เลื่อมสลับลาย (กฤษณา อโศกสิน)

เลื่อมสลับลาย (กฤษณา อโศกสิน)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742534158
ผู้แต่ง: กฤษณา อโศกสิน
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 380.00 บาท 95.00 บาท
ประหยัด: 285.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ฝนกำลังโรยลงมาเป็นสายเหมือนเส้นเงิน แลเห็นขาววาวท่ามกลาง

อากาศขมุกขมัว เป็นเวลาเพียงบ่ายโมงเท่านั้น แต่ท้องฟ้าที่มืดคลุ้มไปทั่ว

ทำให้ดูเหมือนกำลังจะเย็นย่ำ

ปิ่นปักยืนอยู่ตรงหน้าต่างกระจกยาวในห้องส่วนตัว หล่อนแต่งหน้าไป

พลางแลดูภาพบนถนนฝั่งตรงกันข้ามไปพลาง คอร์ตอาคารบ้านเช่ารวมสูงเด่น

อยู่ตรงช่องว่างของท้องฟ้าพอดี ห้องของผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ตรงกับหน้าต่าง

ที่หล่อนยืนพอดีอีกเหมือนกัน

หล่อนได้แต่นึกสมเพชในใจ

ผู้หญิงทุกวันนี้ ถ้าสวยหน่อยก็มักจะทะนงในความสวยของตนเองจน

ใช้ความสวยนั้นไปในทางต่ำ…ปิ่นปักคิด…แทนที่จะเสริมสวยด้วยความงามอัน

มีให้เลือกมากมาย เช่นงามด้วยความรู้ ความสามารถ และการทำงานอื่นๆ

ซึ่งรอตนอยู่รายรอบ ก็กลับหันไปนิยมยินดีในรูปแบบที่ค่อยๆ โน้มน้าวตนไปสู่

สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อหมดเปลือง เปลืองตั้งแต่เนื้อตัวไปจนถึงวิถีชีวิต

ปิ่นปักได้ข่าวว่าผู้หญิงคนนั้นเคยเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลมาก่อน

ยิ่งทำให้หล่อนเศร้าใจ…แล้วความเศร้าใจนั้นก็เปลี่ยนเป็นสนใจ เมื่อ

สนใจมากๆ หล่อนก็มักจะคอยแอบดูความเคลื่อนไหวของคนบนฝั่งตรงกันข้าม

ทุกค่ำคืน ปิ่นปักจะเห็นคนคนนั้นขับรถออกจากคอร์ตหายไป บางวัน

ก็ไม่เอารถของตนเองออก หากมีรถของชายแปลกหน้ามารับ รถนั้นเป็นยี่ห้อ

ดีมีราคา ไม่ใช่รถโทรมๆของผู้ไม่มีฐานะเพียงพอ เพราะชายผู้ไม่มีทางจับจ่าย

ฟุ่มเฟือยนั้น ย่อมไม่สามารถจะเหยียบย่างมารับผู้หญิงชีวิตเสื่อมที่ทำตัวแพง

อย่างผู้หญิงคนนี้ไปนอนด้วยได้

ปิ่นปักยกไหล่นิดๆ อย่างดูถูก

แม่หล่อนหมุนลูกบิดประตูเข้ามา พลางบอกว่า

“ศกโทร. มาจ้ะ แต่วางหูไปแล้ว เขาว่าเขาจะช้านิด”

“ช้าแค่ไหนก็ไม่รู้” ปิ่นปักบ่น “ถ้ามาช้ามากละก็ ลูกไม่ไปดีกว่า ไม่ชอบ

ดูอะไรตอนที่เขาแสดงไปแล้วไม่ว่าหนัง ละคร หรืออะไร”

“นี่เพิ่งบ่ายโมง…ฝนก็ตกด้วย เขาคงติดธุระที่บริษัทน่ะแหละ ประชุม

กรรมการอะไรมั้ง แม่ก็ไม่กล้าซักหรอก” คุณโปรยนั่งลงบนเตียงนอนที่มีผ้า

คลุมเรียบร้อยของลูกสาว “เขาไม่เหมือนคนอื่น”

ปิ่นปักไม่ได้สนใจเรื่องที่มารดาพูด หล่อนหันหลังจากหน้าต่างเดินไปที่

กระจกแต่งตัว ชะโงกดูหน้าตนเองที่ไล้ครีมไว้จนเนียน เนื้อครีมซึมเข้าไปใน

ขุมขนจนหน้าทั้งหน้าดูละเอียดไปทั่ว หล่อนดึงกระดาษเช็ดหน้าขึ้นมาซับนิดๆ

ก่อนจะรองพื้น

“ลูกกำลังดูอยู่ค่ะ แม่” หล่อนพูดหัวเราะๆ “อยากรู้ว่าวันนี้เขาจะ

มารับกันไหม”

