศชายวัยต่าง ๆ นอนอยู่ตามเตียงเรียง
กันเป็นแถว เฉพาะที่กั้นม่านมีเพียงพ่อของพงพีและใครอีกคนที่อยู่ถัดออกไปอีก
สามเตียง ครั้นแล้วจึงหันมาถามชายหนุ่ม “แล้วนี่อีกกี่วันถึงจะกลับบ้านได้”
“ยังไม่ทราบเลยครับ ยังไมได้ถามคุณหมอ...แต่พ่อหายปวดแล้ว ผมก็
สบายใจแล้ว” พลางก็บอกน้องสาว “จีเฝ้าพ่ออีกคนหน่อยนะ เดี๋ยวพี่จะกลับไปเอา
เรือที่บ้านท่าน”
“ไม่ต้องเรียกท่านได้ไหม” ระเมียรพูดยิ้ม ๆ “จะได้ไม่ดูว่าฉันกับคุณไกล
กันมาก...ที่จริงฉันก็แบ่งชั้นวรรณะเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่แบ่ง แต่ที่ชอบแบ่งมาก
หน่อยก็คือ แบ่งดีกับไม่ได้”
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)