ลูกสาวพ่อมด (โสภาค สุวรรณ)

ลูกสาวพ่อมด (โสภาค สุวรรณ)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742533991
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 480.00 บาท 120.00 บาท
ประหยัด: 360.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เสียงลมพัดยอดไม้เบื้องบนไปมา เมื่อครู่ใหญ่ๆ ค่อยกลับกลายเป็นเสียง

ดนตรีจากธรรมชาติเข้าจังหวะกับสรรพสำเนียงจากปีกแมลงสอดแทรกขึ้นมาเป็น

เสียงเพลงสูงๆ ต่ำๆ รัวถี่ แล่นลิ่ว เข้าสู่ประสาทหูที่ลึกที่สุด…จักจั่นนั่นเอง…เขา

จำได้

วิมุตหรี่ตาลงจนเปลือกตาทั้งคู่ปิดสนิทแต่มิได้หลับ…สมองกลับสว่างจ้า

ไม่ต่างจากแสงตะเกียงซึ่งเรื่อเรืองในความมืดมิด อารมณ์ทั้งมวลที่เมื่อครู่ใหญ่ๆ

มานี้ เครียดเคร่งทั้งจากการจราจรและปัญหาชีวิตรอบตัว ค่อยๆ คลี่คลายออก

รับความหฤหรรษ์จากบรรยากาศรอบตัวเต็มที่ ไม่ต่างจากบุปผาสุมาลีคลี่กลีบ

ขยายรับแสงอรุโณทัย

บรรยากาศแสนคุ้นที่เขาเกิดโต ได้รับการอบรมเลี้ยงดูบ่มนิสัยใจคอจาก

แม่ผู้สืบทอดความเป็นชาวสวนจากบรรพบุรุษตั้งแต่ยาย ทวด หลายชั่วอายุคน

เขาขยับกายนิดหนึ่งบนเก้าอี้ผ้าใบเก่าๆ ตัวหนึ่ง ตัวที่พ่อเคยนั่งนอนเล่น

เป็นประจำ จนวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่พ่อจะต้อง ‘กลับบ้าน’…สำนวนของพ่ออีก