“โธ่เอ๊ย…ดูอยู่ได้ เสนียดลูกกะตาจะตาย” มารดาหล่อนว่า “ไอ้คอร์ต

นี้มันคอร์ตเมียน้อย หรือไม่ก็อีตัว…ชั้นสูงหน่อย แต่ลงเป็นอีตัวแล้วละก็

สูงหรือต่ำ มันก็อีตัวน่ะแหละ ไม่รู้กรรมเวรอะไร ดันมาสร้างอยู่ตรงประตู

บ้านพอดี”

“ดีซีคะ จะได้ดูเพลิน ผู้หญิงคนนั้นเห็นแต่ไกลก็สวยดีนะคะแม่ รูปร่าง

ก็ดี การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี ไม่ทราบว่าเข้าไปใกล้จะดีหรือเปล่า”

“มันก็สวยแหละจ้ะ แม่เคยเห็นแล้วหลายหน สวนรถกันผิวงี้อ่อนลออ

เชียว ไม่น่าเลย ไม่น่าตกต่ำเป็นคนชั่วไปได้” คุณโปรยเดินไปที่หน้าต่าง

มองผ่านสายฝนซึ่งบัดนี้ดูเป็นแผงเงินหนาทึบกว่าเมื่อครู่

ทันใดนั้นม่านหน้าต่างฝั่งโน้นก็ถูกรูดออก เธอแลเห็นเจ้าของห้องยืนอยู่

ตรงนั้น ดูเป็นเงารางๆ ผุดขึ้นจากแสงฟ้าอันสว่างเพียงระเรื่อท่ามกลางความ

วาววับของประกายฝน

“แน่ะ ยืนอยู่นั่นไง คงรอแฟนมั้ง”

“เดี๋ยวเขาเห็นเข้าหรอก แม่”

“อ้าว เราก็รอแฟนเหมือนกันนี่” มารดาหล่อนพูดหัวเราะๆ

“ต๊าย นี่แม่เอาลูกไปเปรียบกับคนพรรณนั้นได้ไง” ลูกสาวแทบจะร้อง

กรี๊ดด้วยความถือตัว “คนละชั้น คนละระดับ คนละ…”

มารดานิ่งเงียบ ค่อนข้างจะรู้สึกว่าจริงดังนั้น

“เขาว่าผู้หญิงคนนี้นามสกุลวิบุลยานะ”

“หรือคะ เป็นไปได้หรือ” ปิ่นปักอุทาน พลางหันมาเบิกตากว้าง

ใครๆ ก็รู้ว่านามสกุลนี้เป็นนามสกุลเด่นของประเทศ

“ออกจะน่าสลดใจกันใหญ่เสียแล้ว” หญิงสาวว่า หล่อนเป็นเจ้าของวัย

ยี่สิบสี่ค่อนเกือบยี่สิบห้า เจ้าของปริญญาตรีในประเทศและโทจากต่างประเทศ

คู่หมั้นของผู้ชายวัยเดียวกันที่ได้ชื่อว่าเป็นคนหนุ่มโด่งดัง ทั้งฐานะ หน้าที่การ

งาน และรูปร่างหน้าตาทรมานใจสาวทั้งสวยและไม่สวย ทั้งแก่และเก่าใน

กรุงเทพฯ และท้ายที่สุดก็คือเป็นเจ้าของความงามความเก๋อย่างหญิงสาวผู้มี

รสนิยมสูง “คนเราถ้าสามารถพร่าผลาญวงศ์ตระกูลด้วยการทำตัวเสื่อมทรามถึง

ขนาดนี้ ก็น่าจะเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ไม่ต้องให้ใครเตือน รู้ไปถึงไหน

ก็อายเขาถึงนั่น”

