ครอบ(บ้าน)ครัว(เดียว) (ศรีฟ้า ลดาวัลย์)

ครอบ(บ้าน)ครัว(เดียว) (ศรีฟ้า ลดาวัลย์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742534615
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 430.00 บาท 107.50 บาท
ประหยัด: 322.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                ซุ้ยได้ยินเสียงคุณย่าถามหาแว่ว ๆ มาจากบ้านกลางสวนแล้วละ แต่ซุ้ย

ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียเพราะกำลังห้อยโหนอยู่บนต้นชมพู่

            ชมพู่ต้นนี้ชื่อชมพู่น้ำดอกไม้ อายุของมันแก่กว่าซุ้ยตั้งสิบปีได้ ที่จริงเป็น

ต้นที่สองด้วยซ้ำ คุณปู่ตอนจากต้นแรกที่ตายไปแล้ว เอาไว้แทนกัน คุณปู่บอก

ว่าเสียดาย ต่อไปอาจจะไม่มีใครรู้จักชมพู่พันธุ์นี้แล้ว ตอนนี้คุณปู่ก็ตอนจากต้น

นี้เอาไว้อีกหลายต้น

                ต้นของมันสูงใหญ่ใบดกเป็นมันแต่ลูกไม่ใคร่ดกเสียแล้ว มันขึ้นอยู่ใกล้กับ

รั้วรอบขอบชิดของบ้านจัดสรร ซึ่งแต่ละหลังสวยงามใหญ่โต สวนอย่างบ้านฝรั่ง

ที่เห็นอยู่เกลื่อนกลาดตา เสียแต่ไม่ยักมีรั้วกั้นอาณาเขต มีแค่แปลงดอกไม้คั่น

ระหว่างตึกแต่ละหลังเท่านั้นเอง ตัวตึกอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว ได้ยินป้าเวียน

พูดกับคุณย่าว่า หลังหนึ่ง ๆ ราคาตั้งเจ็ดแปดล้าน

                บ้านแต่ละหลังไม่มีรั้ว ทว่า กลับมีรั้วหรือเรียกว่ากำแพงจะเหมาะกว่า

เพราะก่ออิฐบล็อกฉาบปูนสูงกว่าสองเมตรแน่นหนามั่นคงล้อมรอบบริเวณ

หมู่บ้าน มิหนำซ้ำบนรั้วยังกั้นลวดหนามเอาไว้อีกด้วย กำแพงรั้วด้านหนึ่งติดกับ

ที่ดินของคุณปู่ คุณย่า บริเวณที่ติดกับกำแพงเป็นบริเวณหลังบ้านของตึกสี่หลัง

เมื่อขึ้นไปอยู่บนต้นชมพู่จึงมองเห็นไปได้ทั่ว โดยเฉพาะตึกหลักที่ตรงกันกับต้น

ชมพู่

                ที่ซุ้ยขึ้นไปอยู่บนต้นชมพู่นั้นมันมีเหตุผล

                เพราะซุ้ยเกิดไปชอบใจเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้า หล่อนชอบออกมาวิ่งเล่น

หรือนั่งชิงช้ากับพี่เลี้ยงทางด้านหลังตึก

                วันหนึ่งหล่อนแหงนขึ้นมาเจอซุ้ยอยู่บนต้นชมพู่ หล่อนหัวเราะกับซุ้ยและ

กวักมือให้ หล่อนคงจะอายุประมาณลัก ๔ ขวบได้ ซุ้ยรู้สึกตามประสาเด็กผู้ชาย

วัย ๙ ขวบ ว่าหล่อนสวยดี เขาชอบหล่อนยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงที่โรงเรียนทุกคนเลย

                หล่อนกับพี่เลี้ยงเจอซุ้ยบนต้นชมพู่อีกหลายครั้งจนกระทั่งรู้จัก ก็ไม่มี

อะไรมากดอก แค่แม่พี่เลี้ยงซึ่งซุ้ยได้ยินหล่อนเรียกว่า พี่แวว...พี่แววเขาขอมะม่วง

ต้นใกล้ ๆ สักสองสามลูก ซุ้ยเลยสอยให้เขาไปหกลูก ตั้งแต่นั้นก็เลยรู้จักกันกับ

น้องแนนด้วย

                พี่แววเขาถามว่า

                “น้องชื่ออะไร”