เช่นกัน หากเอ่ยถึงวาระการละทิ้งสังขารจากโลกนี้ตามกำหนดเวลา ซึ่งไม่มีใคร

ยื้อยุดหยุดรั้งความตายได้…เก้าอี้ผ้าใบตัวนั้นก็ตกมาเป็นของเขา เฉกเช่นเดียว

กับสวนผลไม้ริมคลองบางกรวย ฝั่งธนบุรี

สวนของแม่ที่ตกทอดมาจากยายกับตาและทวดจนถึงเขา ผู้ยังคงรักษา

มันไว้ได้ ไม่ยอมให้ความโลภ หรือกลิ่นธนบัตรมาทำลายความตั้งใจมั่นเมื่อได้

ลั่นวาจาให้สัญญากับแม่ก่อนตาย

เขาคลี่ยิ้มที่มุมปากอย่างลืมตัว จุดสว่างในสมองยังแจ่มจำรัสแม้บรรยา-

กาศจะอำนวยให้งีบหลับแต่เขาหลับไม่ลง…กระแสความคิดคำนึงยังคงโลดแล่น

อย่างมีอิสระกับบรรยากาศรอบตัว

เขากำลังนึกถึงภาพในอดีตแต่เยาว์วัย ที่คงจะคล้ายภาพวาดมีสีแสงพวยพุ่ง

ไม่อีกทีก็คล้ายงานปั้นจากฝีมือที่มีชื่อเสียง…สามารถจำลองเส้นเอ็นของร่างกาย

มนุษย์ทุกรูปแบบไม่ต่างจากบทกวีหรืองานเขียนบรรยายความรู้สึก รัก โลภ

โกรธ หลง ที่ถูกโยนเข้าไปเผาไหม้ แล้วหล่อหลอมออกมาเป็นอารมณ์หลาก

หลายของผู้คนทั้งชายหญิง

วิมุตมั่นใจ คงจะต้องเป็นแม่นั่นเองผู้หล่อหลอมความละเอียดอ่อนในจิต

วิญญาณของเขาให้สามารถมองเห็นความงามของสรรพสิ่งทั้งหลายอันธรรมชาติ

ได้เสกสรรขึ้นมา

เริ่มจากสวนผลไม้ริมคลองบางกรวย ฝั่งธนบุรีแห่งนี้ ‘ฤดูหนาว ทุเรียน

ออกดอกไงพ่อมด ดอกทุเรียนจะบานเต็มที่ก็ราวๆ สองทุ่ม’ …แม่จะเล่าเรื่องราว

ความเป็นไปของธรรมชาติรอบตัว ในสวนของบรรพบุรุษนั่นแหละ ให้เขาฟัง

ตั้งแต่จำความได้ ฟังภาษาคนรู้เรื่องเลยทีเดียว

แม้แต่ชื่อเล่นของเขาแม่ก็ผสมผเสจากชื่อเล่นของพ่อกับแม่เช่นกัน… ‘พ่อ

ชื่อมดดำ แม่ชื่อแดงน้อย…ลูกชายคนหัวปีคนเดียวของพ่อกับแม่ ชื่อมดแดง

ก็แล้วกันนะลูก’

แม่กับพ่อมีชื่อเป็นทางการกับเขาเหมือนกัน แต่เพื่อนบ้านชาวสวนคุ้น

ปากกับชื่อเล่นจึงมิใช่เรื่องแปลกที่ใครๆ ในละแวกคลองบางกรวยจะไม่รู้จักนาย

วศินและนางทองอุไร หากสนิทชิดเชื้อกับพ่อดำและแม่แดงเหมือนญาติสนิท

‘ในสวนของเรามีต้นงิ้วอยู่สองต้น พ่อมดดูลำต้นของมันซีลูก แสนจะ

อัปลักษณ์น่ากลัวจนขนลุก หนามงิ้วแบบนี้แหละที่ใครก็ตามถ้าทำผิดศีลข้อสาม

กาเม สุมิจฉา…คือประพฤติผิดในกาม แปลให้ละเอียดอีกทีก็คือ ทำร้ายของ

รักของคนอื่น เพราะเห็นแก่ความสุขสำราญเพลิดเพลินของตัวเองโดยไม่คิดถึง

ความเจ็บปวดชอกช้ำของคนอื่น จะด้วยวิธีใดก็ตาม จะแย่งคนรัก สามีภรรยา

เป็นชู้ นอกใจ ไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน ตายแล้วตกนรกต้องปีนต้นงิ้วมีหนามแหลม

มียมบาลคอยทิ่มแทงด้วยหอกดาบ ไม่ให้กลับลงมาทุกวันทุกคืน…’

แม่ชี้ชวนให้เขาพิจารณาลำต้นและหนามแหลมของมันยังให้ข้อคิดติดหู จน

ทุกวันนี้ เมื่อเขาหยิบดอกงิ้วสีแดงเจิดจ้าที่ร่วงลงสู่โคนต้นขึ้นเพ่งพิศในความงาม

อันแรงร้อนอย่างประหลาดของมัน พลางพึมพำให้แม่ได้ยิน

‘หนามงิ้วน่ากลัวจริงๆ อย่างแม่ว่า แต่ดอกงิ้วสวยเหลือเกินนะแม่ ป้า

แดงใหญ่ก็ชอบดอกของมันใช่มั้ยครับแม่ ที่บ้านป้าตำน้ำพริกกะปิหน้าดอกงิ้ว

บานทีไรผมเห็นป้าเอามาต้มจิ้มน้ำพริกเสมอ แกงส้มดอกงิ้วก็เคยทำ’

‘สวยซีลูก ดอกงิ้วบานสะพรั่งช่วงเดือนธันวาคมจนถึงกุมภาพันธ์ ใคร

เห็นก็อดรักมันไม่ได้ สีแดงพึ่บพั่บไปทั้งต้น เพราะมันจะทิ้งใบหมดไงล่ะพ่อมด

…แต่ความสวยงามของดอกงิ้วที่ลูกว่าร้อนแรงน่าประหลาด มันก็เหมือนกับกิเลส

ตัณหาของมนุษย์นั่นแหละลูก แรงร้อนน่ามหัศจรรย์พันลึกชวนให้มนุษย์ลุ่มหลง

ร้อนเร่าจนประพฤติผิดศีลข้อสาม ไม่กลัวบาปกรรม ไม่รู้ผิดชั่ว เพราะสิ่งยั่วยุ

รอบตัวสมัยนี้มีมากมายเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองไปหมด…อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย

พ่อมดเอ๋ย…ลูกจะเติบโตต่อไปเป็นพ่อคนในอนาคต คอยดูไปก็แล้วกันสังคมยุค

ใหม่จะมีคนล่วงละเมิดศีลข้อสามมากขึ้น แม้แต่เด็กหนุ่มเด็กสาวปากยังไม่สิ้น

กลิ่นน้ำนมก็เถอะ’

วิมุตยังคงหลับตานิ่ง ยังมีอีกประโยคหนึ่งของแม่ที่ติดหูและติดใจ…ซาบซึ้ง

ล้ำลึกเป็นนักหนา

แม่กล่าวประโยคนั้น เมื่อเขาบอกข่าวการเป็นย่าของแม่

‘พร้อมแล้วนะพ่อมดพร้อมที่จะมีลูก ดูแลเขาให้สมกับที่ก่อเกิดมาเป็น

มนุษย์ เป็นพยานรักของพ่อกับแม่ อย่าลืม…ลูกไม่ได้ต้องการวัตถุสิ่งของเงิน

ทองที่เราทุ่มเทให้ ลูกต้องการพ่อกับแม่ ถึงไม่มีพ่อก็มีแม่…หรือไม่มีแม่ก็มีพ่อ

…พ่อมดจำได้ใช่มั้ยลูกว่าพ่อดำกับแม่แดงเลี้ยงลูกมาอย่างไร’

ขอบตาทั้งคู่ของเขาเย็นชื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวก็ว่าได้…บางทีแม่อาจจะมอง

เห็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งเขามองไม่เห็นหรือสิ่งเหล่านั้นยังมีม่านหมอกกำบัง…ม่าน

เมฆที่ใครๆ รู้จักดีว่ามันคือความรักแรกเริ่ม

วิมุตทอดถอนใจใหญ่ ประจักษ์แก่ใจตนเองเมื่อวันเวลาผันผ่านไปว่าหญิง

สาวสวยผู้ยอมรับความรัก ร่วมชีวิตคู่จนมีพยานรักด้วยกันถึงสามคน หญิงสอง

ชายหนึ่ง ไม่อาจนิยมยินดีกับอุดมคติการมีชีวิตอย่างสมถะพอเพียง

ภรรยาของเขาคือผลิตผลของครอบครัวยุคใหม่ ยุคของการแข่งขันที่ไม่มี

หรือเกือบจะไม่มีชั่วโมง นาทีให้ได้พบความสุขสงบ อบอุ่น ปลอดภัย…

ตรงข้ามหล่อนกลับถูกคุกคามอยู่รอบตัว จากคู่แข่งในวงการธุรกิจหลาย

ต่อหลายตระกูลอย่างเข้มข้น ธุรกิจของแต่ละค่ายที่ประกอบด้วยบริษัทในเครือ

นับสิบๆ ถึงร้อยบริษัท มีทุนทรัพย์การลงทุนนับหมื่นล้าน แถมมีการผนึกกำลัง

ระหว่างตระกูลและระหว่างผู้ถือหุ้นสำคัญ

ความรักที่ยึดมั่นถือมั่นว่าจะดำรงคงอยู่ชั่วฟ้าดินสลายจนกว่าจะตายจาก

กันสำหรับผู้ไม่มีเวลาใส่ใจกับความรู้สึกและอารมณ์ละเอียดอ่อน ละเมียดละไม

สำหรับผู้หญิงเช่นสุทธินี ภรรยาคู่ชีวิตของเขา…เริ่มส่อเค้าให้เห็นถนัดชัดเจนยิ่ง

ขึ้นทุกทีว่ายากที่จะเกิดขึ้น ดำรงคงอยู่ตลอดไป

เขาเพิ่งจะมองเห็นความจริงและภาพชีวิตครอบครัวของตนเองที่ไม่เคยนึก

ฝันเลยว่าจะได้พานพบ สัมผัสมาก่อนในชีวิต…

ไม่มีเวลา วันว่าง โมงยามที่ควรจะปรับความเข้าใจ ความต้องการของ

กันและกัน เขากับหล่อนต่างอยู่ร่วมบ้านร่วมห้องร่วมเตียงเดียวกันก็จริง แต่

ระยะทางการสื่อสารความสัมพันธ์เกือบจะกว้างไกลสุดเอื้อม

วิมุตรู้ดีเขาเป็นศิลปินเต็มตัว เต็มทั้งจิตและวิญญาณ เขาได้ทุ่มทอด

ชีวิตจิตใจของเขาให้กับงาน ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าภรรยาหรือลูกทั้งสามคน