มารดาพยักหน้า

เงาคนจากหน้าต่างโน้นหลบวูบเข้าไปแล้ว ปิ่นปักรองพื้นตามใบหน้าและ

ลำคอโดยรอบเสร็จสิ้น จึงหยิบตลับแป้งออกมาใช้พัฟแตะเบาๆ ที่ผิวคล้ำเกลี้ยง

ละมุนราวแพรเนื้อดีสีกาแฟดำร้อนเหยาะนมเล็กน้อยของหล่อน รูจที่ประจง

แตะไว้ตรงโหนกแก้มใต้ตา ส่องสีเรื่อผ่องผาด ดวงตาดำกว้างประกอบด้วย

ขนตางอนยาวเป็นตับนั้นเกือบจะไม่ต้องแต่งเลย เพราะเพียงแต่ใช้แปรงเล็กๆ

แตะมาสคารารูดขึ้นไปเพียงเล็กน้อย ก็ดูดำขลับคมซึ้งจนสุดจะสรรหาถ้อยคำ

ใดเอ่ยชม แถมด้วยความวาวแห่งความสุขที่หล่อเลี้ยงอยู่เต็มหน่วยตาอีกเล่า

ปิ่นปัก แสงเนตรก็แทบจะเป็นหญิงสาวคนหนึ่งในจำนวนที่หายาก พร้อมด้วย

สมบัติสามหมู่ คือ รูป ความรู้ และทรัพย์

ผมหล่อนเป็นทรงบ็อบสลวย ไม่โลดโผน แต่นั่นยิ่งทำให้เหมาะเจาะ

กับวงหน้ารูปไข่อันมีสันจมูกสูงและริมฝีปากบางงาม

คุณโปรยพินิจดูธิดาคนเดียวอย่างปลาบปลื้ม ปิ่นปักเพิ่งกลับจากต่าง-

ประเทศได้ไม่กี่เดือน หล่อนใหม่ หรู สำหรับเมืองหลวงประเทศนี้ จนกล่าว

ได้ว่าในพ.ศ. ที่ผ่านมาจนถึงพ.ศ. ที่กำลังดำเนินไปนี้ ไม่มีหญิงสาวคนใดมีชื่อ

ลือเลื่องติดปากคนในวงการชั้นสูงเท่าหล่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิธีวิวาห์

ที่จะมาถึงตอนปลายเดือน ใครๆ ก็คาดหวังว่าจะเป็นพิธีใหญ่เอิกเกริกให้พวก

ผู้ดีมีเงินได้ลับฝีปากกันต่อไปอีกนานชั่วโมง แถมยังคาดหมายว่าการจราจร

จะติดขัดเป็นพิเศษในรอบปี

“แม่น่ะสลดใจมาตั้งนาน ตั้งแต่ปิ่นยังไม่กลับนั่นแหละ แล้วยิ่งได้เห็น

รูปโฉมโนมพรรณของเขาก็ยิ่งสลดใจ นี่แหละ…เขาว่าผู้หญิงเรานั้น ถ้าใช้

ความสวยไม่เป็น ก็หลงผิดได้ง่ายนิดเดียว”

“สวยอะไรนักหนาเชียวหรือคะ แม่”

“สวยก็แล้วกันน่ะ สวยชั้นดีด้วย ไม่ใช่สวยตลาดเหมือนคนสวยบาง

คน”

ปิ่นปักหัวเราะ พลางเดินไปที่ตู้เสื้อผ้ายาวตลอดผนังเลื่อนประตูออก

หยิบขอแขวนชุดสำหรับสวมวันนี้ออกมา

เป็นแพรทองมีลวดลายดอกไม้ในตัว กระโปรงอัดพลีตเล็กๆ บานยาว

ต่ำกว่าครึ่งน่อง ท่อนบนคอแหลมลึก แขนต่อยาวแค่ข้อมือ คาดเข็มขัดที่เป็น

แพรชิ้นเดียวกัน

“สีทองนี่ขึ้นกับผิวลูกจังนะ” แม่ชมขณะมองดูเอวอ้อนแอ้นของลูก

“พวกสีทอง สีส้ม สีอิฐนี่ขึ้นกับลูกเรื่อยแหละค่ะ” ปิ่นปักมองดูตัวเอง

ในกระจกที่มีเรือนร่างสูงโปร่งราวกับนางแบบฝรั่ง “ยังไม่ทราบเลยว่าใส่สีขาว

แล้วจะเป็นยังไง จะทำให้ตัวเองดูสกปรกไปหรือเปล่า ลูกไม่ชอบผิวลูกเลย

ดำไป อยากขาวนวลแบบนั้น ใส่อะไรก็สวยหมด”

“ไม่แน่หรอกลูก อยู่ที่รูปร่าง ท่าทาง บุคลิกด้วย ไม่ใช่ว่าคนขาวจะ

ต้องดูดีเสมอไป”

หล่อนเดินไปที่หน้าต่างอีก มองไปยังฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งบัดนี้ม่านรูด

