บุหงามะละกา (ราชศักดิ์)

บุหงามะละกา (ราชศักดิ์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742533915
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 230.00 บาท 57.50 บาท
ประหยัด: 172.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“เราเลยกัมปาร์มาไกลไม่น้อย ตอนนี้น่าจะอยู่ไม่ห่างมะละกา” เสียง

จีนจูต้นหนวัยกลางคนตะโกนบอกชายจีนสูงอายุและชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำ

ที่ยืนอยู่ใกล้กราบเรือ

“โชคไม่ดีเลย” เซียะเหวินนายสำเภามากประสบการณ์ ซึ่งมีอายุราว

ห้าสิบปีแต่ยังดูแข็งแรงส่ายหน้าพลางจ้องมองไปที่ใบเรือใหญ่ไม้ไผ่สานที่ขาดวิ่น

จากแรงลมขณะเรือแล่นตัดคลื่นไปช้าๆ

ทางขวามือหลังม่านหมอกมองเห็นแผ่นดินของคาบสมุทรมลายูอยู่ลิบๆ

หลังแวะที่ชายฝั่งจามบีแล้วเรือก็ออกเดินทางมุ่งสู่เมืองอาเจะห์ทางเหนือของเกาะ

สุมาตราอันเป็นเป้าหมายปลายทางแต่โชคร้ายเจอพายุระหว่างทางจนเรือแทบ

อับปาง

“คงไปไม่ถึงปาไซแน่ใช่ไหม” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้มีนามว่าขุนแสน-

สมุทรหันไปพูดกับนายสำเภาด้วยสีหน้าวิตกนิดๆ เขาผู้นั้นไว้ผมยาวเกล้ามวย

มีผ้าขาวคาดศีรษะ ชายเสื้อยาวผ้าฝ้ายของเขาพลิ้วไหวไปตามลม หนวดเรียว

เหนือริมฝีปากทำให้ใบหน้าดูคมเข้มเข้ากับท่าทางทะมัดทะแมง

“แม้พายุสงบแล้ว แต่คงไปต่อไม่ไหว ต้องหาที่จอดซ่อม” เซียะเหวิน

พูดขณะมองหวังหยวนคนสนิทที่กำลังคุมลูกเรือปล่อยใบใหญ่ลงมาซ่อม “ไม่ใช่

แค่ใบฉีกอย่างเดียวนะเสากระโดงกับเพลาใบก็เสียหาย เหล็กประกับหางเสือก็

หัก คงออกทะเลลึกไม่ได้ ทำได้แค่ประคองไปข้างหน้าเท่านั้น”

“ข้าเข้าใจ แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน เรื่องเรือข้ายกให้เจ้า” ขุนแสนปลอบใจ

เพื่อนร่วมชะตากรรมแม้ในใจให้รู้สึกหดหู่ “ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าเรือแตกมิใช่

หรือ”

“ก็จริงของท่าน” เซียะเหวินพยักหน้าช้าๆ “รอดมาได้ก็ดีแล้ว”

“เรารอดแน่…ถ้าไม่มีพายุใหญ่อีก”

“ดูแล้วไม่น่า…อากาศกำลังดีขึ้น” ชาวจีนผู้ชำนาญการเดินเรือแหงนมองดู

ฟ้ารอบๆ ตัว

เสียงจีนจูตะโกนสั่งคนทอดดิ่งที่หัวเรือ “วัดความลึกไปเรื่อยๆเห็นผิดปกติ

ให้รีบบอก”

“ได้เลย” จีนหนุ่มท่าทางคล่องแคล่วก้มหัวรับคำสั่ง

ต้นหนผู้เจนสมุทรสั่งงานแล้วเดินไปช่วยหลินชุนนายท้ายเรือที่กำลังพยา-

ยามนำเรือเข้าใกล้ฝั่งให้มากขึ้น

ขุนแสนสมุทรหรือที่ใครๆมักเรียกว่าขุนแสน ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วย

ผู้คุมสำเภาหลวงของกษัตริย์หนุ่มอโยธยาผู้มีนามว่า สมเด็จพระบรมไตรโลก-

นาถ

เขาเป็นผู้ช่วยของหลวงราชไมตรีผู้คุมการค้าหลวงเชื้อสายเปอร์เซีย ซึ่ง

บังเอิญโชคร้ายล้มป่วยเสียชีวิตในช่วงที่เรือแวะพักที่จามบีก่อนหน้านี้ ตั้งแต่

นั้นมาขุนแสนจึงต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้คุมการค้าแทน โดยมีขุนเทพรักษา

