31 APRIL เทรักมัดใจ ปิ๊งนายตัวดี

31 APRIL เทรักมัดใจ ปิ๊งนายตัวดี

2 รีวิว  2 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160608065
ผู้แต่ง: Mina
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 149.00 บาท 37.25 บาท
ประหยัด: 111.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

 

“พวกเรา...”

“...”

“ฉลอง!!”

“เฮ้!!”

เสียงเฮของเพื่อนๆ ในห้องเรียนไม่ได้ส่งผลต่อปฏิกิริยาของฉัน หรือกระทบโสตประสาทของฉันแม้แต่นิด ฉันเก็บของใส่กระเป๋าตัวเองก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทั้งๆ ที่เสียงตะโกนเรียกรวมตัวของเหล่าบรรดาเพื่อนร่วมห้องยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง

“สอบเสร็จแล้วโว้ย!” เสียงเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น

วันนี้เป็นวันสอบปลายภาควันสุดท้ายของเด็กชั้น ม.6 อย่างพวกฉัน แน่นอนว่าทุกคนดีใจมาก เพราะหลังจากวันนี้ไป ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกซะเมื่อไหร่...วันปัจฉิมนิเทศยังมีนี่

“เอพริล เธอจะกลับแล้วเหรอ” ฉันชะงักแล้วหันไปมองใบไหม บุคคลที่ฉัน (ค่อนข้าง) สนิทที่สุดในห้องนี้

“อื้อ คงกลับเลยล่ะ”

“ไม่ไปกินอะไรกับเพื่อนๆ ก่อนเหรอเอพริล” เพื่อนอีกคนถามฉัน

“ไม่ดีกว่า กินเผื่อฉันด้วยแล้วกัน” ฉันยกกระเป๋าที่ถืออยู่ขึ้นสะพายไหล่แล้วยิ้มบางๆ โดยไม่ลืมที่จะแกล้งทำเป็นนิ่งเฉย ไม่รับรู้ถึงสถานการณ์รอบข้างในระหว่างที่เดินออกมาจากห้องเรียน

ท่าทางซุบซิบของใครหลายคนในห้องชนิดที่ว่าไม่เกรงใจเจ้าตัว ทำเอาฉันเบื่อหน่ายวันละหลายรอบ ก็เพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่อยากจะไปด้วย สอบเสร็จแล้วก็ดี อยู่ในที่แบบนี้ฉันเองก็เหนื่อยเต็มทน!

ฉันชื่อเอพริลค่ะ เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แต่เนื่องจากพ่อของฉันต้องมาดูแลธุรกิจโรงแรมในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ ครอบครัวของเราเลยต้องย้ายตามมาอยู่ที่นี่กันหมด ซึ่งช่วงนั้นฉันเพิ่งขึ้น ม.ต้น แรกๆ อะไรก็ดีอยู่หรอก ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อยะหยา เราสนิทกันมากๆ เลยล่ะ แต่ยะหยาเพิ่งจะย้ายไปกรุงเทพฯ อย่างกะทันหันเมื่อตอนเปิดเทอมชั้น ม.6 เพราะปัญหาภายในครอบครัวของยัยนั่น

และพอไม่มียะหยา...ชีวิตฉันก็ดิ่งลงสู่นรกอเวจีขั้นสูงสุด

ถ้าให้พูดกันตรงๆ ฉันพอจะรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ทำตัวไม่น่าคบ ฉันไม่เคยเข้าหาใครก่อน ไม่ใช่เพราะฉันหยิ่ง แต่ฉันเข้าหาใครไม่เป็นจริงๆ ฉันไม่ค่อยยิ้มให้ใครถ้าไม่รู้จักกัน ฉันชอบพูดจาห้วนๆ เหมือนไม่ตั้งใจจนดูเหมือนฉันไม่เต็มใจจะพูดด้วย ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากจะพูดกับฉัน แต่ที่สำคัญคือ...ฉันไม่แคร์อยู่แล้วว่าใครจะมองฉันแบบไหน เพราะฉันสนแค่คนที่รู้ดีว่าฉันเป็นยังไง

ใครๆ ต่างก็พากันไม่ชอบฉัน เหตุผลเพียงเพราะ...ฉันไม่เป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่นก่อน แถมยังหาว่าฉันรวยแล้วหยิ่ง สวยแล้วหยิ่ง ทำเป็นถือตัว

แบบนี้ไงล่ะ...การที่ยะหยาย้ายออกไปทำให้ฉันขาดเพื่อนสนิทจริงๆ ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะยะหยาเป็นคนเดียวที่เข้าใจฉันและกล้าเข้าหาฉันตั้งแต่แรก

แต่ก็ช่างเถอะ...ทนมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว จะมาบ่นอะไรเอาตอนนี้กัน

อีกไม่นานฉันก็จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีอะไรต้องแคร์แล้วล่ะ

ฉันยืนรอคนขับรถที่หน้าโรงเรียน และเมื่อรถมาจอดประชิดตัว ฉันก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถทันที

“แวะไหนก่อนมั้ยครับ”

