หนี้รักอาญาหัวใจ เล่ม 2 (แก้วชวาลา) (ฉบับปรับปรุง)

หนี้รักอาญาหัวใจ เล่ม 2 (แก้วชวาลา) (ฉบับปรับปรุง)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786169077145
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 289.00 บาท 72.25 บาท
ประหยัด: 216.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เรื่อง หนี้รักอาญาหัวใจ (เล่ม 2)

โดย แก้วชวาลา

 

19

หอมกลิ่นกระดังงา

มว่าปากของคุณสวยจัง มันเป็นสีชมพูได้รูป และดู

เรียบตึง”

ฟารีดานั่งถอนใจเฮือกกับนํ้าเสียงอันเคลิบเคลิ้มชวนฝันของ

อลงกต หญิงสาวเหลือบตาขึ้นมองเพดานอย่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์

เขาก็หยอดมันอย่างนี้ทุกครั้งไป ตั้งแต่ที่ได้ร่วมงานกันมา จะมีวันไหน

บ้างไหมนะ ที่เขาจะไม่ยกยอปอปั้นหยอดนํ้าคำหวานๆ ให้กับเธอ ฟารีดา

มองไปยังนัยน์ตาเยิ้มๆ คู่นั้น แล้วก็ถอนใจเบาๆ เห็นทีว่าครั้งนี้เธอจะต้อง

พูดกับเขาให้มันรู้เรื่องกันไปซะแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นฟารีดาก็คงจะถูกกวนใจ

มันทุกๆ ห้านาทีที่ได้ลงมือทำงาน เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงหันไป

มองหน้าเขาตรงๆ เห็นเขายิ้มกว้างส่งมาให้ เมื่อเธอยอมให้ความสนใจ

ในตัวเขาเสียที

 

 

 

 

 

 

 

 

 “คุณอลงกตคะ ความจริงแล้วยังมีเรื่องหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับตัวฉัน

ที่คุณยังไม่ทราบ”

ฟารีดาเอ่ยกับเขาด้วยนํ้าเสียงจริงจัง เห็นเขาเพียงเลิกคิ้ว แล้ว

ก็ยิ้มฉ่ำส่งมาให้เหมือนเดิม

“หืม...ครับ ว่ามาได้เลย เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับคุณฟาง ผมก็

อยากรู้ทั้งนั้นแหละ”

อลงกตย้อนถามอย่างอารมณ์ดี เอนหลังลงไปยังเก้าอี้หรู

จากนั้นก็ผายมือพยักพเยิดให้เธอพูดออกมา ฟารีดามองเจ้านายจอมกะล่อน

ของตน สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วกล่าวไป

“คือว่าดิฉันเป็นม่ายสามีตายน่ะค่ะ และตอนนี้ดิฉันก็กำลัง

จะ...”

ฟารีดาหยุดพูดแล้วชำเลืองมองไปยังอลงกตที่ยังนั่งอยู่ใน

ท่าสบายๆ ดุจเดิม เขาไม่สะทกสะท้านกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับจากปาก

ของเธอเลย ผู้ชายคนนี้บ้าผู้หญิงจริงๆ ลองได้รูปโฉมโนมพรรณถูกใจ

แล้ว ก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ฟารีดาถอนใจ ก่อนจะเอ่ยความจริงออกไป

เพื่อเขาจะได้เลิกมองเธอเป็นดั่งอาหารคาวหวาน แล้วหันมาจริงจังใน

ฐานะผู้ร่วมงานกันเสียที

“คือว่าตอนนี้ดิฉันตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนกว่าๆ แล้วค่ะ คุณอาจ

จะยังไม่ทราบ แต่ท้องสาวก็แบบนี้แหละค่ะ อีกทั้งยังเป็นลูกคนแรกด้วย

ก็เลยมองไม่รู้”

กล่าวจบก็ต้องตกใจ เม้มปากแน่น เมื่อจู่ๆ อลงกตก็ทะลึ่งกาย

พรวด ร้องโวยวายเอะอะมะเทิ่งออกมา

“ไอ้หยา ท้องแล้วตั้งห้าเดือนกว่าๆ โธ่...ไม่น่าเลยนางฟ้าของ

ผม ว่าแต่คุณไม่ได้ล้อผมเล่นนะ”

คำถามและหน้าตาเปี่ยมด้วยความหวังที่มองมานั้นทำให้ฟารีดา

รีบส่ายศีรษะยืนยันหนักแน่น แล้วหญิงสาวก็เห็นอลงกตหน้าจืดเจื่อน

ฝืดๆ เฝื่อนๆ ไปทันตา ต่อมาฟารีดาเห็นเขาสะบัดศีรษะไปมาเพื่อขับไล่

อาการมึนงงจากข้อมูลที่เพิ่งได้รับฟังจากปากของเธอ แล้วหญิงสาวก็

ต้องผงะเสียเอง เมื่อจู่ๆ คนที่ทำหน้ามึนๆ งงๆ ก็หันกลับมายิ้มแฉ่งให้กับ

เธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นเขาก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม

ด้วยท่าทีสบายอารมณ์เหมือนดังเก่าก่อน ดูแล้วช่างไม่ต่างไปจากพวก

จิ้งจกสักเท่าไรนัก ช่างเปลี่ยนสีและปรับตัวได้ดีจริงๆ ฟารีดาและเขาอยู่

กับความเงียบเชียบชั่วอึดใจ แล้วเสียงของเขาก็เอ่ยออกมาอย่างแปร่งพร่า

ขัดกับหน้าตาที่พยายามแสดงออกว่าสุขใจไทยแลนด์ซะเหลือเกิน

“ไม่เป็นไร ลูกของคุณคงจะหน้าตาน่ารักดีนะ ถ้าเป็นผู้หญิง

ก็คงจะสวยเหมือนคุณนั่นแหละ”

อลงกตกล่าวแล้วหัวเราะหึๆ เหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป

อีกแล้ว ฟารีดาได้แต่ชำเลืองสายตามองเขานิ่งและพูดด้วยนํ้าเสียง

ขรึมๆ

“มันไม่ตลกเลยนะคะ ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่มีแต่เรื่องตลก

ตลอดเวลานะคะคุณอลงกต คุณชอบพูดจาไม่คิด เห็นอะไรเป็นเรื่อง

สนุกสนานอยู่ตลอดเวลา”

คำพูดของฟารีดาทำให้คนที่ยิ้มกว้างหมุนเก้าอี้เล่นไปมาหุบยิ้ม

เขาจ้องเธอแววตาออดอ้อนอ่อนหวาน แต่หญิงสาวกลับถลึงตาดุๆ ใส่

เขา ทำให้อลงกตกลอกตาไปมาอย่างจนปัญญา

“พวกผู้หญิงไม่ใช่ตัวตลกหรือว่าตุ๊กตาของคุณนะคะ ถึงได้

เที่ยวพูดหรือคิดอะไรง่ายๆ กับพวกเธอได้ทั้งนั้น และถึงลูกของฉันจะ

ออกมาหน้าตาน่ารักขนาดไหน ก็ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับคุณเลย

สักนิด และที่ฉันบอกกับคุณนี่ก็เพราะว่าฉันอยากให้คุณหยุดพฤติกรรม

ก้อร่อก้อติก แล้วหันมาตั้งใจเป็นเจ้านายที่ดีของฉันเสียที ได้โปรดอย่า

เอาเวลาทำงานมาล้อเล่นกับผู้ร่วมงานไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้สิคะ คุณ

กำลังทำให้ฉันอึดอัดที่จะต้องร่วมงานกับคุณค่ะ!”