                “พี่ซุ้ย”

                พี่แววเขาหัวเราะขบขัน แต่น้องแนนไม่หัวเราะ เพราะไม่รู้สึกขบขันอย่าง

พี่แวว ชื่อซุ้ยก็ซุ้ย น้องแนนไม่เห็นต้องหัวเราะ น้องแนนจ้องมองดูซุ้ยตาแป๋ว

อยู่เฉย ๆ ซุ้ยเลยยิ่งชอบน้องแนนมากขึ้นอีกหลายเท่า

                พี่แววเขาถามซุ้ยเหมือนที่ใคร่ต่อใครชอบถามกันนัก หลังจากหัวเราะแล้ว

                “ทำไมถึงชื่อซุ้ย เป็นลูกเจ๊กรึจ๊ะ...เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ...ซุ้ย แปลว่าอะไร

น่ะ”

                ซุ้ยรู้ว่าแปลว่าอะไร คุณปู่เคยบอก แต่ตอนนี้ซุ้ยออกโกรธ ๆ เลยไม่อยาก

ตอบ บอกห้วน ๆ ว่า

                “ผมไม่ใช่ลูกเจ๊ก”

                ซุ้ยหงุดหงิดทุกทีที่บอกใคร ๆ ว่าชื่อซุ้ย แล้วเขาก็หัวเราะบ้าง ทำท่าอะไร ๆ

ให้ซุ้ยรู้สึกว่า ชื่อซุ้ยมันแปลกอะไร ๆ ทำนองนั้น

                พี่แววเขาคงรู้ว่าซุ้ยไม่ชอบใจนัก เลยเอาใจเพราะซุ้ยสอยมะม่วง เก็บ

มะยมที่ต้นให้บ่อย ๆ

                “เออ...เออ...ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ลูกเจ๊กเขาต้องขาวนะ นี่ซุ้ยดำแต่ก็รูปหล่อ...”

                ซุ้ยถูกใจคำว่ารูปหล่อ ยิ้มออกมาได้ พอดีน้องแนนเขาเรียกซุ้ยออกมาว่า

“พี่ซุ้ย” ยิ้มของซุ้ยยิ่งกว้างขวางเห็นฟันหน้าขาวซี่โตเหมือนจองสองซี่

                จากวันนั้นถึงวันนี้หลายวันแล้ว...

                วันนี้ชมพู่กำลังแก่หอมหวานทีเดียว

                พี่แววเขาเพิ่งพาน้องแนนออกมา ลูกจ้างอีกคนหนึ่ง ชื่อพี่น้อย ทว่าตัว

ใหญ่กว่าพี่แววมากตามออกมาด้วย

                “ลิงขึ้นไปอยู่บนต้นไม้แล้วเรอะ” พี่น้อยทักซุ้ย น้องแนนแย้งตามประสา

เด็กที่ยังไม่รู้ว่าเขาล้อ

                “ไม่ใช่ลิง พี่ชุ้ยต่างหาก” น้องแนนเขาพูดช้าและค่อนข้างชัด

                พี่เลี้ยงพากันหัวร่อ ชุ้ยชูพวงชมพู่น้ำดอกไม้ห้าลูกให้ดู

                “น้องแนนเอาชมพู่ไหม หวานนะหอมด้วย”

                “เอาค่ะ” ตอบเสียงแจ๋วหนักแน่น

                ชุ้ยเสียบพวกชมพู่ไว้กับง่ามไม้ที่ใช้สอยค่อย ๆ ยื่นใต้ลวดหนามเข้าไป แต่

กำแพงรั้วสูงมาก พี่แววเขากระโดดหยิบก็ยังไม่ถึง ตเองไปยกม้ากลมจากข้างใน

มาปีน

                “ให้น้องแนนเรอะ ขอพี่กินลูกได้ไหม”

                “ให้น้องแนนสามลูกแล้วกัน ให้พี่น้อยพี่แววคนละลูก”

                พี่แววกระโดดลงจากม้ากลม เด็ดชมพู่ลูกหนึ่งกัดกร้วม

                “เอ้อเฮอ...หวานเจี๊ยบเลย หอมด้วย...ชมพู่อะไรน่ะ อร่อยเป็นบ้า ต๊าย...

