Knight of Darkness ปีศาจอัศวิน ภาค 2 เล่ม 02

Knight of Darkness ปีศาจอัศวิน ภาค 2 เล่ม 02

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160615933
ผู้แต่ง: อัศวินดอกไม้
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 139.00 บาท 34.75 บาท
ประหยัด: 104.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทที่ 1

ข้ามทะเลอเวจี

 

ทะเลอเวจี หาใช่ทะเลตามความหมายแท้จริงอย่างที่ใครๆ รู้จัก

แต่สาเหตุที่มันถูกเรียกว่า ‘ทะเล’ เป็นเพราะในโลกสีขาวซึ่งทอดตามองออกไปดูราวกับไม่มีที่สิ้นสุดแห่งนี้ เมื่อแหงนขึ้นมองข้างบนจนสุด สายตาจะเห็นแต่หมอกบางกำลังลอยตัวสูง หรือหากก้มลงมองเบื้องล่างก็จะเห็นแต่สีขาวม้วนตัวทับซ้อนกันเป็นชั้น มีลักษณะคล้ายเกลียวคลื่นในท้องทะเลนั่นเอง

ยามนี้เรือยักษ์สีเขียวหยกรูปร่างประหลาด ดูไปแล้วเหมือนเกิดจากรูปสี่เหลี่ยมจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนก่อทับซ้อนกันขึ้นมากำลังแล่นไปบนท้องทะเลอย่างราบรื่น ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าใครก็ตามแต่หากลองได้เห็นเรือลำนี้ด้วยตาตัวเองแล้วส่วนใหญ่ไม้พ้นต้องตะลึง จนถึงขั้นนึกสงสัยว่ากำลังฝันไปหรือเปล่า ทำไมถึงเห็นเรือหินลำหนึ่งลอยอยู่บนท้องทะเลโดยไม่จมดิ่งสู้เบื้องล่างได้

เพราะวัสดุที่ถูกเลือกใช้ในการสร้างเรือยักษ์สีเขียวหยกลำนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นหินหยก สัมผัสแล้วคล้ายจะเป็นหินหยก ประมาณน้ำหนักจากสายตาแล้วก็น่าจะหนักอย่างที่หินหยกขนาดใหญ่เช่นนี้ควรจะหนัก...ทว่ามันกลับลอยอยู่บนผืนน้ำได้เสียนี่

ด้วยความเหลือเชื่ออันหาได้ยากยิ่งนี้เอง ทุกคนที่เพิ่งจะขึ้นเรือมาจึงล้อมวงถกกันถึงประเด็นนี้อยู่นานสองนาน จนกระทั่งผู้รับหน้าที่นำเที่ยวอย่างซิลลาโก้ต้องเอ่ยถามกลับว่า “พวกเจ้าคิดว่าเรือลำนี้ลอยอยู่บนน้ำจริงหรือ”

ประโยคคำถามนี้เพียงประโยคเดียวชี้ให้เห็นปมของปริศนาอย่างชัดเจน

...เบื้องล่างไม่ใช่ ‘น้ำ’ แต่เป็นสสารประหลาดชนิดหนึ่ง

ตามคำบอกเล่าของซิลลาโก้ มีเพียงเรือหินหยกเท่านั้นที่สามารถแล่นไปบนทะเลอเวจีนี้ได้ หากเปลี่ยนเป็นเรือซึ่งทำจากวัสดุชนิดอื่น รับรองว่าจมลงสิ้น ไม่มีเหลือรอดไปได้แม้แต่ลำเดียว

“ถ้างั้นไอ้สีขาวๆ ที่อยู่ข้างล่างนี่มันคืออะไรกันล่ะ” ลูเธอร์ฟุบอยู่ที่กราบเรือ ก้มมองลงไปเบื้องล่าง สสารสีขาวพวกนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนมีก้อนหินถ่วงอยู่ที่หัวใจ และไม่สบายเนื้อสบายตัวเอาเสียเลย