ฟารีดากระแทกเสียงใส่เขา เก็บแฟ้มขึ้นมาแนบอก เขาก็เหมือน

เมธัสนั่นแหละ ไม่เคยสนใจความรู้สึกของผู้หญิงเลย ทำอะไรก็ไม่เคย

นึกถึงจิตใจของใคร มันเป็นอะไรนะ ชีวิตของเธอถึงได้เจอแต่ผู้ชายแบบนี้

แถมยังต้องกลายมาเป็นลูกจ้างให้คนพวกนี้เบ่งใส่ไม่เว้นแต่ละวันอีกด้วย

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ฟารีดาอยากจะสาปส่งให้ผู้ชายพันธุ์นี้มันสูญสลายไปสิ้น

ซะจริงๆ

ยิ่งคิดหญิงสาวก็ยิ่งหน้าตึง ฟารีดาถอนใจอย่างสุดเอือม ร่างบาง

หมุนกายหนีเขาดื้อๆ เพื่อกลับไปยังโต๊ะทำงานของตน แล้วปลีกวิเวกพา

ตัวเองออกห่างจากผู้ชายร้ายๆ อย่างเขาเสียที แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเจ้านาย

จอมขี้เล่นของเธอลงเสียงหนักแน่นจริงจัง และใช้นํ้าเสียงแบบที่ฟารีดา

ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

“ครับ มันไม่ตลกจริงนั่นแหละ”

ฟารีดายังคงยืนถือแฟ้มหันหลังให้เขานิ่ง หูก็ได้ยินเขากล่าวไป

เรื่อยๆ

“เป็นแม่ม่ายลูกติดท้องแล้วยังไง และจะเอาอะไรหรือใครมา

เป็นตัวกำหนดว่า เราจะชอบหรือให้ความสนใจกับผู้หญิงที่เป็นม่ายลูกติด

อย่างจริงจังไม่ได้”

เสียงจริงจังที่ฟารีดาเริ่มสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ทำให้

หญิงสาวกำแฟ้มในมือแน่น

“ทำไมผู้หญิงอย่างคุณต้องคิดว่าการเป็นแม่ม่ายลูกติด มัน

เหมือนว่าตัวเองเป็นโรคติดต่อ เป็นยันต์กันผู้ชายให้เผ่นหนีอย่างนั้นล่ะ

ครับ เอาจริงๆ เลยนะครับ ผมมองว่าพวกแม่ม่ายสามีตาย หรือแม่ม่าย

ลูกติด หรือม่ายสามีทิ้ง อาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่เลวร้ายและแหลกเหลว

เสมอไปนะครับ บางครั้งการที่ผู้หญิงต้องถูกสังคมมองว่าเป็นคนมีตำหนิ

เป็นผู้หญิงมีปัญหา เบื้องลึกเบื้องหลังจริงๆ แล้ว มันอาจมาจากผู้ชาย

ทั้งหมดก็ได้ ถึงผมจะเหมือนลอยชายไปวันๆ แต่ผมก็ไม่เคยตีค่าผู้หญิง

ที่มีสามีแล้วต้อยต่ำ หรือควรจะวิ่งหนีไปให้ไกลโดยเร็วที่สุดเลยนะครับ”

อลงกตเอ่ยแล้วถอนใจ ขมวดคิ้วเข้าหากัน ขณะที่สายตาก็

จ้องไปยังแผ่นหลังบอบบางของฟารีดาที่ดูงองุ้มอย่างคนที่ไม่มั่นใจใน

ตัวเองเอาเสียเลย

“คำว่าแม่ม่ายไม่ใช่ตราบาป ไม่ใช่โลโก้ว่าพวกหล่อนคือผู้หญิง

ไม่ดีนะครับ มีผู้หญิงโสดหลายคนที่ฟอนเฟะและเหลวแหลกยิ่งกว่าพวก

แม่ม่ายหลายร้อยเท่า และบางคนที่เป็นม่ายลูกติดแต่ก็ยังอ่อนเดียงสา

กว่าสาวโสดก็มีอยู่ใช่น้อย คนเป็นแม่ม่ายไม่ได้หมายความว่าจะต้อง

โชกโชนคละคลุ้งคาวโลกีย์น่ารังเกียจไปเสียทุกคนนะครับ”

อลงกตพูดเนิบๆ มือหมุนลูกโลกบนโต๊ะทำงานแรงๆ หนึ่งครั้ง

แล้วก็หันกลับไปมองฟารีดาที่ยืนหันหลังกอดแฟ้มนิ่งเหมือนเดิม

“แม่ม่ายที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวบางคนอาจโชคร้ายไปโดนข่มขืนมา

จนมีลูกติดท้อง ในกรณีนี้เธอไม่ได้ทำผิดอะไร และเธอเป็นม่ายที่อ่อนเดียงสา

มีคุณธรรมในใจ และน่ายกย่องมากๆ ที่เธอยังเอาลูกที่เกิดขึ้นมาเพราะ

อุบัติเหตุเก็บไว้ และถึงผมจะเจ้าชู้เสเพลไปวันๆ แต่ผมก็จะไม่เอามาตรฐาน

แบบนี้มาวัดคุณค่าในตัวของผู้หญิงคนไหนแน่ๆ”

อลงกตเอ่ยแล้วกอดอก ร่างสูงค่อยๆ เดินไปหาฟารีดาอย่างช้าๆ

ก่อนที่จะมายืนเผชิญหน้ากับหญิงสาว ดวงตายาวรีแต่คมกริบนั้นจ้องเขม็ง

ไม่วางตา

“ถ้าผมคิดจะเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิต ไม่ว่าเขาจะเป็น

แม่ม่ายหรือไม่ม่าย จะมีลูกติดหรือโสดสนิท ผมก็ไม่สน ขอแค่เราเข้าใจ

กันและเป็นคนที่ผมอยากดูแล เวลาอยู่ใกล้ๆ แล้วสบายใจ เพียงเท่านี้ก็

พอแล้วครับ คุณเลิกคิดเอาคำว่าแม่ม่ายลูกติดมาหยุดพฤติกรรมที่ผม

อยากจะทำกับคุณเสียเถอะ มันไม่สำเร็จหรอกฟารีดา และไม่ว่าคุณจะ

พูดยังไงก็ตามแต่ ผมก็ยังเห็นว่าคุณสวยงามและเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์

เหมือนดังเดิม”

ฟารีดาพูดไม่ออกกับประโยคนี้ของเขา ไม่คิดว่าคนขี้เล่น

พ่อพวงมาลัยลอยชายไปวันๆ แบบอลงกตจะมีความคิดดีจิตใจกว้างขวาง

ฟารีดาก้มหน้าลงถอนใจ เอ่ยออกไปเสียงแผ่วเบา

“ผู้หญิงที่เป็นม่ายและมีลูกติดคงไม่เลวร้ายอะไรหรอกค่ะคุณกต

แต่ว่าฉันดันไปมีความสัมพันธ์กับคนที่ไม่สมควรมี มันน่าสะอิดสะเอียน

และน่าละอายใจตรงนี้แหละค่ะ ฉันไม่ใช่คนดีพอที่ใครจะมาเกี่ยวข้อง

ด้วย คุณยังโสดมีสิทธิ์เลือกอีกเยอะ จะหาที่ดีกว่าฉันสักเท่าไรก็ย่อมได้

อย่ามาให้ความสนใจฉันแบบจริงจังเลยค่ะ กรุณาเชื่อฉันเถอะ ได้โปรด”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ฟารีดากล่าวเสียงวิงวอน ปลายเสียงเริ่มสั่นๆ อย่างระงับใจไม่อยู่

หูก็ได้ยินอลงกตกล่าวเสียงนุ่มหู ชนิดที่เธอเองก็ไม่คาดคิดว่าคนอย่างเขา

จะอ่อนโยนได้ถึงขนาดนี้

“แต่จากเท่าที่ผมได้รู้จักคุณมาในระยะหลายเดือนที่ผ่านมานี้

ผมสามารถบอกได้เลยว่า คุณไม่ใช่ผู้หญิงเหลวไหลหรือชอบช่วงชิง

ข้าวของของใครเลย ถ้าคุณเคยคบคนผิด ผมก็กล้าคิดและมีความมั่นใจ

เต็มร้อยเลยว่า คุณทำแบบนั้นไปเพราะไม่ได้ตั้งใจ!”

