I Love You So รักตัวโตๆแด่คุณฮีโร่ของฉัน (Oh_nana)
ประหยัด: 55.65 บาท ( 35.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 3 รายการราคา 100.00 บาท - 115.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
Prologue
โคลอี้ มอนต์โกเมอรี่ไม่เคยทำอาหาร ไม่เคยคิดจะทำ และไม่เคยเชื่อว่าตัวเองจะทำได้
แต่ก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เธอเชื่อนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่งเธอก็เปลี่ยนความเชื่อได้ ใครๆ ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นนี่นะ
“โอเค ใช่ รอนนี่ ฉันรู้ว่าเราต้องใส่พริกไทยลงไปด้วย แต่มันจะอร่อยได้ยังไงถ้าไม่มีเนยถั่วน่ะ ของทุกอย่างบนโลกนี้ใส่เนยถั่วก็อร่อยทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่พอร์กช็อปหรอก เชื่อฉันสิ”
เธอพึมพำแบบนั้นอยู่หน้าชามหมักสเต็กที่เต็มไปด้วยของประหลาดมากมายโดยมีตุ๊กตาหมีเท็ดดี้สีขาวนั่งอยู่ข้างๆ หากใครผ่านมาเห็นคงคิดว่าเธอคุยกับมัน ซึ่งความจริงแล้วใช่ โคลอี้กำลังคุยอยู่กับตุ๊กตาหมีจริงๆ
โคลอี้ มอนต์โกเมอรี่ไม่ปกติ นั่นคือสิ่งที่มองไม่ออกเลยจากภายนอกของเธอ สาวน้อยอายุยี่สิบ หน้าตาจิ้มลิ้ม ตากลมโตเหมือนตุ๊กตาพร้อมผมสีสตรอเบอรี่บลอนด์ที่ดูเนี้ยบกริบ ชุดเสื้อผ้าที่ดูหรูหราทันแฟชั่น และกิริยามารยาทที่ดูปกติดี ดูยังไงเธอก็ไม่เหมือนคนมีอาการทางประสาทเลยสักนิด
แต่เธอป่วยจริงๆ ป่วยแบบนี้มาตั้งแต่อายุได้สิบขวบ ตอนที่แม่ของเธอเสียและครอบครัวของเธอก็ย้ายอังกฤษมายังเมืองเล็กๆ ในแอริโซนา เธอถูกแกล้งอย่างหนักโดยมีสาเหตุมาจากความเกลียดชังของชาวเมืองที่มีต่อพ่อของเธอผู้กว้านซื้อที่ดินและทำลายเศรษฐกิจของเมืองจนใครๆ ก็ได้รับผลกระทบ นานวันเข้าเหตุการณ์ที่โรงเรียนก้เปลี่ยนโคลอี้จากเด็กหญิงช่างพูดเป็นคนกลัวการเข้าสังคม...หรือที่ในทางการแพทย์เรียกว่า Social Anxiety…จนไม่สามารถออกไปไหนได้เลยแม้แต่โรงเรียน ไม่กล้าคุยกับใครที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเลยแม้แต่คำเดียว
มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เธอคุยด้วย และหนึ่งในนั้นคือตุ๊กตาของเธอ
“รอนนี่ ถ้าใส่ชาเขียวลงไปด้วยจะเป็นยังไงนะ ช่วงนี้มันกำลังฮิตในอินเตอร์เน็ตเลยล่ะ เขาว่ามันดีต่อสุขภาพ คุณพ่อจะต้องชอบแน่ๆ”
ปากของเธอยังเจื้อยแจ้วไม่หยุดกับตุ๊กตาที่ชื่อว่ารอนนี่ มือก็ใส่ชาเขียวลงไปในชามหมักสเต็กที่เต็มไปด้วยของแปลกๆ มากมาย อาทิ เนื้อหมูสด เนยถั่ว เยลลี่ พริกไทย ใบไม้ ดอกไม้ ซาวครีม พุดดิ้ง และล่าสุดคือชาเขียว ทั้งหมดก็ทำไปเพื่อคุณพ่อของเธอทั้งนั้น
ในบรรดาคนไม่กี่คนที่โคลอี้ไม่กลัว หนึ่งในนั้นคือมิสเตอร์มอนต์โกเมอรี่...คุณพ่อของโคลอี้นั่นเอง คุณพ่อของเธอเป็นนักธุรกิจแนวหน้าของเมือง มีธุรกิจหลากหลายสาขาและร่ำรวยมหาศาล รวยจนสามารถพุดกับโคลอี้ว่า
‘ไม่ต้องรักษาโรคอะไรนี่ก็ได้ลูก ต่อให้ไม่กล้าออกไปเรียนหนังสือพ่อก็มีเงินเลี้ยงให้สบายไปทั้งชีวิต’
ซึ่งเหล่าคนรอบตัวเธอ (ที่ก็มีไม่มากหรอก) ก็ลงความเห็นตรงกันว่าคุณพ่อเนี่ยแหละเป็นสาเหตุของนิสัยเสียทั้งปวงของโคลอี้
“คุณพ่อต้องดีใจแน่ๆ เพราะปีนี้ของขวัญวันเกิดของคุณพ่อพิเศษกว่าปีไหนเลย”
โคลอี้พูดอย่างตื่นเต้นกับรอนนี่ขณะที่นั่งรอเนื้อหมักได้ที่ (อย่างน้อยเธอก็รู้นะว่าควรรรอ)
“...”