เพื่อนสนิทเป็นผู้ช่วย

นอกจากเคยออกรบอย่างโชกโชนแล้วขุนนางหนุ่มผู้นี้ยังเคยช่วยงาน

การค้าของพระคลังหลวงมาเป็นเวลาหลายปีจนได้รับการคัดเลือกให้ทำหน้าที่

เป็นผู้ช่วยหลวงราชไมตรีทั้งๆ ที่ไม่เคยเดินทางไกลถึงปลายคาบสมุทรมาก่อน

หลวงราชไมตรีผู้เป็นคนเลือกมั่นใจว่าการเดินทางครั้งนี้จะให้ประสบการณ์กับขุน

แสนอย่างมากซึ่งจะมีผลกับความเจริญก้าวหน้าในราชการและยังจะเป็นกำลัง

สำคัญให้กับการค้าสำเภาหลวงในอนาคตด้วย

การมีขุนแสนกับนักรบผู้คุ้มกันจำนวนหนึ่งบนเรือทำให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจ

เนื่องจากเส้นทางเดินเรือต้องผ่านช่องแคบมะละกาและหลายพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วย

โจรสลัด

* * *

เบื้องบนทะเลเมฆสีเทายังลอยกระจายแผ่ไพศาลทั่วท้องฟ้า ละอองฝน

บางเบาแทรกอยู่ในสายลมเย็นที่พัดโกรก ตัวเรือยกขึ้นลงตามแรงคลื่นซึ่งลด

ขนาดลงมากจนเกือบเป็นปกติ

ขุนแสนมองไปยังดาดฟ้าชั้นสองที่ยกสูงตรงท้ายเรืออันเป็นที่พักของ

นายสำเภาและต้นหนซึ่งกะลาสีจีนและชาวอโยธยากำลังช่วยกันเก็บกวาดเศษ

ข้าวของต่างๆ บนพื้น หลังคาประทุนใหญ่ของที่พักสองหลังบนดาดฟ้าและ

ประทุนหลังเล็กท้ายเรือซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่บุด้วยเปลือกไม้ถูกลมตีเผยออ้าออก

เศษชิ้นส่วนของมันกระจายเกลื่อน

ลูกเรือส่วนหนึ่งลงไปวิดน้ำใต้ดาดฟ้าที่น้ำทะเลซัดผ่านช่องบันไดเข้าไป

เป็นเหตุให้น้ำท่วมห้องเก็บเสบียงและทำให้อาหารส่วนหนึ่งเสียหาย ส่วนห้อง

พักท้ายเรือใต้ดาดฟ้าและห้องครัวซึ่งอยู่ติดกันได้รับผลกระทบไม่มากนัก แม้

กระนั้นข้าวของในห้องก็ตกหล่นกระจัดกระจายไปทั่ว

ขุนแสนกับเหลียงผู้ช่วยคุมบัญชีค้าขายคนสำคัญยืนมองดูชายฝั่งสี

น้ำเงินปนม่วงทางขวาที่กำลังค่อยๆเคลื่อนใกล้เข้ามา พวกเขาหวังว่าเซียะเหวิน

คงสามารถหาทำเลดีใกล้ฝั่งที่ไหนสักแห่งเพื่อพักซ่อมเรือ

เหลียงชายหนุ่มร่างผอมสูงและคนเรือสายเลือดมังกรทุกคนเคยค้าขาย

แถบคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะต่างๆ มานานหลายปี ในบรรดาลูกเรือคนจีน

เหลียงหรือที่คนบนเรือชอบเรียกว่า ‘เหลียงผู้รอบรู้’ เป็นคนที่ขุนแสนสนิทด้วย

มากที่สุด เนื่องจากเขารู้จักบ้านเมืองและผู้คนตามรายทางเป็นอย่างดีจึง

สามารถให้คำปรึกษากับขุนแสนได้เกือบทุกเรื่อง

แม้บนเรือจะมีขุนวิจิตรวาทีล่ามวัยกลางคนผู้ชำนาญภาษามลายูอยู่ด้วย

แต่ขุนแสน เหลียง และขุนเทพรักษาก็พอจะพูดภาษามลายูได้ การติดต่อ

เจรจาการค้ากับผู้คนย่านนี้จึงดำเนินไปได้ด้วยดีโดยไม่เป็นภาระกับขุนวิจิตร

มากนัก

ขุนแสนในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดบนเรือยามนี้มุ่งมั่นที่จะทำภารกิจตามที่

ทางวังมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงให้จงได้

เรื่องการถอดใจนำเรือกลับบ้านเป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในความคิด

* * *

ยามสายหมอกจางลง ชายฝั่งคาบสมุทรมลายูใกล้เข้ามามากขึ้น ต่าง

จากอีกด้านของเรือซึ่งเป็นทะเลกว้างเวิ้งว้างไปจนจรดขอบฟ้า

ขณะที่เซียะเหวินและหลินชุนเดินดูแลความเรียบร้อยของเรือ ขุนวิจิตร

ก็ขึ้นมาบนดาดฟ้าตรงมาคุยกับขุนแสนด้วยน้ำเสียงกังวล

“เสียหายมากพอดู”

“ใช่ ไม่น้อยเลย” ขุนแสนมองไปยังเพลาใบหลักที่หักและใบเรือสี่เหลี่ยม

ที่ถูกลมตีกระแทกไปมาจนฉีกขาดเป็นรอยโหว่ใหญ่ ใบที่หัวเรือซึ่งทำจากผ้าฝ้าย

ก็เสียหายเช่นกัน

“แล้วจะทำอย่างไรกันดี” เสียงถามจากขุนเทพอย่างวิตก

“เรามีช่างติดมาสองคน มีเสากระโดงและเพลาใบสำรอง มีชันหมัน

จำนวนหนึ่งแต่คงไม่มากพอนอกจากนี้ต้องหาไม้มาเสริมกราบกับท้องเรือด้วย”

“เป็นงานใหญ่ที่ใช้เวลามาก” ขุนวิจิตรพึมพำพลางลูบคางไปมา

“แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะถึงอาเจะห์ ข้ารู้ว่ายังอีกไกลทีเดียว” ขุนเทพส่ายหัว

พลางมองไปที่เซียะเหวินที่กำลังชี้ไม้ชี้มือปรึกษากับหวังหยวนคนสนิทอยู่ที่หัว

เรือ

ครู่หนึ่งเซียะเหวินก็เดินมาหาขุนแสนกับพวกแล้วบอกว่า

“เราจะทอดสมอแถวนี้”

“เอาเลย แล้วแต่เจ้าอยู่แล้ว” ขุนแสนตบไหล่นายสำเภาคู่ใจเบาๆ “ไม่

ห่างฝั่งนัก และก็ไม่ใกล้เกินไป”

เซียะเหวินส่งสัญญาณให้หลินชุนทราบพร้อมบอกลูกเรือให้หมุนกว้าน

ปล่อยสมอลงน้ำ

สมอเกาะใต้พื้นน้ำอยู่ครู่หนึ่ง เรือก็ถูกกระตุกอย่างแรงจนลอยลำอยู่กับ

ที่ ตัวเรือยกขึ้นลงเบาๆ ตามแรงคลื่น

เดินดูความเรียบร้อยบนดาดฟ้าอยู่พักหนึ่งขุนเทพก็หยุดพูดกับขุนแสน

ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจว่า “เรื่องซ่อมเรือคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของ

เซียะเหวิน ว่าแต่ ข้าเดาว่าแถวนี้ไม่ห่างมะละกามากนัก พวกเราอาจโชคร้าย

ก็ได้ถ้าพวกมันมาพบเข้า”

“ก็คงต้องสู้กันสักตั้ง” เหลียงที่กำลังช่วยลูกเรือซ่อมผนังประทุนใกล้ๆ

หันมากล่าวเสียงเข้มพลางมองไปรอบๆ

เขารู้จักย่านนี้ดี รู้ว่าสิ่งที่ขุนเทพพูดนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นไม่น้อยเลย

“ไม่น่าเชื่อนะว่าดินแดนแถบนี้เป็นของอโยธยามานาน แต่ตอนนี้เรากลับ

ต้องระวังภัย” ขุนแสนมองไปยังชายฝั่งมลายูที่เต็มไปด้วยหมู่ไม้สีเขียวแน่น

ทึบ

“ไม่เหมือนเดิมแล้ว บางเมืองแข็งข้อ ไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการ

เหมือนแต่ก่อน” ขุนเทพพูด

“ข้ารู้ว่าเจ้าหมายถึงมะละกา” ขุนแสนมองหน้าเพื่อนแล้วยิ้มที่มุมปาก

“แน่นอน” ขุนเทพพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างมั่นใจ “ถ้าอยู่ใกล้ พระเจ้า

อยู่หัวคงจัดการเรียบร้อยไปนานแล้ว”

“ถ้าจะบุกมา ทัพเรือเราต้องพร้อมกว่าที่เป็นอยู่”

“จริงของเจ้า”

ขุนเทพผู้เพิ่งมาย่านนี้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับขุนแสนเรียกเซียะเหวิน

ที่กำลังเดินตรวจความแข็งแรงของเชือกข้างเรืออยู่ใกล้ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้า

ไม่มีความรู้เรื่องแถวนี้นัก เจ้าเดินเรือมานานหลายปี ช่วยเล่าเรื่องช่องแคบนี้

ให้ข้าหูตาสว่างหน่อยได้ไหม”

“ได้ซี” นายสำเภายิ้มที่มุมปากอย่างอารมณ์ดี แม้สภาพเรือที่เห็นไม่น่า

จะทำให้เขายิ้มออก “บริเวณนี้เป็นส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบและน้ำไม่ลึก

มาก ปกติจะลึกเฉลี่ยราวสิบสามวา ช่องแคบทางเหนือจะกว้างกว่าทางใต้หลาย

เท่า”

“แล้วอาเจะห์ที่เราจะไปยังอยู่อีกไกลไหม” ขุนเทพสงสัย

“ไกลพอดู…ตรงขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆ จะไปออกมหาสมุทรอินเดีย

เมืองอาเจะห์อยู่แถวนั้น อยู่ทางเหนือของเกาะสุมาตรา”

“สภาพทะเลข้างหน้าไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง” ขุนแสนถามคล้ายวิตก

ในที

“ช่องแคบแถวนี้จริงๆ แล้วไม่อันตราย แต่เหนือขึ้นไปมีสันทรายมาก

ต้องระวัง ส่วนเรื่องพายุเอาแน่ไม่ได้ ยากที่จะบอก”

“เรื่องสันทราย ข้าพอเข้าใจ….” ขุนเทพพิงกราบเรือแล้วส่ายหัว “ไหน

ก่อนมาใครว่าในช่องแคบไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องพายุ”

“อย่ามัวกังวลเรื่องนี้เลย พอซ่อมเรือเสร็จได้ลมดีๆ ไม่นานเราจะได้ไป

ฉลองกันที่อาเจะห์” ขุนแสนหันมาปลอบเพื่อนร่วมทาง

“มีเรือตรงมาที่เรา” ลูกเรือที่กราบขวาตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“เรือเล็กสิบกว่าลำ มีคนถืออาวุธเต็มไปหมด”

ขุนแสนกับพวกรีบวิ่งไปที่ท้ายเรือทันที

พอเห็นชัดเจนเซียะเหวินก็ตกใจอุทานเบาๆ กับขุนนางผู้คุมเรือ “พวก

โอรังลาอุต! ในช่องแคบนี้ไม่มีใครอื่น”

“พระเจ้ากำลังซ้ำเติมเรา” เสียงใครคนหนึ่งร้องออกมา

“เป็นพวกไหนหรือ” ขุนเทพที่ตามมาติดๆ จ้องมองภาพเบื้องหน้า

“เป็นคนพื้นเมืองแถวนี้” เหลียงบอกหน้าเครียด “พวกนี้รับใช้สุลต่าน

มะละกา มักใช้กำลังเข้าบังคับเรือที่จะไปท่าอื่นให้เข้าจอดที่นั่น”

“พวกมันคอยดูแลคุ้มครองเรือสินค้าที่จะเข้าเทียบท่าด้วย” หวังหยวน

เสริม

“มันจะมาไม้ไหนกับเรา” ขุนแสนคิ้วขมวดเข้าหากันพลางเลื่อนมือไป

จับด้ามดาบแล้วหันไปสั่งลูกน้องข้างๆ เสียงกร้าว

“ไอ้เรือง ไอ้หาญ เตรียมคนให้พร้อม คงได้สู้กันแน่”