หวานยังกะน้ำตาล”

                ปลิดออกมาอีกลูกหนึ่งบิใส่ปากใสน้องแนนถามว่า

                “อร่อยไหมคะน้องแนน...” ขณะที่พี่น้อยเด็ดลูกหนึ่งส่งเข้าปากตัวเอง

                น้องแนนอุทานและพูดตามสำนวนที่เคยพูดทุกครั้ง เมื่อได้กินของอร่อย

และอยากกินอีก

                “หวาน...น้องแนนอร่อยนะคะที่จะบอกให้”

                พร้อม ๆ กับพี่ที่น้อยก็อุทานว่า

                “อื้อฮือ...ชมพู่อะไรวะ หวานยังงี้” พวกผู้ใหญ่พวกพี่เลี้ยงนี่ มักจะเผลอ

พูดกันเองให้เด็กจำไปพูดบ้างโดยไม่รู้ตัวทั้งผู้ใหญ่และเด็กเสมอ ๆ

                “ชมพู่น้ำดอกไม้ครับ คุณปู่บอกว่ายาก เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ไม่มีใครปลูก”

                “เออ...ท่าจะจริง...พี่เองเกิดมาก็เพิ่งเคยกิน”

                พี่แววบิชมพู่ส่งให้น้องแนนอีก

                ชิ้นชมพู่เข้าปากน้องแนนอีก

                “น้องแนนเอาอีกไหมคะ”

                ชิ้นชมพู่เพิ่งเข้าปากน้องแนน เมื่อชุ้ยเห็นผู้ใหญ่เดินออกมาจากประตู

หลังตึก อายุเท่าไหร่ไม่รู้แต่งหน้าแต่งตัวสวยงาม ผู้หญิงนี้เดินออกมาพร้อม

กับเสียงอุทานเอ็ด

                “ต๊าย...นั่นแกเอาอะไรให้หลานกินน่ะ...แวว”

                แล้วก็เดินปราด ๆ ตรงมาถึงตัวน้องแนนควักชิ้นชมพู่ออกมาจากปาก

                “ชมพู่เรอะ เอามาจากไหน...เอาล้างหรือยังนี่” ปากถามนัยน์ตาเหลือบ

ชิ้นไปดูเด็กชายตัวดำ ๆ ผู้ยังเกาะอยู่บนคาคบต้นชมพู่

                “ขอเด็กนั่นมาใช่ไหม ต๊าย...ล้างก็ไม่ได้ล้าง เขาฉีดยงฉีดยากันแมลง

อันตรายออกจะตาย เอาให้เด็กกิน แกนี่มันไม่รู้ประสีประสาอะไรเสียเลย”
                ต้นไม้บ้านคุณปู่ คุณย่าไม่เคยฉีดยาฆ่าแมลงสักหน่อย...ชุ้ยอดอยู่ไม่ได้

เลยพูดออกมาลอย ๆ ว่า

                “ชมพู่ไม่ได้ฉีดยา”

                นัยน์ตาของผู้หญิงนั่นเหลือบมองซุ้ยอีก

                ไม่ได้พูดอะไรกับชุ้ย คงเห็นว่าไม่มีค่าไม่น่าพูดด้วย คงจะเป็นพวกเด็ก

ชน ๆ เที่ยววิ่งเล่นโทง ๆ ปีนต้นหมากรากไม้ไปตามประสาแก่นแก้วอยู่แถว ๆ นี้

                หล่อนหันไปเล่นงานพี่แววกับพี่น้อยต่อ

                “พวกแกอดอยากนักเรอะไง ถึงต้องขอเด็กกิน หลานฉันไม่ได้ตายยอด

ตายอยากอะไร ผลหมากรากไม้ดี ๆ ออกเต็มตู้เย็น ทีนี้อย่าปล่อยให้หลานฉัน

เที่ยวกินอะไรของใครอีกเป็นอันขาดจำไว้นะ”

                ทีท่าน้องแนนจะไม่กลัวผู้หญิงคนงามแต่งตัวสะสวยเท่าไหร่ หล่อน

จึงเถียงว่า

                “น้องแนนก็อยากทานชมพู่นี่นะ คุณยาย น้องแนนอร่อยนะคะนี่จะบอก

ให้”

                “อุ๊ย...ไม่ต้องมาบอกมาแบกอะไรยายหรอก...ไป...เข้าบ้านกับยาย”

                …อ๋อ...เขาเป็นยายของน้องแนนนี่เอง มิน่าล่ะ...พวกคุณยาย คุณย่าละก็

ดุกันเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลย ไม่รู้เป็นยังไง...