“ไม่ค่ะ”

“กลับบ้านเลยนะครับ”

“ค่ะ”

ฉันละสายตาจากคุณลุงคนขับที่มองฉันผ่านกระจกมองหลัง แล้วก้มลงสนใจโทรศัพท์มือถือของตนเองพลางมองวันที่ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

 

‘12/02/20xx’

 

อีกสองวันจะถึงวาเลนไทน์แล้วสินะ

ฉันหัวเราะฝืดในลำคอเบาๆ แล้วเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากระโปรงตามเดิม น่าแปลก...แค่คิดว่าวาเลนไทน์ปีนี้ฉันจะต้องอยู่คนเดียว ความรู้สึกแย่ๆ ก็ถาโถมเข้ามาไม่หยุด

วาเลนไทน์ปีที่แล้ว...ฉันยังมีเขาอยู่ข้างๆ

ฉันเอนตัวพิงพนักแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดูรูปของใครบางคนที่ถ่ายคู่กับฉัน ฉันเก็บมันเอาไว้เสมอในกระเป๋าสตางค์ที่กำลังโชว์หราอยู่ตรงหน้า...

ผมสีดำสนิทที่ถูกตัดและเซ็ตให้เข้าทรงรับกันดีกับคิ้วเข้มๆ บวกกับจมูกโด่งเป็นสัน ทำให้ใบหน้าของเขาดูคมคาย นัยน์คาคมสีดำสนิทที่ฉันหลงใหลทุกครั้งที่ได้มอง ทุกอย่างที่เป็นเขาทำให้ฉันหลงใหลได้เสมอ

ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แค่ฉันหรอก ผู้หญิงเกือบค่อนโรงเรียนเลยต่างหาก

นี่คงจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ใครๆ ต่างก็พากันไม่ชอบฉัน อาจจะเป็นเพราะฉันได้เป็นคนรักของผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งโรงเรียนต่างพากันชอบ...ผู้หญิงเย็นชาแบบฉันกลับเป็นที่สนใจของผู้ชายคนนั้นไปซะได้

แต่ฉันไม่เคยสนไม่ว่าใครจะเกลียดฉันขนาดไหน เพราะความสุขของฉันคือการที่มีเขาอยู่ข้างๆ

เขา...ที่เคยอยู่ข้างๆ ฉันมาตลอด

เคย ‘ฮะๆ’ พูดถึงคำนี้แล้วรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูกเลย

คำว่า ‘เคย’ ของฉันไม่ได้หมายความว่าเราเลิกกันเลยด้วยซ้ำ เราสองคนยังไม่ได้เลิกกัน และก็คงจะไม่มีทางเลิก เพราะเราไม่เคยทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว ฉันกล้าพูดได้ว่าเขาเป็นแฟนที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา

แต่แล้ววันหนึ่ง...เขาก็หายไป

ฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหน เกิดอะไรขึ้นกับเขา และฉันก็โทรติดต่อเขาไม่ได้ ถามเพื่อนเขาก็ไม่มีใครรู้ จะให้โทรติดต่อครอบครัวเขาฉันก็ไม่มีเบอร์ แม้ว่าฉันจะเคยไปบ้านเขาก็เถอะ แต่ฉันไม่เคยเจอครอบครัวเขาเลย ฉันรู้จากเขาแค่ว่าเขาอาศัยอยู่กับแม่ และแม่เขาก็งานยุ่งเสมอ

หลังจากที่เขาไม่มาโรงเรียนหลายวัน ฉันเลยตัดสินใจไปหาเขาที่บ้าน แต่พอฉันได้ไปที่นั่น ก็พบว่าไม่มีใครอยู่แล้ว...

ฉันพยายามแล้วนะ พยายามมากแล้วจริงๆ ที่จะตามหาเขา แต่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง ฉันเอาแต่สนใจเรื่องที่จะตามหาเขาจนพ่อกับแม่ต้องขอร้องและบอกฉันว่าให้ถอดใจ...

ฉันถอนหายใจออกมาพร้อมกับปิดกระเป๋าสตางค์

...นายอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้างนะ

ฉันคิดถึงนาย...คิดถึงมากจริงๆ

 

1

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

“คุณหนูคะ โทรศัพท์ค่ะ!” ฉันเปิดประตูห้องน้ำพลางเอาผ้าขนหนูเช็ดตัวเองเบาๆ แล้วเดินไปที่ประตูห้องอย่างไม่สบอารมณ์นัก

มันจะอะไรนักหนานะ ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันอาบน้ำอยู่ โทรศัพท์มือถือก็ร้องลั่นไม่หยุดตั้งหลายรอบ จะให้ฉันวิ่งแก้ผ้าออกจากห้องน้ำรับหรือไงกัน

“ว่าไงคะ”

“โทรศัพท์ค่ะ” คุณป้าแม่บ้านส่งรอยยิ้มเป็นเชิงขอโทษให้กับฉัน คงจะเห็นว่าฉันดูไม่ค่อยจะพอใจนัก ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเหวี่ยงท่านนะ ให้ตายเถอะ