“ได้เลยขอรับ” เสียงตอบกลับอย่างดุดันเกือบจะพร้อมๆ กัน

พวกในเรือต่างตะโกนบอกต่อกันเสียงดังแล้วตรงเข้าคว้าหอกดาบเตรียม

พร้อม

“ใจเย็น พวกเราใจเย็นๆ” เซียะเหวินรีบหันมาห้ามเมื่อเห็นท่าทีของ

ขุนแสนและคนในเรือ

เขารู้จักพวกโอรังลาอุตดี ในสภาพที่เสียเปรียบทุกอย่างเช่นนี้ การจับ

อาวุธขึ้นสู้เท่ากับการฆ่าตัวตายดีๆ นั่นเอง

“อย่าเลยท่านขุน สู้ไปจะตายกันหมด เรามีแค่ยี่สิบกว่าคน พวกมัน

มากกว่าเราเยอะ ปล่อยให้ข้ากับขุนวิจิตรเจรจาเองดีกว่า”

“ก็ได้ ลองพูดกับพวกมันดู” เสียงตอบกลับอย่างไม่เต็มใจ หน้าที่ของ

เขาที่ได้รับมอบหมายมานอกเหนือจากการค้าก็คือปกป้องทุกชีวิตบนเรือ

พวกโอรังลาอุตผิวคล้ำดำแดงเหมือนพวกอยู่กับทะเลทั่วไป แต่ละคน

ปล่อยท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างมีแค่ผ้าเตี่ยวพันกาย ทุกคนไว้ผมยาวมี

ผ้าคาดผมตรงหน้าผาก ส่วนใหญ่สักร่างกายลายพร้อย ดูคล้ายคนป่ามาก

กว่าคนเมือง แต่ละคนชูดาบเขย่าหอกไปมา บางคนโก่งธนูเตรียมยิง หน้าตา

บ่งบอกถึงความอำมหิตไร้เมตตา

ขุนวิจิตรตะโกนส่งภาษามลายูเมื่อเรือลำหน้าที่มีหัวหน้าโอรังลาอุตยืน

เด่นเข้ามาใกล้จนเห็นกันชัดเจน

หน้าตาของตัวหัวหน้านั้นเหี้ยมเกรียมดุดัน สายตาที่คมราวเหยี่ยวจ้อง

มองมายังคนบนเรืออย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นทุกคนบนเรือสำเภาไม่คิดต่อสู้

ก็มีท่าทีอ่อนลง

พวกโอรังลาอุตนำเรือเข้าเทียบสำเภาแล้วพากันปีนขึ้นเรือใหญ่ชุลมุน

ครู่เดียวก็ขึ้นมาเต็มดาดฟ้า ต่างถือหอกดาบกระจายไปคุมตามจุดต่างๆ ทั่วเรือ

คนเป็นหัวหน้าเดินไปสั่งการเสียงดังกับเซียะเหวินที่รู้จากขุนวิจิตรว่า

เป็นนายสำเภา

แม้ขุนแสนจะพอรู้ภาษามลายูแต่ไม่อาจเข้าใจภาษาที่พวกนี้พูดได้

“มันบอกให้นำเรือไปที่อ่าวหน้าเมือง มันจะพาไปพบเจ้าท่า” ขุนวิจิตร

เอ่ยเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน

“บอกมันไปว่า เราเจอพายุหลงเข้ามา เรามาอย่างมิตร ยินดีไปพบ

เจ้าท่า ให้นำไปเลย” ขุนแสนบอกขุนวิจิตรแล้วหันมาถามเหลียง “ตัวเมือง

คงอยู่อีกไม่ไกลใช่ไหม”

“ไม่ไกล ตรงภูเขาที่เห็นลิบๆ โน่น” เหลียงผู้เคยมาค้าขายที่มะละกา

จำได้ “ทำถูกแล้วที่ยอมมัน ขัดขืนไปก็ตายเปล่า เราไม่มีทางเลือก”

“อาเหลียง คิดว่ามันจะฆ่าพวกเราหรือไม่” ลูกเรือคนหนึ่งมีสีหน้า

กังวล

“ยากที่จะรู้” เหลียงอึกอัก ตระหนักดีถึงสิ่งที่ลูกเรือพูด

“เจ้ากับเหลียงเคยมามะละกาหลายหน พอจะรู้จักขุนนางที่นี่บ้างหรือ

 

                (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024