รอนนี่จ้องเธอตาแป๋วแหววเหมือนเคย ไม่ได้พูดอะไรสักประโยค แต่เธอก็เข้าใจ
“รอคุณพ่อกลับมาก่อนเถอะ คุณพ่อต้องชอบแน่ๆ” โคลอี้ยิ้มอย่างมีความสุข เธอดูจะเป็นแบบนี้ตลอดเวลา เป็นผู้หญิงที่ดูเพ้อฝัน...เกินไป “อ่า น่าจะได้ที่แล้วล่ะมั้ง ฉันอยากอบแล้วล่ะ เอาไปอบกันเถอะ”
โคลอี้ยกชามหมักสเต๊กขึ้นมาใส่เตาอบ จากนั้นก็ปรบมือให้ตัวเองอย่างดีใจ ก่อนที่จะถูกรอนนี่สะกด (ในความคิดของเธอเอง) ว่าเธอควรจะไปหยิบการ์ดมาเตรียมไว้
“...”
“จริงสิ...งั้นรอนนี่อยู่ตรงนี้ ช่วยเฝ้าเตาหน่อยนะ เดี๋ยวฉันมา”
เธอพูดแบบนั้นแล้วจึงเดินกึ่งล่องลอยออกไป ทิ้งเอาไว้เพียงชามหมักสเต๊กปิดฝาอยู่ในเตา
บ้านมอนต์โกเมอรี่หลังใหญ่มาก จริงๆ แล้วควรจะเรียกมันว่าคฤหาสน์ดูจะเป็นคำที่เหมาะสมกว่า บนพื้นที่ขนาดประมาณห้าเอเคอร์นั้นมีทุกอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งจะต้องการในบ้านของตัวเอง ห้องนับสิบๆ ห้องที่มีไว้สำหรับนั่ง นอน ออกกำลังกาย เรียนหนังสือ (โคลอี้เรียนผ่านอินเตอร์เน็ต เธอเกลียดการพูดคุยแบบเจอตัวเป็นๆ ที่สุด) อ่านหนังสือ ตีเทนนิส อาบแดด ดูดาว คุยกับตุ๊กตา หรือแม้แต่ห้องพยาบาลในกรณีที่ป่วยขึ้นมา นอกจากนี้รอบนอกยังมีสวนสวยสไตล์อังกฤษที่คนเดินผ่านไปมามักจะแอบมองเข้ามาด้วยความอิจฉาอีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือโลกทั้งใบของโคลอี้ โลกที่มีเธอกับคุณพ่อแค่สองคน
อ้อ มีสุดยอดแม่บ้านวัยกลางคนที่ชื่อมอลลี่อีกคนด้วย
“คุณหนูจะไปไหนหรือคะ แล้วนั่นไปเปรอะอะไรมา”
มอลลี่ถามทันทีที่โคลอี้เดินผ่านตรงโถงทางเดิน แม่บ้านวัยกลางคนคนนี้เป็นหมือนแม่คนที่สองของโคลอี้ แม้จะไม่ได้เป็นญาติกันแต่ก็อาศัยอยู่กับครอบครัวมอนต์โกเมอรี่มาตั้งแต่โคลอี้เกิด ซึ่งเธอก็รักโคลอี้เหมือนลูกเช่นกัน มือที่ถือผ้าสำหรับเช็ดกระจกถึงกับชะงักไปชั่วขณะเมื่อเห็นคราบซอสผสมดินบนชุดกระโปรงของคุณหนูของเธอ
“อ๋ออ ฉันกำลังทำอาหารอยู่น่ะมอลลี่”
เด็กสาวยิ้มแฉ่งแล้วตอบแบบนั้น
มอลลี่มองเธอตาเหลือก “อะไรนะคะ!”