                เขาหันมาเอ็ดพี่น้อยกับพี่แววขณะจูงมือน้องแนนเดินข้ามสนามหญ้าแคบ ๆ

จะเข้าประตู เสียงคุณยายน้องแนนเขาดั๊งดัง

                “อีกหน่อยเด้กมันคงเที่ยวโพนทะนาไปทั่วหรอกว่า คนบ้านนี้เห็นแก่ได้

ชมพู่ใครเขาก็ไม่รู้เดี๋ยวเด็กมันขโมยขึ้นของเขา เจ้าของเขาเอาเรื่องหาว่าให้เด็กมัน

ขโมยให้ละก็ ได้เดือนร้อนไปตาม ๆ กัน...เข้ามาชียะ ยังจะยืนเป็นหุ่นหาอะไรกัน

อยู่อีกล่ะ”

                คุณยายน้องแนนนี่ทำไมพูดมากจัง พูดทีหนึ่งย้าวยาว...

                “ชุ้ย...ชุ้ย...นึกแล้วว่าต้องอยู่บนต้นชมพู่ คุณย่าเรียกหาตั้งนานแล้ว ลง

มา...”

                พี่น่ะเอง...ยืนเรียกอยู่ตรงโคนต้นมาแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ก็ได้ยินคุณยาย

น้องแนนพูด เพราะขณะที่ชุ้ยไต่ลงมา พี่ดาวถามว่า

                “เสียงยายคนนั้นพูดเรื่องชมพู่อะไรกัน ซุ้ยเอาชมพู่ให้คนบ้านเขาเรอะไง”

                “ฮื่อ...” ซุ้ยรับ

                “ซุ้ยให้ชมพู่น้องแนนเขาดี ๆ ทำไมเขาถึงต้องดุต้องว่าอะไรต่ออะไรด้วย ซุ้ย

ก็บอกเขาแล้วว่าชมพู่ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลง”

 

            “หายหน้าหายตาไปเสียนานเชียวแม่แจ่ม จนลูกลืมหน้าแล้วมั่งนี่” คุณ

ย่าของลูกทักทายผู้เป็นแม่

                “ดิฉันไปทำงานอยู่ต่างจังหวัดค่ะ”

                “กับนายยิ่งสินคนนั้นน่ะรึ”

                “ค่ะ”

                “มีลูกด้วยกันหรือเปล่าล่ะ” คุณย่านึกสังหรณ์อะไรบางอย่างขึ้นมาทำให้

ไม่สบายใจนัก

                “ไม่มีค่ะ”

                “ทำไม...ก็อยู่ด้วยกันมาตั้ง ๖ – ๗ ปี”

                “ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ ที่จริงดิฉันตั้งใจจะมารับชุ้ยไปเลี้ยงเองนานแล้ว แต่ก็

ติดขัดที่ดิฉันยังไม่มีกำลังจะส่งให้เข้าเรียนดี ๆ ตอนนี้พอจะเลี้ยงเขาอย่างดีได้แล้ว

ถึงได้มากกราบคุณแม่...”

                “ดีกว่าย่าของมันเลี้ยงใช่ไหม” เสียงออกจะเข้มขึ้นนิดหน่อย

                “มิได้ค่ะ คุณแม่กรุณาอย่าเข้าใจผิด” หยุดนิดหนึ่งรวบรวมกำลังใจ แม้จะ

จากไปนานก็ยังไม่ลืมความเกรงในตัวหญิงชราผู้นี้ ประหลาดใจอยู่บ้างว่าลูกหลาน

ผู้คนที่เคยคึกคักอยู่กันเต็มบ้านหายไปไหนหมด

                มองหน้ามารดาของสามีเก่า เวลาห้าปีดูไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงแข็งแรง

กระฉับกระเฉง ทั้งที่อายุล่วงเข้า ๗๔ – ๗๕ ปีแล้ว

                “ดิฉันเพียงแต่คิดว่าตอนนี้ซุ้ยน่าจะได้เรียนโรงเรียนดี ๆ กับเขาบ้าง...”