“ขอบคุณค่ะ” เมื่อคุณป้าแม่บ้านส่งโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายมาให้ฉันแล้วท่านก็ขอตัวในทันที ฉันปิดประตูลงพลางมองโทรศัพท์ในมืออย่างงุนงงแล้วเดินมานั่งเช็ดหัวตัวเองต่อที่เตียง ร้อยวันพันปีไม่เคยมีเพื่อนคนไหนโทรเข้าเบอร์บ้านฉันเลยด้วยซ้ำ

“ฮัลโหล”

(ฮัลโหล เอพริลลล)

“ยะ...หยาเหรอ” ฉันถึงกับเบิกตาโตเมื่อรู้ว่าปลายสายคือใคร นี่มันเสียงยะหยานี่นา! วันนี้ฉันเพิ่งจะคิดถึงยัยนี่ไปเองนะ

(ถูกต้อง! คิดถึงแกมากเลยอ่ะ ฮืออ)

“คิดถึงแกมากเหมือนกัน” ฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อรู้ว่ายะหยายังไม่ลืมฉัน

คนที่ฉันจะให้ความสำคัญและใส่ใจในชีวิตของฉันนอกจากครอบครัวแล้ว มันจะมีอีกสักกี่คนกันล่ะ

(โทรเข้ามือถือตั้งหลายรอบ ไม่รู้จักรับ”

“แกเองเหรอที่โทรจิกฉัน ฉันอาบน้ำอยู่เมื่อกี้”

(ก็ใช่น่ะสิ!)

“คิดถึงฉันเว่อร์ไปนะ” ฉันพูดติดตลก รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยพอได้คุยกับยัยนี่

(เอ่อ...คือ ไอ้คิดถึงมันก็ใช่อยู่หรอกนะ แต่ที่ฉันโทรมาเพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกแกมากกว่า)

“หืม?”

(คืองี้แก...เมื่อวันก่อนฉันไปนั่งเล่นร้านกาแฟแถวบ้านเพื่อนฉัน) ยะหยาเงียบไปครู่หนึ่ง จนฉันต้องเอ่ยปากถามในที่สุด

“แล้ว?”

(ฉันเจอ...) ยะหยาลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงอิดออด

“เจออะไร”

(ฉันเจอชินของแก)

ฟึ่บ!

ผ้าขนหนูที่ฉันใช้เช็ดผมอยู่หล่นลงกับพื้นในทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ยะหยาพูด ฉันอยากจะพูดอะไรกับยะหยาต่อ แต่ก็ยากเกินกว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้จนฉันต้องตั้งสติตัวเองอีกครั้ง

“กะ...แกว่าไงนะ!”

(ฉันเจอชิน แฟนแกน่ะเอพริล) คำพูดย้ำของยะหยาทำให้ฉันแน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิดไป

หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นมาในทันที ความรู้สึกบางอย่างพลุ่งพล่านจนทำให้ฉันนั่งไม่ติดที่ อะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอจนทำให้ฉันพูดไม่ออกอีกครั้ง และสุดท้าย...น้ำตาของฉันก็รื้นขึ้นมาจนได้

“กะ...แกพูดจริงเหรอหยา”

(อย่าทำเสียงสั่นแบบนั้นสิ ฉันใจไม่ดีนะ)

“แกพูดจริงใช่มั้ยหยา หยา...แกเจอเขาจริงๆ เหรอ” น้ำตาไหลลงมาในที่สุด ฉันปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อไป

(ถ้าชินไม่มีแฝด ฉันมั่นใจว่าใช่)

“เขา...เขาอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหาเขา”

(เดี๋ยวแก! เอ่อ...คือว่า...) น้ำเสียงอึกอักของยะหยายิ่งทำเอาฉันร้อนรนขึ้นมาอีกเท่าตัว

“แกจะพูดอะไรก็พูดเลยได้มั้ยหยา”

(รู้แล้วๆ ใจเย็นๆ สิ)

“...”

(ฉันจะบอกแกว่า...เหมือนชินจะมีแฟนใหม่แล้วนะ)

 

14/02/20XX

@ สนามบินสุวรรณภูมิ

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าของผู้คนที่ย่ำเดินกันอย่างขวักไขว่ภายในที่แห่งนี้ยิ่งทำให้ฉันไม่สบอารมณ์มากขึ้นกว่าเดิม ฉันเดินลากกระเป๋าตัวเองออกมาพลางมองหาบุคคลที่อยากเจอมากที่สุดในตอนนี้

“เอพริล!” ฉันหันหลังกลับไปตามเสียงเรียกของใครบางคน ก่อนจะพบว่ายะหยากำลังโบกมือให้ฉันพลางเดินเข้ามาหา ยัยนั่นยิ้มให้ฉันอย่างดีใจ

“...”