“ก็วันนี้วันเกิดคุณพ่อนี่นา ฉันก็เลยอยากเซอร์ไพรส์” โคลอี้ตอบฉะฉาน “ไปก่อนนะ จะเสร็จแล้ว ฉันจะไปหยิบการ์ดที่ทำไว้ลงมา คุณพ่อน่าจะใกล้มาแล้วล่ะ”
มอลลี่ไม่ได้พูดอะไรขณะที่โคลอี้เดินจากไป มีแต่ความตะลึงพรึงเพริดบนใบหน้าเท่านั้น คุณหนูของเธอไม่เคยทำอาหาร อันที่จริงไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง เธอก็ได้แต่หวังว่าการทำอาหารครั้งนี้จะไม่สร้างความล้มเหลวมากจนเกินไป
แต่มอลลี่คงหวังมากเกินไป เพราะไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเสียงอะไรสักอย่างระเบิดก็ดังขึ้น ควันลอยขโมงออกมาจากทางที่โคลอี้เดินจากมา...
อ่า...อยู่ไหนนะ มันต้องอยู่แถวๆ นี้สิ
โคลอี้คิดในใจขณะที่เธอค้นโต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ ห้องของโคลอี้กว้างขวางมากชนิดที่สามารถเป็นที่อยู่ของครอบครัวใหญ่ๆ ได้สบายเลยทีเดียว ในห้องตกแต่งด้วยสีขาวแซมชมพูและทองแถมปูด้วยพรมนุ่มนิ่ม มีระเบียงอยู่ด้านนอกและหน้าต่างบานใหญ่ไว้ระบายความอึดอัดอีกด้วย
แต่การมีห้องใหญ่ก็ไม่ใช่ข้อดี เพราะว่าตอนนี้เธอหาการ์ดที่ทำให้คุณพ่อไม่เจอเลย
ในที่สุดโคลอี้ก็ยอมแพ้ ตัดสินใจว่าจะเดินย้อนกลับไปถามมอลลี่ที่อยู่ข้างล่าง ทว่าเมื่อเธอเปิดประตูไป เสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ก็ดังไปทั่วบ้านเสียแสบแก้วหู โคลอี้ก็อยากจะวิ่งอยู่หรอก แต่เธอกลับได้ยินเสียงอื่นก่อน
สะ...เสียงเท้าคนวิ่ง
มีเสียงเท้าคนวิ่งอยู่เต็มไปหมด เธอได้ยินแล้วรีบถอยกลับเข้าห้องตัวเองทันที
คน...! ไม่เอาคน! น่ากลัว!
เพราะว่าการให้มอลลี่ดูแลคฤหาสน์ทั้งหลังคนเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คฤหาสน์มอนต์โกเมอรี่จึงต้องมีคนทำงานคนอื่นอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างพวกสาวใช้ คนสวน หรือคนขับรถ ซึ่งคนเหล่านั้นมีกฏเหล็กข้อหนึ่งคือห้ามปรากฏตัวต่อหน้าโคลอี้โดยเด็ดขาด แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างไฟไหม้แบบนี้ ใครๆ ก็คงต้องหนีจนไม่มีเวลามาสนกฏข้อนี้ล่ะมั้ง
โคลอี้ลังเลอยู่นาน ไม่กล้าลงไปเจอกับผู้คน เพราะแค่คิดว่าต้องเจอกับคนอื่นก็ทำให้เธอตัวสั่นแล้ว ลังเลไปลังเลมา อาจจเพราะคิดว่าคฤหาสน์มอนต์โกเมอรี่ปูด้วยพรมเกือบทั้งหลังทำให้ไฟลามไวหรืออะไรก็แล้วแต่ เธอก็พบว่าชั้นล่างกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว!