เสียงหนักแน่นของเขาทำให้ฟารีดาอึ้งไป เริ่มเปลี่ยนมุมมอง

ในตัวอลงกตใหม่ เขาพูดถูกจริงๆ ฟารีดาไม่ได้ตั้งใจมีความสัมพันธ์กับ

เมธัส และเธอก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะแย่งชิงเขามาจากแอนนาเลย

“ผมมั่นใจว่าผมคิดถูก! โดยไม่ต้องถามหาความจริงจากคุณ

เลย คุณไม่ใช่ผู้หญิงเหลวไหลเละเทะสักนิดเดียว ทีหลังอย่าตีค่าตัวเอง

ต่ำเพียงเพราะว่าคุณเป็นแม่ม่ายลูกติดท้อง ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ

ครับ บางช่วงของชีวิต สถานการณ์มันก็พาเราไปยืนในที่ที่ไม่อยากยืน

สักเท่าไร ผมว่าคุณเก่งและใจเด็ดมากๆ ที่เอาเด็กไว้ แล้วยอมที่จะเลี้ยงลูก

เพียงคนเดียว ยอมถูกสังคมมองมาด้วยสายตาของคำถามว่า พ่อของ

เด็กหายไปไหน”

“ฉัน...” ฟารีดาพูดไม่ออก เมื่ออลงกตเอ่ยพร้อมยิ้มใส่ตาเธอ

อย่างจริงใจ

“ความอดทนและการกล้าที่จะเผชิญเรื่องร้ายๆ เพียงลำพัง

ของคุณทำให้คุณค่าในความเป็นคนของคุณเพิ่มขึ้น มันทำให้คุณกลาย

เป็นผู้หญิงที่สวยมาก และสวยยิ่งกว่าเดิม คุณสวยทั้งภายนอกและ

ภายใน แล้วมันก็คงยากมากที่ผมจะหยุดชื่นชมในตัวคุณได้ เมื่อผม

รู้ความจริงแล้วว่า หัวใจของคุณนั้นมันแข็งแกร่งขนาดไหน โดยธรรมชาติ

แล้ว ผมชอบผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวทระนง อ่อนหวานแต่ไม่อ่อนแอ และไม่ใช่

คอยแต่จะให้ผู้ชายช่วยเหลือเลี้ยงดูเสมอไปเพียงอย่างเดียว”

พอเขากล่าวออกมาอย่างจริงจังไม่หยุดแบบนั้น ฟารีดาก็อึ้ง

ไป หญิงสาวแหงนหน้าสบตาอลงกตอย่างค้นคว้า เธอพยายามแสวงหา

 

ร่องรอยของความขี้เล่น อารมณ์ขันแบบตลกร้าย แต่ก็ไม่พบอะไรเลย

นอกจากความจริงจังหนักแน่น เลยทำให้ฟารีดาอดละอายใจไม่ได้ ที่เคย

มองว่าเขาเป็นบุคคลประเภทลอยชาย ไร้แก่นสาร ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วนั้น

อลงกตเป็นคนมีความคิดลึกซึ้งและละเอียดอ่อน เข้าใจถึงโลกอย่าง

แท้จริง เขาดีและคงจะดีกว่าเมธัสผู้ชายที่ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของ

เธอเลยด้วยซํ้า และไม่ว่าเมธัสนั้นจะร้ายกับเธอมากขนาดไหน แต่ไม่ว่า

จะผ่านไปกี่เดือนกี่ปี ฟารีดาก็ยังคงรักเขาอย่างมิจืดจาง หญิงสาวยืน

นิ่งเงียบเมื่ออลงกตยังคงเอ่ยต่อ

“ผมไม่เคยเปลี่ยนความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย เมื่อทราบความจริง

ที่คุณได้บอกกับผมในวันนี้ ผมเคยชื่นชอบคุณยังไง ก็ยังคงชอบคุณอยู่

อย่างนั้น และถ้าคุณต้องการให้ลูกของคุณออกมามีครอบครัวที่ครบสมบูรณ์

แล้วละก็ ผมขอเสนอตัวเองให้คุณรับไว้พิจารณา ผมไม่เคยคิดรังเกียจ

แม่ม่าย และสามารถอยู่กับคนดีๆ อย่างคุณได้สบาย”

อลงกตกล่าวแล้วยิ้มละมุน มันทำให้ฟารีดาได้แต่อ้าปากค้าง

มองเขาตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงได้ถูกตาต้องใจเธอนักหนา

แล้วต่อมาก็ได้รับคำตอบพอเลาๆ

“ผมประทับใจคุณตั้งแต่แรกพบ เพราะว่าคุณเหมือนกับผู้หญิง

เพียงคนเดียวที่ผมรักมาก แล้วก็จะรักตลอดไปด้วย”

“ใครคะ แฟนเก่าคุณหรือ?”

คำถามของเธอทำให้เขาส่ายศีรษะช้าๆ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ

บางกระจับราวกับริมฝีปากของผู้หญิงคลี่ยิ้มออกช้าๆ สายตาก็อ่อนโยน

ลงเรื่อยๆ

“เปล่าครับ เธอเป็นคุณแม่ของผมเอง ท่านจากผมไปตั้งแต่

เล็กๆ ท่านเป็นผู้หญิงที่สวยมาก มีบุคลิกคล้ายคลึงกับคุณเหลือเกิน

ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน แต่บางเวลาท่านก็หนักแน่นเด็ดเดี่ยว และ

เพราะว่าท่านเป็นอย่างนั้น ก็เลยกุมหัวใจของพ่อผมเอาไว้ได้จนถึงทุกวันนี้

และแม้ว่าคุณแม่ของผมท่านจะจากไปนานแล้ว แต่พ่อของผมก็ไม่เคย

มอบตำแหน่งนายผู้หญิงของบ้านผมให้กับใครสักคนเลย”

 

พอเขากล่าวจบ ฟารีดาก็ยังคงนิ่ง หญิงสาวต่อตากับเขาสักครู่

ก็ก้มหน้าลงแล้วถอนใจ

“ขอบคุณนะคะที่ไม่รังเกียจกัน แต่ดิฉันคิดว่าเราควรพักเรื่อง

ส่วนตัวเอาไว้แค่นี้ก่อน แล้วมาเริ่มทำงานกันต่อดีกว่าค่ะ”

ฟารีดากล่าวแล้วหันไปยิ้มอย่างมีไมตรีให้กับอลงกตเป็นครั้งแรก

เห็นอลงกตมองเธอยิ้มๆ หน้าตายามนี้ของเขาเหมือนเด็กหนุ่มไม่มีผิด

แต่ประโยคถัดมานี่สิ ทำให้รอยยิ้มของเธอเปลี่ยนไปทันที

“ผมพูดจริงๆ นะครับคุณฟาง ถ้าคุณต้องการให้ลูกเกิดมา

แบบสมบูรณ์แล้วละก็ ผมไม่รังเกียจเด็กในท้องของคุณเลยแม้แต่น้อย

ไปเถอะครับ เริ่มทำงานกันต่อเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่กดดันอะไรคุณ

อีกเลย แค่อยากจะบอกให้คุณรู้ว่า ผมชอบคุณอย่างจริงใจก็เพียงเท่านั้น”

อลงกตกล่าวเท่านั้นก็ตัดบทกับเธอสั้นๆ ฟารีดาพยักหน้ารับ

แล้วรีบก้าวออกไปจากห้องทันที เจ็บปวดกับความจริงที่ชี้ฟ้องอยู่ในใจ

นัก

‘คนเรานั้นถ้าลองได้รักใครอย่างแท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะห่างกัน

แค่ไหน หนีไปให้ไกลสักเท่าใด มันก็ไม่เคยหนีพ้นจากเขาไปได้เลย ก็

อย่างเธอไง เมื่อได้รักเมธัสจนหมดหัวใจแล้ว แม้ว่าชีวิตจะพบกับคนที่ดี

และเพียบพร้อมสักขนาดไหน แต่ใจก็ไม่อาจเปลี่ยนไปหรือลืมเลือนเขา

ได้ นี่แหละนะคือบ่วงรัก อันว่าถ้าได้ตกลงไปแล้ว มีหรือจะถอนตัวออกมา

ได้ง่ายๆ จะมีก็แต่จมลึกลงไปเรื่อยๆ แล้วยิ่งมามีสายเลือดของเขาอยู่ใน

ท้องแบบนี้ด้วยแล้ว มีหรือที่จะลืมกันลง!’

ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ของวันทำงานที่แสนจะเงียบสงบ ปนิดา

มองลอดแว่นสายตาสี่เหลี่ยมอันหนาตึบของตนไปยังสตรีที่บุกเข้ามาใน

ชุดหลากสีสันปานสีรุ้ง ที่มีทั้งสีฟ้า เขียว แดง ซึ่งมองดูแล้วลายตาเวียนหัว

ไปหมด แถมกางเกงที่เจ้าหล่อนสวมเข้ามานั้นยังฟิตเปรี๊ยะและสั้นจู๋ จน

ผู้ช่วยเลขาฯ อย่างเธอเห็นแล้วเสียวไส้แทน ต่อมาสตรีผู้นั้นก็เดินผ่าน

 

หน้าของเธอไป ด้วยกลิ่นนํ้าหอมที่ฉุนกึก จนคนที่แพ้นํ้าหอมอย่างปนิดา

แทบสลบตายคาโต๊ะไปเลยทีเดียว เอ...สงสัยว่าบ้านของคุณมาริสา

คู่ควงของคุณอลงกตนี้คงจะผลิตนํ้าหอมใช้เองเสียแล้วล่ะมั้ง ถึงได้

ใช้อาบ แทนที่จะฉีดๆ พรมๆ เข้าไปเหมือนคนอื่นเขาอย่างนี้

“เอ่อ...คุณริสาคะ อย่าเพิ่งเข้าไปค่ะ คุณอลงกตกำลังคุย

เรื่องงานกับพี่ฟางอยู่นะคะ”

ปนิดาพูดไม่ทันขาดคำก็ต้องสะดุ้ง เมื่ออีกฝ่ายหันมามองเธอ

ตาขวาง จากนั้นก็เบ้ปากให้เธออย่างเหยียดๆ

“อะไรของหล่อนอีกล่ะนังสี่ตา เธอเป็นแค่ผู้ช่วยเลขาฯ ฝึกหัด

เท่านั้น อย่ามาสะเออะและขวางทางฉัน! คอยดูเถอะ ถ้าฉันแต่งงาน

กับกตวันไหนละก็ หล่อนเตรียมหางานใหม่ได้เลยนังสี่ตา” มาริสา

กระแทกเสียงใส่ พร้อมเบ้ปากเย้ยหยัน “เห็นแล้วรำคาญลูกตาที่สุด!

ทั้งเซ่อทั้งโง่อย่างไม่มีใครเหมือน คนอย่างหล่อนนี้คงจะมีแค่เพียง

คนเดียวในโลกเสียแล้วล่ะมั้ง ไม่รู้เขารับมาฝึกงานได้ยังไง เงอะๆ งะๆ

เหมือนคนไม่เป็นงานตลอดเวลา”

มาริสากล่าวแล้วชายตามองยัยเชยหรือนังหน้าจืดที่ตนแอบ

นินทาอยู่ในใจมาเสมออย่างหมิ่นๆ เห็นอีกฝ่ายนิ่งไม่เถียงก็ยักไหล่ แล้ว

เบ้ปากใส่อีกครั้ง หลังจากนั้นก็ทำท่าจะเดินเข้าไปภายในห้องทำงาน

ของอลงกตอีกหน โดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของยัยหน้าจืดหรือนังสี่ตา

หน้าห้องเลย แต่พอจะผลักประตูเข้าไปเท่านั้น มาริสาก็ต้องอารมณ์เสีย

สุดๆ เมื่อปนิดารีบแทรกตัวเข้ามาขวาง แถมยังยืนกางสองแขนออก

เต็มที่ พอเห็นอีกฝ่ายทำตัวเป็นป้อมปราการอย่างนั้น ก็กระแทกส้นรองเท้า

ลงไปบนพื้นพรมอย่างขัดใจ เมื่อคนที่เซ่อที่โง่ในสายตาของตนดันวิ่ง

มาสกัดกั้น แถมยังส่ายศีรษะหวือไม่ยอมให้มาริสาบุกเข้าไปท่าเดียว

“ค...คะ...คุณริสาเข้าไม่ได้นะคะ คุณกตสั่งว่าถ้าไม่ใช่คนที่

สำคัญจริงๆ ห้ามเข้าไป”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด แก! อีแว่น อีปากเสีย”

ปนิดาคอย่นหน้าเจื่อนลงทันใดกับเสียงกรี๊ดบาดแก้วหูของ

อีกฝ่าย และเวลาไม่ห่างกันดีนัก เธอก็ถูกกรงเล็บทั้งห้าของมาริสาขยุ้ม

เข้าที่ต้นแขนอ่อนๆ อย่างไม่ปรานี ตามมาด้วยเสียงเข่นเขี้ยวลอดไรฟัน

“หมายความว่ายังไงนังปลาสำลักน้ำ เมียอย่างฉัน! ยังไม่สำคัญ

อีกอย่างนั้นหรือ วอนนักนะอีนี่ กล้าดียังไงมาพูดว่าฉันเป็นคนอื่น!”

หลังจากจบคำพูดของมาริสา ร่างของปนิดาก็ถูกเหวี่ยงหวือ

ลงไปกองกลางพื้นพรมหรูของโรงแรม ทำให้คนที่แพ้กำลังของสตรี

พลังช้างได้แต่ไปนั่งจุมปุ๊กอย่างงงๆ แล้วปนิดาก็เบิกตากว้าง เมื่อได้ยิน

เสียงมาริสาเปิดประตูเข้าไป

“ว้าย!”

หญิงสาวได้สติร้องลั่น เมื่ออีกฝ่ายหายวับเข้าไปในห้องทำงาน

เรียบร้อยแล้ว เท่านั้นเองปนิดาก็ไม่รอช้า รีบขยับแว่นให้เข้าที่ แล้ว

วิ่งตามมาริสาเข้าไปในห้องด้วยอีกคน พอเข้าไปก็ได้ยินเสียงอีกฝ่าย

ร้องโวยวายดังลั่น

“หน็อย! ที่นังหน้าจืดหน้าห้องมันคอยห้ามมาริสาไม่ให้เข้ามา

ก็เพราะเป็นอย่างนี้นี่เอง ฮึ! ทำไมถึงไม่เปลี่ยนโต๊ะทำงานให้เป็นเตียงนํ้า

ซะเลยล่ะ อี๋ๆ อ๋อๆ จู๋จี๋กันอยู่สองคน แล้วให้นังโง่นั่นนั่งเฝ้าหน้าห้องเพื่อ

กีดกันไม่ให้ใครเข้ามารู้มาเห็น แต่อย่าหวังนะ ว่าจะรอดพ้นจากสายตา

ของมาริสาไปได้!”

ทั้งอลงกตและฟารีดาต่างหันไปมองผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียง

มาริสาเบ้ปากมองไปทางฟารีดาอย่างหยันๆ แล้วก้มลงมองไปที่ท้องของ

อีกฝ่ายตาลุก เพราะว่าขณะนี้มันเริ่มประกาศชัดถึงความเป็นแม่คนมากขึ้น

ทุกทีแล้ว มาริสาเห็นทั้งสองคนมองมาที่ตนนิ่ง ก็ยืนนัยน์ตาแข็งกร้าว

แต่ไม่พูดอะไร สักพักก็หัวเราะลงลูกคออย่างหยันๆ แล้วหันมาต่อตากับ

ฟารีดาตรงๆ

“ขายดีจริงนะแม่เลขาฯ ไม่รู้ว่าจบหลักสูตรยั่วผู้ชายมาจาก

สำนักไหนกัน ขนาดว่าลูกคาท้องตุ๊บป่องเป็นแตงโมแบบนี้ ยังง่ายขายคล่อง

เสียจริง”

คำพูดนั้นทำให้ฟารีดาผงะ แต่ก็ข่มใจเม้มริมฝีปากแน่น ไม่โต้ตอบ

 “ฮึ! เก่งจริงๆ นะเธอ เอาไว้ถ้าว่างเมื่อไรก็ช่วยถ่ายทอดวิทยายุทธ์

ให้นังผู้ช่วยสี่ตาหน้าห้องบ้างสิ เห็นทีไรก็รำคาญตาทุกที เซ่อก็เซ่อ โง่ก็โง่

แถมยังจืดเป็นปลาสำลักนํ้าอีก ช่วยกันสองแรงแข็งขัน จะได้ผลัดกัน

ทำหน้าที่แทนฉัน เวลาที่เขามาอยู่ในออฟฟิศไง”

ฟารีดาถอนใจเบาๆ เมื่อโดนถากทั้งปากและถางด้วยสายตา

แบบนั้น หญิงสาวขยับตัวเตรียมจะโต้อีกฝ่ายกลับไป แต่ก็ถูกอลงกต

คว้ามือเอาไว้เสียก่อน มือเรียวหนาและนุ่มนิ่มราวมือของเด็กทารกตบ

มาที่หลังมือเธอเบาๆ เป็นเชิงปลุกปลอบ ทำให้คนบุกเข้ามาหาเรื่องมอง

มาที่มือสองคนตาลุก ต่อมามาริสาก็เม้มปากแน่น จ้องอลงกตหน้าตึง

เมื่อเขากระชากเสียงใส่เธอ

“เข้ามาทำไม นี่มันที่ทำงาน ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือมาริสา

ว่าอย่ามาที่นี่อีก แล้วแต่งตัวแบบนี้อีกทำไม เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ

ว่าอย่าแต่งแบบนี้เข้ามาที่ออฟฟิศนี้อีก ฉันไม่อยากมีปัญหากับป๋า แล้ว

ก็ไม่อยากให้พนักงานเอาไปซุบซิบนินทาด้วย!”