“ดีใจจังที่เจอแก คิดถึงมากเลย” ยะหยาเอื้อมมือมาทาบแก้มทั้งสองข้างของฉันพลางจับส่ายหน้าไปมาอย่างที่ชอบทำแต่ก่อน

“เหมือนกัน”

“เอพริล...ตาแกบวมจัง”

“...” ฉันหลบสายตาของยะหยาก่อนจะได้ยินเสียงยัยนั่นถอนหายใจออกมา

“พอรู้เรื่อง แกคงนอนร้องไห้วันละหลายรอบเลยสินะ”

“...”

“ไว้ค่อยคุยกันต่อไป ไปกันเถอะ มา...เดี๋ยวฉันช่วยถือ” ยะหยาเอื้อมมือมาดึงกระเป๋าถืออีกใบของฉัน ก่อนที่ยัยนั่นจะจูงมือฉันเดินไปเงียบๆ

ยะหยาขัรถมาส่งฉันที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งซึ่งฉันขอร้องให้ยัยนั่นช่วยจัดการหาให้ภายในเวลารวดเร็วที่สุด ดูเหมือนว่าห้องที่ฉันไปอยู่จะฝึกงานที่ต่างจังหวัดพอดี ยะหยาเลยขอเช่าให้ฉันอยู่

“แกปุบปับมากเลยนะเอพริล บทจะขึ้นมากรุงเทพฯ ก็มาเฉยเลย” ยะหยาพูดขึ้นขณะที่ช่วยฉันขนของเข้ามาในห้อง “พ่อกับแม่แกไม่ว่าเอาเหรอ”

“ไม่หรอก ฉันเรียนจบแล้วนี่”

“แต่แกจะมาอยู่เป็นเดือนๆ เนี่ยนะ พวกท่านไม่สงสัยตายรึไง”

“ฉันบอกพ่อกับแม่ไปแล้วว่าจะมาเรียนภาษาญี่ปุ่น”

ยะหยาหันมามองฉันอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่ยัยนั่นจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา

“ภาษาญี่ปุ่น? ฉันก็เข้าใจนะว่าเราเรียนศิลป์-ญี่ปุ่นกันมา แต่ไหนแกบอกจบ ม.หก แล้วชาตินี้ขออย่าได้เจอมันอีกเลยไง อ๋อ หรือแกแค่หาข้ออ้างมาที่นี่”

“เปล่า ฉันตั้งใจมาเรียนเพิ่มเติม เพราะฉันอยากไปที่นั่น”

“ไปเที่ยวเหรอ”

“ฉันจะไปเรียน”

“ไปเรียน!” ยะหยาเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรงในทันที ส่วนฉันนั่งลงบนเตียงแล้วพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร “ล้อเล่นรึเปล่า แกจะไปเรียนนานแค่ไหนเนี่ย”

“ไม่รู้สิ ฉันทำเรื่องไปเรียนมหา’ลัยที่นั่นตอนกลางปีนี้ล่ะ”

“...”

“ฉันต้องไปเรียนภาษาที่นั่นก่อนปีนึงถึงจะเข้าเรียนมหา’ลัยได้จริงๆ”

“งั้น...แกก็ไปนานเลยสิ” สีหน้าของยะหยาอึ้งไปราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด

“อื้อ ก็คงจะแบบนั้นล่ะ”

“T^T”

“ฉันถึงได้รีบขึ้นมาที่นี่ก่อนจะไม่มีเวลาทำอะไร”

“...”ยะหยาเงียบไปเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉันพูด ฉันเบือนสายตาหนียัยนั่น ก่อนจะเอนตัวลงนอนด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะบรรยายในตอนนี้

ฉันมากรุงเทพฯ ก็เพราะเขาคนนั้น...ผู้ชายที่ฉันเฝ้าตามหามาตลอด หนึ่งปีที่ผ่านมาและหวังว่าจะได้เจอเขาอีก

สองวันที่ผ่านมาฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ และฉันก็นอนร้องไห้ทุกคืน...

ในขณะที่ฉันยังคงคิดถึงเขาและเฝ้ารอเขา เขากลับ...มีคนอื่นไปแล้ว

เขามีอิทธิพลต่อฉันทุกๆ เรื่อง ก่อนหน้านี้ที่ฉันตัดสินใจไปเรียนต่อญี่ปุ่นก็เพราะคิดว่าคงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว ฉันถึงอยากจะหนีความทรมานแบบซ้ำๆ ไปซะ

ฉันดีใจมาก...มากจริงๆ ที่รู้ว่าเขายังสบายดี แต่ก็เสียใจมากเช่นกัน

“แกคิดจะทำอะไรต่อเหรอเอพริล ฉันถามจริงๆ นะ”

“ฉันทำอะไรมากไม่ได้หรอก” ฉันตอบพลางเหลือบมองยะหยาเพียงแค่เล็กน้อย ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาอย่างเวทนาตัวเอง

“...”

“เขาอาจจะลืมฉันไปจากชีวิตแล้วก็ได้มั้ง”

“มะ...ไม่หรอกมั้ง แกก็”

“ฉันไม่ได้ต้องการแย่งเขากลับมาจากใคร ฉันแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา”

“...”