ต้องหาทางหนีทางอื่น
โคลอี้คิดแบบนั้นแล้วพุ่งกลับเข้าไปในห้องตัวเอง ก่อนที่จะพบว่าระเบียงห้องของเธอที่อยู่ชั้นสามนั้นสูงเกินไป และที่สำคัญคือข้างล่างนั้นมีแต่คน คน แล้วก็คน!
เหล่าผู้คนที่อพยพออกจากคฤหาสน์คงจะไปรวมตัวกันอยู่ข้างนอก นอกจากนั้นยังมีพวกนักดับเพลิงในชุดสีเหลืองอยู่เต็มสนามหญ้าไปหมด โคลอี้หดหัวกลับมานั่งตรงมุมเล็กๆ ของระเบียงทันทีที่เห็นคนจำนวนมากขนาดนั้นอยู่ข้างล่าง ลมหายใจของเธอติดขัด ใจสั่น มือชาทันที การเจอคนทำให้เธอรู้สึกเครียดกว่าการเจอไฟเสียอีก
นอกจากนี้เสียงของพวกเขายังดังขึ้นมาถึงนี่
เสียงคุณพ่อนี่...โคลอี้คิด คุณพ่อกลับมาไวจัง ฉันยังไม่ทันได้เอาสเต๊กออกจากเตาเลย...แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าป่านนี้สเต๊กของเธอคงจะโดนเผากลายเป็นซากไปแล้ว
นอกจากเสียงคุณพ่อ ยังมีเสียงของคนแปลกหน้าที่ทำให้โคลอี้รู้สึกปวดท้องอีกด้วย พวกเขาเถียงกันอยู่ และดูเหมือนจะเป็นเรื่องของเธอนี่เอง
“คุณจะบ้าเหรอ! เราส่งผู้เชี่ยวชาญขึ้นไปแล้ว อีกเดี๋ยวเขาคงพาเธอลงบันไดมา! ในนั้นอันตรายมาก อย่าเสี่ยงเลยครับ!”
“แต่โคลอี้เธอไม่เหมือนคนอื่น! คนของคุณอาจจะทำให้เธอช็อกได้!”
“เชื่อผมเถอะคุณ! ถ้าแซคคารี่ช่วยลูกสาวคุณไม่ได้ ผมว่าคงไม่มีใครในเมืองนี้ช่วยเธอได้แล้วล่ะ!”
โคลอี้นั่งอยู่ตรงนั้นอยู่นาน ควันที่เริ่มคลุ้งไปทั่วทำให้เธอแสบตาจนร้องไห้ออกมา เธอคิดถึงรอนนี่...จริงสิ รอนนี่ยังอยู่ในครัว! ป่านนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ!
เธออยากลงไปดูรอนนี่แต่ก็ไม่รู้จะออกไปยังไง ตอนนั้นเอง...ท่ามกลางกลุ่มควันมากมายที่คละคลุ้งข้างนอก เธอก็เห็นใครบางคนเดินเข้ามา
นักดับเพลิง...
โคลอี้คิด แถบสีเหลืองบนชุดของเขาปรากฏต่อสายตาของเธอก่อนสิ่งอื่นใด สิ่งที่สองที่เข้ามาในความคิดเธอคือคนนี้คือคนแปลกหน้า ถึงเขาจะมาช่วยเธอ แต่เขาก็คือคนแปลกหน้าอยู่ดี
ไม่เอา!!!
แต่ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นก็เข้ามาถึงตัวเธอจนได้ ดูจากใบหน้าส่วนที่พ้นหน้ากากกันควันนั่นออกมาบ่งบอกให้รู้ว่าเขาคงไม่ได้แก่กว่าเธอสักเท่าไหร่ เขาตัวสูงมากทีเดียว ต่อให้โคลอี้ยืนขึ้นเต็มๆ ตัวก็ยังสูงไม่พ้นคางเขาด้วยซ้ำ ร่างกายกำยำแบบบุรุษเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ จนเธอสามารถเห็นเขาได้ชัดเจนขึ้น
และเหมือนทุกสิ่งก็หยุดลงตรงนั้น
ทุกสรรพเสียงที่โคลอี้ได้ยิน ทุกอย่างที่เธอคิดหรือรู้สึก ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวราวกับว่าเวลาก็หยุดลงเช่นกันในวินาทีนั้นตอนที่เธอสบตาเขา
“คุณ...กลัวเหรอ” เสียงนุ่มทุ้มของเขาถาม “ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวผมจะพาลงไปแล้ว”
“...”