“คือความโศกเศร้าเสียดาย และเรียกว่าเป็นความทะยานอยากหรือความไม่พอใจก็ได้เช่นกัน” ตั้งแต่รู้ว่าลูเธอร์จะไม่บันดาลโทสะ ฆ่าให้ตายซิลลาโกก็ไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น เอาแต่ทำหน้าเป็น ติดสอยห้อยตามอยู่ข้างหลังลูเธอร์ไม่ห่าง พอได้ยินคำถามก็เอ่ยแถลงไขทันที อธิบายเพิ่มเติมแถมอีกว่า “สรุปก็คือเมื่อชีวิตหนึ่งเดินมาจนสุดทางถึงได้หวนนึกขึ้นมาว่าตลอดทั้งชีวิตตนยังมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่อง ทำให้เสียใจ เสียดาย หรือแม้กระทั่งไม่พอใจ หลังจากที่ความรู้สึกทั้งด้านบวกและด้านลบเหล่านี้ถูกดึงออกจากร่าง แล้วก็จะนำมาเติมลงที่นี่ กลายเป็นแนวปราการด่านแรกที่คอยอารักขาป้องกันสถานที่พำนักขององค์เทพปรภพ”

“แสดงว่าไอ้ที่ลอยไปลอยมาเหมือนหมอกนี่ก็เป็นความรู้สึกเศร้าเสียดาย หลังจากที่ตายแล้วเหมือนกันเหรอ” แทดดี้เอ้อระเหยอยู่บนดาดฟ้าเรือ มือข้างหน้าจับเส้นผมที่ปรกใบหน้า ทอดตามองเบื้องหน้าไกลออกไปพลางเอ่ยถาม

แต่ไม่นานนักความสนใจของแทดดี้ก็หมดลง เพราะไม่ว่าจะพยายามมองแค่ไหนก็เห็นเพียงสีขาวโพลน ไม่มีทัศนียภาพอะไรพิเศษบ้างเลย เรียกได้ว่านอกจากเค้าโครงของเรือที่ชัดเจนกับสิ่งที่อยู่ในรัศมีรอบลำเรือแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่มองเห็นชัดได้

“ด่านแรก งั้นก็หมายความว่ามีด่านที่สองงั้นสิ” มอทย่าซึ่งกำลังสำรวจโครงสร้างเรือโพล่งถามออกมา

แทดดี้ที่ออกอาการเบื่อเล็กน้อยถูกสะกดความกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง หันหน้าขวับไปมองท่านมัคคุเทศก์ซิลลาโก้ด้วยความสนอกสนใจใคร่รู้ แววตาส่องประกายวิบวับประหนึ่งดวงดาว

ถูกมองด้วยสายตาเร่าร้อนแบบนี้ แม้ซิลลาโก้จะเป็นคนประเภทไหลไปได้เรื่อยๆ สามารถพูดคุยกับทุกคนได้อย่างถูกคอ จนได้ครองตำแหน่งนางงามมิตรภาพเป็นประจำทุกปีก็ยังรู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูก

ภาพลักษณ์ของแทดดี้ในมุมมองของเขา นอกจากความห้าวหาญดุดันในยามต่อสู้แล้วยังมีอีกหนึ่งคำอธิบายตัวตน...ชายผู้เกลียดความน่าเบื่อหน่าย

“นายท่านสนใจอยากจะลองดูหรือเปล่า”

“หืม” ลูเธอร์เบือหน้ามามองอย่างเกียจคร้าน แววเรื่อยเฉื่อยบนใบหน้านั้นแสดงออกชัดเจนว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ฟังคนอื่นพูดเลยสักนิด ไม่รู้ว่าใจลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

“ชมแนวปราการด่านที่สองของทะเลอเวจี”

ข้างหน้าคือซิลลาโก้ซึ่งกำลังเอ่ยถามความเห็นด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ข้างหลังรู้สึกได้ถึงสายตาดุร้ายที่แทดดี้ส่งมาข่มขู่ ลูเธอร์กลอกตา เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ลองดูก็ได้ จะได้ไม่ต้องทนฟังเด็กน้อยงอแงเพราะอดกินขนม เดี๋ยวจะเกิดบ้าหาเรื่องขึ้นมาอกี”

แทดดี้ส่งเสียงแค่นขึ้นจมูกหนักๆ

ความหมายของอากัปกิริยานั้นไม่พ้นกำลังขู่ลูเธอร์ว่า ‘กลับไปค่อยสะสางบัญชีกับเจ้า’

“ข้าจะรอนะ” ลูเธอร์ที่รู้ใจอีกฝ่ายเอ่ยสั้นๆ รอยยิ้มชั่วร้ายนั่นเล่นเอาแทดดี้แทบอดใจไม่ไหว อยากเหวี่ยงกำปั้นออกไปเสียให้ได้

การปะทะคารมเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างสองคนนี้ มอทย่าเคยชินเสียจนเห็นเป็นเรื่องปกติแล้ว ไม่คิดจะเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนอะไรอีก ทว่าซิลลาโก้ยังคงเห็นเป็นเรื่องแปลกใหม่ เพียงแต่...จะว่ายังไงดีล่ะ อืม...ไม่ชิน รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยเข้ากัน เห็นแล้วอยากจะแก้ไขให้มันถูกต้อง

แต่ไหนมาปีศาจสงครามไม่เคยหยอกล้อเล่นกับคนอื่นแบบนี้ เคยก็แต่ทำให้ศัตรูยิ้มไม่ออกไปตลอดกาล

ซิลลาโก้ผู้เฝ้าติดตามอยู่ข้างกายชายผู้เป็นดังภูเขาน้ำแข็งมาตลอดหลายร้อยปีพอได้มาเห็นลูเธอร์เป็นแบบทุกวันนี้...หากไม่นับความโหดเหี้ยมอย่างเย็นชาอย่างปีศาจซึ่งมีอยู่เดิม ถือว่าลูเธอร์มีอารมณ์ความรู้สึกแบบอื่นๆ เพิ่มพูนขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว!

ระยะเวลา สภาพแวดล้อม ประสบการณ์ที่เจอ...ไม่ว่าสิ่งไหนก็ล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งไปโดยไม่รู้ตัวได้ทั้งนั้น นับประสาอะไรกับลูเธอร์ที่ได้รับผลกระทบจากทั้งสามสิ่งนี้พร้อมกัน

จะว่าไปตัวเขาเองก็เป็นมือข้างหนึ่งที่คอยผลักดันอยู่เบื้องหลังไม่ใช่หรือ การที่นิสัยลูเธอร์เปลี่ยนแปลงเป็นเช่นนี้ เขาเองก็มี ‘ความชอบ’ อยู่ด้วยส่วนหนึ่ง

คิดถึงตรงนี้ ซิลลาโก้ก็ยิ้มเจื่อน...ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ

เทพปรภพมอบหมายภารกิจแก่เขาสองอย่าง หนึ่งในนั้นเขากำลังปฏิบัติอยู่ แต่อีกอย่างหนึ่งนี่สิ... ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงจำเป็นต้องพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในอดีตกับลูเธอร์ให้ได้ หาไม่แล้ว เกิดเจอเรื่องวิกฤตหัวเลี้ยวหัวต่ออะไรขึ้นมา คงไม่มีใครยอมเชื่อใจคนที่เคยทรยศหักหลังตัวเองหรอก จนกระทั่งเวลานี้ก็ยังคงมีช่องว่างระยะห่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูเธอร์อย่างเห็นได้ชัดเจน

เพราะหากเปลี่ยนสถานะกัน เขาเองก็คงไม่กล้าเชื่อใจอีกฝ่ายเช่นกัน

“ทุกคนขยับมาทางนี้ แต่อย่าเข้าใกล้ราวกั้นมากเกินไป” ซิลลาโก้กำชับ

รอกระทั่งทุกคนยืนกันเรียบร้อยอยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัยแล้ว ซิลลาโก้ก็เปล่งเสียงเป็นทำนองเพลงประหลาดออกมา โน้ตแต่ละตัวประสานสอดคล้องกันเป็นท่วงทำนองเพลงกระชับกระชั้นที่แตกต่างไปจากบทเพลงในยุคสมัยปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

เห็นได้ชัดว่านี่คือบทเพลงที่ใช้สำหรับอัญเชิญ ตั้งแต่ซิลลาโก้เริ่มต้นขับขาน บทเพลงก็ส่งผลกระทบต่อคลื่นซึ่งกระเซ็นอยู่เหนือผืนทะเลอเวจีที่มองไม่เห็นก้น จังหวะกระเพื่อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างเป็นธรรมชาติ สอดรับกับสภาพแวดล้อมและเสียงเพลง

ไม่นานนักทุกคนก็ได้รู้ว่า แท้จริงทะเลอเวจีไม่ได้เปลี่ยนแปลงจังหวะตัวเองเพื่อรับกับเสียงเพลงของซิลลาโก้ หากแต่เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเลอเวจีได้ยินเสียงร้องเรียก จึงขยับเคลื่อนไหวเพื่อตอบรับเสียงเรียกพวมกัน ส่งผลไปถึงทะเลอเวจี

“มาแล้ว ดูให้ดี”