“ฉันแค่อยากรู้ว่าช่วงที่เขาหายไป เขาไปทำอะไรมา แล้วทำไมเขาถึงไม่ติดต่อฉันเลย”

“...”

“และฉันก็อยากรู้ว่าการที่เขาหมดรักฉันแล้ว เขาไม่คิดจะบอกฉันสักหน่อยเหรอ”

“เอพริล” ยะหยาเดินเข้ามาหาฉันแล้วนั่งลงบนเตียงข้างๆ กัน “แกอย่าพูดแบบนี้สิ ฉันเศร้าแทนนะ”

“...”

“แล้วแกจะทำยังไงล่ะ”

“ฉันไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากเขา แต่สิ่งที่ฉันต้องการคือความจริงใจจากเขาต่างหาก” ฉันพอจะรู้ว่าถ้าฉันไปแสดงตัวให้เขาเห็นเฉยๆ เขาคงจะไม่ทำอะไรนอกจากพูดพร่ำขอโทษฉัน

สิ่งที่ฉันต้องการมากกว่านั้นคือความจริงใจจากเขา...

“แกคิดจะทำอะไรกันแน่เอพริล”

“ฉันจะแกล้งทำเป็นจำเขาไม่ได้”

“OoO” ยะหยามองฉันตาโตในทันที ฉันลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันไปหยิบของออกจากกระเป๋าโดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก

ความจริงใจ...มันไม่ได้ได้มาง่ายๆ หรอกนะ

ต่อให้ฉันไปหาเขาตรงๆ แล้วขอร้องให้เขาพูดความจริงให้ฟัง อะไรๆ มันก็สร้างขึ้นได้ทั้งนั้น...

แต่ถ้าหากฉันลองไปให้เขาเจอโดยที่แกล้งทำเป็นจำเขาไม่ได้ ทำเหมือนคนไม่รู้จักเขา ฉันอยากจะรู้ว่าเขาจะทำยังไงกับฉัน

จะเมินเฉย ไม่พูดอะไรให้ฉันฟังสักอย่าง หรือจะยอมพูดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรากันนะ...

 

ฉันแหงนมองนาฬิกาที่ผนังก่อนจะลอบหายใจออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย แค่เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ทำไมมันถึงได้ใช้เวลานานขนาดนี้ก็ไม่รู้ ยะหยาก็กลับไปแล้วด้วย แต่ยัยนั่นบอกว่าจะมารับฉันออกไปทานข้าวตอนค่ำๆ

ฉันลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง ไหนๆ ก็จะมาอยู่เป็นเดือนๆ แล้ว ขอออกไปสำรวจอพาร์ตเมนต์นี้หน่อยก็แล้วกัน

ตอนขึ้นลิฟต์มาบนห้อง ฉันไม่ทันได้มองด้วยซ้ำว่าตัวเองพักอยู่ชั้นอะไรเพราะมัวแต่คุยกับยะหยา รู้แค่ว่าห้องของฉันอยู่ห่างจากลิฟต์ไม่มากเท่านั้นเอง ฉันปิดประตูห้องลงโดยไม่ได้ล็อกแล้วยืนมองเลขที่ถูกสลักไว้บนประตูห้องตัวเอง

 

‘503’

 

ชั้นห้าสินะ ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องใช้เวลาขึ้นลิฟต์นานๆ

ติ๊ง!

เสียงลิฟต์มาหยุดอยู่ที่ชั้นห้า ทำให้ฉันหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกในที่สุด และใครคนหนึ่งก็เดินออกมาจากลิฟต์ตัวนั้น

“O.O!”

“O.O”

“...” ฉันยืนแน่นิ่งอยู่กับที่ทันทีเมื่อคนที่ก้มหน้าก้มตาเก็บของใส่กระเป๋าพร้อมกับเดินออกมาจากลิฟต์เงยหน้าขึ้นมาสบตากันฉันเข้าอย่างจัง!

ราวกับโลกหยุดหมุน...นัยน์ตาคมที่กำลังเบิกกว้างและจ้องมองมาทางฉันอย่างตกใจทำเอาฉันแทบหายใจไม่ออก เขาเดินมาทางนี้ช้าๆ ราวกับว่าตนเองไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้า และสุดท้าย...เขาก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าฉัน

เป็นเขา...เป็นเขาจริงๆ ด้วย...ชิน!

...เขามาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว!

ฉันสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้พลางลอบมองเขาโดยแสร้งทำเหมือนไม่เป็นอะไร ผมที่เคยสีดำสนิทของเขากลับกลายเป็นสีแดงเพลิงโดดเด่นสะดุดตา และนั่นไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเขาดูดีน้อยลงแม้แต่นิด

...เขายังดูดีเหมือนเดิม และเขาก็ยังดูสบายดี ‘มากๆ’ อีกต่างหาก

“อะ...เอพริล”

“...”

“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” น้ำเสียงแผ่วเบาของเขาที่ถามฉันด้วยความไม่มั่นใจ กับท่าทีของเขาที่ดูไม่ได้จะดีใจแม้แต่นิดที่เราได้เจอกัน ยิ่งทำให้ฉันอยากจะแสดงตัวออกมาในตอนนี้

ฉันตั้งสติให้ตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุด

“คะ?”