โคลอี้ไม่ตอบ เธอยังคงอยู่ในภวังค์ หัวใจเต้นตึกตัก เธอบอกได้ว่ามันไม่ใช่เพราะเรื่องไฟไหม้ มันเป็นเพราะเขา...เสียงของเขาและดวงตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นที่เธอรู้สึกอบอุ่นใจอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
“คุณโอเคหรือเปล่า”
โดยไม่รู้ตัว โคลอี้ปล่อยให้นักดับเพลิงแปลกหน้าคนนั้นเข้ามาถึงตัวเธอจนได้ เขาโบกมือตรงหน้าเธอช้าๆ
“ฉัน...”
โคลอี้พูดไม่ออก เป็นเวลาสิบปีมาแล้วที่เธอไม่ได้พูดกับคนแปลกหน้า มีเรื่องมากมายที่อยากจะถามเขา เขาเป็นใคร ความรู้สึกเมื่อกี้มันคืออะไร แล้วนี่มันอะไร ทำไมเธอถึงไม่กลัวเขาเลยล่ะเนี่ย...
“ลุกไหวมั้ย”
หนุ่มคนนั้นถามโคลอี้พร้อมก้าวเข้ามาประคอง เธอไม่ขัดขืนเวลาที่เขาแตะต้องตัวเธอเลย ซึ่งแปลกมาก เพราะไม่มีคนแปลกหน้าคนไหนสามารถแตะต้องตัวเธอได้มานานแล้ว นานมากเลยทีเดียว
“อื้อ”
โคลอี้รู้สึกแปลกใจที่ค้นพบว่าตัวเองสามารถตอบเขาออกไปโดยที่เสียงไม่สั่น เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนแม้เธอจะมองเห็นได้ไม่ชัดจากหน้ากากกันควันของเขาก็ตาม เขาโอบเอวเธอไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวพร้อมกับเอ่ยบอก
“เกาะบ่าผมไว้ให้แน่นๆ นะ ถ้ากลัวความสูง หลับตาก็ได้”
น่าแปลกเหลือเกินที่โคลอี้ทำตาม แม้แต่ตัวเธอยังแปลกใจตัวเองเลย แขนแข็งแกร่งของเขายังคงโอบเอวเธอไว้อย่างมั่นคง ส่วนมืออีกข้างก็จับเชือกที่มีตัวล็อกอยู่กับเข็มขัดของเขา ความสูงระดับนี้ทำให้โคลอี้รู้สึกหวิวๆ อยู่เหมือนกัน แถมข้างล่างก็มีคนอยู่เต็มไปหมด เธอจึงหลับตาปี๋ขณะที่หนุ่มนักดับเพลิงคนนั้นส่งสัญญาณบอกคนข้างล่างให้ค่อยๆ พาตัวพวกเขาลงไป
โคลอี้รู้สึกวูบที่ช่องท้อง แต่เพียงแวบเดียวเท้าก็แตะถึงพื้น เธอโงนเงนอยู่สักพักก่อนจะเอนไปพิงกับเสาที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ยิ่งเมื่อโคลอี้ได้ยินเสียงของคนมากมายที่กำลังพูดคุยกันอยู่รอบตัวเธอมากเท่าไหร่ อาการของโรคกลัวคนแปลกหน้าก็กลับมากำเริบอีกครั้งโดยที่ไม่ต้องสั่งเลย
ทุกครั้งที่โคลอี้ได้เจอกับคนแปลกหน้า มือไม้ของเธอจะสั่น ขาจะก้าวไม่ออก เริ่มรู้สึกเหงื่อตก ปวกท้อง และกลัวจนลำคอตีบตัน หัวใจของเธอจะเต้นไวมากเสียจนได้ยินเสียงของเส้นเลือดดังตุบๆ อยู่ทั่วร่าง เธอ
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
รีวิว (1)

31/08/2014