พออลงกตใส่ไปก็เห็นมาริสาชำเลืองค้อนให้อย่างใส่จริต ต่อมา

อีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างส่งมาให้เขา แต่อลงกตไม่ยิ้มตอบ ชายหนุ่มยังคงทำ

หน้าตึงใส่หล่อน สักพักก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายชะอ้อนกลับมา

“แหม! กตขา อย่าทำเป็นดุใส่ริสาไปหน่อยเลยค่ะ ก็ริสาคิดถึง

คุณนี่คะ มันเกิดอะไรขึ้นคะที่รักขา เดี๋ยวนี้คุณไม่แวะไปหาริสาเลยนะคะ

ริสาคิดถึง ริสาอยากเจอ แล้วริสาก็ทนรอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว สุดท้าย

ริสาก็เลยตัดสินใจบุกเข้ามาหาคุณยังไงล่ะคะ คนเราถ้าเคยผูกพันกัน

แล้ว มีหรือใจจะไม่โหยหา กระวนกระวายอยากเห็นหน้า และอยาก

ได้ยินเสียง”

พออีกฝ่ายฉอเลาะมาแบบนั้น อลงกตก็ถอนหายใจเฮือก แล้ว

ส่ายศีรษะช้าๆ

“ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะมาริสา ตั้งแต่ตอนคบกันแรกๆ

เลยก็ว่าได้ เราสองคนตกลงกันแล้วว่ายังไง อย่าลืมคำนึงถึงกฎกติกา

ของเราทั้งคู่สิครับริสา ว่าคุณทำอะไรได้แค่ไหน แล้วตัวผมเองทำอะไร

 

ได้บ้าง เราต่างคนทั้งแฟร์และฟรี เมื่อตอนนั้นคุณก็ดูเข้าใจดีแล้วนี่ครับ

ริสา!”

อลงกตเน้นเสียง จุปากอย่างงงๆ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคู่ขา

ขณะที่อีกฝ่ายเริ่มยิ้มไม่ออก จ้องมาที่เขาเขม็ง

“วันนั้นตัวคุณเองก็ไม่เห็นมีปัญหาและไม่คัดค้านอะไรผมเลย

สักคำ แต่ทำไมวันนี้คุณถึงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจอะไรเลยแบบนี้ล่ะครับ”

อลงกตกล่าว และมองมาริสาอย่างเครียดๆ แล้วก็ยิ่งเครียด

หนักขึ้น เมื่ออีกฝ่ายขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วโต้กลับมา

“นี่หมายความว่ายังไงคะกต คุณจะทิ้งริสาแล้วหรือคะ มัน

เป็นอย่างนั้นใช่หรือเปล่า ใช่แบบที่ริสาเข้าใจไหมคะ ที่คุณไม่ไปหาริสา

อีกเลยนี่ ก็เพราะว่าคุณต้องการถอยห่างออกไปใช่ไหม ใช่หรือไม่ใช่คะ

กต?”

มาริสาถามเสียงสูงท่าทางเดือดดาล เห็นอลงกตนั่งนิ่งไม่ตอบโต้้

แต่ทว่านั่นแหละคือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับเธอแล้ว เขาไม่ปฏิเสธความ

เข้าใจของเธอเลยสักนิดเดียว เมื่อรู้สถานะที่เปลี่ยนไปอย่างแน่ชัดแล้ว

จึงหันขวับไปทางฟารีดาอย่างคั่งแค้น จากนั้นก็ชี้นิ้วที่เคลือบด้วยสีแดงสด

ของตนไปทางฟารีดา แล้วแผดเสียงดังลั่นห้อง

“เพราะนังเลขาฯ ที่เที่ยวมั่วผู้ชายจนหาพ่อให้ลูกตัวเองไม่ได้

ใช่ไหม เพราะนังคนนี้ใช่ไหมคะกต ที่เข้ามาเป็นมือที่สามของเรา”

เพราะคำพูดนี้เองที่ทำให้ฟารีดาได้สติ หญิงสาวพยายาม

บิดมือออกจากอลงกต แต่ทว่าเขากลับกุมมันเอาไว้จนแน่น หลังจากนั้น

จึงตวาดเสียงเข้มใส่มาริสา

“พอเถอะมาริสา ถ้าเธอยังคุยไม่รู้เรื่องก็กลับไป อย่าได้มา

แตะต้องฟางเขาอีกเป็นอันขาด เพราะสำหรับฉันแล้ว เขาสูงค่าเกินกว่า

คำพูดพล่อยๆ ของเธอมากนัก และอย่างน้อยเขาก็มีศีลธรรมพอที่จะ

เก็บเด็กเอาไว้ แม้จะรู้ว่าตัวเองต้องถูกสังคมประณามหยามเหยียด

ไม่เหมือนใครบางคนหรอกนะ ที่ไปทำแท้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไปเสียจน

หมอจำหน้าได้แทบจะทุกคลินิกอยู่แล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะมาริสา มัน

 

ก็แค่ฉันไม่อยากพูด และไม่อยากซํ้าเติมใครมากกว่า”

อลงกตกล่าวเสียงกระด้าง จ้องมาริสาตาลุก เขาก็ไม่อยากพูด

หรอกเรื่องแบบนี้ แต่มาริสาก้าวร้าวฟารีดามากเกินไป ดีแต่ว่าฟารีดามี

ความเป็นผู้ดีพอ หล่อนจึงยังคงนั่งหน้านิ่งสงบเงียบไว้สง่าราวหงส์ฟ้า

แม้อีกฝ่ายจะทั้งสลัมและถ่อยใส่มาขนาดไหนก็ตาม

“กรี๊ดดดดดด คุณกล้าว่าริสาต่อหน้ามันหรือคะกต ดีล่ะกต ถ้า

เห็นว่ามันเลิศและดีกว่าเมีย วันนี้แหละ ริสาจะทำให้คุณรู้ว่าเลือดจาก

ปากของอีนังเลขาฯ เจ้ามารยานี่ มันเป็นสีอะไรกันแน่ แก! แกกล้าแย่ง

ผัวของฉันหรือนังฟาง อย่าได้อยู่ดีเลย นังลิงชิมแปนซีอุ้มแตงโม!”

มาริสากล่าวพร้อมกับปรี่เข้ามาหาฟารีดา แต่แล้วก็ต้องสะดุด

เท้าตัวเอง ศีรษะแทบคะมำ เมื่อมีมือดีมายึดเสื้อของตนเอาไว้ โดยที่มาริสา

ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

“อ๊ายยยยยย ใครนี่มาดึงเสื้อฉันเอาไว้ กรี๊ดดดดดดดดดดด”

มาริสาทั้งสบถและวี้ดออกมาอย่างหัวเสีย แม่สาวนักบู๊หัน

กลับไปมองตัวต้นเหตุ พอเห็นว่าเป็นปนิดาเลขาฯ ผู้ช่วยของฟารีดา ศัตรู

หมายเลขสองที่ตนละไว้เพื่อชำระแค้นภายหลัง กำลังยืนหน้าซีดตัวสั่น

ดึงเสื้อตัวเองเอาไว้ด้วยมือสั่นเทา หน้าที่จืดอยู่แล้วของปนิดายิ่งจืด

เข้าไปใหญ่ เมื่อมาริสาถลึงตาเข้าให้ มาริสาแสยะปากยิ้มอย่างเป็นต่อ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายปากสั่นระริก มีอาการกล้าๆ กลัวๆ ดูก็รู้ว่าอ่อนหัด เหอะ!

ยังไม่เป็นมวย แต่ก็อาจหาญจะมาต่อกรกับเธอ

“ค...คะ...คุณริสาคะ กรุณาเถอะค่ะ อย่าทำอะไรพี่ฟางเลย

นะคะ พี่ฟางกำลังมีเด็ก อาจได้รับอันตรายได้ ปอยขอร้องนะคะ สงสาร

พี่ฟางเถอะ ได้โปรด...”