“...”

“เรา...รู้จักกันด้วยเหรอ” ฉันแสร้งขมวดคิ้วแล้วจ้องมองเขา ทั้งๆ ที่เราอยากจะกอดเขาแทบตาย ชินยิ่งดูตกใจเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน

“เอ่อ...คุณไม่ได้ชื่อเอพริลเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ฉันชื่อเอพริลค่ะ”

“...”

“เผอิญฉันเพิ่งขึ้นจากใต้เพื่อมาหาเพื่อนที่นี่”

“...”

“แต่เกิดเรื่องกับฉันนิดหน่อย ฉันเลยความจำเสื่อม จำใครไม่ได้ ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าฉันมีคนรู้จักอยู่ที่นี่นอกจากเพื่อนฉัน”

“O.O” เขามองฉันราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“คุณเป็นใครเหรอคะ” ชินชะงักไป เขาหลุบสายตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันอีกครั้ง

ยิ่งมองหน้าเขา...ฉันก็ยิ่งอยากจะร้องไห้

“ฉันชินไง” สุดท้ายเขาก็พูดออกมา ชินยิ้มไม่เต็มที่นัก

“แล้วเรา...?”

“เราเป็นเพื่อนกันไง เธอเป็นเพื่อนที่โรงเรียนเก่าฉัน”

“...”

“เราเรียนห้องข้างกัน ประมาณนั้นล่ะ” คำตอบของชินราวกับมีดกรีดหัวใจฉัน ยิ่เงห็นรอยยิ้มของเขายิ่งทำให้ฉันอยากจะบ้าตายให้ได้ ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากพลางกำมือตัวเองแน่น

“เพื่อน...เหรอ”

“...อื้อ”

“เข้าใจแล้ว...ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ”

“อ่าฮะ” ฉันยกมือบ๊ายบายเขาลวกๆ แล้วเตรียมจะเปิดประตูกลับเข้าห้อง

ให้ฉันยืนอยู่ตรงหน้าเขาต่อไปแบบนี้...ฉันจะทนได้ยังไงกัน

“เดี๋ยวๆ เอพริล” ฉันชะงักไปในทันที แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองเขาแบบเต็มตา “เธออยู่ห้องนี้เหรอ”

“อื้อ”

“อ้อ ฉันอยู่ถัดจากเธอไปสองห้อง มีอะไรก็ไปเรียกฉันได้นะ”

“...” ฉันพยักหน้าลงแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเอง ก่อนจะปิดมันลงในทันที

ความรู้สึกของฉันหนักอึ้งเกินกว่าจะทำอะไรต่อได้ ฉันเอามืดปิดปากตัวเองไว้แน่นก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาในที่สุด...

พระเจ้าคงจะใจดีที่ปล่อยให้ฉันได้มาเจอเขารวดเร็วขนาดนี้...

แต่ท่านก็ใจร้ายเกินไปที่ทำให้ฉันเห็นว่าเขาไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยจริงๆ

มันไม่ยุติธรรมเลย...ไม่เลยสักนิด

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

มันไม่ง่ายเลยนะที่จะลืมคนรักได้ลง T^T และนี่คงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ฉันตัดสินใจเข้ามาตามหา ‘ชิน’ในกรุงเทพฯ หลังจากที่ได้เบาะแสจากเพื่อนสนิทว่าเจอเขาที่นี่ และคงไม่มีอะไรน่าเหลือเชื่อมากไปกว่าการที่ฉันได้เจอกับเขาเข้าจังๆ ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้าที่พัก แต่ฉันกลับต้องพบกับความผิดหวังและท้อใจเหลือเกิน TOT เมื่อเขาแสดงทีท่าเหมือนว่าเราไม่เคยเป็นคนรักกัน แถมยังทักฉันในทำนองว่าเราเป็นแค่เพื่อนต่างห้องกันอีกต่างหาก >_<
 
และดูเหมือนจะมีเรื่องราวมาทำให้ยิ่งยุ่งยากใจไปกันใหญ่ เมื่อฉันได้พบกับ ‘เรย์’ที่อยู่ๆ ก็มาแสดงตัวว่าเป็นคนรักของฉัน -*- แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ฉันไม่เคยรู้จักกับเขาซะหน่อย ฉันเคยมีแฟนมาแค่คนเดียว ซึ่งก็คือชิน ไม่ใช่เรย์ นี่พวกเขาสองคนกำลังเล่นตลกอะไรกับฉันอยู่!>///< ในขณะที่ฝ่ายแรกทำเป็นเหมือนจำฉันไม่ได้ ฝ่ายหลังก็ทำเป็นรักฉันสุดใจขนาดนั้น คงมีเพียงโค้ดลับ ‘31 APRIL’ นี่แหละที่จะช่วยทำให้ความจริงปรากฏ!