I Love You So รักตัวโตๆแด่คุณฮีโร่ของฉัน นิยายเล่มนี้เป็นผลงานของ Oh_nanaค่ะมีโอกาสติดตามผลงานของนักเขียนท่านนี้มาตั้งใจสมัยเรียนแล้วค่ะโยส่วนตัวคือชอบนักเขียนท่านนี้นะเราชอบความเป็นตัวเองของเขาในเรื่องของพวกสำนวนที่ใช้บรรยายอ่ะค่ะเราว่าเขาใช้ภาษาสละสลวยดูเป็นผู้ใหญ่ดีค่ะอ่านแล้วชอบมากๆแล้วก็ติดตามเรื่อยมาเลยมาชอบที่สุดน่าจะเป็นเรื่องบ้างของใจอ่ะที่พล้อตมาแนวแบบเหมือนพวกชาวอินเดียแดงอ่ะเรื่องนั้นนี่ไคลแม็กเลยนะไอเดียดีมากๆเพราะแจ่มใสไม่เคยมีใครเขียนนิยายแนวนั้นเรื่องนั้นหน้าปกสวยมากเราไปซื้อมาเลยแทบไม่ได้อ่านฟรีเลยฮ่าๆๆๆแล้วก็ติดตามผลงานเรื่อยมาค่ะอยากบอกว่าชอบนักเขียนท่านนี้มากชอบเขียนนิยายพล็อตแปลกๆมาให้แปลกใจอยู่เสมอเลยเรื่องนี้ก็เช่นกันนางเอกเป็นพวกเจอคนแปลกหน้าไม่ได้นอกจากคนในครอบครัวจนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่บ้านของเธอไฟไหม้นั่นเองเธอก็เจอกับพระเอกซึ่งเป็นนักดับเพลิงชอบตรงนี้แหละอ่านแล้วขำนะฮ่าๆๆๆเราไม่เคยเจอพระเอกเรื่องไหนมีอาชีพเป้นนักดับเพลิงอ่ะแล้วนางเอกก็ดันถูกชะตากับเขาซะด้วยและเป็นคนแปลกหน้าคนเดียวที่นางเอกไม่รู้สึกกลัวแถมพระเอกยังนิสัยอ่อนโยนดูอบอุ่นด้วยอ่านแล้วชอบมากอ่ะค่ะคือพล็อตเรื่องนี้บอกเลยว่าเป็นพล็อนเรื่องที่ไม่เว่อจนเกินไปและมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงอ่ะอีกอย่างนะถ้าเกิดขึ้นจริงๆคงเป็นเรื่องราวที่โรแมนติกมากอ่ะค่ะเรื่องนี้อารมณ์แบบพบรักกับนักดับเพลิงอะไรงี้แล้วนางเอกเรื่องนี้ก็ดันอยากเห็นหน้าเขาอีกเธอก็เลยหาเรื่องจะเผาบ้านตัวเองอีกกรรมมากอ่ะอ่านไปขำไปบอกเลยอ่านแล้วที่รู้สึกเลยคือเรื่องนี้ไม่เว่อค่ะเราอ่านไปเราได้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครตลอดเลยลุ้นทั้งเรื่องว่าสุดท้ายเขาจะคู่กันอย่างไรเอาตรงเลยคือเรื่องนี้สนุกมากๆค่ะใครไม่เคยอ่านแนะนำเลยนักเขียนท่านนี้เป็นนักเขียนใหม่นะเราติดตามผลงานของเขามาสักพักและรู้สึกว่าเขาแต่งดีแทบทุกเรื่องเลยนะอ่านมาทุกเรื่องชอบทุกเรื่องเลยอยากอ่านพล็อตแปลกๆแนวนี้อีกรู้สึกว่าเพลินดีพระเอกนิสัยอบอุ่นอ่ะนักเขียนบรรยายเป็นธรรมดามากๆดูไม่แข็งจนเกินไปอ่ะค่ะพระเอกอ่อนโยนเป็นเนื้อเรื่องที่ดำเนินไปแบบเรียบง่ายแต่สามารถทำให้คนอ่านยิ้มแก้มแทบปริได้ชอบพระเอกสุดและชอบผู้ชายแบบนี้ที่มีแต่ในนิยายฮ่าๆๆๆมีจริงก็ดี อิจฉานางเอกเอาตรงๆเรื่องนี้ไม่เน้นอิโมติคอนชอบมากเพราะมีเยอะๆหลังๆมานี่เริ่มรำคาญตาฮ่าๆๆๆอยากให้ออกผลงานพล็อตแนวนี้มาอีกค่ะเน้นสมจริงเกิดขึ้นจริงได้อะไรงี้อยากเปลี่ยนแนวอ่านแฟนตาซีมาเยอะเว่อร์