ปนิดากล่าวกับมาริสาอย่างขอร้อง ไม่กล้าสบตาดุๆ ของ

อีกฝ่ายเท่าใดนัก แต่ยังไงก็เถอะ ปนิดานั้นไม่อยากให้อีกฝ่ายทำอะไร

ฟารีดาเลยแม้แต่น้อย

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะอีแว่น แกมาแส่อะไรด้วย”

“ไม่ค่ะ” ปนิดาส่ายศีรษะหวือ แล้วละล่ำละลักกล่าวไป

 “ถ...ถะ...ถ้าฉันปล่อยคุณไป คุณก็จะไปทำร้ายพี่ฟาง พี่ฟางเขา

ท้องอยู่จะไปสู้อะไรคุณได้ ฉันปล่อยคุณไม่ได้จริงๆ ค่ะ กรุณากลับบ้าน

ไปเถอะนะคะ ที่นี่มันสถานที่ทำงาน มันไม่ดีเลยนะคะที่คุณจะเที่ยวมา

หาเรื่องคนอื่นในที่แบบนี้ อายคนอื่นเขานะคะ กลับบ้านไปเถอะค่ะ

คุณมาริสา กรุณาเชื่อฉันสักครั้งนะคะ แล้วคุณจะดูดีน่ารักกว่านี้เยอะ”

ยิ่งปนิดาพูดเท่าไร มาริสาก็ยิ่งตาลุก แต่ไม่นานปนิดาก็ต้อง

หน้าหงาย

“โอ๊ย! เจ็บค่ะ”

ปนิดากล่าวหน้านิ่ว เมื่อจู่ๆ มาริสาก็ขยุ้มผมตนแล้วกระชาก

จนหน้าหงาย

“เอ๊ะ...อีแว่นนี่ ฉันว่าจะละเว้นแกแล้วนะ แต่ว่าตอนนี้ฉันคงจะ

ทำอย่างใจคิดไม่ได้แล้วมั้ง อีนังแว่น แกมาแส่อบรมฉันทำไมกันฮ้า!

ญาติโกโหติกาของฉันเองก็ยังไม่เห็นมีใครมาสาระแนกับชีวิตของฉัน

เหมือนแกเลยสักคน”

มาริสากล่าวได้เท่านั้นก็กระชากเสื้อตัวเองออกจากมือปนิดา

อย่างแรง แล้วก็เพิ่มแรงกระตุกผมของปนิดามากขึ้น จนมวยผมก้อนโตๆ

ของอีกฝ่ายหลุดออกไป

“ชอบแส่เรื่องของชาวบ้านดีนักใช่ไหมนังสี่ตา งั้นแกก็โดนก่อน

นังเลขาฯ จอมยั่วผู้ชายคนนั้นก็แล้วกันนะยะ”

เผียะ!

เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังสนั่นห้อง และชั่วเวลาไม่นานปนิดาก็

ลงไปกองที่พื้นพรม แว่นอันโตๆ แตกกระจาย ขณะที่นัยน์ตาพร่าเลือน

อยู่นั้น ปนิดาก็ต้องจุกร้องเสียงดังโอ๊ะ! เมื่อมาริสาผลักเธอลงไปนอน

กับพื้น แล้วตามติดมานั่งคร่อมไว้ในเวลาติดๆ กัน

เผียะ! เผียะ!

ปนิดาหน้าหันไปซ้ายทีขวาที ได้แต่ร้องโอดโอยเอามือปัดป้อง

วุ่นวาย ส่วนฟารีดาซึ่งนั่งตะลึงงันกับเหตุการณ์จู่โจมแบบสายฟ้าแลบ

ของมาริสานั้นได้สติก่อนใคร หญิงสาวรีบหันไปพูดกับอลงกตอย่างร้อนใจ

 “คุณกตคะ แย่แล้ว อย่ามัวแต่งงอยู่เลยค่ะ ยัยปอยจะชํ้าในตาย

อยู่แล้ว คุณกตรีบเข้าไปช่วยทีค่ะ”

และนั่นเองอลงกตเลยได้สติ ลุกพรวดขึ้นแล้วรีบเดินไปยังสตรี

ทั้งสองคนทันที พอไปถึงได้ก็กระชากร่างของมาริสาออกมาโดยแรง จากนั้น

ก็คว้าข้อมือของหล่อนไว้ แล้วพูดเสียงลอดไรฟัน

“พอได้แล้วมาริสา ผมให้คุณสองแสนก็แล้วกัน และหลังจากนั้น

ก็จงออกไปจากชีวิตของผมเสีย แต่ถ้าคุณมีปัญหามากนักละก็ ผมจะให้

รปภ.พาคุณไปสงบสติอารมณ์ที่โรงพักเลยแล้วกัน ว่ายังไงล่ะมาริสา

เงินน่ะจะเอาไหม?”

ท้ายประโยคอลงกตตะคอกใส่มาริสา ชำเลืองสายตาไป

เบื้องล่าง เห็นยัยหน้าจืดของเขานั่งร้องไห้กระซิกๆ ไม่ต่างจากเด็กห้าขวบ

ที่โดนเพื่อนรังแกเลย แต่นี่มันไม่ใช่เพื่อน มันเป็นปีศาจร้ายในร่างสาวโสภา

เสียมากกว่า คิดได้เท่านั้นอลงกตก็วกกลับไปมองมาริสาอีกครั้ง จ้องตาหล่อน

เขม็งอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ เห็นมาริสาฮึดฮัดฟึดฟัดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็

สะบัดมือออกจากเขา

“สองแสนน้อยไป ฉันอยู่กับคุณมาตั้งนานนะ”

พอหล่อนกล่าวมาอย่างอาจหาญ อลงกตก็ส่ายศีรษะช้าๆ

กล่าวไปเสียงเนือยๆ

“พอเถอะริสา เท่านี้แหละครับริสา ถ้ามากกว่านี้เราก็ไปคุยกัน

ที่โรงพักแล้วกัน เผลอๆ คุณอาจจะไม่ได้เงิน แล้วยังต้องมาจ่ายค่าเสียหาย

อีกด้วย”

คำพูดของอลงกตทำให้มาริสาชักกระสับกระส่ายยืนไม่ติด

สาวสวยขี้โมโหแหงนหน้าขึ้นมองอลงกตอย่างค้นคว้า ทำให้อลงกตต้อง

ถอนใจอย่างระอา

“นี่ผมช่วยคุณแล้วนะครับริสา กับผู้ชายบางคนคุณเดินออกมา

โดยไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง และที่ผมช่วยเหลือ ก็เพราะอย่างน้อยคุณยัง

เคยทำอะไรดีๆ ให้กับผมมาบ้าง แล้วที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายให้ไป ก็

เพราะว่าอยากให้คุณมีเงินใช้ยามที่ยังว่างและควานหาเหยื่อรายใหม่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่พบ ทั้งที่ความจริงแล้วผมจะไปเฉยๆ และไม่ให้อะไรคุณเหมือนผู้ชาย

รายอื่นๆ ก็ได้”

อลงกตเอ่ยเสียงหนัก จ้องมาริสานัยน์ตาอ่อนแสงลง อย่างน้อย

ช่วงเวลาหนึ่งหล่อนก็ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าชีวิตมันเงียบเหงาเกินไป แต่ทว่า

ในความเป็นจริงแล้วก็คือว่าเขาไม่สามารถใช้ชีวิตเสเพลเคียงคู่กับ

ผู้หญิงรักสนุกไปวันๆ แบบหล่อนได้ตลอดไป

“ไหนริสาบอกเองตั้งแต่แรกๆ แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ต้องการ

อะไร นอกจากแลกเปลี่ยนความสุขกัน พอผมมีนํ้าใจจะให้นอกเหนือ

จากสัญญา ทำไมริสาถึงบอกว่ามันน้อยเกินไปล่ะ”

อลงกตกล่าวแล้วจ้องอีกฝ่ายนิ่ง แต่มันก็แฝงด้วยความดูถูก

ดูแคลนที่สะท้อนจากใจส่งไปให้โดยไม่รู้ตัว เท่านั้นเองก็เห็นมาริสามอง

เขาอย่างจะกินเลือดจะกินเนื้อ แล้วก็กระแทกเสียงใส่อย่างจนมุม

“ก็ได้ สองแสนก็สองแสน”