รีวิว (2)

เขียนรีวิว

ภัทราพร | 2 รีวิว
25/07/2014

31 APRIL เทรักมัดใจ ปิ๊งนายตัวดี โดยส่วนตัวไม่ค่อยได้อ่านนิยายของนักเขียนท่านนี้จริงๆจังๆเลยค่ะแต่ไปเจอเล่มนี้มาแล้วเห็นน่าปกน่ารักดีแล้วเนื้อเรื่องหลังปกก็น่าสนใจมากๆเลยก็เลยตัดสินใจซื้อเล่มนี้มาอ่านอ่านแล้วชอบมากๆค่ะเป็นเรื่องที่มีพล็อตน่ารักและโรแมนติกมากๆอ่านตอนแรกสงสารนางเอกแล้วก็สงสัยด้วยว่าสรุปใครเป็นพระเอกเพราะมีผู้ชายโผล่มาถึงสองคนคนนึงจำนางเอกไม่ได้เลยแต่อีกคนนึงมาบอกว่าเป็นคนรักของนางเอกซึ่งดันเป็นคนที่นางเอกจำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลยอ่านตอนแรกนี่งงมากค่ะวางไม่ลงเลยเพราะอยากรู้มากว่าสรุปให้เป็นพระเอกอะไรยังไงช่วงแรกๆนี่นางเอกแอบน่าสงสารนะเพราะเธอท้อมากอ่ะเหมือนสับสนในตัวเองอ่านตอนแรกเลยคือเราเข้าใจว่าฝ่ายพระเอกอ่ะความจำเสื่อมหรือไม่ก็สลับร่างกันเหมือนเรื่องอื่นๆตอนแรกเข้าใจว่าอย่างงี้เลยตลกมาอ่ะเพราะเคยอ่านนิยายทำนองนี้มาว่าพระเอกสลับร่างกันปรากฏว่าอีกคนนึงที่นางเอกไม่รู้จักกับมาบอกว่าเป้นคนรักนางเอกอะไรประมาณนี้แต่พออ่านบทสรุปของเรื่องนี้คือเดาผิดไปหมดสรุกว่าที่ผ่านมาเราตามเนื้อเรื่องไม่ทันและก็เดาตอนจบและฉากต่อๆไปไม่ออกชอบมากอ่ะเป็นนิยายที่ทั้งซึ้งและก็เศร้าตอนแรกอ่านแล้วสงสารนางเอกนะอ่านไปอ่านมาสงสารพระเอกและเพราะพระเอกไม่ได้ผิดอะไรเลยแต่ต้องมาโดนนางเอกไล่หาว่าเป็นคนอื่นอะไรประมาณนี้ถ้าเป้นเรื่องจริงคงร้องไห้ขี้มูกโป่งไปและสรุปว่าคุณนางเอกเธอความจำเสื่อมเองซะงั้นอืมเข้าใจและก็เราอ่านโดยมีนางเอกเป็นคนดำเนินเรื่องนางเอกมันจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามันความจำเสื่อมเพราะไม่มีใครบอกจนตอนใกล้จบเนี่ยล่ะปมเรื่องนี้สุดยอดมากกว่าจะเฉลยเล่นเอางงเป็นไก่ตาแตกแต่ชอบอ่ะเป็นเรื่องที่เราคิดว่าพล็อตมันซึ้งอ่ะเป็นเรื่องราวความรักที่บ่งบอกมุมมองได้แตกต่างออกไปรู้สึกชอบจังอยากอ่านอะไรแบบนี้อีกพลิกปมแบบเอาให้งงเป็นไก่ตาแตกเดาเนื้อหาไม่ได้เลยแบบนี้อีกรู้สึกชอบอ่ะไม่เสียดายเงินเลยแต่เสียดายอยู่อย่างตรงที่เนื้อเรื่องน่าจะยาวกว่านี้เนอะเล่มบางมากอ่ะอ่านแปปเดียวจบแล้วยังอยากฟินกว่านี้อีกหลงรักเลยอ่ะสงสารเรย์และสรุปว่าพระเอกไม่ผิดแต่มันเป้นความเข้าใจผิดของนางเอกเองเนื้อหาประทับใจจังสรุปว่าก็จบแบบแฮ็ปปี้แต่กว่าจะมีความสุขกันได้คนอ่านก็นั่งตัวเกร็งไปเลยคาแร็กเตอร์พระเอกเรื่องนี้น่ารักมากนางเอกก็โอเคนะแต่เราชอบพระเอกมากกว่านึกถึงว่าถ้าเป็นตัวเองอ่ะพระเอกน่าสงสารกว่านางเอกเยอะเพราะต้องรับภาระทุกอย่างแต่นางเอกกลับจำตัวเองไม่ได้แอบสงสารชินเบาๆ
มัตติกา | 2 รีวิว
05/12/2013