สิ้นเสียงเตือน กลุ่มหนูน้อยผู้อยากรู้อยากเห็นก็กลั้นใจรวบรวมสมาธิ เบิกตากว้างรอดูอย่างใจจดใจจ่อ ซิลลาโก้ไม่ปล่อยจังหวะนี้ให้ผ่านไป รีบอธิบายเสริมว่า “พวกมันคือมัจฉามรณะ กินความโศกเศร้าเสียดายเป็นอาหาร จึงมีชีวิตอยู่ได้แต่ในทะเลอเวจีเท่านั้น”

ตอนนี้มัจฉามรณะที่ซิลลาโก้เอ่ยถึงกำลังทะยานขึ้นเหนือท้องทะเล ทว่าไม่ได้วาดวิถีโค้งกลับลงสู่ผิวน้ำอีกครั้ง พวกมันลอยค้างอยู่กลางอากาศ ขยับช่วงลำตัวยาวและเคลื่อนไหวส่วนหางอย่างเป็นอิสระมีชีวิตชีวา ฮึกเหิมดุดัน ไม่ด้อยไปกว่ายามที่อยู่ในทะเลเลย

พวกมันมีรูปร่างลักษณะที่แปลกประหลาด คล้ายแผ่นกระดูกรูปสามเหลี่ยมเชื่อมต่อกันทีละชิ้น ดวงตาประหนึ่งไข่มุกสีนิลส่องประกายวิบวับรำไร ลำตัวที่มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าหนึ่งฝ่ามือนั้นมีสีขาวราวกับหิมะ เรืองแสงสีเขียวจางๆ หน้าตาก็ดูตลกน่าขันทีเดียว

“อย่าได้ดูถูกพวกมันเชียว” เห็นว่าหลายคนที่อยู่รอบๆ มีสีหน้าท่าทางเหมือนอดขำไม่ได้ ซิลลาโก้ก็ออกปากเตือนด้วยความหวังดี แล้วทันใดนั้นก็เกิดนึกกลัวว่าการเอ่ยเตือนแค่นี้อาจจะไม่หนักแน่นพอ หลังจากขอให้ทุกคนอย่ากระทำการวู่วาม เขาก็วิ่งลงไปยังห้องท้องเรือ หยิบเอาชิ้นเนื้อหมักเกลือติดมือกลับขึ้นมา แล้วโยนออกไปนอกเรือ

มัจฉามรณะซึ่งก่อร้างขึ้นจากชิ้นกระดูก หาส่วนประกอบที่เป็นเนื้อหนังไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยว สะบัดหางคราหนึ่ง ม้วนตัวอ้าปากกลืนเนื้อหมักเกลือชิ้นนั้นเข้าไปในคำเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ คล่องแคล่วชำนาญประหนึ่งฝึกฝนเป็นประจำวันละห้าหกร้อยครั้ง หากเป็นคณะละครสัตว์ล่ะก็ พวกมันคงต้องได้รับการฝึกจากครูฝึกสัตว์ที่ขยันและเข้มงวดมากเป็นแน่

อืม ครูฝึกสัตว์เหรอ

คิดมาถึงตรงนี้ สายตาสามคู่ก็เบนไปยังชายผู้โยนชิ้นเนื้อโดยพร้อมเพรียง ถ้าอย่างนั้นความสามารถในการขยับมือโยนชิ้นเนื้ออย่างชำนิชำนาญโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองเป้าหมายด้วยซ้ำนี้...ก็คงไม่ใช่ฝึกฝนกันแค่ชั่วข้ามคืนแล้วจะทำได้ง่ายๆ เหมือนกัน

“เจ้ามาให้อาหารปลาที่นี่บ่อยๆ เหรอ” หลังจากสงสัยอยู่นาน ในที่สุดแทดดี้ก็อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากถาม

“บางทีก็มาเตร็ดเตร่”

เทพปรภพไม่ได้มีแขกมากมายมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉลี่ยสิบกว่าปีจะมีมาสักกลุ่มสองกลุ่มก็ถือว่าเยอะแล้ว แม้มัจฉามรณะมีรูปร่างลักษณะแปลกประหลาด เติบโตและอาศัยอยู่ในทะเลอเวจีซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอาศัยอยู่เลย แต่ดีชั่วอย่างไรมันก็ยังนับเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง จึงต้องมีกำหนดเวลาให้อาหาร บังเอิญว่าซิลลาโก้รู้สึกสนุกเลยอาสารับหน้าที่นี้มาเรื่อยๆ