รวมทั้งการดำรงชีวิตประจำวัน…พยายามยึดทางสายกลาง มิให้ตึงหรือหย่อน

เกินไป ต่างจากหญิงสาวผู้เป็นแม่ของลูกชนิดหน้ามือกับหลังมือทีเดียว

เขาค่อยๆ แง้มเปลือกตา นัยน์ตาคู่ที่เคยแจ่มใส บ่งบอกความสุขสงบ

แสนสบายตามอัตภาพ ไม่ปรากฏวี่แววดังกล่าวหลงเหลืออยู่มากนัก เมื่อเขาหวน

นึกถึงเหตุการณ์หักเหในชีวิตคู่ของตนเอง ขณะที่วันหนึ่ง ชั่วโมงและนาทีหนึ่ง

ผ่านเข้ามาพร้อมความกดดันในใจซึ่งเก็บอัดสั่งสมไว้นานเนิ่นระเบิดขึ้น

วันที่เขาประกาศให้ภรรยาและแม่ยายรับรู้ถึงบทบาทใหม่เอี่ยมของเขาใน

ครอบครัว บทบาทซึ่งเขาได้พิจารณาใคร่ครวญด้วยเหตุและผล ข้อดีข้อเสีย

ประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะตกอยู่กับชีวิตจิตใจผู้ที่เขาและภรรยาได้ร่วมกันก่อให้เกิด

เป็นมนุษย์ถึงสามชีวิตด้วยกัน…ลูกชายหนึ่ง และลูกสาวสอง…มะนาว แตงโม

และส้มเช้ง

บทบาทของเขาที่คุณโสภาแม่ยายผู้เป็นคนสำคัญอันดับหนึ่งของครอบครัว

โดยเฉพาะภรรยาของเขา สุทธินี ธิดาคนเดียวของเธอผู้มาเผลอใจหลงรักเขา…

ศิลปินจิตรกรหนุ่มโสดสดทั้งแท่ง ไม่เคยมีควาามรักจีรังยั่งยืนกับหญิงสาวคนใด

มาก่อน

เขาเป็นผู้ฝากฝีไม้ฝีมือร่วมกับศิลปินอาชีพรุ่นพี่ และรุ่นอาจารย์ ด้วยการ

อุทิศความรู้ ความสามารถ ซึ่งจะว่าไปอีกทีเกิดมากับตัวเหมือนเป็นพรวิเศษ

ไม่ต่างจากศิลปินวงการต่างๆ ไม่ว่านักดนตรีหรือนักประพันธ์งานวรรณกรรม

แล้วฝึกปรือเพิ่มความรอบรู้ ประสบการณ์จากครูบาอาจารย์ ทั้งที่โรงเรียน

เพาะช่าง กรุงเทพฯ จนจบปวช. แล้วเข้าเรียนต่อคณะจิตรกรรมมหาวิทยาลัย

ศิลปากร ประกาศตนเป็นศิลปินอาชีพ สร้างศิลปะจนกว่าชีวิตจะหาไม่

เขาเชื่อเสมอว่าคงเป็นเพราะบุญกุศลที่ได้เสนอตัวเขียนรูปจิตรกรรมฝาผนัง

วัดไทยในต่างแดนโดยไม่คิดค่าจ้าง ใช้เวลาทำงานทั้งหมดด้วยความยากลำบาก

พบอุปสรรคนานัปการ…กว่างานจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก็ใช้เวลาถึงห้าปีเต็ม เขาจึง