เรย์ชายหนุ่มหล่อเรียนเก่งนิสัยดีอ่อนโยนรักแฟนคนเดียว เอพริลหญิงสาวดูดีคุณหนูชอบปิดบังความรู้สึกของตัวเอง ชินหนุ่มหล่อเข้าใจยากเดาไม่ได้ความรู้สึกแล้วแต่อารมณ์ เรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นกับทั้งสามคนก็เป็นแบบว่าเอพริลซึ่งเรียนจบชั้นม.ปลายแต่แล้วก็มีเรื่องให้ต้องปวดหัวคิดเรื่องมากมายก็เมื่อเธอขึ้นมากรุงเทพฯเพื่อที่จะมาตามหาใครบางคนนั้นคือชินคนที่เธอรักมากแต่พอมาเจอเขาแต่เธอต้องกลับรู้สึกผิดหวังเมื่อคนที่เธอตามหามานานแสนนานกลับทำเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาและเธอไม่ได้ว่าที่เขาและเธอเคยเป็นแฟนกันมาก่อนแต่มีใครคนหนึ่งซึ่งเธอซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อนเป็นการส่วนตัวแต่เขาคนนั้นกลับจำเรื่องราวของเธอได้ดีแถมยังรู้เรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับเธอได้เกือบทั้งหมดแล้วมันเรื่องอะไรกันนี้เรื่องราวมันช่างวุ่นวายยิ่งนักเมื่อเอพริลก็ทำเป็นความจำเสื่อมว่าเธอจำชินไม่ได้แต่อีกคนที่จำเรื่องของเอพริลได้ทั้งหมดได้มาบอกว่าเธอกับเขาเป็นแฟนกันเอพริลไม่อยากจะเชื่อก็เพราะว่าเธอไม่ได้รู้จักเรย์เป็นการส่วนตัวและก็เพิ่งมารู้ตอนที่เขามาแสดงตัวว่าเป็นแฟนกับเธอนั้นเองตลอดเวลาที่เอพริลได้อยู่ที่กรุงเทพฯเธอทั้งสับสนกับชีวิตของเธอเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันนะก็เมื่อคนที่เธอมาตามหาและรักมากทำไมเขาเย็นชาและไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธออีกเลยส่วนเรย์ก็เข้ามาในชีวิตเธอทำให้เธอรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้มาทำดีกับเธอขนาดนั้นและทำให้เธอมีความสุขมากจนทำให้ลืมเรื่องชินไปเลยและบางครั้งเอพริลเบื่อและรำคาญเรย์และก็ไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเอพริลจึงไล่และให้เรย์เลิกยุ่งกับเธอสักทีแต่เรย์ก็ไม่ได้ทำตามที่เอพริลบอกเพราะถึงยังไงเขาก็ยังคงรักและรอเอพริลเหมือนเดิม “เรย์บอกอย่างนั้น” เวลาผ่านไปทำให้เอพริลรู้สึกทั้งเหนื่อยและท้อคิดที่จะจบเรื่องนี้สักทีแต่แล้วสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดมันก็เกิดขึ้นกับตัวของเอพริลเมื่อเธอได้รู้ความจริงแล้วว่าเธอความจำเสื่อมจริงๆแต่ช่วงสั้นเท่านั้นแหละทำให้เธอจำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นได้เกือบทั้งหมดแต่มีอยู่เรื่องเดียวที่เธอจำไม่ได้ก็คือเธอจำเรย์แฟนตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวก็เมื่อก่อนปิดเทอมได้ไม่นานเอพริลได้ประสบอุบัติเหตุรถชนจึงทำให้ต้องเสียความทรงจำบางส่วนไป พ่อของเอพริลได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังเมื่อเอพริลได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเอพริลจะกลับไปหาเรย์แต่เขาไม่อยู่ได้เดินทางไปญี่ปุ่นแล้วเอพริลทั้งผิดหวังและเสียใจมากที่เธอต้องเสียคนที่รักเธอมากไปเสียแล้วเวลาผ่านไปนานเกือบสองเดือนเมื่อถึงวันเกิดของเอพริลเธอก็ต้องตกใจและเป็นการเซอร์ไพร์มากเมื่อเรย์ได้ถือเค้กมาหยุดต่อหน้าเธอ “ช่างมีความสุขจริงๆ” เรย์ได้บอกความในใจของเขาที่มีต่อเอพริลทั้งหมดและขอมาเริ่มต้นใหม่กลับมาคบกันใหม่เพราะเขาจะทำให้เธอจำเรื่องราวของเขาให้ได้และเรย์ยังบอกว่าเขาจะรักเอพริลคนเดียวตลอดไป เอพริลได้ยินคำนี้ก็รู้สึกดีใจและพร้อมที่จะกลับมาเริ่มต้นใหม่กับเรย์และเธอยังบอกกับเรย์อีกว่า “ขอเพียงนายอยู่ข้างฉันแบบนี้ตลอดไปก็พอ” ทั้งสองก็ได้ครองรักกันอย่างมีความสุขแม้จะผ่านไปนานแสนนานก็ไม่อาจทำให้ความรักของทั้งคู่น้อยลงไปได้เลย ชอบพระเอกเรื่องนี้สุดๆเลย ปลื้มมากๆเลย

สินค้าที่ใกล้เคียง (70 รายการ)

www.batorastore.com © 2024