จบคำพูดของหล่อน อลงกตก็มองอีกฝ่ายอย่างหยันๆ เมื่อรู้

แล้วว่าที่ผ่านมาหล่อนคบกับเขาเพราะอะไร

“นับว่ายังฉลาดอยู่นี่มาริสา มันก็ดีกว่าไปแบบไม่ได้อะไรเลย

ใช่ไหม น่านับถือจริงๆ”

อลงกตกล่าวแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงาน จัดการเซ็นปราดๆ ลงไป

เพียงแกรกเดียว

“เอาไปซะมาริสา เช็คเงินสดจำนวนสองแสนบาทไม่ขาดไม่เกิน

เธอเอาไปขึ้นเงินได้เลย รับรองว่าเช็คไม่เด้งแน่”

มาริสามองเช็คนั้นแล้วเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นก็รีบเอื้อมมือ

ไปกระชากมันออกมาจากมือของอลงกต ราวกับกลัวว่ามันจะอันตรธาน

หายไปเพียงชั่วพริบตาหากว่าเธอช้ากว่านี้ แต่ก่อนที่จะจากไป มิวายทิ้ง

สายตามุ่งร้ายมาทางฟารีดา และหลังจากที่มาริสาออกไปแล้ว ห้องทั้งห้อง

ก็ตกอยู่ในความเงียบ แต่ก็เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานนัก เมื่อมีเสียงหนึ่ง

ดังขึ้นมา

“โอ๊ย! ฮือๆ”

 

เสียงปนิดานั่นเองที่ทำให้ทั้งอลงกตและฟารีดาต้องหันไปมอง

ที่หล่อนเป็นจุดเดียว ภาพที่ทั้งสองเห็นก็คือสตรีผมยาวรุ่ยร่ายกำลัง

นั่งคลำขาโต๊ะทำงานอยู่ ช่างเป็นภาพที่ดูเคว้งคว้างและโดดเดี่ยวเหมือน

เด็กน้อยกำลังหลงทางนัก ทั้งสองคนมองปนิดาอย่างอึ้งๆ สักพักเสียง

ปนิดาหรือปอยก็ตะโกนออกมา

“พี่ฟางคะ ช่วยด้วย ปอยมองไม่เห็นอะไรเลย ฮือๆ แว่นตาของ

ปอยหายไปไหนก็ไม่รู้”

เสียงปนิดากล่าวสั่นเครือ ร้องวิงวอนขอความเห็นใจให้ช่วยตน

เป็นเหตุให้ฟารีดารู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก หญิงสาวหลุบตาลงมองรอยแดงๆ

เป็นปื้นตามใบหน้าของปนิดา แล้วก็ต้องส่ายศีรษะอย่างเวทนา

“โธ่...ปอยต้องมาเจ็บตัวเพราะพี่แท้ๆ พี่ขอบใจนะ ขอบใจจริงๆ

ที่ปอยยอมเอาตัวเข้ามาเสี่ยงเพื่อปกป้องพี่”

ฟารีดากล่าวไปอย่างเสียใจ จากนั้นจึงหันไปทางอลงกต

“คุณกตคะ ยังไงฟางฝากให้คุณกตช่วยดูแลปอยหน่อยนะคะ

ส่วนฟางขอตัวไปเข้าห้องนํ้าก่อน” ฟารีดากล่าวเท่านั้นก็เดินออกไปจาก

ห้อง ทิ้งอลงกตกับปนิดาไว้เพียงสองคน

ลงกตหันไปมองสตรีที่ผมยาวหลุดลุ่ยอยู่เบื้องหน้า แล้ว

ส่ายศีรษะไปมา ไม่รู้ว่าจะสมเพชหรือสงสารเจ้าหล่อนดี ปนิดานี้ไม่ได้

มีคุณสมบัติในการไกล่เกลี่ยเอาเสียเลย ดูสภาพหล่อนตอนนี้สิ ดูได้

ที่ไหนกัน เขาคิดแล้วมองดูเจ้าหล่อนที่ควานมือไปตามพื้นเบื้องหน้า

อย่างสะเปะสะปะ จากนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างเอือมๆ ร่างสูงค่อยๆ ก้าวไป

หาหล่อน พอไปถึงได้ก็ทรุดตัวลงเบื้องหน้าของอีกฝ่ายทันที

“กำลังหาไอ้นี่อยู่ใช่ไหม?”

อลงกตกล่าวพร้อมจับแว่นที่เขาเพิ่งเก็บได้มายัดใส่มือหล่อน

ปนิดาจึงรีบจัดการเอามันมาสวมไว้ดังเดิม แล้วก็ต้องเบ้หน้า ปล่อยโฮ

ออกมาอีกหน จากนั้นก็พล่ามออกมาตามประสาเกินๆ ล้นๆ ของหล่อน

 

“หมดกันพอดีแว่นตาของฉัน พังหมดแล้ว ฮึกๆ ทำไมคุณริสา

ถึงได้ใจร้ายแบบนี้นะ ฮือๆ”

ปนิดากล่าวอย่างทอดอาลัยเมื่อพบว่าแว่นอันโปรดที่ใช้ตั้งแต่

อยู่ชั้นมัธยมของตน ณ บัดนี้มันเหลือแต่เลนส์อยู่ด้านเดียว แถมยังแตกร้าว

เป็นลายเสียยิ่งกว่าลายแทงขุมทรัพย์เสียอีก ส่วนอีกข้างหนึ่งนั้น ไม่ต้อง

พูดถึงเลย เพราะว่ามันเหลือเพียงแต่กรอบเท่านั้นเอง

“อันที่จริงเธอควรใส่คอนแทกเลนส์เสีย จะได้ไม่มีปัญหาแบบนี้

อีก”

ยิ่งอลงกตกล่าว อีกฝ่ายก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้น จากนั้นหล่อนก็

โพล่งออกมาเป็นเชิงตัดพ้อต่อว่าเขา

“คุณไม่เข้าใจหรอก แว่นอันนี้พี่ชายของฉันเขาเก็บเงินซื้อให้

ก่อนที่เขาจะจากไป มันเป็นตัวแทนของเขาเพียงอย่างเดียวที่ฉันมีอยู่ใน

ตอนนี้ แล้วแบบนี้ฉันจะทิ้งมันไปง่ายๆ ได้ยังไงกันล่ะ คุณไม่เข้าใจหรอก

คุณไม่เข้าใจเลย ฮือๆ”

ปนิดายิ่งกล่าวนํ้าตาก็ยิ่งไหล แถมหล่อนยังส่งเสียงร้องไห้ดัง

ขึ้นไปเรื่อยๆ อลงกตมองหล่อนหน้าตูม แล้วเอ็ดใส่ไปด้วยสีหน้าเดือดร้อนใจ

“เบาๆ หน่อยจะได้ไหม จะร้องไห้ให้มันได้อะไรขึ้นมา เดี๋ยว

คนเขาก็จะพากันคิดว่า ฉันไปทำอะไรเธอเข้าหรอก เงียบได้แล้ว”

อลงกตกล่าวดุๆ มองอีกฝ่ายที่รีบอุดปากทันควัน แต่กระนั้น

หล่อนก็ยังคงร้องไห้กระอืดๆ สะอื้นฮักๆ พอเห็นนํ้าตาร่วงเผาะๆ ราวกับ

คนเก็บกดแบบนั้น อลงกตก็ยิ่งหงุดหงิด ก็แค่แว่นตาโบราณที่มันพังไป

ก็ร้องไห้ราวกับปลาคาร์พที่เลี้ยงไว้ในบ่อตายไป

“เฮ้อ! ฉันก็ไม่เข้าใจเธอเท่าไรหรอกนะ แต่เอาเป็นว่า ถ้าเธอ

ชอบแว่นตาสมัยรุ่นคุณย่าขี่เกวียนเข้าเมืองอันนี้มากนักละก็ ฉันจะเอา

มันไปให้ร้านซ่อมให้ใหม่ก็แล้วกัน รับรองว่ามันจะเหมือนเดิมทุกอย่าง

โอเคไหมแม่หน้าจืด คราวนี้เธอพอใจหรือยังล่ะ ถ้าพอใจและตกลงตามนี้

ก็หยุดร้องได้แล้ว”