ปิดแล้ว

ฝนยังคงตกหนาเม็ด และดูจะหนามากขึ้นอีกตามระยะนาทีที่ผ่านไป

“เอ…นี่ถ้าตกเอาๆ จนอดดู จะว่าไงคะ แม่”

“ก็อดน่ะซี”

“แหม…ไม่ได้หรอก ลูกไม่ยอมแน่ นานๆ จะได้ดูสักที บัลเลต์ไม่ใช่

จะมีให้ดูบ่อยๆ เหมือนหนังเมื่อไหร่”

บ่ายนี้หล่อนจะไปดูระบำปลายเท้าของรัสเซียที่โรงละครแห่งชาติ

ครู่ต่อมา ขณะที่ปิ่นปักยังคงยืนกระสับกระส่ายรอคู่หมั้น รถสปอร์ตคัน

หนึ่งก็คลานช้าๆ มาถึงหน้าคอร์ต แล้วแล่นเลยเข้าไปในโรงรถ…

ผู้หญิงคนนั้นวิ่งลงมาจากบันไดด้านข้างซึ่งปลอดฝน ร่างของหล่อนอยู่

ในชุดกางเกงดำขาลีบ เสื้อแพรแขนยาวสีเลือดนกและเข็มขัดวาวๆ คาดทับ

เสื้อปล่อยเอว

แล้วร่างโปร่งบางก็หายลับเข้าไปภายในตัวรถซึ่งกระจกติดฟิล์มสีมืด

ต่อจากนั้นก็เริ่มแล่นเลี้ยวออกจากคอร์ตลับไปในถนนซอย

แต่ศกก็ยังไม่มา

ปิ่นปักถอนใจยาว ดูนาqิกาที่คาดทับอยู่บนข้อมือเสื้อ…บ่ายโมงสิบนาที

…กว่าจะถึงโรงละครไม่ใช่ใกล้ๆ ฝนตกอย่างนี้ รถคงติดไปตลอด…

หล่อนวิ่งลงบันไดอย่างหงุดหงิด

“แสง เช็ดรองเท้าสีน้ำตาลเข้มให้ฉันแล้วยัง” หล่อนส่งเสียงแหลมอย่าง

ร้อนรน ปิ่นปักไม่ใช่คนเยือกเย็นสักเท่าไหร่ เวลาร้อนหล่อนร้อนไม่ใช่เล่น ร้อน

จนบางครั้งมารดาจะต้องเตือน

‘แต่งงานแล้ว ปิ่นต้องหัดสุขุมนะ…คุณศกเขาก็เป็นคนเอาแต่ใจ เราเอา

แต่ใจเข้าอีกคน คงทะเลาะกันไม่จบละ’

‘ก็ลองดูซีคะ…’ ปิ่นปักได้แต่เอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจในตนเองและในความรัก

แสนลุ่มหลงที่ศกมีต่อหล่อน

น้ำเสียงนั้นค่อนข้างทะนงเสมอมา

กว่าจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถเขา ก็ต่อเมื่ออีกสิบห้านาทีจะบ่ายสอง-

โมง

“แหม…ไม่อยากไปแล้ว” หล่อนพูดอย่างงอน “จะถึงเวลาแสดงแล้ว

เห็นไหมคะ…กว่าจะถึงโน่นมิเข้าไปบ่ายสองโมงครึ่งหรือ”

“มาเถอะน่า…” ศกหัวเราะ “ผมจะบินไป รับรองว่าบ่ายสองกับอีก

นิดหน่อยเท่านั้น”

หล่อนขึ้นรถอย่างขุ่นเคือง คู่หมั้นของหล่อนอารมณ์ดีพอที่จะบอกว่า

“ประชุมกันเลยเวลาไปหน่อย แต่ผมก็โทร. มาบอกแล้ว ปิ่นน่าจะทำ

ใจได้”

“ถ้าเป็นหนัง ปิ่นก็คงไม่หงุดหงิด แต่นี่เป็นบัลเลต์”

“จะดูซักกี่รอบล่ะ” คราวนี้เขาลงเสียง “นี่ถ้าไม่ใช่คุณ ผมก็คงไม่ไป

หรอก ผมไม่ชอบบัลเลต์ คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบ ไม่สนใจเลยแต่ก็ไปเพราะ

คุณอยากไป”

ปิ่นปักเงียบเมื่อรู้สึกว่าเขาเริ่ม ‘ร้อน’ ขึ้นมารำไร

ศกเป็นคนแข็ง แม้จะรักและหวานกับหล่อนมากมายก็ตามเมื่อถึงเวลา

ที่เขาคิดว่าเขาถูกหรือเขาพอใจ ก็จะยืนกรานเอาให้ได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการจะ

ได้

แต่หล่อนก็รักเขามาก ปิ่นปักรู้ใจตนเองดี ไม่มีวันที่หล่อนจะรักผู้ชาย

คนไหนได้มากเท่านี้อีก รักจนกระทั่งหลายครั้งทีเดียวที่หล่อนเคยลองคิดเล่นๆ

ว่า ถ้าแต่งงานกันแล้ว และศกลดเลี้ยวไปบ้างเหมือนผู้ชายร่ำรวย เคยแก่การ

ถูกตามใจและเอาใจจนเคยตัวทั้งหลาย หล่อนจะหาทางทำอย่างไรดี จึงจะดึง

เขาไว้ให้รักหล่อน หลงหล่อน ทะนุถนอมเอาใจทุกย่างก้าวเหมือนเวลานี้ได้

“ความจริงปิ่นก็ไม่เห็นน่าจะอยากดูอะไรมากมาย ไม่ใช่คณะบอลชอย

ซักหน่อย เออ…ถ้าบอลชอยมาละก็ ผมเห็นด้วยว่าควรกระตือรือร้น”

“ปิ่นเป็นคนชอบบัลเลต์ ไม่ว่าคณะไหน ปิ่นอยากดูทุกคณะแหละค่ะ

คณะนี้เขาก็มีตัวแสดงเด่นนี่คะ เคยได้รางวัลเหรียญทองมาแล้ว”

ศกทำหน้าเมื่อยนิดๆ

“มันก็ไอ้เท่านั้นแหละ ดูหนนึงแล้วไม่ต้องดูอีกเลยก็ได้”

“ศกชอบสรุปอะไรแบบนี้เรื่อย ถ้ามีคนอย่างคุณมากๆ ดนตรีคลาสสิก

หรือศิลปินชั้นสูงอีกหลายๆ อย่างคงไม่ได้ผุดได้เกิดหรอกนะคะ” หล่อนพูดทีเล่น

ทีจริง จะว่าไปแล้วหล่อนก็ถนอมน้ำใจเขามากเหมือนกัน “แต่นั่นแหละ ถ้า

คนไหนใจร้อน มักจะทนดูของละเอียดลออแบบนี้ไม่ไหว ว่าแต่ว่า บินเถอะค่ะ

คลานไม่ได้แล้ว”

“บินหรือ” เขาหัวเราะหึๆ บางทีเขาก็ทนคำสั่งของหล่อนได้เห็นว่าน่าเอ็นดู

แต่บางทีสั่งนิดเดียวเท่านั้น เขาก็หน้าบึ้งทันใด “บินแล้วตายกับคลานแล้วอยู่

เอาอย่างไหน ถนนลื่นยังกับเอาน้ำมันมาราด”

แต่อย่างไรก็ตามศกก็พารถเข้าเทียบลานจอดหน้าโรงละครเมื่อเวลาบ่าย-

สองโมงยี่สิบนาที

ทุลักทุเลพอสมควรเพราะกว่าจะลงจากรถได้ ต้องชูร่มออกไปนอกรถเพื่อ

กดสปริงให้มันกาง ฝนยังคงตก…เพียงแต่ไม่หนักเหมือนชั่วโมงก่อน ชุดแพร

สีทองของปิ่นปักเปียกปอนแถวชายกระโปรงซึ่งถูกลมตีเตลิดขณะกางร่มวิ่งจาก

รถไปยังตัวตึก

“บัลเลต์วิบากของคุณนี่ ขอแค่หนเดียวนะ” ศกบ่นเมื่อมองดูรอยเปียก

ตรงปลายขากางเกงสีเข้มของตนเอง พลางจับมันกระแทกเบาๆ แล้วเดินหน้า

งอตามหญิงสาวเข้าประตูโรงละคร

ข้างในมืด บนเวทีสว่างเรืองด้วยแสงไฟที่พวยพุ่งออกมาจากหลืบ ส่อง

จับฉากที่เป็นรูปต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาซ้อนซับ สีฟ้าหวานสุดหวานของ

ป่าโปร่งนั้นสวยงามจับตาแลเห็นแต่ไกล เหล่าระบำปลายเท้าในชุดขาวกำลัง

เต้นอย่างเบาและสูงลอยอยู่บนเวที

หล่อนและเขาหย่อนตัวลงบนที่นั่งตามบัตร

ดนตรีกระหึ่มก้องเป็นจังหวะ กระแทกกระทั้นแล้วจาง กลายเป็นเสียง

กระซิบครางครวญ

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024