ได้พบภรรยาสุดที่รัก…

สุทธินีผู้เป็นหญิงสาวสวย เพียบพร้อมด้วยความงามของดวงหน้าและ

รูปร่างทุกส่วนสัดของความเป็นสตรีเพศอันธรรมชาติได้สร้างสรรค์อย่างน่าทึ่ง…

หล่อนยังพร้อมด้วยชาติกำเนิด ฐานะ ทรัพย์สินเงินทองที่แน่ละส่วนใหญ่ของ

งานที่เขาทำถวายเป็นพุทธบูชา ครอบครัวหล่อนเป็นฝ่ายถวายปัจจัยเงินทองแก่

วัดนั้น

เขาเชื่อต่อไปด้วยว่าบุญกุศลแห่งพุทธบูชาครั้งโน้นเช่นกัน ช่วยนำผลงาน

ชื่อเสียง เกียรติยศมาให้เขาเมื่อกลับคืนสู่ประเทศไทย พร้อมการหมั้น แต่งงาน

และบุตรธิดาอีกสามคน หน่อเนื้อเชื้อไขที่เขารักดั่งดวงใจ

ส่วนที่เขาไม่อยากจะเชื่อก็คือความเป็นไปหลังจากที่เขาได้เป็นพ่อของลูก

ชายหญิงทั้งสาม…ชีวิตจิตใจของภรรยาสุดที่รักซึ่งเปลี่ยนไปราวขาวกับดำ…

วิมุตเผยอเปลือกตากว้างขึ้นเมื่อหูสดับเสียงฝีเท้าคนเดินย่ำใบไม้ กิ่งไม้

แห้งของร่องสวน เสียงที่ทำลายความเคลิบเคลิ้มแห่งจินตนารมณ์อันดิ่งลึก มี

สีสันของเขาให้ดับวูบลง แน่นอน…มีคนบุกเข้ามารบกวนความเงียบสงัดนั่นเอง

“นั่นไง…นั่นไง…น้าหมั่นกับข่าวสารจากดาวเทียมยี่ห้อ สิว แอนด์ โก

ไม่เคยผิดพลาดไหมล่ะ” หนุ่มใหญ่หนึ่งในสามผู้เดินหน้าเพื่อน ยกมือขึ้นป้อง

หน้าผาก พลางกระซิบกระซาบกับสหายวัยใกล้เคียงอีกสองผู้เดินตามมาติดๆ

ทิ้งหนุ่มสำอางร่างโปร่งบางผิวสองสีกาแฟใส่นมดูเนียนแน่นกว่าบรรดาชายชาติโขง

…ชาติหงษ์ หรือเซี่ยงชุนอีกสามหน่อผู้เดินล้ำหน้า

“ข้าบอกแล้ว ชีวิตแม่บ้านจำแลงไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ มันเรื่องเครียดยกล้อ

เครียดยกกำลังสาม” หนุ่มใหญ่คนเดิมกล่าวสืบไปจนจบประโยคที่ต้องการ “โน่น

…คุณมดแดงถึงกับมานอนก่ายหน้าผาก”

สรรพนามที่เจ้าตัวเรียกขานตนเอง บอกความสนิทชิดเชื้อระหว่างสหาย

ที่มาด้วยกัน ไม่ว่านายตี๋ลูกชายนายหมั่นเจ้าของร้านกาแฟ ซึ่งเป็นเพียงเพิง

สังกะสีต่อยื่นจากชายคาบ้านริมถนนใหญ่ใกล้วินมอเตอร์ไซค์และปั๊มน้ำมัน ปาก

ทางเข้าสวนผลไม้ที่ผู้คนในละแวกนั้นรู้จักแกมทึ่งในความอยู่ยงคงกระพันชาตรี

ของชายหนุ่มผู้สืบทอดมรดกชิ้นเดียวของมารดาไม่ยอมขายสวนริมคลองบางกรวย

ให้นายทุนหน้าไหนทั้งสิ้น

“เครียดอะไรกันเล่าพี่ชู” นายตี๋ซึ่งจะรับช่วงกิจการคอฟฟีชอปของบิดาตาม

ที่ได้ลั่นวาจากับบุพการีโดยจะรักษาบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมของร้านกาแฟให้

คงอยู่ต่อไป เอ่ยค้านอย่างไม่เห็นด้วย

“ผมเห็นแม่บ้านทั้งหลายมีเวลาเหลือเฟือจนต้องเม้าธ์แตกเรื่องชาวบ้าน

ร้านตลาด หวิดๆ จะเกิดสงครามหนามทุเรียนก็หลายครั้ง บางคณะก็เปิดค่าย

ศิลปินหญิงรำพัดรำเพยกันทุกบ่ายเย็น จนเกือบจะได้รางวัลศิลปินดีเด่นประจำ

ซอยอยู่รอมร่อนี่นะพี่ชู”

“สงครามหนามทุเรียนอะไรของแกวะไอ้ตี๋” หนุ่มรุ่นพี่อีกคนหรือที่รู้จักกัน

ว่านายกำพลเจ้าของอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับร้านกาแฟของนายหมั่น