อลงกตกล่าวไปไม่คิดว่าจะได้ผลเท่าไร แต่ก็ไม่เลวแฮะ เมื่อ


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แม่หน้าจืดเหมือนปลาสำลักนํ้าของเขาหยุดร้องไห้ไปในทันที แล้วหล่อน

ก็กล่าวออกมาเสียงระรื่น ไม่มีวี่แววของคนเคยร้องไห้กระอืดๆ แบบ

เมื่อครู่นี้สักนิดเดียว ช่างปรับตัวได้ง่ายเหมือนจิ้งจกเลยนะ แต่จะว่าไป

ก็ดีไปอย่าง ปลอบง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากซะอีก ไม่ต้องเหนื่อยพูด

มากและไม่เมื่อยปากดี

“จริงๆ นะคะคุณกต คุณสัญญาว่ามันจะเหมือนเดิมทุกอย่าง

แล้วนะคะ อย่ามาหลอกฉันเชียว”

“อืม...จริงสิ สัญญา แต่ตอนนี้เช็ดนํ้าตาก่อนได้ไหม เดี๋ยวคุณฟาง

เข้ามาเห็นเข้า ก็จะหาว่าฉันไปทำอะไรเธออีก”

อลงกตกล่าวพร้อมเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา

มาถือไว้ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปดึงแว่นกรอบหนาๆ ที่แสนจะเส็งเคร็งที่สุด

ในโลกนั้นออกจากดวงหน้าของปนิดา แล้วก็ต้องชะงัก ตะลึงไปกับภาพ

ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ปนิดามีดวงตาที่กลมโตใสพิสุทธิ์ แล้วมันก็ช่าง

รับกันดีกับจมูกได้รูปสวยโด่งงามและริมฝีปากบางรูปกระจับจิ้มลิ้ม

พริ้มเพรา ทั้งหมดนี้รวมกันอยู่ภายใต้ดวงหน้ารูปหัวใจเล็กเรียวน่ารักของ

เจ้าหล่อน อลงกตมองแล้วก็ต้องย่นคิ้วเข้าหากัน จากนั้นก็จ้องอีกฝ่าย

อย่างเพ่งพิศจริงจัง

เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ เมื่อเพ่งพิศมองอิสตรีแล้วเขาเกิดอาการ

ใจเต้นแรงแบบนี้ ชายหนุ่มรีบสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่อาการมึนงง แล้ว

มองไปยังหล่อนอีกครั้ง ทำไมนะ เขาถึงได้มองว่าหล่อนหน้าจืดไม่สวย

เลยสักนิด นั่นก็คงเป็นเพราะว่าปนิดามักซ่อนความงามเอาไว้ภายใต้

แว่นตาโตๆ ที่บดบังไปจนเกือบครึ่งดวงหน้าของหล่อนนั่นเอง อลงกต

ต้องยอมรับว่าฟารีดานั้นเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ฟารีดาสวยหวานตรึงตา

ตรึงใจ สวยเหมือนนางในวรรณคดี หล่อนงามพร้อมมีเสน่ห์ น่ารัก อ่อนหวาน

ดึงดูดสายตาไม่ว่าจะอยู่ในกิริยาไหน สวยชนิดที่ว่าหาตัวจับยากทีเดียว

หรือจะกล่าวให้ถูกก็คือสวยแบบหนึ่งไม่มีสองก็ย่อมได้

แต่ปนิดาก็ใช่ว่าจะน้อยหน้าเลย ถึงหล่อนจะสวยไม่เท่าฟารีดา

แต่หล่อนก็งามพิสุทธิ์สดใส ดูน่ารักไร้เดียงสา เหมือนดอกมะลิสีขาวสะอาด

 

 

 

ผุดผาดเย็นตายิ่งนัก ความงามน่ารักแบบธรรมชาติไร้เดียงสานี้จับใจเขา

ไม่น้อยเลย เมื่อหล่อนน่ารักได้ขนาดนี้แล้ว เหตุไฉนจึงชอบแต่งตัวเหมือน

ป้าแก่ๆ ก็ไม่รู้สิ อลงกตนั่งคิดคนเดียวไปสักครู่ก็ต้องตกใจ เขาคิดได้ขนาดนี้

เชียวหรือ ไหนตั้งใจว่าจะไม่เจ้าชู้แล้วยังไง เขากำลังจะจีบฟารีดาอยู่

ไม่ใช่หรือ เขาบอกว่าเขาไม่รังเกียจหล่อน เขาขอหล่อนแต่งงาน แล้วมา

เห็นยัยหน้าจืดคนนี้กลายเป็นคนงามไปได้ยังไงกัน เมื่อคิดได้ดังนั้นอลงกต

ก็หน้าตึง จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปหยิบทิชชู่มายัดใส่มือปนิดาอย่างแรง แล้ว

กล่าวออกไปเสียงห้วน

“เช็ดเอาเอง มือไม่ได้เจ็บไม่ใช่หรือ จัดการตัวเองให้เรียบร้อย

แล้วแว่นตาของเธอน่ะ ฉันจะให้ที่ร้านดูให้ก็แล้วกัน ระหว่างนี้ฉันจะให้

เธอใส่คอนแทกเลนส์ไปก่อนเข้าใจไหม เดี๋ยวฉันจะเอาแว่นไปซ่อมให้

แล้วก็เลิกร้องได้แล้ว ฉันไม่ชอบผู้หญิงร้องไห้ มันน่าเบื่อ เงียบเดี๋ยวนี้!”

“ค่ะ”

เสียงตอบกลับมาแค่คำเดียว พร้อมผงกศีรษะขึ้นลงอย่าง

น่าเวทนานั้น ทำให้อลงกตต้องแอบก้มลงไปมองหล่อนอีกครั้งอย่าง

ติดอกติดใจ คิดในใจว่า ยัยบ้านี่หน้าตาก็ดีใช่เล่นเลยแฮะ แต่ทำไมถึง

ชอบทำตัวน่าเกลียด แต่งตัวบ้าๆ บอๆ เป็นนางชี เอาไว้เขาว่างเมื่อไร จะพา

หล่อนไปสึกจากชีเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป จะได้ดูสวยดูงามเป็นผู้เป็นคน

กับเขาขึ้นมาบ้าง นี่อะไรของหล่อนก็ไม่รู้ มองแล้วน่ารำคาญจะตายไป

แต่งตัวก็ยาวรุ่มร่ามรกหูรกตา กระดุมก็ติดมันไปถึงคอหอย ผมก็สวยดี

อยู่หรอก แต่ทำไมชอบมวยเก็บเสียเรียบแปล้ ทำเป็นก้อนโตๆ ก็ไม่รู้

ยิ่งเวลาหล่อนส่ายศีรษะไปมา มันก็จะไหวๆ เด้งดึ๋งๆ ตลกพิลึก

เลย เขามองแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะมันแทบทุกครั้งไป เช้าๆ มาถึงออฟฟิศ

ทีไร เห็นหล่อนแล้วก็ให้อยากยกมือไหว้ด้วยความเคารพมันทุกครั้ง ด้วย

หลงผิดคิดไปว่าเป็นคุณป้า คุณย่า คุณยาย หรือครูบาอาจารย์ที่ไหน

แล้วไหนจะแว่นตาที่แสนอัปลักษณ์ของหล่อนอีกเล่า มันใหญ่โตจนจะ

ปิดจมูกเข้าไปแล้ว ไม่รู้ว่าแม่คุณหายใจหายคอเข้าออกได้ยังไง

อลงกตคิดแล้วก็ลอบมองปนิดาซํ้าแล้วซํ้าอีก คิดในใจว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่เป็นไรหรอก แว่นตาหล่อนพังแบบนั้น หล่อนคงไม่รู้หรอกว่าเขาแอบ

มองหล่อนอยู่ จะว่าไปยัยสี่ตานี่ก็สวยใสถูกใจดี มองแล้วก็เพลินตาไป

อีกแบบ แต่เขาจะไม่ออกปากชมให้หล่อนได้ใจหรอก ปล่อยให้อยู่แบบ

ป้าๆ ไปอย่างนี้แหละดีแล้ว เรื่องอะไรจะให้คนอื่นมาล่วงรู้ความลับล่ะ

ว่าแม่สี่ตาจอมซุ่มซ่ามนี้ก็สวยใช่ย่อยเลย


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (23 รายการ)

www.batorastore.com © 2024