ทุกวันนี้มัจฉามรณะในทะเลอเวจีกว่าครึ่งล้วนจำเขาได้ แต่สิ่งที่ชวนให้เหล่ามารและเทพอเวจีที่ได้รับการเชื้อเชิญจากเทพปรภพนึกสงสัยไม่ใช่การที่ ‘มัจฉามรณะสามารถจดจำคนคนหนึ่งได้’ แต่เป็นการที่ซิลลาโก้อาศัยอะไรแยกแยะจดจำมัจฉามรณะแต่ละตัวได้อย่างแม่นยำไม่มีผิดพลาด ทั้งที่ไม่ว่าพวกเขาจะมองอย่างไร พวกมันก็มีรูปร่างลักษณะที่ไม่ต่างกันเลย

ตอนนี้พวกลูเธอร์เองก็อยากจะไขข้อข้องใจนี้ให้กระจ่างเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นซิลลาโก้ขนเนื้อกองใหญ่ออกมาให้อาหารและทักทายพวกมันทีละตัว...

“เห็นๆ อยู่ว่าตัวขาวเหลือบเขียวเหมือนๆ กันหมด แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะเนี่ย” นี่คือสิ่งที่พวกเขาต่างก็สงสัย ระดับความน่ามึนงงนั้นมากพอๆ กับตอนที่ไม่เข้าใจว่าสมองของเฟย์ซัลทำด้วยอะไรถึงสามารถจดจำชื่อเสียงเรียงนาม รูปร่างหน้าตา ภูมิหลัง สิ่งที่ชอบของสาวๆ มากมายได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็จำได้แม่นยำไม่ผิดพลาด และแน่นอนว่าความไวต่อเรื่องเงินๆ ทองๆ ของลูเธอร์ก็เป็นอะไรที่น่าสงสัยเช่นกัน

ทว่าแทดดี้และมอทย่าเห็นตรงกันว่าอย่าได้ถกเถียงกันถึงประเด็นนี้ต่อหน้าเจ้าตัวเป็นอันขาด เพราะพวกเขาไม่อยากให้ลูเธอร์มีข้ออ้างในการรีดไถเงินตอนนี้

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซิลลาโก้ก็ไล่ปลากลับลงทะเล ถึงเวลาที่ยอดนักแสดงจะทำการล่ำลา ในตอนนี้เอง ทุกคนซึ่งกำลังเพ่งความสนใจไปที่ซิลลาโก้กับมัจฉามรณะก็สังเกตเห็นว่าในมือของซิลลาโก้มีหนังประหลาดยับย่น สีเหมือนเนื้อหมักชิ้นหนึ่งห้อยย้อยอยู่

“นี่คืออะไรเหรอ” มอทย่าถาม”

“ชิ้นเนื้อหมัก” ซิลลาโก้ยิ้มตอบ “อาหารทีมัจฉามรณะกินจะกลายสภาพเป็นเช่นนี้ อันที่จริงพวกมันไม่ได้ ‘กินเข้าไป’ หรอก พวกมันแค่ดูดกลืนแก่นของอาหาร สุดท้ายชิ้นเนื้อหมักเกลือก็จะเหลือสภาพเป็นหนังแบบนี้และถูกคายออกมา หนังแผ่นี้ข้าเพิ่งจะคว้าได้เมื่อกี้” ซิลลาโก้โบกหนังในมือไปมา น่าเสียดายที่ไม่มีใครอยากจะรับไปพิจารณาดูใกล้ๆ เขาจึงได้แต่ล้มเลิกความพยายามไป

ซิลลาโก้เปลี่ยนเรื่องโดยอธิบายต่อว่า “นี่คือปราการด่านที่สองของทะเลอเวจี ทันทีที่มีแขกไม่ได้รับเชิญ มัจฉามรณะจะโจมตีแบบไม่มีการเกรงอกเกรงใจ และโดยไม่ต้องรอให้เรียก ต่อให้เหยื่อไม่ถูกดูดกลืนก็ต้องถูกกลุ้มรุมจนจมลงใต้ทะเล ส่วนปราการด่านแรก...” พูดพลางยื่นมือซึ่งถือชิ้นหนังออกนอกตัวเรือแล้วปล่อย เอ่ยต่อว่า “จุดจบของผู้ที่ร่วงสู่ท้องทะเลเป็นเช่นนี้ ทุกท่านเชิญชม”

ทะเลอเวจีสงบนิ่งตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ซิลลาโก้จะโยนชิ้นหนังลง

(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (72 รายการ)

www.batorastore.com © 2024