และบุตร…ไหวไม่ทันวาจานายตี๋

“ปัทโธ่…คุณกำพล” ทายาทเจ้าของคอฟฟีชอปซึ่งชาวคอกาแฟทั้งหลาย

ตั้งชื่อเป็นภาษาต่างประเทศให้อีกชื่อต่างหากว่า… ‘หมั่น แอนด์ ซัน คอฟฟี-

เฮ้าส์’ …เผลอตัวร้องเสียงดัง ทั้งๆ ตกลงกันก่อนออกจากร้านกับข้าวสุกของ

กำพลแล้วว่าจะไม่เอะอะมะเทิ่ง

ทุกคนที่ร่วมใจชวนกันหอบหิ้วเหล้า เบียร์ อาหารกับแกล้มเข้ามาปิกนิก

ในสวนผลไม้ริมคลองบางกรวย ล้วนมีความเห็นตรงกัน เรื่องจุดประกายความ

ตื่นเต้นให้มิตรเก่าสมัยเยาว์วัย…

“ตบกลางตลาด…ละครน้ำนิ่งยุงไข่ตรึม ที่ฮิตสุดขีดก็ไม่เพราะสงคราม

หนามทุเรียนหรือคุณกำพล” นายตี๋ทวนความทรงจำของตัวเอง “อาโกกับอากิ๋ม

ของผมน่ะ อินกับดาราในละครเรื่องนั้น ขนาดดาราที่เล่นเป็นตัวร้าย ผ่านมาซื้อ

ของยังถูกขู่เลยว่าจะโดนตบด้วยหนามทุเรียน…”

“แบบนั้นไม่ต้องตั้งชื่อละครเป็นอื่นแล้วละพี่” เกชาเป็นเพื่อนร่วมก๊วน

เดียวกันกับเขา ผู้เป็นเจ้าของสวนผลไม้ใจเพชร หิน เหล็ก ไฟ ประกาศ

ตนเองเป็นผู้อนุรักษ์มรดกไทยพื้นบ้าน และสิ่งแวดล้อมย่านคลองบางกรวย

อย่างเหนียวแน่นก็จริง หากมิตรสหายชายชาติอาชาไนยทั้งสี่ก็ซาบซึ้งแก่ใจดีว่า

มิตรร่างโปร่งบางคนนี้ รอวันเวลาที่จะประกาศความเป็นชายแต่กาย ส่วนใจ

เป็นหญิง…ชีวิตเหมือนทางสายที่สามที่เป็นวันเวย์…จะยูเทิร์นไม่ได้อีกแล้ว

เกชาเพิ่งจะได้ฤกษ์งามยามดีจิตที่แอบซ่อนอยู่ในตู้เริ่มเต้นระริกระรี่ไม่ยอม

อยู่ในความมืดมนอนธการอีกต่อไป เขาก้าวออกจากตู้อย่างสง่าผ่าเผย จิตสว่าง

กระจ่างใส ฟ้าดินเมตตาช่วยเชิดชูกำลังใจ เมื่อเขาเปลี่ยนชื่อจากเกชา มาเป็น

เกศินี เพื่อนร่วมก๊วนสวนผลไม้คลองบางกรวยกลุ่มนี้ก็หารังเกียจรังงอนไม่

แต่ละคนไม่ว่าชูชาติ กำพล ตี๋ และมดแดงหรือวิมุต ต่างก็ยังหยิบยื่น

ความเป็นเพื่อนในระดับเดิมไม่ต่างจากเมื่อยังเป็นเกชา

วันนี้ตามปกติถ้าไม่มีรายการพิเศษเช่นบ่ายนี้ เกชาจะอยู่ที่ร้านเสริมสวย

ของเขา ไม่ไกลจากอู่ซ่อมรถของกำพล คอฟฟีชอปของบิดานายตี๋ หรือสำนัก-

งานวินมอเตอร์ไซค์ของชูชาติ

“สงครามหนามทุเรียนแบบนั้นก็ต้องตั้งชื่อใหม่ให้สมจริงและสอดคล้องใช่มั้ย

ล่ะพี่ ‘เดชแม่ค้าปลาสลิด’ นั่นแหละฟังดูคึกคักยิ่งกว่าตบกลางตลาดเป็นไหนๆ

เพราะเดชหรืออิทธิฤทธิ์นี่ตีความได้หลายรูปแบบ” เกชาหรือเกศินีขยายข้อความ

รายละเอียดให้ทุกคนฟัง

 

        (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024