                หล่อนหยุดประโยคที่ว่า ‘ไม่ใช่โรงเรียนวัดอย่างเดี๋ยวนี้’ เอาไว้ทัน แม้

กระนั้นก็โดนย้อนกลับทันที

                “ทำไม...โรงเรียนที่เรียนอยู่นี่มันไม่ดีตรงไหน ยังไง เจ้าซุ้ยมันเรียนมาตั้ง

๓ ปีแล้ว ฉันก็เห็นมันอ่านออกเขียนได้ทั้งภาษาไทย ภาษาฝรั่ง”

                “ก็ถูกละค่ะ คุณแม่” เมื่อพูดถึงจึดประสงค์ออกไปแล้ว ความโล่งอกทำให้

ค่อนคล่องขึ้น อีกอย่าง...ตอนนี้หล่อนก็มิใช่สะใภ้ในบ้านแล้ว จะเกรงไปไย

                “โรงเรียนทุกโรงเรียนสอนให้อ่านออกเขียนได้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนกับ

สมัยก่อนนะคะ แม้แต่เรื่องก็ต้องแข่งขันกัน ต้องเรียนโรงเรียนดี ๆ อีกหน่อย

จะได้แข่งกับเขาได้”

                “ฮึ” คุณย่าลงเสียงในคอหนัก ๆ

                “คำหนึ่งก็แข่ง สองคำก็แข่ง เด็กมันไม่ใช่ม้านะยะ แม่แจ่ม จะได้คอยลง

แช่ให้มมันวิ่งให้ทันเขา”

                ถึงตรงนี้สะใภ้ในอดีตนึกขัน ใคร่จะหัวเราะออกมา ทว่าไม่กล้าแม้เพียงยิ้ม

                “คุณแม่คะ” หล่อนทอดเสียงให้อ่อนมิให้ฟังเป็นการโต้เถียงอย่างอวดดี

                “คุณแม่ก็ทราบว่าสมัยนี้ไม่เหมือนกับสมัยก่อน สมัยนี้เด็ก ๆ เขาเล่นคอม-

พิวเตอร์กันแล้วนะคะ ไม่ได้เล่นดินโคลน กระโดดท้องร่องท้องคลองอย่างสมัย

ลุงสมัยพ่อ ถ้าไม่ทันโลกแต่ยังเด็ก อีกหน่อยจะทำงานกับเขาได้ยังไงคะ...แล้ว

ก็...”

                ถึงตรงนี้หล่อนลงกราบบนพื้นเรือนที่นั่งพับเพียบอยู่

                “ขอประทานโทษนะคะคุณแม่...คุณปู่ คุณย่าจะอยู่เลี้ยงเขาไปจนตลอด

ชีวิตคงไม่ได้”

                คุณย่านิ่งอึ้งไป คุณปู่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องโถงซึ่งประตูหลังเปิดออก

สู่ชานเชื่อมเรือนเล็กสองหลักและเรือนครัว จึงเป็นการขัดจังหวะที่ถูกจังหวะ

                แจ่มจิตน้อมตัวไหว้ คุณปู่ทักสั้น ๆ ตามนิสัยว่า

                “อ้อ...แม่แจ่ม”

                คุณย่าทำเสียงกระแทกเล็กน้อยว่า

                “เขาจะมาเอาเจ้าซุ้ยไปเลี้ยงแน่ะ” ถึงสุ้มเสียงจะไม่ถึงกับเดือดเนื้อร้อนใจ

ออกมา ทว่าคุณปู่ผู้รู้จักอัชฌาสัย รู้ใจรู้จักอารมณ์กันมาแต่ยังเล็กน้อยตัวด้วยกัน

แค่มองหน้ามองตาก็ล่วงรู้ถึงความรู้สึกใจหายอาวรณ์อ้างว้าง...

                ความรักกับการจากพราก ดูจะเป็นสิ่งคู่กันมาเสมอสำหรับคุณอัปสรของ

คุณปู่

                คุณปู่ปลอบด้วยสายตา ปากพูดด้วยเสียงนุ่มนวลกับผู้หญิงที่เคยเข้ามา

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

 

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024